สองร่างหอบหนักค่อยๆ หย่อนตัวลงเตียงไปพร้อมเพรียงโดยชเนย์กอดและเอาตัวรองอเวเค่นไว้ให้นอนทับบนตัวเขา

“อเวเค่น...” เสียงทุ้มที่ยังพอมีแรงเหลืออยู่เรียกคนที่นอนหอบหายใจอยู่บนตัวเขา

“อือ...อะไร?” คนสติเริ่มเลือนรางขานตอบ

“ขอบคุณสำหรับอาหารครับ” เอ่ยกระเซ้าแหย่และจูบขมับที่ชื้นเหงื่ออีกคนปลอบโยน

“...บ้า” คนที่ตกเป็นอาหารหันหน้าหนีไปซุกหมอนกลบเกลื่อน

“เอ...แต่คุณเพิ่งเคยทำครั้งแรก” ชเนย์ทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้ “งั้นก็คงไม่รู้ใช่มั้ยว่าต้องเอาออกยังไง?”

“ห้ะ?” อเวเค่นขมวดคิ้วแล้วมองตามนิ้วชเนย์ไปทางต้นขาของตัวเองซึ่งมีน้ำรักสีขาวข้นเยิ้มออกมา

“ถ้าไม่เอาออกพรุ่งนี้เช้าคุณได้ท้องเสียแน่ๆ” คำพูดกับน้ำเสียงดูจริงจังสวนทางกับใบหน้าทะเล้นจนไม่มั่นใจว่าพูดจริงรึเปล่า

“พักก่อน...แล้วค่อยว่ากัน” เจ้าตัวดูไม่สนใจเท่าไหร่แถมยังนอนซบลงบนคออีกคนเหมือนตั้งใจจะสูดเอากลิ่นหอมเฉพาะตัวนั้นต่อ

หลังจากนอนกลิ้งไปมาสักพัก ชเนย์ก็เป็นฝ่ายเริ่มชวนคุย

“...ถ้าไม่ลำบากใจเกินไป” ชเนย์ลูบผมอีกคนเบาๆ “ช่วยเล่าเรื่องของคุณให้ผมฟังหน่อยได้มั้ย?”

“หือ?” อเวเค่นหันหน้ามามองคนถาม

“แบบว่า อย่างน้อยๆ ผมก็อยากรู้ว่าคุณเป็นใครมาจากไหนน่ะ ผมเล่าเรื่องของตัวเองไปแล้วแต่ยังไม่รู้เรื่องของคุณเลย”

รอยยิ้มเฝื่อนเจือบนใบหน้า แววตาไร้อารมณ์แบบเดิมกลับถูกเติมเต็มด้วยประกายแปลกตาจนคนมองเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

“ถ้าเรื่องของคุณเป็นนิยาย ของผมก็คงเป็นละครน้ำเน่าล่ะมั้ง” อเวเค่นเกริ่นนำเรื่องของตัวเอง

“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”

“อืม... ขอข้ามเรื่องสมัยเด็กไปแล้วกันนะ ผมจำอะไรไม่ได้น่ะ”

“คุณไม่รู้งั้นเหรอ?” ชเนย์มองหน้าคนข้างๆ สายตาของอีกฝ่ายมองขึ้นไปบนเพดานห้องนอนที่ว่างเปล่าเหมือนกับชีวิตวัยเยาว์

“ใช่ เป็นใครมาจากไหน มีครอบครัวญาติพี่น้องรึเปล่า เรื่องนั้นผมไม่เคยรู้” เสียงอเวเค่นเบาลงไป ชเนย์ดึงคนในอ้อมแขนเข้ามากอด

“ถ้าคุณไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรครับ”

“เปล่า ผมไม่ได้เศร้า แค่กำลังคิดว่าจะเริ่มเล่าจากตรงไหนดีน่ะ”

“...เอ่อ อาจจะฟังดูเสียมารยาท แต่คุณชื่ออเวเค่นจริงๆ เหรอครับ?”

“อืม...นั่นสินะ แล้วคุณคิดว่าไง?” รอยยิ้มสนุกสนานกลับมาระบายบนหน้า

“อย่าตอบคำถามด้วยคำถามแบบนี้สิครับ” คนโดนย้อนส่ายหน้า แต่ก็ครุ่นคิดตามที่อีกคนบอก “แต่ผมว่าไม่น่าใช่ชื่อจริงของคุณนะ คงไม่มีพ่อแม่ที่ไหนจะตั้งชื่อลูกตัวเองแบบนี้หรอกครับ”

“คุณนี่เดาเก่งนะ ถูกแล้ว อเวเค่น ซันไรส์ ไม่ใช่ชื่อจริงของผม นั่นเป็นชื่อในวงการนักฆ่าของผมเอง”

“อย่าบอกนะว่าคุณตั้งเอง?”

“ก็ใช่ไง”

ชเนย์เกือบหลุดขำพรืดกับเซ้นส์การตั้งชื่อที่สุดโต่งนี้จริงๆ

“แล้วชื่อจริงๆ ของคุณล่ะ?”

“เคน” นักฆ่าหนุ่มตอบ

“แค่นั้นเหรอครับ?” เป็นชื่อที่สั้นซะจนชเนย์ยังแปลกใจ

“อืม...ก็จำอะไรไม่ได้เลยนี่ สำหรับคนที่ลืมเรื่องของตัวเองไปหมด แค่นึกชื่อออกได้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว”

“ค...” ชเนย์กำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่างออกไป แต่ก็หุบเงียบไปซะก่อน เขาจูบลงบนหน้าผากคนที่นอนข้างๆ ตัวเอง “ขอเรียกอเวเค่นนี่แหละครับ ติดปากไปแล้ว”

“ถึงอยากจะเรียกชื่อจริงผมก็ไม่ยอมให้เรียกหรอกนะ” อเวเค่นหัวเราะอารมณ์ดี ไม่ได้นอนคุยสบายๆ แบบนี้มานานตั้งแต่ใช้ชีวิตช่วงหลังๆ มา “อย่าว่าแต่ชื่อผมเลย ชื่อคุณนี่ก็ฟังดูแปลกหูชะมัด”

“ใครๆ ก็ว่างั้นครับ ชื่อของผมแปลว่าหิมะน่ะ” ชเนย์เพิ่งนึกได้ว่าส่วนล่างของพวกเขายังไม่ได้ทำความสะอาดเลยมองหาทิชชู่ในห้องไปพลางๆ

“มิน่า ทั้งสีผมกับสีผิวถึงได้ขาวไปหมดเลย” เขายกนิ้วขึ้นเกี่ยวเส้นผมสีอ่อนม้วนเล่นไปมาของอีกคนจนเด้งเป็นลอนสนุกสนาน “ผมไม่ค่อยชอบผมสีแดงของตัวเองเท่าไหร่เลย”

“แต่ผมชอบสีผมของคุณออกนะ” ยิ่งพูดชมยิ่งทำให้เจ้าของผมแดงหน้าขึ้นสีระเรื่อมากกว่าเดิม ชเนย์ลูบผมยาวและสูดกลิ่นหอมเฉพาะของคนข้างกาย อเวเค่นหน้าแดงแข่งกับสีผมก่อนจะหยิบยางรัดมารวบไว้ตามเดิม

สองคนนอนคุยกันเจื้อยแจ้วไปเรื่อยเปื่อย เปลี่ยนเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย เวลาผ่านไปไวเสียจนลืมว่าตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้ว

“อ่ะ จวนได้เวลามื้อเย็นแล้วนี่นา” ชเนย์หันไปมองนาฬิการะหว่างจัดแจงใส่เสื้อผ้าให้ตัวเอง

“ถึงว่าเริ่มหิวแล้วสิ” อเวเค่นลูบท้องว่างๆ ของตนและบ่นอุบอิบ

“ช่วยรอสักหน่อยแล้วกันครับ ทำเสร็จแล้วเดี๋ยวผมจะยกมาให้”

“หา? จะยกมาทำไมให้เสียเวลาล่ะ ก็ไปนั่งรอกินที่ห้องครัวเลยสิ จะได้กินตอนเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ”

“ลุกไหวหรือครับ?” ร่างสูงโปร่งเหลือบมองคนที่แม้แต่จะลุกมาแต่งตัวเองยังลำบาก ใส่เสื้อเชิ้ตและกางเกงคืนได้ก็แทบยกนิ้วให้

“น่าจะไหวมั้ง...” อเวเค่นพยายามทำตัวปกติ แต่เห็นได้ายังลุกไม่ขึ้น ความรู้สึกที่โดนบางอย่างทะลวงเข้าที่ทางด้านหลังยังเหลือตกค้างให้แอบรู้สึกว่าไม่ใช่แค่ฝันกลางวันไป

“อยากทานอะไรเป็นพิเศษมั้ย?” พ่อครัวถามออร์เดอร์จากคนทาน

“อะไรก็ได้เหมือนเดิม”

“โธ่...นั่นไม่เรียกเมนูนะครับ” ชเนย์ส่ายหน้าพลางหัวเราะเบาๆ และแกล้งขยี้ผมสีแดงจนยุ่งเหยิง อีกคนเลยย่นคิ้วขมวดใส่ “รออยู่นี่แหละครับ เดี๋ยวผมทำเสร็จจะรีบมาเรียก”

“อย่ามัวแต่ชักช้าน่า รีบๆ ไปทำเร็วๆ เลย ถ้าผมลุกขึ้นแล้วเดินไปถึงห้องครัวเห็นว่ายังทำไม่เสร็จล่ะก็ผมจะกินคุณแทน” เห็นความดื้อดึงของอเวเค่นแล้วชเนย์ก็ทำได้แค่ยกมือยอมแพ้

“ครับๆ ถ้ากินผมได้ก็เชิญ แต่ระวังเป็นฝ่ายโดนกินอีกรอบนะครับ” หนุ่มผมเงินยื่นหน้าเข้ามาใกล้และทำหน้าเอาจริง จนฝ่ายที่ขู่ไปเมื่อครู่เผลอกลืนน้ำลายเอื้อก

“ใครจะยอม ให้กินแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ปวดเอวชะมัดเป็นคนโดนทำซะเองเนี่ย”

“โดนไปสองครั้งครับไม่ใช่ครั้งเดียว”

“แล้วจะย้ำทำไมฟะ!”

อเวเค่นหน้าแดงจนถึงหู มือฉวยหยิบเอาขวดเหล้าบนโต๊ะที่ดวลดื่มกันไปก่อนหน้านี้มาขว้างใส่พ่อครัว ชเนย์พยายามจะเอี้ยวหลบแต่บางขวดเป็นเหล้าดังหายาก ถ้าแตกไปก็เสียของเลยต้องคว้ามือรับไม่ให้เสียหาย

“เหล้านี่มันแพงนะครับ!!” ชเนย์ตะโกนตอบโต้หวังให้หยุด

“ไม่สนละเฟ้ย!!” แล้วขวดแชมเปญหรูก็ขว้างมาทักทาย

“เหวอ!!”

เสียงเอะอะดังมาจากห้องพักของนักฆ่าหนุ่ม แต่บรรยากาศกลับกรุ่นความสุขสนุกสนานมากกว่าจะเป็นความน่ารำคาญ

อีกด้าน ไคม์ มือขวาของเจ้านรกเริ่มวางแผนจะทำอะไรบางอย่างกับสิ่งที่ตัวเขาตั้งกฎเอาไว้และมีคนพยายามจะท้าทายมัน

“ผมเคยเตือนคุณแล้วนะครับ อย่าหาว่าผมใจร้ายก็แล้วกัน” พูดกับตัวเองพลางยิ้มแววตาวาวโรจน์ในห้องมืดที่มีเพียงแสงไฟจากตะเกียงส่องประกายสะท้อนในแววตาเปี่ยมความน่าพรั่นพรึงคู่นั้น

 

*

 

“วีล มาซาล่า ครับ” พ่อครัวยกอาหารมาวางต่อหน้าคนผมแดงที่อุตส่าห์หอบสภาพแทบยืนไม่อยู่ของตัวเองมาจนถึงห้องครัว เนื้อลูกวัวราดซอสไวน์แดงที่หมักเห็ดและหัวหอมเคี่ยวจนได้ที่ส่งกลิ่นหอมฉุยออกมา

“ทานละน้าาาา” น้ำเสียงคนทานสดใสผิดกับเมื่อครู่ที่ทำหน้าบูดเพราะปวดช่วงล่างและกำลังหิวสุดๆ

ปกติชเนย์จะย้ายตัวเองไปนั่งบนหน้าขอบหน้าต่างบานโตที่ประจำที่เขามักจะนั่งเหม่อมองทะเลด้านนอกเสมอ แต่วันนี้เขามีอย่างอื่นให้นั่งมองแทนแล้ว

“จ้องเอาๆ ขนาดนั้นผมจะกินลงได้ไงเนี่ย”

“แต่ก็เห็นเคี้ยวอยู่เต็มปากเลยนี่นา” ร่างสูงโปร่งยิ้มกว้างพอใจในสิ่งที่ได้เห็น

“แล้วอาหารของทางโน้นล่ะเสร็จแล้วเหรอ?” อเวเค่นถามขึ้นระหว่างหั่นชิ้นเนื้อคำใหม่

“เรียบร้อยแล้วล่ะครับ”

“อ้อเอ๋อ (อ้อเหรอ) ” พูดทั้งที่ยังเคี้ยวเนื้อตุ้ยๆ เต็มปาก

ชเนย์มองอย่างเอ็นดู นอกจากน้องสาวแล้วเขาก็ไม่ได้มองดูใครที่กินอาหารที่เขาทำให้แล้วมีความสุขขนาดนี้มานานแล้ว ถึงพ่อครัวจำเป็นจะคอยทำอาหารเลี้ยงเหล่าปีศาจชั้นสูงตามที่ไคม์ไหว้วานมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่ได้ไปเห็นหน้าคนรับประทานกับตาว่ารู้สึกยังไงกับการทานอาหารเหมือนในเวลาอย่างนี้

“ไม่พอก็บอกได้นะครับ” พูดไปอย่างนั้นแต่คนที่กำลังกินกลับทำตาเป็นประกายวาววับเหมือนสุนัขเวลาที่เจ้านายให้อาหาร ก็นะ...ขนาดฟูลคอร์สครั้งก่อนยังฟาดคนเดียวจนเรียบได้ ของแค่นี้ก็คงเป็นได้แค่ออร์เดิร์ฟนั่นแหละ

ชเนย์หัวเราะให้กับท่าทางนั้น แต่เมื่อสายตามองผ่านอเวเค่นไปก็พบไคม์ยืนอยู่ที่หน้าประตูครัวเงียบๆ

“อ่ะ สวัสดีครับ” เอ่ยทักทายแล้วลุกขึ้นเพื่อเดินไปหา คนกำลังดื่มด่ำอาหารรสเลิศหันตามทิศทางที่พ่อครัวมอง เมื่อสบตากับไคม์เพียงแค่ชั่ววินาทีนั้นอเวเค่นสัมผัสได้ถึงสายตาน่าผวาของปีศาจในร่างมนุษย์ตนนั้น ก่อนไคม์จะเลื่อนสายตาไปหาพ่อครัว แรงกดดันมหาศาลนั้นก็หายสลายไปจนหมด

“ผมขอคุยเรื่องอาหารมื้อต่อไปหน่อยครับคุณชเนย์” ไคม์ระบายรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจเช่นดังเดิม ไม่ว่ายังไงชเนย์ก็ไม่รู้สึกชอบมันเลย

“อ่า...ได้สิครับ” เขาหันหลังเดินตามออกไปด้านนอก แต่ก่อนจะเดินหายไปก็หันหน้ากลับมาหาอเวเค่น “เดี๋ยวผมมานะครับ”

“อื้อ...ระวังตัวด้วย” พยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น และไม่เบนสายตาไปมองปีศาจหนึ่งเดียวในที่แห่งนี้

“ครับ?” คำพูดนั่นทำให้ติดใจสงสัยอยู่บ้าง แต่ร่างสูงโปร่งก็ต้องรีบเดินตามหลังมือขวาของเจ้านรกไปติดๆ

อเวเค่นวางมีดและส้อมลง มือทั้งสองสั่นระริกอย่างที่ไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวขนาดนี้มานานมากแล้วตั้งแต่ที่เขาลงมือฆ่าคนเป็นครั้งแรก

สายตานั่น...ถ้าโดนจ้องนานกว่านี้ล่ะก็ เขาต้องเสียสติจนเผลอหยิบมีดมาแทงคอตัวเองเพราะกลัวว่าจะถูกฆ่าแน่ๆ

นั่นน่ะเหรอ...สิ่งที่เรียกว่าปีศาจ

เขาสบประมาทเกินไป แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะเหมือนมนุษย์แค่ไหน แต่ ‘พวกนั้น’ คือตัวตนที่สร้างความน่าพรั่นพรึงให้กับมนุษย์มาหลายยุคหลายสมัย ยากที่ใครก็ตามจะต่อกร

งานนี้เห็นที...แม้แต่พระเจ้าก็ช่วยแกไม่ได้แล้วอเวเค่น