หลังจากเติมอาหารลงท้องของตัวเองพลางคิดถึงเมนูที่จะทำเป็นรายการต่อไป ในระหว่างที่กำลังหมักเนื้อสำหรับเก็บไว้ใช้อยู่นั้นชเนย์ก็ต้องมาเก็บกวาดทำความสะอาดห้องครัวที่เลอะไปด้วยเลือดของเขา ซึ่งก็ให้ความรู้สึกพิลึกพิลั่นดีเหมือนกัน พลางคิดว่าจะเอาเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองไปเล่าให้น้องสาวผู้เป็นที่รักฟังยังไงดี

ทำยังไงถึงจะให้กาลาเทียเชื่อว่าเราตายไปครั้งหนึ่งแล้วจริงๆ ดีนะ หรือจะถ่ายรูปส่งไปดี? ชเนย์พึมพำกับตัวเองพลางก้มมองเลือดที่เปรอะไปทั่ว แต่ในปราสาทคงไม่มีของแบบนั้น ชเนย์เลยยอมแพ้แล้วเดินไปค้นใบชามาต้มเพื่อชงดื่มแก้เซ็ง

“เอ…แล้วนอกเหนือจากคนพวกนั้นแล้วคนอื่นๆ เค้ากินอะไรกันหว่า?” เหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าจำนวนคนในปราสาทไม่ได้มีแค่เพียงผู้เป็นเสมือนหัวหน้าทั้งหกชีวิต แต่ยังมีเหล่าผู้เข้าแข่งขันที่อาสามาเข้าร่วมด้วยตัวเองเช่นเดียวกับเขาอีกหลายสิบคน

หรือจะไปทอดแหตกปลาในทะเลรอบๆ ปราสาทมาย่างกินกันเอง?

“เจ้าพวกนั้นมีลูกสมุนของข้าอีกส่วนหนึ่งคอยดูแลอยู่แล้ว” เสียงคุ้นเคยเอ่ยตอบคลายข้อสงสัยระหว่างที่ชเนย์มัวแต่คิดอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อย เจ้านรกเดินมานั่งเก้าอี้ตัวเดิมเหมือนเมื่อตอนเช้ามืดและยังคงเอาเท้าขึ้นพาดไว้บนโต๊ะเหมือนเคย ยังดีที่ชเนย์เก็บของลงไปหมดแล้ว

“สวัสดียามสายครับ ยังไม่ถึงเวลาอาหารเที่ยงเลย คุณมาเร็วเกินไปหน่อยนะ”

“ทำไมเจ้าถึงยังอยู่ที่นี่อีก?”

“ครับ?”

“ทั้งที่เจ้าก็ดูไม่ใช่พวกกระหายสงครามเหมือนคนอื่นๆ ในเมื่อเจ้าไม่มีเป้าหมายใดๆ แล้วทำไมถึงยังดันทุรังอยู่อีก? จะหลบหนีไปเลยก็ย่อมได้นี่”

“แหม...ขืนทำแบบนั้นผมก็โดนคุณไคม์ฆ่าตายน่ะสิครับ”

เจ้านรกไม่สนใจคำโกหกของอีกคน เพราะความตายไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้มนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าตนหวาดกลัวสักนิด

“จ้องเอาๆ แบบนี้มันเขินนะครับ”

ดวงตาสีอ่อนมองคนทำท่าโพสต์ปัญญาอ่อนที่ตั้งใจทำเต็มที่แล้ว ยิ่งทำให้นึกอยากแยกส่วนร่างของพ่อครัวออกเป็นชิ้นๆ อีกรอบ

“ถ้าถามว่าทำไมผมถึงไม่หนีไปล่ะก็...เพราะคุณไงครับ”

“ข้ารึ?”

“ครับ เหตุผลที่ผมยังอยู่ที่นี่ก็เพราะคุณ”

สายตาของชเนย์ที่จ้องมองมาทำให้เจ้านรกขนลุกชันขึ้นมานิดหน่อย แม้ว่าจะเคยพบเจอคนประเภทนี้มาบ้างแต่ก็ไม่ชินสักที

“และอีกอย่างผมก็ตกลงรับปากไปแล้วว่าจะทำอาหารให้พวกคุณจนกว่าจะเริ่มการแข่งขันด้วย”

“นั่นก็แค่สัญญาปากเปล่าที่เจ้าไร้ข้อได้เปรียบ”

“ก็ผมบอกไปแล้วว่าจะทำนี่นา ผมไม่ใช่ประเภทที่จะผิดคำพูดของตัวเองหรอกนะครับ”

เจ้านรกหรี่ตาลงมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย คนแบบนี้จะเรียกว่าซื่อบริสุทธิ์ดีหรือเป็นพวกรั้นหัวชนฝากันแน่

“ช่วงกลางวันอากาศน่าจะร้อน ลองทำอองเทร่น่าจะเหมาะ มีหอยเชลล์อยู่แล้วด้วย เสิร์ฟกับมูสต้นกระเทียมฝรั่ง หอมอ่อนๆ เปรี้ยวนิดๆ น่าจะเข้ากับบรรยากาศของลมทะเล” ด้วยความที่เป็นคนไม่ชอบความเงียบแสนอึดอัดอันเกินไป ชเนย์เลยเริ่มสาธยายรายการอาหารที่จะทำ “ถ้าทำคานาเป้หลายๆ แบบให้เลือกกินกันคงจะดีไม่น้อย อ่ะ! ไม่มีค็อกเทลนี่นา คงต้องบอกคุณไคม์…”

“ไม่อยู่” เจ้านรกตัดบท

“อ้าว? เออ...ช่างเถอะ ไม่ต้องมีก็ได้” แม้จะทำหน้าไม่ชอบใจนิดหน่อยแต่ก็ยังคงทำตามรายการอาหารเดิมอย่างที่คิดไว้ต่ออยู่ดี “คุณไม่ชอบอะไรเป็นพิเศษมั้ยครับ?”

“ถามทำไม?” ผู้ถูกถามเอียงคอสงสัย

“ปกติคนที่มาขลุกอยู่กับพ่อครัวบ่อยๆ ก็จะได้รับสิทธิพิเศษเล็กๆ น้อยๆ อยู่แล้วครับ” ชเนย์ยกมือขึ้นขยับแว่นกันแดดซึ่งเป็นอันสำรองแทนอันที่พังไปก่อนหน้านี้

“จะอะไรก็ทำมาเถอะ ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดจะแพ้อาหารเหมือนพวกมนุษย์หรอก”

“งั้นขอถามใหม่ว่าชอบกินอะไรเป็นพิเศษมั้ยครับ?”

“......” เจ้านรกชะงักไปเพราะนึกคำตอบไม่ออก ของที่เมื่อก่อนเคยชอบ พอมาวันนี้ก็เอียนเลี่ยนเบื่อหน่ายและไม่น่าสนใจอีกต่อไป

ชเนย์ตั้งตารออยู่ครู่หนึ่ง แม้จะเดาไว้แต่แรกแล้วว่าคำตอบคงจะเป็นความเงียบ แต่ก็ลองถามออกไปเผื่อว่าจะโชคดีได้รู้รสนิยมความชอบของคนถูกถามกลับมาบ้าง

“อืม…ไม่เป็นไรครับ งั้นเอาเป็นคานาเป้โรลละกันเนอะ”

“ข้าไม่เคยกินหรอกนะไอ้สิ่งที่เจ้าพูดมานั่นน่ะ”

“ทราบอยู่แล้วล่ะครับว่าคุณต้องไม่รู้จักน่ะ”

เจ้านรกแอบหัวเสียเล็กๆ เพราะรู้สึกเหมือนโดนหลอกด่า แต่หงุดหงิดได้เพียงครู่เดียวพอหันหน้ามาก็เจอกับจานใส่ของหวานอยู่ตรงหน้า

“นี่อะไร?”

ชเนย์ยิ้มกว้างพลางยักคิ้วน่าตบและยื่นช้อนให้

“ซัมเมอร์พุดดิ้งครับ รสเปรี้ยวๆ หวานๆ ตัดเลี่ยนจากอาหารมื้อเช้า”

“.....”

“แทนคำขอโทษที่เมื่อเช้ามืดผมทำให้คุณรู้สึกแย่ครับ” พอเห็นท่านเจ้านรกไม่หยิบช้อนที่ยื่นให้ก็ยอมพูดจุดประสงค์ที่แท้จริงของการทำขนมหวานจานนี้ออกมา

ในที่สุดอีกฝ่ายก็รับช้อนไปแต่โดยดี แล้วชเนย์หันไปง่วนอยู่กับเมนูอื่น ปล่อยให้เจ้านรกนั่งมองเขาเงียบๆ เกือบชั่วโมง

กระทั่งร่างสูงใหญ่บิดขี้เกียจทำท่าจะลุกขึ้นเพื่อไปหาอย่างอื่นทำเช่นการนอนกลางวัน แต่ก็ถูกหยุดไว้ด้วยจานที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ซึ่งมีโรลขนมปังชิ้นพอดีคำปักไม้เอาไว้จำนวนหนึ่ง

“นี่ก็คือคานาเป้โรลที่บอกไงครับ” พ่อครัวยิ้มให้คนที่ทำหน้าตาสงสัยว่ามันคืออะไร “สนใจชิมสักสองสามชิ้นมั้ย?”

“สองสามชิ้นนั่นไม่น่าเรียกว่าชิมนะ” พูดออกไปอย่างนั้นแต่ก็ยังยอมหยิบมากินแต่โดยดี

“อีกสักชิ้นนะครับ” ชเนย์คะยั้นคะยอ แม้จะรำคาญแต่อีกฝ่ายก็ทำตามคำของ่ายๆ เพียงแต่คราวนี้รสชาติที่ได้รับมันเปลี่ยนไปชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ

“นี่อะไรวะเนี่ย!?” เจ้านรกจำต้องพ่นของในปากออกมา รสสลัดทูน่าแสนธรรมดาในคำแรกแปรเปลี่ยนไปเป็นรสขมหืนคอเสียจนไม่น่าจะมีใครกินมันลงไปได้ สายตาอาฆาตจ้องไปหาตัวต้นเรื่องที่ฟุบหน้ากลั้นหัวเราะอยู่ที่อีกฝั่งของโต๊ะ

“ด…เดี๋ยวครับ” พ่อครัวยกมือห้ามอีกคนไม่ให้ปรี่เข้ามาจับตนหั่นเป็นชิ้นๆ ทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่สามารถหยุดหัวเราะได้ “คือ...ผมแค่จะเปรียบเทียบกับ…”

ถึงเจ้านรกจะไม่ได้พูดอะไรออกมา ทว่าแค่มองสีหน้าก็พอจะเดาได้ว่าคนกินคงกำลังคิดหาหนทางจับคนลองดีอย่างเขาไปทรมานให้หายแค้นสักวิธี

“อยากจะพูดอะไรก็รีบๆ พูดมา” ร่างสูงใหญ่ยกแขนขึ้นกอดอก

เจ้าของอาหารจานเดือดหันไปสุ่มหยิบมากินเองหนึ่งชิ้น และเมื่อกำเข้าไปคำหนึ่งปรากฏว่าข้างในนั้นเต็มไปด้วยแกนพริกสดๆ ปริมาณมาก

“อื้อหือ…แค่กก!!! นี่แทบจะรู้เลยว่าหลอดอาหารมันยาวขนาดไหน” ชเนย์นิ่วหน้าตัวสั่นระริกเพราะรสเผ็ดแสบร้อนแผ่ไปทั่วทั้งปากลามขึ้นไปจนปวดขมับ พอเห็นคนเริ่มเรื่องโดนเองก็รู้สึกสาแก่ใจขึ้นมานิดหน่อย

“ผมจะบอกว่า…” ในที่สุดชเนย์ก็สงบสติตัวเองได้ “ชีวิตมันก็คล้ายๆ กับสิ่งที่เราเจอนั่นแหละครับ คานาเป้โรลพวกนี้ดูเผินๆ แล้วหน้าตาเหมือนกันไปหมด แต่ที่จริงแล้วผมแอบทำไว้หลายๆ แบบ การที่จะรู้ว่าไส้ข้างในมันเป็นอะไรก็ต่อเมื่อได้ลองกินไปแล้วเท่านั้น ถึงแม้จะมีแต่เรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ แต่ใช่ว่าจะเจอในรูปแบบเดิมเสมอไปนี่ครับ ต...แต่คงต้องลองชิมมันทุกคำน่ะสิ”

ชเนย์ยิ้มให้ทั้งที่หน้ายังผุดไปด้วยเหงื่อ และยังพยายามยัดก้อนโรลนรกชิ้นน้อยเข้าไปให้หมดทั้งชิ้น

“แล้วเจ้าจะกินมันต่ออีกทำไม ในเมื่อรู้แล้วว่ามันคืออะไร” เจ้านรกเห็นท่าทีของอีกฝ่ายที่ทนทรมานจนน้ำตาเล็ดจากการทำตัวเองล้วนๆ แล้วได้แต่กระตุกยิ้มมุมปากระคนด้วยความสมเพช

“รสชาติของชีวิตไงครับ” สุดท้ายก็ยอมแพ้แล้วไปควานหานมมาดื่มดับความเผ็ดร้อนจนได้

“ไอ้แบบนี้เค้าเรียกว่าโง่ แต่เจ้าไม่คิดบ้างเหรอว่าข้าเองก็ทำเรื่องโง่ๆ มาเยอะจนไม่เหลืออะไรให้ลองแล้วน่ะ” เขามีชีวิตอยู่มานานจนจำไม่ได้แล้วว่านานแค่ไหน จนกระทั่งเลิกคิดที่จะหาหนทางแก้เบื่อเพราะเบื่อหน่ายเกินกว่าที่จะทำแล้ว

ดวงตาสีอ่อนของเจ้านรกมองไปยังโรลอีกสองชิ้นที่แน่นิ่งอยู่บนจานก่อนจะเลือกหยิบมากินอีกชิ้นหนึ่งโดยไม่ลังเล

“ดูท่าดวงคุณจะดีเหลือเกินนะ” ชเนย์เดาจากกลิ่นที่คละคลุ้งออกมาหลังจากกัดได้ว่านั่นคงจะเป็นเพียงชิ้นเดียวที่เลอค่าที่สุดบนจานแล้ว

“แล้วไอ้ที่ทำออกมานี่เพื่ออะไร? คิดจะสั่งสอนข้ารึไง?”

“ไม่บังอาจขนาดนั้นครับ ต้องบอกว่าผมแค่ทำในสิ่งที่ผมเคยทำกับตัวเองมาก่อน แล้วก็เอามันมาใช้กับคนอื่นอีกทีน่ะ” ชเนย์เดินโซเซกลับมาพิงโต๊ะหลังจากที่สามารถดับความแสบปากเผ็ดร้อนในกระเพาะลงได้

“ที่ผ่านมาเจ้าคงจะทำแต่เรื่องโง่ๆ ล่ะสิ” เจ้านรกหยิบโรลอีกชิ้นมาตรวจสอบด้วยการแกะดูสิ่งที่อยู่ภายใน ซึ่งหน้าตาและกลิ่นดูไม่เป็นอันตรายมากจึงเอาเข้าปากไปอีกชิ้น ท่าทางจะมีที่ย่ำแย่อยู่เพียงสองชิ้นที่โดนกินไปแล้วก่อนหน้านี้เท่านั้น

“เป็นการทำเพื่อปลอบใจตัวเองน่ะครับ”

“งั้นเรอะ? ก็เห็นๆ อยู่ว่าไม่ได้ผล”

“นั่นสิ...” ชเนย์คอตกเพราะเหมือนว่าการทดลองของเขาจะให้ผลลัพธ์ที่ไม่น่าพอใจเท่าไหร่ “แต่ถึงจะแค่ลองดูเฉยๆ ก็คุ้มที่จะทำนะครับ เผื่อว่าอย่างน้อยคุณจะหลุดออกจากวังวนแบบนี้ได้สักนิดหนึ่ง”

ผู้ได้รับความหวังดีหันมามองอย่างเคลือบแคลงใจ

“อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง…คนอย่างเจ้าแค่เปลี่ยนตัวเองยังทำไม่ได้เลยแท้ๆ”

“ขออภัยด้วยนะครับที่ผมต้องบอกว่าผมคงจะตามวอแวคุณอีกสักพัก” ร่างเล็กกว่าเงยหน้าหันไปทางหน้าต่าง มองออกไปยังเมฆก้อนใหญ่ด้านนอก “พอดีว่าผมเกลียดที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลยไม่อยากเห็นใครอยู่ในสภาพเดียวกันน่ะ”

“ตลกล่ะ เจ้าคิดว่าตัวข้ากับเจ้าเหมือนกันรึยังไง?” เจ้านรกลุกขึ้นเพื่อที่จะเดินกลับไปยังโถงรวมพล

“คนประเภทเดียวกันมันมองออกน่า…ไม่งั้นคุณคงไม่เข้ามาที่นี่เป็นครั้งที่สองหรอกเนอะ?” ชเนย์หันกลับมาระบายยิ้มจางๆ ส่งให้ แววตาหม่นหมองเหลือบมองผ่านแว่นโดยไม่อาจเดาความหมายที่ซ่อนอยู่

นายเหนือหัวของโลกหลังความตายไม่ได้หันกลับมามองเสียด้วยซ้ำ มีเพียงแค่ชะงักไปครู่หนึ่งเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง ทว่าก็ไม่มีสิ่งใดเอ่ยออกมาและย่างเท้าหายไปในตัวปราสาทอย่างเงียบงัน

“...เผลอไปทำให้เขาเหนื่อยใจอีกแล้วรึเปล่าเนี่ย?”

 

*

 

“เขามารบกวนคุณรึเปล่าครับ?” เสียงทุ้มที่ไม่ได้ยินมาตลอดทั้งวันเอ่ยถามทำลายความเงียบ ชเนย์ละจากขนมปังพันเบค่อนในมือแล้วหันไปที่ต้นเสียง เห็นไคม์เดินเข้ามาในครัวและแอบเหลือบไปมองคราบเลือดที่ยังเหลือร่องรอยอยู่บนผนังก่อนหันกลับมาหาคนที่ตนมีธุระด้วย

“ครับ?” ชเนย์เลิกคิ้วสงสัย

“ท่านเจ้านรกน่ะ” ไคม์เดินตามมานั่งที่ขอบหน้าต่างอีกด้านแต่ไม่ได้หันหน้าออกไปรับลมชมวิวด้านนอกด้วย

“ก็ไม่นี่ครับ” พอรับรู้ถึงคำถามของแขกที่เข้ามาเยือนก็ก้มลงกินอาหารของตัวเองต่อ

“ปกติท่านไม่เคยเป็นแบบนี้ผมเลยแอบแปลกใจนิดหน่อย ทั้งสองคนคุยอะไรกันเหรอครับ?”

“...นั่นสินะ” ชเนย์นึกถึงประโยคสนทนาทั้งหลายก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่สามารถพูดได้ว่าตั้งแต่เมื่อเช้ามืดจนถึงตอนกลางวันพวกเขาทั้งคู่คุยเรื่องอะไรกันไปบ้าง “ก็แค่เรื่องสัพเพเหระน่ะครับ”

“บอกไม่ได้เหรอครับ?”

“คุณเป็นถึงคนสนิทแต่เขากลับไม่บอกแถมยังไม่พาคุณมาด้วย ผมคิดว่าเขาคงไม่อยากบอกใครหรอกมั้งครับ”

“นั่นสิ…สงสัยท่านคงจะสนใจคุณเข้าแล้วล่ะ”

“เห...จริงอ่ะ? เขินนะครับเนี่ย!” ชเนย์ยิ้มกรุ้มกริ่มน่าตบ

“ซึ่งนั่นก็เป็นผลดีกับผมนะครับ เพราะถ้าคุณช่วยทำให้ท่านกระตือรือร้นที่จะลงมือทำอะไรขึ้นมาบ้างคงจะดีไม่น้อย” ไคม์ลุกออกมาเมื่อเห็นว่าไม่น่าจะได้รับคำตอบอะไรที่เป็นประโยชน์มากขึ้น “เหมือนเมื่อตอนที่ท่านก้าวขึ้นมาเป็นเจ้านรกใหม่ๆ ...”

“คุณพูดเหมือนกับว่าตอนนี้คุณกำลังลำบากงั้นแหละ? ไม่ใช่ว่ายินดีทำทุกอย่างเพื่อเขาอยู่แล้วหรอกเหรอ?”

“...ที่จริงแล้วผมชอบที่จะเป็นผู้เฝ้าดูมากกว่า แต่ถ้าหากทุกอย่างมันไม่ได้ดั่งใจผมก็ต้องลงมือทำเองน่ะ” ร่างสูงเพรียวหยุดอยู่ข้างประตูทางออก “อาหารของคุณอร่อยดีนะ”

“โอ้! ขอบคุณครับ” ชเนย์ค้อมศีรษะรับ ก่อนที่ไคม์จะเดินออกไปนั้นเขาสังเกตเห็นรอยยิ้มประหลาดในเสี้ยววินาทีหนึ่งของอีกฝ่ายได้ เพียงแต่ถึงจะใส่ใจเรื่องนั้นไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมาอยู่ดีเลยเลือกที่จะทำเป็นลืมๆ ไป

เมื่อเหลือเขาเพียงคนเดียวในห้องครัว ค่ำคืนที่เงียบสงบก็กลับมา ชเนย์แหงนหน้ามองฟ้าและเริ่มคิดเรื่อยเปื่อยต่อไป

คืนนี้แสงไฟในเมืองเซฟิลก็ยังคงริบหรี่ มีเพียงสถานที่สำคัญและอาคารสำนักงานที่สว่างไสวพอให้ส่องสว่างตัดกับท้องฟ้าและทะเลสีดำของยามค่ำคืน มองแล้วก็คล้ายๆ ดาวดวงน้อยที่ลงมาใกล้กับผืนน้ำเบื้องล่าง

วันพรุ่งนี้จะทำอะไรกินดีนะ