“มานอนทำอะไรตรงนี้?”

เสียงเรียกของใครบางคนปลุกให้ตื่น อเวเค่นเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะอาหารในห้องครัวก่อนจะมองนาฬิกาข้อมือของตน

นี่เขาเผลอหลับไปนานขนาดนี้เลยเหรอ

“อา...เมาจนหลับไปเลยแฮะ แย่ชะมัด...” อเวเค่นเงยหน้าขึ้นมองผู้มาปลุก แล้วต้องสะดุ้งสุดตัวที่อีกฝ่ายคือเจ้านรกที่เพิ่งไปกวนส้นเท้าท่านออกมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน

“ข้ามาหามื้อดึกกิน เจ้านั่นบอกว่ามีของกินอยู่ในครัว”

อีกฝ่ายบอกถึงเป้าหมายการมาเยือนห้องครัวเสร็จสรรพโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายที่กำลังงงได้เอ่ยถาม

“เรียกเจ้านั่นๆ อยู่ได้ เขาก็มีชื่อนะ” อเวเค่นเกาหัวก่อนคว้าขวดน้ำมาดื่ม พอเริ่มดีขึ้นแล้วความหิวก็เข้าจู่โจม ดวงตาสีทองแอบมองตามเจ้านรกไปว่ามีอะไรเหลือไว้ให้กินบ้างแล้วก็พลันนึกได้ “ชเนย์ลุกไม่ไหวสินะ”

“ก็นะ” เจ้านรกหยิบขนมปังพันเบคอนออกมาจากตู้เย็น “อืม...แต่ก็คงไม่ค่อยอยากมาที่นี่ด้วยนั่นแหละ”

“หมายความว่าไง?”

“คงรู้มั้งว่าเจ้าอยู่ที่นี่” เจ้านรกหัวเราะและเดินไปหาวิธีอุ่นอาหารในมือกิน อเวเค่นนั่งนึกเหตุผลที่อีกฝ่ายไม่ยอมมาห้องครัวไม่ออกนอกจากปวดเอว

“...หลังจากผมออกจากห้องนั้นมา คุณได้ทำอะไรกับเขาต่อรึเปล่า?”

“ไม่รู้สิ คิดว่าไงล่ะ?” ย้อนถามแล้วยังยิ้มส่งมาให้ อเวเค่นเห็นแล้วก็หมั่นไส้เบ้ปากมองไปทางอื่น ก่อนเหล่ตากลับมายังท่านเจ้านรกที่ยังยืนอยู่หน้าไมโครเวฟ

“ว่าแต่อุ่นอาหารเป็นรึเปล่าล่ะนั่น?” นักฆ่าหนุ่มถาม เพราะเขาเป็นห่วงอาหารที่ชเนย์ทำหรอก ไม่ได้ห่วงว่าเจ้านรกจะทำไมโครเวฟระเบิดเลยสักนิด

รอเนิ่นนานแต่เจ้านรกก็ไม่ยอมทำอะไรต่อเสียที กระทั่งอีกฝ่ายแอบเหลือบหางตามหาอเวเค่น ซึ่งเจ้าตัวก็ได้แต่นั่งนิ่งพยายามกลั้นหัวเราะสุดชีวิตแม้ทั้งมือและตัวจะสั่นเกร็งเพื่อเก็บอาการ

“อยากจะหัวเราะก็เอาเถอะ ตอนนี้ข้าหิวแล้ว ทำอะไรสักอย่างกับไอ้นี่ที”

สุดท้ายนักฆ่าหนุ่มก็เลยต้องลุกมาช่วยเจ้านรกอุ่นอาหารให้อย่างเสียมิได้

“ผมจะไปดูอาการชเนย์สักหน่อย คุณพาเขาไปไว้ที่ห้องของคุณสินะ”

“ข้าพาไปไว้ที่ห้องของเจ้านั่นเองแล้ว ถ้าอยากไปหาก็ไปเถอะ ไม่สิ...ช่วยไปหาหน่อยก็ดี” อีกคนพูดหลังจากเคี้ยวขนมปังในมือจนหมด

ชายหนุ่มนักฆ่าสงสัยในคำพูดนั้นแต่ไม่ได้ถามอะไรต่อ ก่อนจะแย่งขนมปังติดมือไปกินชิ้นหนึ่งและเดินจากมา

“หยิบเอาชิ้นใหญ่สุดไปซะได้นะเจ้าตัวแสบ” เจ้านรกมองชิ้นที่เหลือในจาน ส่วนอเวเค่นก็ชูมือข้างที่ขนมปังโดนกัดไปแล้วโบกไปมาเหมือนได้รับถ้วยรางวัลเชิดชูเกียรติ

 

*

 

อเวเค่นเดินมาถึงห้องของชเนย์ก็เปิดประตูเข้าไปโดยไม่เคาะ เพราะยังไงอีกฝ่ายก็ไม่น่าจะลุกมาเปิดประตูต้อนรับไหว

“...เข้ามาได้ยังไงน่ะครับ?” ชเนย์ที่ได้ยินเสียงไขประตูเงยหน้าลุกจากเตียง แล้วอเวเค่นก็ตอบคำถามด้วยการชูกุญแจห้องของพ่อครัวที่ตัวเองไปแอบทำสำรองมาเก็บไว้กับตัวเรียบร้อย

“หลบหน้าผมรึไงถึงได้ไม่ยอมไปที่ห้องครัวเนี่ย?” อเวเค่นลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง เว้นระยะให้ชเนย์รู้สึกถึงความเป็นส่วนตัวเล็กน้อย

คนบนเตียงลุกขึ้นนั่งด้วยสภาพเดียวกับครั้งสุดท้ายก่อนที่อเวเค่นจะออกมาจากห้องรับรอง ผ้าผืนหนาปกปิดท่อนล่างไว้เช่นเดียวกับเมื่อวันก่อนที่เขานอนเพราะไม่สบาย

“...ผมขอโทษครับที่พาคุณไปเจอ เอ่อ...อะไรแปลกๆ”

“ไม่นี่ ผมไม่ได้คิดมากอะไรสักหน่อย ก็แค่ได้เปิดโลกอีกมุมหนึ่งเท่านั้น” ชายหนุ่มนักฆ่าหนุ่มพูดให้เจ้าของห้องสบายใจว่าไม่มีอะไรต้องกังวล ตอนนี้ชเนย์คงสร่างเมาเป็นที่เรียบร้อยถึงได้กลับมาพูดตามปกติ “คุณไม่ต้องกังวลอะไรหรอก ทุกอย่างยังเหมือนเดิม”

“จริงเหรอครับ?” ชเนย์เงยหน้าขึ้นหันมาสบตาอเวเค่น “ผมนึกว่าคุณจะโกรธแล้วซะอีก”

“แน่นอนว่ามีเรื่องที่ผมโกรธอยู่บ้าง” ชายหนุ่มกอดอกและขมวดคิ้ว “เรื่องที่คุณเรียกชื่อจริงผมต่อหน้าคนอื่น”

“ผมขอโทษครับ...” ชเนย์พูดด้วยน้ำเสียงละห้อย

“ชื่อนั้นน่ะ ผมให้เฉพาะคนพิเศษกับเพื่อนเท่านั้นที่มีสิทธิ์เรียกมัน”

“...นั่นสินะ ผมเองก็ไม่ใช่ทั้งเพื่อนทั้งคนพิเศษของคุณเลยสักอย่าง” คนพูดก้มหน้าสำนึกผิด อเวเค่นนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือมาตรงหน้าชเนย์

“โอ๊ย!” พ่อครัวร้องเสียงหลงเพราะโดนดีดหน้าผากจนหน้าหงาย เล่นงานโดยไม่สนใจเลยว่าตัวเขายังไม่ฟื้นสภาพเต็มร้อยเลยสักนิด

“อืม...” อเวเค่นทำหน้านิ่ง พลางนึกอยากแกล้งให้อีกคนกังวลเล่น “จริงๆ มันก็ยังมีเรื่องอื่นอีกนะ สดๆ ร้อนๆ เมื่อกี้เลยด้วยล่ะ”

“เรื่องอะไรครับ?” คนมีชนักติดหลังถึงกับเงยหน้าขึ้นมามอง

“ข้อแรก คุณไม่ได้ทำอาหารเผื่อไว้ให้ผมกิน หิวจนท้องร้องไส้กิ่วเลยเนี่ย” อเวเค่นทำหน้าจริงจังมากๆ แม้กระเพาะตอนนี้จะเต็มไปด้วยขนมปังพันเบค่อนก็ตาม

“...ห่วงกินตามเคยนะครับคุณนี่”

อเวเค่นแค่นยิ้ม ก็เพราะสีหน้าของชเนย์ตอนกังวลนั้นมันน่าแกล้งจริงๆ นี่

“ข้อสอง...คุณพูดมาได้ยังไงว่าผมไม่เห็นคุณเป็นเพื่อนหรือคนพิเศษน่ะ?”

“ก็...มีแต่ผมที่เรียกคุณว่าเพื่อนอยู่ฝ่ายเดียวเองนี่ครับ ส่วนเรื่องเป็นคนพิเศษ...” ร่างสูงโปร่งมองเข้าไปยังดวงตาสีทองที่จ้องรอคำตอบ “ผมไม่รู้ว่าตัวผมพิเศษพอสำหรับคุณหรือเปล่า?”

“...ชเนย์”

“ครับ?” เขาเงยหน้าขึ้นหลังจากที่ถูกเรียกอีกครั้ง คงจะโดนบ่นหรือไม่ก็โมโหใส่อีกแน่นอน

“ผมไม่ห้ามหรอกนะ ถ้าหาก...นานๆ ทีคุณจะเรียกชื่อจริงผมน่ะ”

“อ่า...” ชเนย์ซุกหน้าลงกับเข่าตัวเอง ท่าทางจะเขิน “นี่...คุณยอมให้ผมเป็นเพื่อนคุณแล้วสินะ?”

“คุณนี่มันจะซื่อบื้อไปถึงไหน!” อเวเค่นตอกหน้าด้วยคำพูดเดิมที่เขาใช้พูดกับอีกฝ่ายบ่อยๆ

“ก็คุณไม่พูดให้ชัดเจนนี่ครับ ใครมันจะไปรู้เล่า!” ชเนย์ลุกขึ้นโต้เถียงกลับ แต่ลุกเร็วไปหน่อยเลยปวดเอวลั่นไปถึงสมอง

อเวเค่นยืนมองอีกฝ่ายพลางถอนหายใจ เขานึกอยู่นานมากว่าจะทำอย่างไรกับคนฉลาดน้อยตรงหน้า สุดท้ายก็สูดหายใจลึกๆ ก่อนนั่งลงบนเตียงข้างๆ ตัวชเนย์

“ผม...เอ่อ รู้สึกดีกับคุณมากๆ เลยล่ะ”

ชเนย์นิ่ง เอาล่ะ...สงสัยเขาคงพูดไม่ชัดเจนพอสินะ

“ผมรักคุณ...ชัดพอมั้ย?” คนพูดนิ่งกว่าคนฟังได้อย่างไรก็ไม่ทราบ แต่แววตาที่ส่งมานั้นดูเจ็บปวดจนรู้สึกได้ “แต่ผมรู้หรอกน่ะว่าสายตาของคุณมองใครอยู่”

“...กล้าพูดออกมาจริงๆ ด้วย” ชเนย์หันหน้าไปทางอื่น เลือดลมสูบฉีดขึ้นมาบนหน้าไวจนหลบไม่ทัน “ขอบคุณนะครับที่พูดออกมา ไว้รอดหลังจากงานแข่งนี้ผมจะคิดดูอีกทีนะ”

“อืม...ผมเข้าใจ รู้อยู่แล้วว่าคุณต้องพูดแบบนี้...เอ๊ะ?” อเวเค่นที่กำลังก้มหน้ารอรับความจริงกลับต้องสะบัดหน้าตนกลับมาจ้องอีกฝ่ายอีกครั้ง “เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ?”

“อย่าให้ต้องพูดซ้ำสิครับ ผมเองก็เขินเป็นนะ” พยายามซุกหน้าหนีแต่ใบหูแดงจัดนั่นก็ปิดไม่มิด อเวเค่นจับไหล่คนบนที่นอนให้หันมาแต่ชเนย์ก็เอามือปิดหน้าไม่ให้ดู

“เอามือออก ไม่งั้นผมปล้ำคุณจริงๆ นะ” น้ำเสียงขู่บ่งบอกว่าไม่ได้พูดเล่นแถมตั้งท่าจะคร่อมคนบนเตียงด้วย

“คุณเป็นผู้ร้ายข่มขืนรึไงครับ!” เอามือออกเพื่อจะด่าใส่ตรงๆ แต่ลืมไปว่าสีหน้ายังแดงอยู่ อเวเค่นยิ้มกว้างจนตาปิดแล้วล้มตัวลงไปกอดชเนย์บนที่นอนแน่นจนแทบหายใจไม่ออก

“โอ๊ยๆๆ! เอวผม!!”

ก็ไม่ได้อยากจะทำลายบรรยากาศที่กำลังดีๆ แต่ทางนี้ก็เพิ่งผ่านศึกหนักมา ร่างกายมันยังไม่พร้อม!

อเวเค่นยังไม่คลายอ้อมแขน อีกทั้งยังตัวสั่นจนน่าแปลกใจ

“เคน?” ชเนย์ลองเรียกชื่อจริงอีกฝ่าย น้ำเสียงของคนที่กำลังกอดเขาไว้ดังข้างหูที่ฟังดูก็รู้ว่ากำลังสั่นอยู่

“ขอบคุณ...” อเวเค่นพยายามสะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล แต่ตอนนี้เขาดีใจมากจนแทบจะกลั้นมันเอาไว้ไม่อยู่ “ว่าแต่...”

ชายหนุ่มนักฆ่าผละตัวออกมาอย่างรวดเร็ว ทั้งคำพูดของเจ้านรกที่บอกให้เขามาดูอาการคุณพ่อครัวจำเป็น ทั้งการตัดสินใจของชเนย์ที่แปลกไปจากปกติจนน่าสงสัย แม้จะยินดีแค่ไหนแต่สัญชาตญาณมันบอกว่าเรื่องนี้มันต้องมีเบื้องหลังแน่นอน

“ทำไมอยู่ๆ ถึงได้คิดจะตัดใจจากหมอนั่นล่ะ?”

“ก็...พอมานึกดูดีๆ แล้ว หลังจบงานนี้ก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกรึเปล่า แล้วอีกอย่าง...ดูท่าทางเรื่องอายุขัยมันจะเป็นปัญหาน่ะสิ” เสียงของคนนอนราบบนเตียงอ่อนลงจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ

ดวงตาสีหม่นมองออกไปทางอื่น ไม่ต้องให้บอกก็พอจะรู้ว่าใครเป็นคนพูดเรื่องนี้กับชเนย์

“...ทั้งที่มีพลังขนาดนั้น แต่เขาไม่ยอมทำให้เป็นอมตะหรือแม้แต่ยืดอายุขัยเพื่อครอบครองคุณเนี่ยนะ?”

“เป็นคนที่ผิดคาดใช่มั้ยล่ะครับ คนคนนั้นสามารถทำได้ทุกอย่างแต่เขากลับไม่ทำ แต่ผมก็พอจะรู้เหตุผลของเขาแหละ” รอยยิ้มและแววตาเศร้าสร้อยบอกให้รู้ว่าตอนนี้เขากำลังฝืนตัวเองอยู่ “อ่ะ...ไม่ใช่ว่าผมจะคว้าคุณมาแทนที่เขาหรอกนะครับ แต่ถ้าคุณไม่เปลี่ยนใจ...ผมอยากขอเวลาทำใจอีกหน่อย”

มือของอเวเค่นจับใบหน้าของคนที่ยังอยู่ในภวังค์อาลัยอาวรณ์มาแตะผากชนกันเบาๆ

“ไม่เป็นไร ผมรอคุณได้”

“ขอบคุณครับ” ชเนย์ยกมือขึ้นแตะมือที่สัมผัสใบหน้าของตนอย่างอ่อนโยน “คุณไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้อยู่กับเขาหรอก สักวันถ้าคุณตายไปเดี๋ยวก็ต้องได้เจอกันอีกอยู่ดี”

“เอ่อ...ฟังดูทะแม่งๆ ดีนะครับ” ชเนย์เอ่ยขึ้นมาขัดประโยคที่ฟังแล้วเหมือนจะดูโรแมนติกดี...รึเปล่านะ?

“โทษที ผมพูดหวานๆ ไม่เป็น” อเวเค่นหัวเราะใส่แล้วโยกหัวทั้งตัวเองและคนตรงหน้าไปมา “แต่ตอนนี้คุณต้องอยู่กับผมก่อนนะ”

ชเนย์ยกสองแขนขึ้นกอดคนข้างบนมานอนด้วย “ไหนๆ คุณก็อยู่นี่แล้ว งั้นก็มาดูแลผมเลย”

“ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ ถ้าหายดีแล้วต้องเลี้ยงเนื้อย่างผมด้วยล่ะ” อเวเค่นยื่นข้อต่อรอง แต่ถึงอีกคนจะไม่ตอบตกลง เขาก็ล้มตัวลงนอนข้างๆ อย่างว่าง่ายไปแล้ว

เมื่อทิ้งตัวลงได้ที่ คนที่ลากเขาลงมานอนด้วยก็ปรี่เข้ามาซุกทันทีก่อนจะนอนนิ่งไป จนอเวเค่นนึกว่าขาดอากาศไปแล้ว

“ชเนย์?”

ไม่มีเสียงตอบจากคนที่กอดร่างเขาเสียแน่น อเวเค่นก้มลงเพื่อพยายามมองใบหน้าที่ก้มงุดอยู่ให้ได้ และแอบเห็นดวงตาคู่นั้นเอ่อด้วยน้ำตากับสีหน้าหมองที่ทำเอารู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบไปด้วย

“ผมอยู่นี่แล้วนะ...”

มืออุ่นลูบเบาๆ บนเรือนผมสีอ่อนแล้วปล่อยให้เวลาไหลผ่านค่ำคืนที่แสนยาวนานไปเรื่อยๆ