ชเนย์ลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องนอนของตน สายตากวาดมองไปรอบๆ เพื่อหาสิ่งผิดปกติแต่ก็ไม่พบอะไร นาฬิกาเพิ่งบอกเวลาตีสาม นั่นหมายความว่าเขาเพิ่งหลับไปเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น แต่กลับรู้สึกราวกับว่าเขานอนหลับฝันมายาวนานเหลือเกิน

แค่ฝันไปงั้นเหรอ หรือว่า...

ชเนย์ลุกไปล้างหน้าล้างตาก่อนพาตัวเองมาอยู่ที่ห้องครัวตั้งแต่เช้ามืด แม้เช้านี้ไม่มีรายการอาหารที่จะต้องใช้เวลาเตรียมการยุ่งยากก็ตาม แต่เพราะความฝันแปลกๆ นั่นทำให้เขาหลับต่อไม่ลง แถมชื่อของคนที่ตนหลงใหลที่ยังวนเวียนอยู่ในหัวทำให้ชเนย์รู้สึกว่าบางทีอาจไม่ใช่ความฝันก็ได้

“...คิดจะทำอะไรของเค้ากันนะ” แม้จะแน่ใจว่าเขาไม่ได้ละเมอไปเอง ขณะที่กำลังนั่งนึกสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับสูบไปป์อันใหม่ในมือหมุนพลางไปมาเล็กน้อยให้ต้องแสงไฟระยับไปมาสวยงาม

ชเนย์ทอดสายตามองไปยังท้องฟ้าด้านนอกที่ยังมืดสนิท แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าที่บ้านเกิดในเวลานี่น่าจะยังเป็นตอนกลางวันอยู่ เขาเลยหยิบเอานาฬิกาพกของตนออกมาและพลิกเอาด้านหลังที่มีลูกแก้วลูกเล็กฝังอยู่ภายในขึ้นมาแทนก่อนจะยกมือลูบผ่าน ทันใดนั้นมีแสงเรืองประหลาดส่องประกายออกมา และหมุนวนจนกลายเป็นกระจกเวทอันเล็กลอยอยู่ตรงหน้า

“แหม! นึกว่าพี่จะไม่ติดต่อมาหาหนูแล้วซะอีก” เสียงใสของคนที่ปรากฏอยู่อีกฝั่งของกระจกเวทเอ่ยด้วยความระรื่นยินดีแต่ก็แอบงอนพี่ชายอยู่นิดๆ “คิดถึงบ้านแล้วเหรอคะพี่?”

“นิดหน่อยน่ะ พี่อยากรู้ว่าเธอสบายดีมั้ยมากกว่า” คนเป็นพี่ชายยิ้มตอบให้ “ตอนนี้ที่นั่นกี่โมงแล้วล่ะ?”

“เพิ่งจะบ่ายเองค่ะ พี่รู้มั้ย พอพี่ไม่อยู่หนูนี่กินข้าวไม่อร่อยเลย!”

“แย่จัง ทนไปก่อนนะ” ชเนย์หัวเราะร่วน กะแล้วว่าน้องสาวของเขาต้องบ่นเรื่องกินก่อนเป็นอย่างแรก แต่เห็นสีหน้าที่ดูปกติสุขดีของเธอแล้วเขาก็โล่งอก “หือ? นั่นเสียงอะไรน่ะ?”

“ก็เพราะพี่ไม่อยู่หนูเลยชวนให้มาร์โก้กับฮาร์เวนมาทำอาหารกินกันที่บ้านน่ะสิ”

“ฮาร์เวนก็มาด้วยเหรอ!?”

ชเนย์แผดเสียงใส่กระจกเวทตรงหน้าจนคนเป็นน้องที่อยู่อีกฟากต้องอุดหู แถมคนที่ได้ยินชื่อตัวเองยังโผล่หน้ามามองจากในครัวก่อนผงกหัวให้อย่างมีมารยาท

“ผมไม่ได้เรียกคุณครับ! ไม่ต้องโผล่หน้ามาเลยนะ!”

“พี่อ่ะ! ถึงจะไม่ชอบเค้าก็เก็บอาการหน่อยสิ นี่เพื่อนหนูนะ!” กาลาเทียหมุนกระจกเวทให้หันมาอีกทางเพื่อที่พี่ชายของตนจะได้ไม่ต้องเห็นหน้าอีกคน

“ทำไมถึงต้องเรียกฮาร์เวนมาด้วยล่ะ ล...แล้วนี่ทำไมใส่ชุดแบบนั้น โป๊เกินไปแล้วนะ!”

“มันก็ชุดปกติของหนูนะ พี่เองก็เห็นอยู่ทุกวันนี่นา จู่ๆ เป็นอะไรของพี่เนี่ย!?”

“อึก! ก็…เอาเถอะ มาร์โก้เองก็อยู่ด้วยสินะ” ชเนย์กัดฟันแน่นก่อนจะเริ่มสงบสติอารมณ์ตัวเอง อย่างน้อยๆ ที่บ้านก็ยังมีคนอื่นนอกจากเจ้าหนุ่มนั่นอยู่ด้วย ก็นับดีกว่าให้น้องสาวที่ตนรักอยู่กับผู้ชายที่ดูยังไงก็แอบชอบน้องสาวของเขาแบบสองต่อสองนั่นแหละ

“เฮ้อ…พี่เองก็เถอะ ปกติชอบออกไปไหนนานๆ แล้วก็แทบจะไม่เคยติดต่อมาเลย หนูนี่นึกว่าพี่จะไม่กลับมาบ้านอีกแล้วตั้งไม่รู้กี่รอบ” เด็กสาวเริ่มเป็นฝ่ายบ่นพี่ชายออกมาบ้าง “ว่าแต่คราวนี้มีเรื่องอะไรรึเปล่าคะ?”

“...พี่ก็แค่สับสนน่ะ” เสียงของชเนย์เบาลงและเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่ท้องฟ้ามืดสนิทเหมือนภายในใจของเขา “ก็...เพราะพี่ดันไปรู้ตอนจบของนิยายเล่มหนึ่งเข้าน่ะสิ”

คงเป็นเรื่องผู้ชายอีกแล้วล่ะสิ

“อ่าฮะ” น้องสาวยิ้มอ่อนให้อย่างเหนื่อยหน่ายใจเพราะรู้ดีว่าพี่ชายตัวเองเป็นคนยังไง เพราะเจ้าตัวก็มักจะเป็นแบบนี้ตลอดอยู่แล้ว

“พี่ก็เลยไม่รู้ว่าควรจะอ่านต่อไปจนจบดีมั้ย หรือว่าจะลองหยิบนิยายอีกเล่มขึ้นมาอ่านดี”

“ยังงี้นี่เอง พี่เนี่ยไม่เคยแก้นิสัยเสียของตัวเองได้เลยสักทีนะ” กาลาเทียเอนตัวลงไปนอนกับโซฟา ก็เพราะพี่ชายชอบทำดีกับคนอื่นไปทั่วนั่นแหละ สุดท้ายก็มานั่งเสียใจทีหลังแล้วเธอก็ต้องคอยรับฟังเรื่องกลุ้มใจของเขาทุกที

ชเนย์ยิ้มส่งให้ อุตส่าห์พูดเป็นนัยๆ แต่น้องสาวก็เดาออกอยู่ดีว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่

“อืม...หนนี้มันแย่ตรงที่พี่ดันอยากอ่านนิยายอีกเล่มที่ไม่เคยคิดว่าจะสนใจขึ้นมาเรื่อยๆ นี่แหละ”

โห มาแปลกแฮะ คราวนี้มีคนที่ทำให้พี่ชายตัดสินใจเลือกลำบากด้วยเหรอเนี่ย

สาวน้อยกำลังจินตนาการถึงคนที่พี่ชายพูดถึงอยู่ ท่าทางจะเป็นคุณลุงขี้เหงาสักคน หรือไม่ก็เป็นยักษ์หนุ่มหล่อล่ำกล้ามโตแน่นอน แต่จะแบบไหนพอผ่านไปสักพักต่างคนก็ต่างแยกย้ายทุกที

“นี่ๆ แล้วตัวละครหลักในนิยายเรื่องที่พี่สนใจเค้าเป็นคนยังไงเหรอ?”

“เอ่อ...ก็ อายุน้อยกว่าพี่สักปีสองปีได้มั้ง” ชเนย์เกือบจะเผลอบอกไปว่าตัวละครที่ว่าเป็นนักฆ่าด้วย แต่อย่าเพิ่งพูดไปตอนนี้จะดีกว่า

“เอ๋? นี่พี่สนใจผู้ชายที่เด็กกว่าตัวเองงั้นเหรอ!?” กาลาเทียตาลุกวาวอย่างประหลาดใจ เพราะที่ผ่านมาคนที่พี่ชายเธอสนใจมีแต่คนรุ่นพ่อรุ่นลุงแท้ๆ

บทสนทนาของสองพี่น้องเริ่มแปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนว่าสองหนุ่มในครัวจะชินชากับเรื่องนี้เป็นปกติแล้ว

“แต่ปัญหาก็คือนิยายเรื่องที่พี่รู้ตอนจบอยู่แล้วแต่ดันไม่อยากวางมันลงเนี่ยสิ…” ชเนย์เม้มปากพลางทำหน้าครุ่นคิด การที่ไม่ได้มองคนที่ตรงสเป็คตนเองมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ติดตรงที่ว่าเขาไม่อาจปล่อยมือไปจากอีกคนได้

“อ๋อ…” คนเป็นน้องสาวถอนหายใจ “หนูไม่รู้หรอกนะว่าตอนจบของนิยายเล่มนั้นที่พี่รู้มามันเป็นยังไง แต่หนูก็อยากแนะนำอะไรพี่สักอย่างนะ”

ชเนย์ย้ายตัวเองมานั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะอาหารและวางนาฬิกาพกไว้ข้างหน้าพร้อมกับจ้องมองกาลาเทียผ่านกระจกเวทอย่างตั้งใจฟัง สิ่งที่น้องสาวแสนเข้มแข็งของเขากำลังจะบอกนั้นหลายต่อหลายครั้งที่ต่างคนต่างมอบมุมมองใหม่ๆ ให้จนกระทั่งจับมือกันก้าวข้ามปัญหาต่างๆ มาด้วยกันได้ และหนนี้เขาก็หวังว่าเธอจะเป็นคนช่วยเขาไว้ได้อีกครั้งอย่างที่เป็นมาเสมอ

“อ่ะ หนูถามนิดหนึ่งสิคะ คนที่บอกตอนจบของนิยายเล่มนั้นให้พี่รู้เป็นใครงั้นเหรอ?”

“เอ…จะบอกว่าคนเขียนหนังสือเล่มนั้นก็ได้มั้ง” ร่างสูงโปร่งเท้าคางกับโต๊ะและถอดแว่นกันแดดวางไว้ไม่ห่างตัว

“อืม...พี่คะ ถึงแม้ว่าพี่จะรู้ตอนจบ แต่พี่ก็ไม่ได้รู้สักหน่อยว่าก่อนหน้านั้นมันมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นบ้างนี่นา ไม่แน่ว่าบางทีในอนาคตหลังจากนิยายเรื่องนั้นจบแล้วมันอาจจะมีเรื่องอะไรตามมาก็ได้ อย่างเช่นภาคต่อของนิยายเรื่องนั้นไง”

“...กำลังจะบอกว่า ถึงนิยายเล่มนั้นจะดำเนินเรื่องจนจบไปแล้วแต่มันก็ยังไม่ใช่ตอนจบที่แท้จริงงั้นสินะ”

“ค่ะ หนูอยากให้พี่อดทนอ่านจนจบ รับรู้ทุกฉากและการกระทำของตัวละครผ่านตัวหนังสือพวกนั้นด้วยตัวเอง หนูคิดว่าถึงจะไม่ได้จบแบบแฮ้ปปี้แต่ก็คงไม่ได้แย่หรอกนะคะ”

“...ถึงแม้ว่ามันจะเป็นตอนจบที่เลวร้ายจนถึงขนาดทำให้คนอ่านอย่างพี่ร้องไห้ก็ตามงั้นเหรอ” ประกายความเศร้าเจืออยู่ในดวงตาสีหม่นหมองจ้องมองไปยังดวงตาสดใสที่อยู่อีกฟากของกระจกเวท

“ก็เพราะยิ่งมันเลวร้าย คนอ่านอย่างเราถึงต้องยิ่งติดตามและเป็นกำลังใจให้กับตัวละครไงล่ะคะพี่ ไม่ว่าเค้าจะเป็นตัวเอกหรือตัวร้ายในนิยายก็ตาม” รอยยิ้มปลอบประโลมฉายเด่นบนใบหน้ามน รอยยิ้มสดใสราวดวงตะวันนั้นโดดเด่นเสียยิ่งกว่าพระอาทิตย์ที่กำลังค่อยๆ ไต่ขึ้นมาบนขอบฟ้าด้านนอกของทะเลเหนือเกาะเซฟิล

“...นั่นสิเนอะ” ในที่สุดพี่ชายก็ยิ้มออก เป็นรอยยิ้มที่ทั้งหนักแน่นและโล่งใจอย่างแปลกประหลาด

“อยู่ข้างๆ เค้าคนนั้นไว้นะคะพี่”

“อืม ถ้ามีโอกาสน่ะนะ ฮะๆ” เขาระบายยิ้มมุมปากอย่างปลดปลง กาลาเทียนั้นไม่ได้รู้เลยว่าลึกๆ แล้วชเนย์กำลังตัดสินใจว่าจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่การเป็นทหารอันซื่อสัตย์ของเจ้านรก

หลังจากนั้นอีกสักพักใหญ่บทสนทนาของทั้งสองก็จบลง เนื่องจากชเนย์ต้องไปเตรียมตัวจัดการกับอาหารเช้าของเหล่าผู้บัญชาการในปราสาท ร่างกายเอื่อยเฉื่อยที่เกือบจะยอมแพ้ให้กับโชคชะตาไปเสียดื้อๆ เริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องที่เขาควรจะต้องพูดกับใครบางคนก่อนไป พร้อมกับคว้าไปป์อันใหม่ขึ้นมาสูบและหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาหมุนอีกครั้ง

“อ้าว? อะไรอีกล่ะพี่เนี่ย อาหารกำลังอร่อยเลย”

“…ฮาร์เวนอยู่ตรงนั้นใช่มั้ย?” พี่ชายถามหาคนที่ไม่ชอบหน้าด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนผิดปกติ กาลาเทียเลยหันไปสะกิดผู้ถูกถามหาให้ยื่นหน้าเข้ามามองทางกระจกเวท

“มีอะไรเหรอครับ?” เด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับน้องสาวของชเนย์ขานรับอย่างกล้าๆ กลัวๆ ฮาร์เวนเป็นทั้งนักเวทและนักดาบรุ่นเดียวกับกาลาเทียที่มีฝีมือแทบจะเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน แถมยังผ่านสนามรบร่วมกับน้องสาวของตนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ส่วนเรื่องนิสัยนั้น…

“ขอโทษที่ผมเกลียดขี้หน้าคุณมาซะตั้งนานนะครับ คุณน่ะไม่ใช่ว่าเป็นคนนิสัยไม่ดีอะไรหรอก ออกจะดีมากๆ สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งเลยด้วยซ้ำ” ชเนย์ถอนหายใจที่ต้องมาสารภาพบาปเอาในเวลาแบบนี้

“ครับ?” จู่ๆ เด็กหนุ่มก็ถูกพี่ชายของเพื่อนเอ่ยปากชมตรงๆ ทำเอาทั้งโต๊ะอาหารงุนงงกับการกระทำอันพิลึกพิลั่นนี้ ทางด้านกาลาเทียนั้นเลิกคิ้วและหันไปมองหน้ามาร์โก้ที่นั่งมองอยู่อีกทาง

“ถ้าชอบน้องสาวของผมจริงๆ ล่ะก็ช่วยกล้าๆ ออกหน้าจีบให้มากกว่านี้หน่อยนะครับ เห็นเอาแต่ทำเหนียมอายแล้วมันหงุดหงิดน่ะ”

คำพูดคำจาแบบขวานผ่าซากดังขึ้นทำลายความเงียบ เด็กสาวเพียงคนเดียวบนโต๊ะอาหารเสียหลักจนทำนาฬิกาในมือหลุดร่วงลงบนโต๊ะ ส่วนฮาร์เวนที่โดนเปิดโปงเรื่องที่ตนคิดว่าปิดบังเสียมิดชิดมานานก็เก็บอาการลนลานไม่อยู่ มีเพียงมาร์โก้ที่นั่งอมยิ้มเพราะรู้เรื่องทุกอย่างอยู่แล้ว

“พี่!! พูดอะไรเนี่ย!?” คงจะมีแต่กาลาเทียคนเดียวที่ไม่ได้รับรู้เลยว่าเพื่อนร่วมรบของตัวเองคิดเกินเลย

“ไปละ ทานข้าวให้อร่อยนะ” ชเนย์ปิดนาฬิกาพกของตนไปก่อนหมุนให้ตัวลูกแก้วสีใสหลุบหายเข้าไปในตัวเรือนนาฬิกาเป็นการจบสนทนาแบบดื้อๆ ด้วยการทิ้งระเบิดลูกใหญ่ให้คนที่แอบหลงรักน้องสาวตนไปจัดการเคลียร์เอาเอง ถึงแม้ว่าจะดูเล่นแรงไปหน่อยแต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นจนเขาไม่สามารถกลับไปได้ อย่างน้อยก็คงฝากฝังฮาร์เวนไว้ได้ว่าจะเป็นคนที่คอยดูแลกาลาเทียแทนเขา

พี่ขอโทษ ลาก่อนนะ...กาลาเทีย

ที่ขอบฟ้ามีแสงสีทองเรืองรองจางๆ ของยามเช้าที่กำลังจะโผล่พ้นเหนือน้ำทะเลสีคราม นาฬิกาเรือนงามถูกวางทิ้งไว้ที่กลางโต๊ะวางของอย่างไร้เยื่อใย

เมื่อใกล้ถึงเวลาเสิร์ฟอาหารเช้า ร่างสูงโปร่งจัดแจงเอาอาหารทุกอย่างออกมาเหมือนปกติ สีหน้าสงบนิ่งกลับมาปั้นหน้ายิ้มดังเช่นทุกวัน ก่อนจะหันไปต้อนรับผู้มาเยือนที่เดินมานั่งเก้าอี้แล้วยกเท้าขึ้นโต๊ะด้วยความเคยชินเหมือนเดิม

“อรุณสวัสดิ์ครับท่านเจ้า”