หลังจากเลี้ยงฟูลคอร์สและคืนข้าวของให้อเวเค่นไปแล้ว ชายหนุ่มผมแดงก็จะแวะมาป้วนเปี้ยนรอบๆ ตัวชเนย์แค่เฉพาะในช่วงใกล้ได้เวลาอาหาร นอกเหนือจากนั้นก็จะหายเข้ากลีบเมฆไม่โผล่หน้ามาให้เห็น แถมพอชวนเล่นเกมฆ่าเวลาก็โดนปฏิเสธอีก

เข้าใจหรอกว่าคงจะเข็ดแต่แบบนี้มันก็...

“เฮ้อ...ช่างมันเถอะ”

ถึงจะยังข้องใจอยู่ แต่ชเนย์เลือกที่จะปัดความคิดไร้สาระออกจากสมอง และอีกอย่างช่วงนี้เขาเห็นไคม์ชายผู้เป็นดั่งเลขาของท่านเจ้านรกกำลังหัวหมุนกับจำนวนคนเข้าร่วมที่ได้ไม่ถึงยอด ด้านนักแข่งคนอื่นเองถ้าไม่นับพวกที่นั่งรอนอนรอก็กำลังเตรียมตัวสำหรับหลายๆ เรื่อง

ตัวเขาเองก็ควรที่จะต้องเตรียมพร้อมออกรบบ้างแล้วสินะ ใกล้ได้เวลาบอกลางานพ่อครัวจำเป็นนี่แล้วสิ

เสียงประตูห้องครัวเปิด คนที่ก้าวเข้ามาก็ไม่ใช่ใครอื่น ชายหนุ่มผมแดงที่เขาเพิ่งบ่นไปเมื่อครู่ก้าวขามายืนหยุดอยู่ตรงหน้าเขา

“ยังไม่ถึงเวลาอาหารครับ” เอ่ยพลางพ่นควันจากยาสูบให้ลอยขึ้นจนควันค่อยๆ จางหายไปในอากาศ “แต่ถ้าของว่างล่ะก็พอจะมี...”

“ผมจะแอบเข้าไปในเกาะเซฟิลอีกครั้ง จะไปด้วยกันรึเปล่า?”

“เอ๊ะ?” ชเนย์ชะงักกึกเพราะโดนชวนกะทันหัน ก่อนนิ่งไปพักใหญ่ “เอ่อ...ที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรทำอยู่แล้ว แค่กลับมาให้ทันก่อนเวลาทำอาหารมื้อต่อไปก็พอจะปลีกตัวไปได้อยู่ ว่าแต่จะไปทำอะไรเหรอครับ?”

“เดินเล่นจะไปรึเปล่า?” อเวเค่นตอบห้วนๆ อย่างเร่งๆ ให้รีบคิด

“...ไปก็ได้ครับ”

“ถ้าจะตอบแบบนั้นก็ไม่ต้องไป”

“ไปครับไป!”

บรรยากาศแปลกๆ ทำเอาคิดไม่ออกว่าตกลงอีกฝ่ายจะยังเคืองอะไรหรือเปล่า ที่จริงก็ยังอยากเข้าข้างตัวเองอยู่ว่าคงไม่มีอะไรหรอก แต่ตอนนี้ทำได้เพียงดับไฟที่ไปป์แล้วเดินตามหลังอเวเค่นออกไปเท่านั้น

 

*

 

สภาพอากาศวันนี้แดดเปรี้ยงร้อนแรงกว่าเมื่อวันก่อนที่ชวนกันมาปล้นเหล้าจากร้านค้า ทำให้สองหนุ่มเดินได้เพียงครู่เดียวก็เริ่มเมาแดดเสียแล้ว

ชเนย์ไม่รู้จุดประสงค์ที่อเวเค่นชวนมาเดินเล่นทั้งๆ ที่น่าจะไม่อยากเข้าใกล้เขาอีกแล้ว ตั้งแต่เดินมานี่ก็ยังไม่มีคำพูดอะไรออกจากปากเจ้าตัวเลยนอกจากสบถว่าร้อนเป็นระยะ

“อยากดื่มเบียร์เย็นๆ” อเวเค่นเป็นคนเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน ทำเอาชเนย์กะพริบตาปริบ วันก่อนเพิ่งจะถูกวางยาในค็อกเทลไปหมาดๆ มาวันนี้จะหาเรื่องดื่มอีกแล้วเหรอ

“ห้ามเล่นตุกติกอีกล่ะ แค่นั่งดริงค์ด้วยกันเฉยๆ เคนะ?” คนตัวเล็กกว่าเอานิ้วชี้ใส่หน้าคนตัวสูงโปร่ง ก่อนจะเดินนำไปห่างสองช่วงตัวโดยไม่รอคำตอบจากคนเดินรั้งท้ายเลย

อเวเค่นเดินนำไปยังร้านอาหารแสนเงียบเหงาที่ยังคงเปิดบริการลูกค้าแม้แต่ในเวลานี้ เสียงกระดิ่งร้านดังขึ้นพร้อมเสียงกล่าวยินดีต้อนรับลูกค้าทั้งสองผู้มาเยือนแต่หัววัน

“สองท่านนะครับ เชิญเลือกที่นั่งได้ตามสบายเลยครับ”

อาจเพราะเป็นมนุษย์ธรรมดาทั้งคู่ จึงไม่มีใครนึกสงสัยและเข้าใจว่าเป็นเพียงนักท่องเที่ยวบนเกาะที่ไม่โดนลูกหลงจากการถูกเจ้านรกริบวิญญาณไปเป็นหลักประกัน

อเวเค่นรีบเดินจ้ำไปยังโต๊ะด้านในซึ่งเป็นที่ให้นั่งสูบบุหรี่ได้ ถึงจะไม่ค่อยมีลูกค้าแต่ร้านก็เปิดแอร์เย็นฉ่ำตัดกับสภาพอากาศยามเที่ยงด้านนอกร้านซึ่งช่วยเขาได้มากเพราะชุดสีดำที่ใส่อยู่มันทำให้ยิ่งร้อนอบอ้าวน่าดู

ชเนย์ทำตัวลีบเดินตามต้อยๆ อย่างสับสนไปหมดทุกอย่าง ไม่ใช่เพราะกลัวถูกจับได้แต่ไม่แน่ใจว่าควรจะทำตัวยังไงดี ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังวางตัวปกติได้แท้ๆ บรรยากาศร้านเงียบเหงาบวกกับแอร์เย็นสุดขั้วยิ่งทำให้เผลอนั่งตัวเกร็งกว่าเดิม

“รับอะไรดีครับ?” บริกรหนุ่มน้อยที่ดูแล้วอายุไม่น่าเกินยี่สิบเดินมายื่นเมนูให้และรอรับออร์เดอร์ด้วยท่าทีกระฉับกระเฉง ในสถานการณ์แบบนี้แต่ยังยิ้มได้นี่ไม่รู้ว่าเพราะกำลังฝืนอยู่หรือยอมรับชะตากรรมเลยปล่อยทุกอย่างเลยตามเลยกันแน่

“เอาเฟรนซ์ฟราย ปีกไก่พริกไทยดำ Sliders แล้วก็ขอไลท์เบียร์ด้วย” อเวเค่นสั่งรายการของตนก่อนจะส่งใบเมนูคืนให้บริกร โดยที่ชเนย์ยังไม่ทันจะเลือกเลยสักรายการ “คุณอยากทานอะไรก็สั่งเลย มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง”

“เอ๊ะ?” ชเนย์งงแล้วงงอีก

อะไรของคนคนนี้กันล่ะเนี่ย อยู่ๆ ก็ชวนมาเดินเล่น แล้วนี่ก็เข้าร้านฝั่งศัตรูมาหาอะไรกิน หรือว่าจะเบื่ออาหารที่เขาทำแล้วงั้นเหรอ?

อเวเค่นให้บริกรหนุ่มน้อยออกไปก่อน เขากอดอกและมองหน้าชเนย์ที่ยังสับสนอยู่

“คุณควรจะพักสักหน่อยนะ เป็นผู้เข้าร่วมการแข่งขันไม่ใช่ขี้ข้าของเจ้านรก จะขลุกอยู่แต่ในก้นครัวทั้งวันทั้งคืนเลยรึไง?”

“อ้อ เรื่องนั้น...จริงๆ มันมีที่มาที่ไป” ชเนย์ยิ้มแห้งให้ “คือ...เรื่องมันก็ไม่ได้ยาวหรอกครับ แต่ผมขอไม่เล่าดีกว่า”

จะบอกยังไงดีล่ะว่าที่มาแข่งนี่ก็เพราะหลงผู้ชาย แถมยังมีโอกาสได้ทำคะแนนเลยยอมเหนื่อยอยู่แบบนี้ ถึงจะชอบทำอาหารเพราะเวลาอยู่บ้านกับน้องสาวเขามักเป็นคนทำกับข้าวอยู่แล้ว แต่การต้องทำของคาวหวานในปริมาณมากตลอดสามมื้อทุกวันแถมต่อเนื่องแบบนี้ใช่จะเคยทำที่ไหน แถมแต่ละคนก็กระเพาะหลุมดำสมเป็นปีศาจ วัตถุดิบที่เคยเต็มตู้ตอนนี้พร่องลงอย่างรวดเร็ว

“ก็พอจะเดาเหตุผลออกอยู่หรอก เล่นจ้องไม่วางตาซะขนาดนั้น” อเวเค่นหรี่ตามองเอือมๆ

ชเนย์ก้มหน้าลงไปมองเมนูแทบจะติดกับโต๊ะ รู้สึกอายเล็กน้อยที่ตนไม่เก็บอาการให้ดีจนคนอื่นเขาดูออกกันง่ายดายขนาดนี้ เขาตัดสินใจเลือกเมนูอย่างว่องไวและกวักมือเรียกบริกรออกมารับออร์เดอร์

“ขออาซาฮี ซูเปอร์ดรายครับ”

“ไม่สั่งของทานเล่นหน่อยรึ?” เจ้ามือถาม แต่คนสั่งก็ไม่เอาอะไรเพิ่มเติม จากความเงียบที่น่าอึดอัดในคราแรกเริ่มกลายเป็นความรู้สึกสงบเสียดื้อๆ หรืออาจเป็นเพราะว่าอากาศร้อนจนเหนื่อยเกินไปเลยเริ่มขี้เกียจมานั่งคิดให้เปลืองพื้นที่สมองก็เป็นได้

ความเงียบงันระหว่างทั้งคู่ผ่านไปไม่นานนักเมื่ออาหารถูกนำมาเสิร์ฟในเวลาอันรวดเร็วเพราะเป็นลูกค้าไม่กี่คนในร้านอยู่แล้ว ชเนย์นั่งจิบเบียร์ไปพลางๆ ส่วนอเวเค่นก็ก้มหน้าก้มตาทานอาหารของตน ทั้งสองไม่ค่อยได้คุยกันมากเท่าไหร่นักโดยเฉพาะเวลาที่บริกรเดินมาทำความสะอาดโต๊ะข้างๆ หรือมีลูกค้าใหม่มานั่งอยู่ในระยะที่จะได้ยินบทสนทนาของพวกเขา

“ไหนๆ คุณก็รู้เหตุผลของผมแล้ว คุณพอจะบอกผมได้มั้ยว่าทำไมถึงมาลงแข่งงานนี้?” ชเนย์เอียงคอถามเมื่อไม่มีใครอยู่ในระยะที่เสียงของเขาจะไปเข้าหูได้

ดวงตาสีทองหรี่มองไปรอบๆ เขาหยิบกระดาษและปากกาที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของตนออกมาขีดเขียนอะไรบางอย่าง ชเนย์เดาเอาว่าอเวเค่นคงไม่อยากพูดมันออกมาให้คนในร้านได้ยินเป็นแน่ และเมื่อเขียนเสร็จก็ยื่นกระดาษให้เขาอ่านมัน

“Life or Death?” ชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามถอดแว่นกันแดดออกเผื่อตนจะอ่านไม่ชัดและใส่กลับเข้าไปใหม่ คำใบ้เหรอ? หรือเกมทายปัญหา?

“เป็นคุณ คุณจะเลือกอะไรระหว่างสองอย่างนี้?”

จะมีชีวิตอยู่หรือเลือกความตาย

อเวเค่นตั้งคำถามและให้คนตรงหน้าลองเลือกดู ชเนย์เลื่อนสายตามองคำสองคำนี้สลับกันช้าๆ

“ถ้าเป็นตอนนี้...ผมขอเลือกใช้ชีวิตละกันครับ” รอยยิ้มจางผิดปกติเจือบนใบหน้า นานหลายปีแล้วที่เขาไม่ได้คุยเรื่องพวกนี้กับคนอื่น “แล้วคุณล่ะ?”

“ตรงกันข้ามกับผมเลยนะ” อเวเค่นวงกลมที่คำว่า Death เป็นการยืนยันคำตอบของเขา แต่สิ่งนี้ก็ยังไม่คลายความกังขาให้กับชเนย์อยู่ดี

“ทำไมถึงเลือกความตายล่ะครับ?”

อเวเค่นถอนหายใจกับความคะยั้นคะยอนี้ เขาหยิบน้ำขึ้นมาจิบก่อนจะชั่งใจว่าสมควรพูดออกไปหรือไม่ ทว่าเสียงที่กำลังจะเอ่ยก็หยุดชะงักไปและตะโกนให้คนตรงหน้าหมอบลง

“เอ๋??” ยังไม่ทันจะเข้าใจเรื่องราวอะไร อีกคนก็คว้าส้อมในจานขว้างไปเสียบเข้าที่มือของบริกรหนุ่มที่ถือมีดพุ่งเข้ามาหมายจะแทงข้างหลังชเนย์ เสียงกรีดร้องเพราะความเจ็บปวดของบริกรคนนั้นเรียกความสนใจจากผู้คนเพียงน้อยนิดในร้านได้ง่ายๆ

“พวกมันเป็นคนของเจ้านรก!!” เสียงตะโกนของเหล่าคนครัวจากประตูหลังร้านดังขึ้นมา เพียงเท่านั้นสายตาของลูกค้าคนอื่นก็เปลี่ยนจากความฉงนเป็นทั้งความหวาดกลัว โกรธแค้น และอีกหลากหลายความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้

“ขอกินอาหารสบายๆ ไม่ได้รึไงนะ” อเวเค่นหยิบปืนของตนออกมาจากเสื้อ แต่ถูกมือของชเนย์จับรั้งไว้เสียก่อน “หือ?”

“ช่วยอมนี่ไว้ก่อนครับ”

ร่างสูงยื่นลูกอมเม็ดหนึ่งมาให้ แม้จะไม่เข้าใจเหตุผลแต่อเวเค่นก็รับมาอมไว้ในปากแต่โดยดี ทันทีที่ลูกอมรสฝาดเข้าปาก จู่ๆ ก็มีเสียงประหลาดดังมาจากข้างๆ ปลอกแขนด้านซ้ายของชเนย์ทำการพ่นควันจำนวนมากออกมารวดเร็ว เวลาเพียงอึดใจเดียวก็คลุ้งไปทั่วร้านอาหาร ร่างของผู้คนทั้งที่พยายามพุ่งมาทำร้ายหรือพยายามจะหลบหนีต่างล้มลงหมดสติในทันที

“ยาสลบ?” ชายหนุ่มผมแดงรู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นที่ผสมอยู่ในควันพวกนี้เป็นอย่างดี ก่อนชเนย์จะลากอเวเค่นออกไปที่ประตูข้างหลังร้านเพื่อหลบสายตาคน

“โดนจำหน้าได้แบบนี้ สงสัยคงต้องกลับไปกินอาหารฝีมือผมต่อแล้วล่ะ” ชเนย์เล่นมุกพลางยิ้มให้แม้จะอยู่ในระหว่างหลบฉากหนี มือยังวุ่นอยู่กับการเติมเม็ดยาลงไปในปลอกแขนเพื่อปล่อยแก๊สยาสลบต่อเนื่องไปตลอดทาง

“ไม่เห็นเป็นไรนี่” ยังไงซะอาหารของคุณก็ดีกว่าอยู่แล้ว

ประโยคถัดมาถูกกลืนกลับลงคอไปอย่างไม่มีเหตุผล แต่ชเนย์ก็สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายอ้าปากค้างไว้ราวกับจะพูดอะไรต่อ

“แบบนี้ไม่ถือว่าเราชักดาบสินะ” อเวเค่นพูดติดตลก ส่วนชเนย์แอบขำนิดๆ

“ก็ชักดาบจริงๆ นั่นแหละ แต่ถ้าคุณไม่ไหวตัวทันซะก่อนผมคงโดนเล่นงานไปแล้ว” ร่างสูงโปร่งค้อมหัวเล็กน้อยแทนการขอบคุณ “ครั้งนี้ผมติดหนี้คุณแล้วนะ”

“เรื่องแค่นี้ผมไม่ถือเป็นบุญคุณหรอก” แล้วชายหนุ่มผมแดงก็ชวนให้ออกไปจากที่นี่ก่อนจะมีใครไปตามคนอื่นมาช่วยจนเรื่องวุ่นวายไปกันใหญ่ “สงสัยถ้าจะแอบมาคราวหน้าคงต้องปลอมตัวสักหน่อยแล้วล่ะ”

“ยังคิดจะมาอีกเหรอครับ? ไม่เข็ดเลยจริงๆ นะ”

“สำหรับผม การฆ่าและโดนตามฆ่ามันเป็นเรื่องปกติออกจะตาย” อเวเค่นคายเม็ดยาที่อมไว้ทิ้งเพราะรสชาติฝืดขมจนกลืนไม่ลง “ยังไม่เคยบอกสินะว่าผมน่ะทำอาชีพรับจ้างฆ่าคน”

“แย่จังนะครับ ท่าทางจะลำบากน่าดู” ชเนย์คิดภาพการใช้ชีวิตแบบนั้นไม่ออกเลยสักนิด “ปกติผมเป็นแค่แพทย์สนามเท่านั้นแหละครับ ไม่เคยถูกใครตามฆ่าหรอก”

“แพทย์สนาม? หมายความว่าเคยเป็นทหารมาก่อน?” อเวเค่นเหล่มองปลอกแขนอีกฝ่ายที่คงจะเป็นอาวุธของเจ้าตัว ทีแรกคิดว่าเป็นอุปกรณ์แขนกลเอาไว้ใช้ต่อยตี แต่มันกลับพ้นแก๊สยาสลบได้ด้วย

“อันนี้ผมทำขึ้นมาเฉพาะใช้ในการแข่งนี้น่ะ วิธีใช้งานก็เหมือนที่คุณเห็นไปเมื่อกี้ หรือจะทำลูกบอลระเบิดก็ได้ด้วยนะครับ แล้วนอกจากนี้ในกระเป๋าของผมยังมียาถอนพิษแบบฉุกเฉิน...” พอได้เริ่มพูดอวดผลงานก็เริ่มจะติดลมไปกันใหญ่

“คุณก็เคยฆ่าคนสินะ?” ตอนแรกหลงคิดว่าคงเป็นพ่อครัวที่พอมีฝีมือต่อสู้นิดหน่อยและยังไม่เคยทำให้มือตัวเองเปื้อนเลือดซะอีก

“...อยู่ในสนามรบบางทีมันก็จำเป็นน่ะครับ” ชเนย์เสียงเบาลง ต่อให้เป็นแพทย์สนามที่คอยรักษาพวกพ้องที่บาดเจ็บอยู่แนวหลัง แต่เวลาอยู่ในสมรภูมิที่แสนชุลมุนใช่ว่าศัตรูจะละเว้นคนที่อยู่หน่วยพยาบาล เผลอๆ ยังถูกเพ่งเล็งโดนสั่งเก็บเป็นหน่วยแรกๆ อีกต่างหาก

“ถ้าเกิดเปลี่ยนใจอยากจะถอนตัวจากการแข่งล่ะก็ตอนนี้ยังทันนะ” ชายหนุ่มนักฆ่าให้คำแนะนำ “แต่ผมคิดว่ายังไงๆ คุณก็คงไม่ฟังหรอก”

“คุณเองก็ไม่คิดจะถอยหลังกลับเหมือนกันสินะครับ” อดีตแพทย์สนามถามอีกฝ่ายกลับไป

“แน่นอน ผมไม่มีทางหันหลังกลับได้อีกแล้ว มีแต่ต้องเดินหน้าสู้ตายเท่านั้น” อเวเค่นยิ้มปลง ซึ่งไม่ใช่รอยยิ้มกวนที่เห็นอย่างทุกที พอเห็นชเนย์จ้องมองเขาก็หันหน้าหลบไปอีกทาง

“คุณคงไม่ได้คิดจะมาหาที่ตายใช่มั้ย?” ชเนย์ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลงชัดเจน แต่ก็ไม่มีคำตอบใดๆ จากปากอเวเค่น เจ้าตัวยังมองไปทางอื่นเพื่อหลบตาเขาอยู่ “ความจริงแล้ว...ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะเลือกความตายครับ”

ชเนย์ทำเป็นเบือนหน้าหันไปสำรวจรอบๆ

“แต่ตอนนี้ผมยังตายไม่ได้...เพราะว่ายังมีเรื่องที่ต้องทำอยู่น่ะ”

“เรื่องอะไรล่ะ? เผื่อว่าคุณตายก่อนแล้วผมดันโชคดีอยู่รอดอาจจะช่วยสานต่อให้” อเวเค่นถามกวนและลองเชิง

“ขอบคุณครับ แต่เรื่องนี้ผมคงต้องทำเองน่ะ ฝากคนอื่นให้ทำแทนไม่ได้หรอก...” ชเนย์ไม่แน่ใจว่าทางนั้นพูดจริงหรือหลอก แต่บรรยากาศรอบตัวคนคนนี้ไม่น่าอึดอัดยากที่จะเข้าใกล้เหมือนที่ผ่านมาแล้ว

“เป็นคำสั่งเสียงั้นเหรอ?”

“...เดาแม่นจังเลยนะครับ” ชักสงสัยแล้วว่านักฆ่าคนนี้มีพลังอ่านใจ หรือว่าเขาอ่านง่ายเกินไปจนเดาได้ไม่ยากกัน

ชเนย์ค้อมศีรษะพลันยิ้มอ่อนโยนให้ แต่ดวงตาที่ไร้แว่นสีดำบดบังนั้นไม่ได้มีแววอ่อนโยนใดๆ ออกมาเหมือนกับรอยยิ้มนั่น

“คนที่ผมรักที่สุดเค้าบอกให้ผมออกไปใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการและค้นหาความสุขของตัวเอง....”

อเวเค่นนิ่งเงียบปล่อยให้คนข้างๆ เล่าต่อไป

“แต่ว่าแย่หน่อย จนป่านนี้แล้วผมยังหาความสุขที่ว่านั่นไม่เจอเลย” ชเนย์ยักไหล่เหมือนกำลังพูดเรื่องไม่สลักสำคัญ “ถ้าขืนผมตายตอนนี้ล่ะก็ตอนไปเจอกันอีกครั้งในปรโลก มีหวังคงถูกด่าจนกว่าจะไปเกิดใหม่แหงๆ”

“ถึงคุณจะหาความสุขของตัวเองเจอแต่มันก็อยู่กับคุณได้ไม่นานหรอก เพราะสุดท้ายความทุกข์ก็จะมาพรากมันไปจากคุณอยู่ดี” ฟังดูใจร้าย แต่เขาก็พูดจริงทุกอย่าง

“มันก็อาจจะจริงอย่างที่คุณพูด แต่ผมก็อยากจะหามันให้เจอก่อนที่ตัวเองจะต้องตายไปทั้งๆ ที่ยังไม่รู้จักกับความสุขที่แท้จริง”

อเวเค่นสบตาชเนย์ เขาอยากจะพูดแย้งสิ่งที่อีกฝ่ายพูดอย่างสวยหรูว่ามันแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะโลกใบนี้มันโหดร้าย ไม่มีทางที่คนเราจะได้พบกับความสุขที่ยั่งยืนตลอดไป

แต่ว่า…

“งั้นผมก็ขอให้คุณหามันเจอก่อนจะตายในการแข่งนี้แล้วกันนะ” อเวเค่นพูดเพียงแค่นั้น แม้จะรู้สึกว่าเป็นคำพูดที่ไม่เหมาะกับนักฆ่าที่ได้แต่พรากชีวิตและความสุขของคนอื่นเอาซะเลย

“ฮะๆ ขอบคุณนะครับ” ชเนย์หัวเราะแห้งในลำคอ ถึงจะพูดจามองโลกในแง่ดีไปแบบนั้น แต่เขาก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าตัวเองตัดใจเรื่องที่จะตามหาความสุขหลังจากสูญเสียคนที่รักที่สุดไปนานแล้ว ที่ยังทนมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้นี่เพราะอะไรก็ยังไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะยังไม่อยากตาย ยังมีห่วงเรื่องน้องสาว หรือบางทีมันอาจจะไม่มีเหตุผลที่ฟังขึ้นสักอย่างเลยก็ได้

พอคิดเช่นนั้น ดวงตาหม่นหมองกลับเจือด้วยความเศร้าเล็กๆ ทั้งที่ไม่เคยคิดจะแสดงออกมาต่อหน้าใครแท้ๆ

แสงอาทิตย์อ่อนกำลังลงจากเมฆที่ลอยเอื่อยมาตามแรงลม ทำให้เกิดเงาปกคลุมทั่วทั้งเกาะ ชั่วขณะที่แสงตะวันลดลงนิดหน่อยแต่ก็มากพอที่จะทำให้ผู้บุกรุกทั้งสองได้อาศัยเร้นกายหลบหนีจากการถูกพบตัว

“รีบไปก่อนที่ฝนจะตกดีกว่า” จมูกของชายหนุ่มนักฆ่าได้กลิ่นฝนลอยมากับแรงลม เมฆครึ้มลอยจากฝั่งทะเลเคลื่อนตัวเข้ามา สภาพอากาศแบบนี้คาดว่าอีกไม่นานฝนคงตกแน่นอน หากไม่รีบกลับตอนนี้คลื่นลมในทะเลอาจแรงขึ้นจนพวกเขากลับปราสาทเจ้านรกไม่ทันเวลาและต้องติดอยู่ที่เกาะนี่จนกว่าพายุจะสงบแน่นอน

แต่เสียงฝีเท้าที่วิ่งตามมาด้วยกลับหยุดลงไป ทำให้อเวเค่นต้องหันกลับมาหา

“ชเนย์?” เมื่อถูกเรียกชื่อ อีกคนก็ก้าวเท้าเข้ามาใกล้

...ใกล้เกินไป

“เฮ้...”

“ขอโทษนะครับ...” ชายหนุ่มผมเงินแนบหน้าผากลงไปกับหน้าผากอีกคน แต่มือทั้งสองข้างหรืออวัยวะส่วนใดๆ ของลำตัวไม่ได้แตะต้องอเวเค่นเลยสักนิด “ขออยู่แบบนี้สักพัก...”

“คิดจะทำอะไร?” กลุ่มก้อนความไม่ไว้ใจเริ่มก่อตัวขึ้นในใจอีกครา แต่เมื่อเห็นความเศร้าลึกๆ ในดวงตาอีกคนทำเอาความคิดแง่ลบทุกอย่างหยุดชะงัก ชเนย์เองก็รู้ตัวว่าเผลอให้อีกคนเห็นด้านอ่อนแอซึ่งไม่สมควรแสดงออกมาจึงหลับตาลงเสีย

“แปลกนะ พอได้อยู่แบบนี้แล้วผมกลับรู้สึกสงบอย่างประหลาด”

“แต่ถ้าอยู่แบบนี้จะกลับไปไม่ทันนะ”

“...ผมขอแค่แป๊บเดียว” น้ำเสียงอ้อนวอนอ่อนแรงเอ่ยต่อคนที่ถูกใช้เป็นที่พักใจเป็นครั้งแรก “นะครับ...”