แม้จะรอแล้วรอเล่า แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าอเวเค่นจะโผล่หน้าเข้ามาในครัวเลย กระทั่งเวลาล่วงเลยไปถึงช่วงหัวค่ำ ชเนย์จึงตัดสินใจยกอาหารที่เตรียมไว้เพื่อเอาไปให้ผู้ที่นอนพักอยู่ในห้อง แต่เคาะเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกคน พอลองผลักบานประตูเข้าไปกลับพบว่าภายในห้องนั้นไม่มีใครอยู่เลย

ยิ่งเวลาผ่านไปนานเข้าชเนย์ยิ่งใจไม่ดี เขากลัวแค่ว่าไคม์จะทำอะไรแปลกๆ เหมือนที่เจ้านรกพูด อยากจะไปถามไคม์ตรงๆ อยู่หรอกว่าคิดอะไรอยู่ แต่ใครมันจะกล้า

“หายไปอยู่ที่ไหนกันนะ?” หลังจากการเดินตามหาคนหายรอบปราสาทคว้าน้ำเหลว สุดท้ายก็มาจบลงที่ยืนสูบไปป์พ่นควันฉุยคลายความเหน็ดเหนื่อยอยู่ที่ระเบียงกว้างชั้นบนของตัวปราสาท

ขนาดเดินวนจนทั่วแล้วยังหาไม่เจอเลย ชเนย์ถอนหายใจออกมาพร้อมควันจากไปป์ ตอนนี้สมองของเขาคิดอะไรแทบไม่ออกแม้แต่เมนูพื้นๆ ในเช้าวันพรุ่งนี้เพราะโดนอเวเค่นปั่นหัวจนนอนไม่หลับตั้งแต่เมื่อคืนก่อน ไหนจะเรื่องการแข่งที่ใกล้เข้ามาอีก แล้วยังมีเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามาอีกไม่หยุดหย่อน โดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับนักฆ่าผมแดงคนนั้น

ชเนย์นึกไม่ถึงเลยว่าพ่อครัวจำเป็นอย่างเขากับแมวขโมยที่แอบย่องเข้ามากินอาหารจะมาลงเอยกันแบบนี้

ลมยามค่ำคืนพัดโชยเคล้าด้วยเสียงคลื่นที่ซัดเข้าหาปราสาทที่ตั้งอยู่กลางทะเล เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าก็มีเมฆสีทึบเป็นกลุ่มก้อนลอยบดบังจนแทบมองไม่เห็นดาวข้างบน ดวงตาของร่างสูงโปร่งเริ่มปรือด้วยความอ่อนล้า ตอนนี้ร่างกายของเขาใกล้จะถึงขีดจำกัด ทั้งเหนื่อยและง่วงมากเสียจนอยากล้มตัวลงนอนเต็มที

“อยากตกทะเลลงไปตายหรือไง!” เสียงทะลุแก้วหูดังเข้ามาให้คนกำลังจะเคลิ้มได้สติทันที และเห็นว่าเมื่อกี้ถ้าเจ้าของเสียงไม่ทักเขาคงได้วูบหมดสติหล่นจากระเบียงลงไปทักทายปะการังข้างใต้ทะเลนี้แล้ว

“คุณหายไปไหนมาน่ะครับ? ให้ผมเดินตามหาซะทั่วเลย” พอเห็นอีกฝ่ายอยู่ตรงหน้า ชเนย์ก็โล่งอกขึ้นมา

“ก็เดินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อย”

“ไปเอาของแบบนั้นมาจากไหนเหรอครับ?” ชเนย์ทำหน้ามึนก่อนจะหรี่สายตามองอุปกรณ์ถ่ายรูปรุ่นที่จัดว่าคลาสสิกในมือของนักฆ่าหนุ่ม

“หยิบมาจากในร้านเหล้าคราวก่อนนั่นไง” พ่อครัวหนุ่มจึงถึงบางอ้อ นี่ก็ช่างขยันปล้นสะดมชาวบ้านซะจริง ถึงขนาดหยิบกลับมากระทั่งชุดชั้นในของผู้หญิง ชเนย์เลยเดาเอาว่าตอนนั้นคนตรงหน้าอาจจะอดอยากสุดๆ แล้วก็เป็นได้

“ไม่หิวเหรอครับ? แล้วที่ว่าปวดท้องนั่นล่ะหายแล้ว?” พอเห็นว่าอเวเค่นยังไม่โดนไคม์ลากไปถ่วงก้นทะเลก็ยิงคำถามไม่ยั้ง แต่คนถูกถามก็ไม่แยแสที่จะตอบ

“คุณนี่ซื่อบื้อสุดๆ เลยนะ ดูไม่ออกรึไงว่าผมหายดีแล้ว” จู่ๆ ก็ถูกคนตรงหน้าวิจารณ์หน้าตาเฉย เอาความเป็นห่วงเป็นใยของคนอื่นคืนมาเลยนะ...

แชะ!

อยู่ๆ อเวเค่นก็ยกกล้องขึ้นถ่ายรูปหน้าคนง่วงแบบไม่ให้ตั้งตัว แล้วก็หยิบกระดาษรูปถ่ายขึ้นมาสะบัดๆ จนภาพปรากฏขึ้นมา

“หน้าตาไม่สู้กล้องเลยนะคุณนี่” บ่นไม่พอแถมยังเลือกภาพถ่ายที่เก็บไว้ในกระเป๋าของตนออกมาให้อีกคนได้ชมด้วย “ดูนี่สิ ภาพเมืองเซฟิลตอนตะวันลับฟ้า สวยดีนะ”

“อา...ออกมาดูดีนะครับ” ดูเหมือนว่าเขาพูดอะไรไปอีกฝ่ายก็คงเลี่ยงไม่ตอบคำถาม ชเนย์เลยต้องเป็นฝ่ายยอมตามน้ำเสียเอง

“ว่างแล้วสินะ ไม่ได้มีนัดกับใครหลังจากนี้ไว้ใช่มั้ย?” อเวเค่นเอ่ยถามหน้านิ่ง ส่วนชเนย์ก็แค่พยักหน้าเป็นคำตอบ “คุณเต้นเป็นหรือเปล่า?”

“...ถ้าบัลลาดล่ะก็พอไหวครับ ละตินก็พอได้” ชเนย์ยืนนึกพลางตอบอย่างว่าง่าย และเพิ่งนึกได้ว่าที่อีกคนถามนี่ไม่น่าจะใช่แค่เพราะอยากรู้เฉยๆ

“โอเค งั้นเต้นรำกับผมหน่อย”

“เอ๊ะ...เอ๋!?” ชเนย์ร้องเสียงหลงทำหน้าเหวอ แต่ยังไม่ทันหายตกใจเขาก็โดนอเวเค่นจับมือลากมาที่ตรงกลางราวกับฟลอร์ในงานเต้นรำ

“คุณเต้นท่าผู้ชายตามปกติไปนะ ผมจะเต้นท่าของผู้หญิงเอง”

“เอ๊ะ? คุณเต้นได้งั้นเหรอครับ ทำได้ไง?” ระหว่างที่ถามก็โดนคนชวนเต้นจัดแจงตั้งท่าเตรียมพร้อมแล้ว

“อย่าถามมากน่ะ!”

ชายหนุ่มนักฆ่าตะเบ็งเสียงใส่กลบเกลื่อนหน้าแดง จริงๆ ก็ใช่ว่าจะอยากซะเมื่อไหร่ แต่ทำไงได้ล่ะในเมื่อเขาดันสูงน้อยกว่าอีกฝ่ายนี่นา

ชเนย์หลุดขำออกมาจนอเวเค่นต้องถามด้วยใบหน้าบูดว่าหัวเราะเยาะเขาหรือยังไง

“ขอโทษครับ คือ...คุณนี่ดูไม่เหมือนนักฆ่าเลยจริงๆ อ๊ะ! แต่ไม่ได้หมายความว่าผมสบประมาทคุณหรอกนะครับ” ชเนย์อธิบายเพราะกลัวอีกคนโกรธ แต่อเวเค่นกลับไม่แสดงอารมณ์ฉุนเฉียวอย่างที่เขากังวล

“ก็โดนพูดแบบนั้นอยู่บ่อยๆ ล่ะนะ” ชายหนุ่มนักฆ่าเอ่ย มือข้างหนึ่งจับบ่าคนตัวสูง อีกมือก็จับประสานกับมือหนาและกุมไว้แน่นพอที่จะไม่หลุดตอนเต้น

“จากใครเหรอครับ?” สายตามองต่ำลงมาหาคนตัวเล็กกว่าอย่างใครรู้คำตอบ

“เพื่อนน่ะ แต่หมอนั่นไม่อยู่แล้วล่ะนะ” น้ำเสียงยามเอ่ยถึงฟังดูเหงาจนแอบใจหาย

“เหรอครับ...” ชเนย์เลือกที่จะเงียบเพราะเดาว่าเพื่อนของอีกฝ่ายที่ว่านั่นคงจะ ‘ไม่อยู่’ ที่ไหนในโลกนี้แล้ว “งั้น...เริ่มล่ะนะครับ”

ชเนย์เป็นฝ่ายออกนำคู่เต้น เริ่มต้นต่างฝ่ายต่างก็ยังไม่ชินทำให้จับจังหวะผิดพลาดตั้งแต่เริ่มไปหลายครั้ง แต่พอนัดแนะกันดีๆ ก็เริ่มเข้าจังหวะโดยพร้อมกัน สองหนุ่มร่ายรำเยื้องย่างกันเชื่องช้าตามจังหวะของเสียงคลื่นที่ใช้ต่างเพลงบรรเลง แอบรู้สึกแปลกอยู่บ้างที่คู่เต้นดันเป็นผู้ชายด้วยกันซะนี่

“อีกไม่กี่วัน อาจจะมีใครสักคนหรือเราทั้งคู่คงหายไปจากโลกนี้” จู่ๆ อเวเค่นก็พูดขึ้นลอยๆ ก้มหน้าลงมองจังหวะเท้าแต่ก็ดูคล้ายจะหลบหน้าอีกคน

“บางทีอาจจะรอดทั้งคู่ก็ได้นะครับ” ชเนย์ยิ้มบางให้แต่อเวเค่นก็ไม่ได้เห็นมัน

“มองโลกในแง่ดีจังนะ อาจารย์ของคุณสอนมางั้นเหรอ?”

“ประมาณนั้นแหละครับ” ชเนย์มองขึ้นไปด้านบน เมฆครึ้มลอยหายไปเปิดม่านท้องฟ้าพราวดาวไร้เมฆบดบัง แต่กลับดูหม่นหมองอย่างประหลาด เงาของสองร่างเต้นรำภายใต้แสงดาวโดยไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาขัดบรรยากาศ แม้ว่าในใจต่างมีเรื่องที่อยากพูดมากกว่านี้

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แม้อากาศตอนกลางคืนจะเริ่มเย็นขึ้นแต่ทั้งคู่ก็ยังคงปล่อยใจไปตามจังหวะ

“...อย่ารีบตายซะล่ะ”

“คุณเองก็เหมือนกันนะครับ”

ดวงตาทั้งสองสบมองและยิ้มให้กัน ในจังหวะสุดท้ายชเนย์ดึงอเวเค่นเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด คนที่ไม่ทันเตรียมตัวเลยเสียหลักเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนร่างสูงโปร่ง

มือหนาช้อนคางของร่างเล็กกว่าให้เงยขึ้นมารับจุมพิต ดวงตาสีทองเบิกกว้างก่อนจะหลับตารับสัมผัสที่ประทับลงมาบนริมฝีปาก ปลายลิ้นอุ่นผลัดกันแลกรสจูบหอมหวานอย่างเนิบช้าไม่เร่งเร้า จนกระทั่งคนเริ่มเป็นฝ่ายถอนจูบออกก่อนจะก้มหน้าลงไปซุกที่บ่าคู่เต้นรำ

“ผมง่วงแล้ว พาผมไปนอนทีสิครับ” ใช้พลังงานเฮือกสุดท้ายของวันนี้หมดไปกับการเต้นรำเมื่อครู่ ตอนนี้ร่างสูงโปร่งทิ้งน้ำหนักโถมใส่จนคนตัวเล็กกว่าแอบบ่นอุบในใจว่าหนักเหมือนกำลังแบกหมี

“เป็นเด็กรึไงถึงได้จะให้พาไปเข้านอนเนี่ย?” ยกมือขึ้นทุบท้ายทอยไปทีหนึ่งแต่ไม่ได้แรงมากเพราะกลัวอีกฝ่ายเจ็บ

“นะครับอเวเค่น...ผมไม่ไหวแล้ว” เอ่ยเสียงอ้อนเป็นเด็กน้อย ทั้งๆ ที่ตัวใหญ่กว่าอีกคนตั้งเยอะ

“อา... เอางั้นก็ได้” หนุ่มนักฆ่าใจอ่อนเอ่ยตอบรับ เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นว่าหน้าของพ่อครัวที่กำลังยิ้มกว้างอยู่บนไหล่ของตนมีความสุขขนาดไหน

อเวเค่นกึ่งลากกึ่งเดินแบกชเนย์มาถึงห้องของเจ้าตัวได้ก็โยนลงใส่ที่นอนจนตัวเด้ง ทำเอาบรรยากาศตอนเต้นรำดีๆ เมื่อครู่กลายเป็นเหมือนความฝันไปในชั่วพริบตา ทั้งสองมองหน้ากันแล้วก็ระเบิดหัวเราะเสียงดัง เพราะตอนเต้นนั้นต่างคนต่างเก็บอาการขำกันเองสุดฤทธิ์ เกิดมาในชีวิตคงไม่มีโอกาสได้เต้นรำแบบนี้ที่ไหนอีกแล้ว

“อเวเค่น” พ่อครัวจำเป็นเรียกอีกฝ่ายแล้วเอามือตบๆ ข้างที่นอนคล้ายจะบอกให้มานอนข้างๆ กัน

“ไหนว่าจะนอนแล้วไม่ใช่เหรอ?” นักฆ่าหนุ่มดันตัวขึ้นทำท่าจะลุกออกไป แต่โดนอีกฝ่ายจับชายเสื้อไว้ซะก่อน

“คืนนี้นอนด้วยกันเถอะนะครับ” เอ่ยจุดประสงค์ที่แท้จริงที่ให้พามาส่งที่ห้องนอน ร้ายกาจ...

“ไม่ล่ะ...” หนุ่มนักฆ่าส่ายหน้าอย่างไม่ไว้ใจ ชเนย์ทำคิ้วตกปั้นหน้าเหมือนหมาหงอยใส่อีกคนที่ตอนนี้เริ่มรู้สึกผิดไปแล้ว

คนอะไรขี้โกงชะมัดยาด...

“ครับ...งั้นก็ราตรีสวัสดิ์ อ้อ! อาหารของคุณอยู่ในตู้เย็นห้องครัวนะครับ”

ชเนย์พูดตามหลังอเวเค่นที่กำลังก้าวออกจากห้อง หนุ่มผมแดงแค่หันมาหาแล้วยิ้มให้โดยไม่ได้พูดอะไรก่อนจะปิดประตูลงไป

ใกล้จะจบเรื่องแล้วสินะ...

นักฆ่าผมแดงพึมพำกับตัวเองแล้วก้าวเท้าไปยังห้องครัวเพื่อหาเสบียงใส่ท้อง แต่แจ็คพอตเหลือเกินที่บังเอิญมาเจอเจ้าของปราสาทกลางน้ำเดินมาจากอีกด้าน ทั้งคู่หยุดยืนอยู่หน้าห้องครัวพร้อมกันพอดิบพอดี

“อ้าว...ดูสิว่าใครมา” เจ้านรกเอ่ย ร่างสูงใหญ่สีขาวโพลนทั้งตัวยืนโดดเด่นท่ามกลางความมืด

ทำไมต้องมาเจอกันในเวลาแบบนี้ด้วย!

อเวเค่นที่อยากจะอยู่เงียบๆ คนเดียวแต่ดันมาเจอคนที่ไม่อยากเจอที่สุดซะงั้น แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีเค้าไอพลังสุดสะพรึงแบบเมื่อตอนเย็น แต่อเวเค่นก็ยังรู้สึกเกร็งเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายอยู่ดี เขาโค้งตัวให้แทนการแสดงความเคารพก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตามองตรงๆ โดยไม่หลบสายตา

“ถ้าท่านเจ้านรกมาหาชเนย์ล่ะก็ ตอนนี้เขาไปพักผ่อนที่ห้องแล้วล่ะครับ”

“อย่างนั้นเองหรอกเหรอ” แววตาคมกริบหรี่ตามองดวงตาสีทองที่กล้าจ้องมองโดยไม่เกรงกลัว “ขอบใจที่บอกนะ”

“มิได้ครับ” อเวเค่นโค้งให้อีกครั้งก่อนขอตัวเดินเข้าครัว

“เดี๋ยวก่อน ข้าอยากคุยอะไรด้วยนิดหน่อย” น้ำเสียงทรงอำนาจเอ่ยทักแกมบังคับให้มนุษย์ตัวจ้อยตรงหน้าหันมาเผชิญหน้ากัน

“ท่านมีเรื่องอะไรถึงอยากคุยกับคนอย่างผมหรือครับ?” นักฆ่าหนุ่มหันหน้ามาถามเจ้าของร่างสูงใหญ่

“เจ้าคิดจะให้ข้ายืนคุยกันตรงนี้รึไง?”

“ถ้างั้น...ผมว่าเราหาอะไรกินไปคุยไปมั้ยครับ เขาน่าจะเก็บส่วนของท่านไว้ให้อยู่นะ”

“เอาแบบนั้นแหละ” ร่างสูงใหญ่กล่าวแล้วเดินนำหน้าอีกคนเข้าไปนั่งข้างในครัว อเวเค่นหยิบเอาเมนูที่ชเนย์ซีลเก็บไว้ให้มาแบ่งกับเจ้านรกและนั่งกินกันคนละฝั่งของโต๊ะ

“ท่าทางสนิทสนมกันดีนะ” เจ้านรกเอ่ยทักขึ้นมา “ได้กลิ่นของเจ้านั่นจากตัวเจ้าด้วย”

พรวด!

อเวเค่นที่กำลังจะเอาแครปปูที่เพิ่งหั่นเข้าปากพลันต้องชะงักเพราะคนตรงหน้าดันจมูกดีถึงขนาดได้กลิ่นเฉพาะตัวของพ่อครัวที่ติดตัวเขาอยู่...รู้งี้ไปอาบน้ำซะก็ดี

“ครับ” โกหกไปก็ใช่จะได้ผลเลยยอมรับออกไปง่ายๆ ท่าทีสบายๆ ของปีศาจผู้สูงศักดิ์นั้นทำให้เขาอ่านไม่ออกสักนิดว่าคิดอะไรอยู่

“คิดยังไงกับเจ้านั่นล่ะ?” ดวงตาสีอ่อนผิดมนุษย์จ้องมาตรงๆ แววตาดูซุกซนต่างจากบุคลิกที่คิดไว้ตอนแรก

“ผมจะคิดยังไงมันก็คงไม่สำคัญแล้วล่ะครับ” พอนึกถึงสีหน้าท่าทางของคนถูกพูดถึงในบทสนทนาขึ้นมา นักฆ่าหนุ่มก็ฉายความเศร้าออกมาในแววตา “ท่านเองก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าความรู้สึกลึกๆ ของเขาเป็นยังไง”

“ข้ากำลังถามเจ้าอยู่ อย่าเบี่ยงประเด็นสิ” สายตาคมกริบจ้องมาราวกับกำลังจับผิด

“ครับ...” อเวเค่นยอมรับให้กับความพ่ายแพ้ต่ออีกฝ่ายที่มองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ก็สมแล้วที่มีชีวิตอยู่มานาน “ถ้าให้ตอบแบบมนุษย์ก็คงจะชอบนั่นล่ะครับ”

“หืม? ‘คงจะ’ อย่างงั้นหรือ?” เจ้าผู้ปกครองนรกทวนคำพูดกำกวมนั้น “นั่นฟังดูเหมือนไม่ได้ชอบสักเท่าไหร่เลยนะ”

“แหม...คนเรามันก็ต้องเผื่อใจไว้บ้างสิครับ จะได้ไม่เจ็บปวดมากในตอนที่สูญเสียไปแล้วจริงๆ” อเวเค่นเอ่ยสิ่งที่คิดออกมาให้เจ้านรกได้รับรู้เป็นคนแรก ขนาดกับคนบางคนเขายังไม่คิดจะบอกเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ

“ยังงี้นี่เอง” เจ้านรกยกสองขาขึ้นพาดโต๊ะตามความเคยชิน แม้จะโดนพ่อครัวสั่งห้ามเท่าไหร่ก็ยังคงทำอยู่ดี “อุตส่าห์เตือนไปแล้วแท้ๆ เชียวนะ”

ประโยคหลังฟังดูเหมือนกำลังพูดถึงบุคคลที่สามมากกว่า แถมสายตาที่ปรายไปทางอื่นทำให้รู้ว่าไม่ได้หมายถึงคนในห้องนี้

“เตือน?”

“โฮ่ วิธีพูดแบบนั้นแหละดี ข้าเบื่อคำพูดพิธีรีตอง”

ความอยากรู้ทำให้นักฆ่าผมแดงเอ่ยคำพูดออกไปห้วนๆ ด้วยวามเคยชิน แต่เจ้านรกดูท่าจะชอบเสียมากกว่า

“งั้นทางนี้ก็ขอถามอย่างไม่อ้อมค้อมบ้างนะครับ คุณสนใจในตัวเขาบ้างรึเปล่า?”

“ก็นะ...เจ้านั่นน่ะเป็นมนุษย์แสนดีช่างเอาใจใส่ที่นิสัยแปลกๆ แต่บางทีก็ซื้อบื้อสุดๆ เลยนี่นา”

คนที่กำลังเคี้ยวอาหารอยู่เต็มปากพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยทุกคำ

“ท่าทางทำใจยากน่าดูนะเจ้าน่ะ”

“คนเพิ่งผิดหวังมาก็อย่างนี้แหละครับ” มือเลื่อนไปหยิบเครื่องดื่มมาจิบหลังกลืนอาหารเพื่อให้พูดได้คล่องคอขึ้น “แต่เดี๋ยวก็ด้านชาจนลืมความเจ็บปวดไปได้เอง”

“ฟังดูพูดเข้า ยังกับคนกร้านโลก” เสียงทุ้มเปี่ยมอำนาจแค่นหัวเราะเวทนามนุษย์ตรงหน้า “เจอแค่นี้ก็ยอมแพ้ซะแล้ว ไม่คิดอยากจะลุกขึ้นมาสู้หรือทำอะไรเพื่อเอาชนะสักหน่อยรึ?”

“ถ้าเป็นเรื่องอื่นก็ไม่แน่ แต่กับเรื่องนี้สู้ไปก็แพ้เห็นๆ นี่ครับ” มือข้างหนึ่งยกมาเท้าคาง อีกมือยกแก้วค็อกเทลขึ้นมาหมุนคอแก้วเล่นไปเรื่อย

“...คิดว่าจะทำให้สนุกได้มากกว่านี้ซะอีก” เสียงทรงอำนาจหลุบโทนต่ำลงจนแทบไม่ได้ยิน อเวเค่นเงยหน้ามามองเหมือนจะถามว่าเมื่อกี้พูดอะไร

ร่างสูงใหญ่ซัดขนมจนหมดก็วางทิ้งไว้อย่างนั้นเพราะยังไงเดี๋ยวก็มีปีศาจรับใช้เข้ามาเก็บกวาดเป็นปกติก่อนมื้อเช้าอยู่ดี เจ้านรกลุกขึ้นเหมือนเป็นการบอกว่าหมดธุระแล้ว

“เรื่องของเจ้า เพราะงั้นจะทำอะไรก็แล้วแต่เจ้าละกัน” น้ำเสียงทรงพลังนั้นบ่งบอกได้ชัดว่าผิดหวังและรู้สึกเบื่อหน่ายสุดๆ “ถ้าหากเจ้าไม่คิดจะเดินหน้าทำอะไรแล้วล่ะก็ ข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาบอกให้ไคม์มันเลิกยุ่งไม่เข้าเรื่อง”

“...เรื่องแค่นี้ถึงกับต้องลงมาทำด้วยตัวเองเลยเหรอครับ?”

“ข้าไม่ได้ใจดีกับเจ้าเหมือนเจ้านั่นหรอกนะ แค่รำคาญที่คนของข้ามันชอบทำอะไรลับๆ ล่อๆ” ร่างสูงใหญ่เดินเอื่อยเฉื่อยไปที่ประตูหลังจากท้องอิ่ม

“แล้วถ้าเกิดสมมติว่าผมคิดจะทำอะไรอย่างจริงจังขึ้นมาล่ะครับ คุณจะว่ายังไง?” คนที่ยังนั่งอยู่กับโต๊ะเอ่ยถามเป็นการลองเชิง ร่างสูงใหญ่หันมาสบดวงตาสีทองคู่นั้นที่ดูมีแววเอาจริงขึ้นมาครู่หนึ่ง

“หึ...ก็ลองดูสิ แล้วข้าจะรอดูผลของความดันทุรังนั้นให้”

ร่างสูงใหญ่กล่าวทิ้งท้ายก่อนจะก้าวออกไปจากห้องครัว ปล่อยให้คนที่ยังนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองยึดห้องนั้นไว้แต่เพียงผู้เดียว

“อย่างน้อยก็ช่วยพูดว่าเป็นความพยายามมากกว่าความดันทุรังไม่ได้หรือไงนะ...” อเวเค่นลอบยิ้มให้กับคำพูดของจ้าวผู้ครองโลกแห่งความตาย

ลองดูสักตั้งจะเป็นอะไรไป แววตาที่หมดไฟไปแล้วกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขารีบจัดการกวาดอาหารของตนลงท้องจนหมดจาน แต่ก็ยังมิวายเดินไปเปิดตู้เพื่อหาอะไรใส่กระเพาะเพิ่มอีกหน่อย

ทีแรกก็คิดว่าจะยอมตัดใจง่ายๆ อยู่หรอก แต่แย่หน่อยนะ...เพราะว่าเขาดันเป็นพวกเกลียดความพ่ายแพ้เข้ากระดูกดำซะด้วยสิ