“อรุณสวัสดิ์คร้าบบบ”

ชเนย์โผล่พรวดเข้ามาเซอร์ไพรซ์ถึงในห้องนอนของเจ้านรกด้วยเสียงสดใสพร้อมกับร่างของเจ้าตัวที่โจนทะยานสู่เตียงกว้างอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่จะได้เข้าไปเฉียดปลายเตียงก็ต้องชะงักเพราะความเจ็บปวดที่แล่นออกมาจากช่วงอกและลำตัว

“ใครอนุญาตให้เข้ามาในนี้วะ!?” คนถูกปลุกตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่โผล่ขึ้นขอบฟ้าตะเบ็งเสียงถาม เจ้านรกยันตัวขึ้นมาจากเตียงเชื่องช้าผิดกับน้ำเสียงที่ดูเหมือนตื่นเต็มที่แล้วขณะมองผู้บุกรุกกระอักเลือดทรุดลงกับพื้น

“โอ๊ะ...” พอชเนย์ก้มหน้าลงมองหาสาเหตุก็พบว่ามีหินผลึกแหลมคมขนาดเท่าดาวกระจายจำนวนมากปักอยู่ตามตัว ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นฝ่ายที่โดนทำเซอร์ไพรซ์เสียเอง

“ต้องขออภัยที่เข้ามารบกวนท่านด้วยครับ ข้าเป็นคนพาเขาเข้ามาในนี้เอง” ไคม์พูดเพื่อไม่ให้นายเหนือหัวลงมือทำอะไรมนุษย์ตัวจ้อยไปมากกว่านี้ “ข้าบอกให้เขาทำอาหารว่างรองท้องให้ท่านก่อนมื้อเช้าและให้เอาเข้ามาเสิร์ฟในห้องด้วย”

“อะไรน่ะ?”

“หืม? มนุษย์เหรอ?”

น้ำเสียงนุ่มหลากหลายโทนเซ็งแซ่ขึ้นมาท่ามกลางความวุ่นวาย ร่างอรชรหลายตนค่อยๆ ปรากฏตัวออกมาจากม่านบางเบาที่ซ้อนทับเพื่อซ่อนเร้นตัวตนจากแสงยามอรุณรุ่ง

“ว้าว! มนุษย์ล่ะ! น่ากินจังเลย”

“เจ้านี่ไม่ใช่อาหาร พวกเจ้าออกไปซะ”

เจ้านรกสั่งเมื่อเห็นเหล่าปีศาจสาวเริ่มเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ชเนย์ที่นอนจมกองเลือดหอบหายใจรวยริน เหล่าสาวน้อยสาวใหญ่ที่เล่นสนุกด้วยกันจนถึงก่อนที่มนุษย์จะเข้ามาจึงตัดใจจากเหยื่อและค่อยๆ จางหายไปราวอากาศธาตุด้วยใบหน้าสุดเสียดายที่พลาดโอกาสลิ้มรสเลือดเนื้อสดๆ ของมนุษย์ จากนั้นมือหนาก็วาดวงเวทย์บนอากาศไปมาสองสามทีไปทางร่างของชเนย์ ทันใดนั้นหินผลึกที่ฝังอยู่ก็สลายหายไปและบาดแผลก็สมานตัวปิดสนิทอย่างรวดเร็ว ชเนย์พยุงตัวเองขึ้นมาช้าๆ เพราะไม่มั่นใจว่าบาดแผลหายสนิทแล้วจริงๆ ก่อนจะเอามือลูบไปตามร่างกาย

“ว้าว! นี่ผมตายไปอีกรอบแล้วสินะ” พอมั่นใจว่าร่างกายกลับมาเป็นปกติแล้วชเนย์ก็กลับมาเริงร่าน่าถีบเช่นเดิม

เจ้านรกเริ่มจะเอือมระอากับความไม่กลัวตายของมนุษย์เพียงคนเดียวในห้องจึงหันไปสนใจอาหารที่เอามาเสิร์ฟแทน “ไอ้นี่มันอะไร?”

“ซุปปลาน้ำใสครับ เหมาะกับการเริ่มต้นเช้าวันใหม่แถมยังมีประโยชน์กับสุขภาพด้วยนะครับ”

ไคม์ซึ่งกำลังทำหน้าที่จัดแจงตักซุปลงถ้วยเงียบๆ คอยสังเกตท่าทีของทั้งสองคน

“เจ้าคิดว่าปีศาจอย่างข้ายังต้องห่วงเรื่องนั้นอีกเรอะ?”

“อย่างน้อยๆ ก็ทางกายภาพไงครับ”

“ท่าจะบ้า” เจ้านรกรับถ้วยซุปจากไคม์ แต่สายตายังคงมองมาที่ชเนย์ด้วยระคนสงสัยว่าระบบความคิดของอีกฝ่ายทำงานยังไงกันแน่ “ทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จแล้วก็รีบๆ ออกไปซะ”

“ครับผม” เมื่อเห็นว่าไม่มีคำติชมเกี่ยวกับอาหารของเขา ชเนย์ก็จ้ำเท้าเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้สองปีศาจอยู่กันเพียงลำพัง

“เป็นคนดีกว่าที่คิดนะครับ” ไคม์เปิดปากสนทนาทำลายความเงียบ

“งี่เง่าน่ะสิไม่ว่า มีอย่างที่ไหนดันทะลึ่งโผล่พรวดเข้ามาไม่ดูตาม้าตาเรือ”

“นั่นก็เพราะว่าเขาไม่ได้สนใจอะไรเลยนอกจากท่านยังไงล่ะครับ”

เจ้านรกขมวดคิ้วสงสัยในคำพูดของปีศาจเลขา พอคนถูกจ้องรับรู้ได้ว่าโดนมองก็เลื่อนสายตาไปรอบๆ ห้องคล้ายจะบอกเป็นนัยๆ ว่าให้ลองหันไปมองรอบตัว

ดวงตาสีอ่อนมองตามสายตาของมือขวาไปทั่วห้อง แม้จะเป็นเพียงปราสาทที่สร้างขึ้นชั่วคราวแต่ของทุกชิ้นที่นำมาประดับประดาตกแต่งล้วนเป็นงานศิลป์เลอค่าน่าหลงใหลที่ศิลปินคนไหนได้เห็นก็ล้วนต้องหลั่งน้ำตา อีกทั้งของล้ำค่าหายากมากมายที่มีราคาล่อตาล่อใจทั้งสิ้น

“นั่นแหละ…มันก็แค่โง่เท่านั้น” เจ้านรกว่าพลางยกถ้วยซุปขึ้นกระดก ทั้งที่เจ้ามนุษย์ผู้นั้นก็ดูไม่ใช่คนไร้สมอง แต่บางครั้งก็รู้สึกเหมือนว่ากำลังทำตัวบ้าบอกลบเกลื่อนอะไรบางอย่างอยู่

 

*

 

ในเช้าวันเดียวกันนั้นเอง หายนะก็ได้มาเยือนพ่อครัวเฉพาะกิจ

ชเนย์ยืนนิ่งเป็นตอไม้อยู่หน้าห้องครัวของปราสาทที่เขาแทบจะยึดไว้เป็นพื้นที่ส่วนตัว สายตาหยุดนิ่งขณะมองโต๊ะที่ ‘เคยมี’ อาหารเช้าวางเรียงรายอยู่ ซึ่งบัดนี้ทุกจานล้วน ‘ว่างเปล่า’ ทั้งๆ ที่ใกล้จะได้เวลาเสิร์ฟมื้อเช้าแล้ว

ดวงตาภายใต้แว่นกันแดดหันไปมองต้นตอที่ทำให้อาหารเช้าที่ตนเพิ่งทำเสร็จไปก่อนเดินไปเสิร์ฟอาหารว่างให้เจ้าของปราสาทหมาดๆ หายไปหมด ก่อนจะพบกับบุคคลซึ่งกำลังดื่มด่ำกับกาแฟหลังอาหารหันหน้ามาทางเขาพร้อมกับเอ่ยทักทายด้วยสีหน้าอิ่มเอม

“สวัสดี ขอบคุณสำหรับอาหารเช้านะ” ชายหนุ่มปริศนาทักทายแล้ววางแก้วไว้ที่อ่างล้างจานก่อนทำท่าจะเดินออกจากครัวเหมือนเดินออกจากร้านอาหารทั้งๆ ที่ยังไม่ได้จ่ายเงิน

“สวัสดีครับ” ชเนย์เอื้อมมือไปคว้าคอเสื้อคนตัวเล็กกว่าไว้ไม่ให้เดินหนีหรือหายวับออกไป ก่อนหันหน้ามาหาพร้อมพยายามปั้นยิ้มที่ดูก็รู้ว่าฝืน “ไม่ทราบว่าคุณแมวขโมยสนใจไปรับโทษด้วยกันมั้ยครับ?”

พ่อครัวที่งานเข้าแต่เช้าเพ่งมองว่าคนตรงหน้าใช่มนุษย์แน่หรือเปล่า เพราะเท่าที่ดูแล้วชายหนุ่มผมสีแดงซึ่งมีดวงตาสีทองแวววาวน่ากลัวนั้นมีรูปร่างหน้าตาดูเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง มือขวาของเจ้านรกอย่างไคม์เองก็เหมือนมนุษย์มากเช่นกันแต่รายนั้นมีหูยาวแหลมเหมือนเอลฟ์และเขาก็สัมผัสได้ถึงเค้าไอพลังเวทย์เฉพาะตัวของเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่ชายหนุ่มที่ตัวสูงน้อยกว่าเขานั้นดูไม่มีอะไรอย่างนั้นเลย

“หมายถึงผม?” ชายหนุ่มเอียงคอนิดหนึ่งแถมทำหน้าไม่รู้เรื่อง ชเนย์รู้สึกเหมือนโดนกวนส้นแต่เช้า

“คือ...คุณไม่ควรกินอาหารที่ไม่รู้ว่าเป็นของของใครนะครับ” คนเทศน์ทำหน้าจริงจังแม้จะมีแว่นดำบดบัง แถมเปลี่ยนจากคว้าคอมาเป็นจับบ่าอีกคนและบีบแน่น “แล้วยิ่งเป็นที่แบบนี้ด้วย ไม่คิดบ้างเหรอว่าอาจจะมีใครแอบใส่ยาพิษเอาไว้ในอาหารก็ได้นะครับ”

“เพราะแบบนั้นผมเลยอาสาเป็นหนูทดลองทดสอบพิษในอาหารพวกนั้นให้ไง แต่ผมคิดว่าคุณคงไม่กล้าใส่ของพรรค์นั้นลงในอาหารของพวกท่านเจ้านรกกับเหล่าผู้บัญชาการปีศาจหรอกมั้ง”

ทั้งรอยยิ้มและคำพูดที่เอ่ยออกมาทำให้ชเนย์จับไต๋ได้ทันทีว่าผู้ชายที่ตรงหน้ารู้เรื่องที่เขามาเป็นพ่อครัวที่นี่อยู่แล้ว แต่ทั้งอย่างนั้นก็ยังกล้าบุกเข้ามากินซะเรียบ มือที่จับบ่าจึงบีบแน่นกว่าเดิม

“รู้ทั้งรู้ว่าอาหารพวกนั้นเป็นของใครแต่คุณก็ยังเอาชีวิตไปเสี่ยงเนี่ยนะ ถ้าคนอื่นรู้เข้าคุณจะถูกฆ่าเอาได้นะครับ”

“ก็ยังดีกว่าหิวตายล่ะนะ คุณผิดเองที่ไม่อยู่เฝ้าอาหารนี่นา”

หมดคำจะเถียงสู้ด้วยแล้ว สุดท้ายชเนย์ก็ยอมปล่อยมือแต่โดยดีเพราะไม่คิดอยากจะเสียเวลามาต่อล้อต่อเถียง เขารีบเดินจ้ำไปเปิดตู้เช็กวัตถุดิบเพื่อหาวิธีเสกเมนูอาหารเช้าจานใหม่ออกมาแทน

“พอร์คชอปซอสเห็ด พิซซ่าถ้วย พาสต้าครีมแซลมอน...” ชเนย์เริ่มร่ายเมนูที่สามารถทำได้ทันในเวลาอันสั้นออกมา ซึ่งเขาไม่ได้อยากจะทำของพวกนี้สักเท่าไหร่ แต่ในเมื่อมีเวลาจำกัดก็ต้องแข่งกับเวลาเท่าที่มี

เมื่อหยิบจำนวนวัตถุดิบออกมาตามจำนวนผู้รอรับประทานอยู่พ่อครัวก็ชะงักไปครู่หนึ่ง

“...เมื่อกี้คุณพูดว่าดีกว่าหิวตาย แล้วอาหารในส่วนของอาสาสมัครผู้เข้าร่วมมีไม่พอรึไงครับ?” ชเนย์ถามเพราะว่าเขาไม่รู้เรื่องนั้นจริงๆ ทางนี้เองก็ยุ่งกับงานในครัวตลอดทั้งวันเลยไม่ได้ไปเห็นว่าสภาพปากท้องของคนอื่นเป็นยังไงกันบ้าง

เลวร้ายสุดๆ เลยล่ะ ชายหนุ่มผมแดงตอบในใจและเลือกที่จะเงียบไว้

“อาหารน่ะมีแต่รสชาติก็แค่พอกินได้” คนที่ถูกปล่อยเป็นอิสระกระชับปกเสื้อให้เข้าที่ แล้วยังไม่วายแอบเด็ดองุ่นในตะกร้าผลไม้ใส่เข้าปากไปอีกสองสามลูก

“หาที่นี่เจอได้ยังไงครับ?” พ่อครัวเฉพาะกิจหันไปถามคนที่ไม่รู้สึกผิดก่อนหยิบนู่นนี่มาล้างหั่นด้วยความเร็วสลับกับมองนาฬิกาพกของตนอยู่หลายครั้ง

“บังเอิญว่าผมได้กลิ่นของน่าอร่อยลอยมาก็เลยเดินตามกลิ่นนั้นมาเรื่อยๆ พอเห็นอาหารของคุณก็เลยถือโอกาสชิมไปนิดหน่อย”

“...คุณจะเอาอีกสักจานมั้ยครับ?” ชเนย์หันมาถามชายผมแดงที่ยังเล็มผลไม้ในตะกร้าต่อไป

“อืม...งั้นขอผมด้วยก็แล้วกัน”

อีกคนก็เอ่ยราวกับลูกค้าที่เข้ามาสั่งอาหารจากเชฟในภัตตาคาร ก่อนจะหันไปยกเก้าอี้ที่อยู่ในครัวมานั่งรอ และไม่รอเปล่ายังหันหน้าไปหาอีกฝ่ายที่กำลังง่วนกับการทำเมนูอาหารเช้าจานใหม่คุยฆ่าเวลา

“แล้วนี่ตกลงคุณมาสมัครเป็นผู้เข้าแข่งขันหรือว่าพ่อครัวกันแน่?”

“รู้จักผมด้วยเหรอ?” สายตาของชเนย์เหล่มองผ่านไหล่ไปหาอีกฝ่ายเป็นระยะเพื่อไม่ให้ผู้บุกรุกหยิบวัตถุดิบที่ยังไม่ได้ปรุงเข้าปากไป

“ก็คุณเป็นมนุษย์ไม่กี่คนในปราสาทนี้เหมือนกับผม” อีกฝ่ายอธิบาย

ที่จริงแล้วชเนย์เองก็พอจะจำได้ว่านอกจากตัวเองแล้วยังมีผู้เข้าแข่งขันที่เป็นมนุษย์คนอื่นเช่นเดียวกัน แต่เพราะเขาเอาแต่หมกตัวอยู่ในครัวแบบนี้ แถมยังพยายามไม่ทำตัวเด่นสะดุดตาอะไรก็เลยคิดว่าไม่น่าจะมีใครจำได้

“ว่าแต่กินไปตั้งขนาดนั้นยังจะกินต่อได้อีก หิวโหยมาจากไหนล่ะครับ?” พ่อครัวยังคงคุยกับคนที่เพิ่งสร้างปัญหาระดับคอขาดบาดตายให้แก่ตนได้เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

“ผมจะเอาไปเก็บไว้กินมื้อเที่ยง”

นี่หรือว่าอาหารของผู้เข้าแข่งขันจะแย่มากจริงๆ ถึงขนาดที่ไม่อยากกลับไปกินของทางนั้นอีกเลยกันนะ? พ่อครัวพึมพำเบาๆ แต่รอยยิ้มจางบนใบหน้าบ่งบอกได้ว่าเขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าแมวขนแดงถึงได้ซัดเรียบขนาดนี้

“ชเนย์ เจอร์น็อตครับ”

อีกฝ่ายเลิกคิ้วที่อยู่ๆ พ่อครัวหนุ่มก็แนะนำตัว ถึงอยากจะพูดกวนประสาทกลับไปว่า ‘ใครถาม?’ แต่เพราะเป็นคนทำมื้อเช้าแสนถูกปากให้ทานจึงสงบปากสงบคำลงนิดหนึ่ง

“อเวเค่น ซันไรซ์” ชายหนุ่มผมสีแดงเอ่ยแนะนำตัวกลับ

สาบานว่านั่นคือชื่อคนแน่นะ?

“แล้ว...คุณจะฟ้องเลขาของเจ้านรกเรื่องที่ผมแอบขโมยของกินรึเปล่า?”

“ถ้าเค้ามาถามผมก็จะตอบไปตามตรงครับ แต่ถ้าเค้าไม่ถามผมก็จะไม่พูด” คำตอบเรียบเฉยของพ่อครัวเหมือนไม่ได้แยแส แค่ชั่วอึดใจอาหารอย่างแรกในเมนูหลายจานก็ถูกยกมาวางพักไว้และหันไปสนใจจานอื่นที่ยังทำไม่เสร็จต่อ “ขอแค่คุณอย่ามาแอบกินอาหารที่ผมทำไว้เหมือนเมื่อเช้าก็พอ”

“...โอเค” อเวเค่นพยักหน้า ตอนแรกเขาคิดว่าจะโดนด่าหรือไม่ก็ถูกตะหลิวเขวี้ยงใส่หัวแต่นี่กลับไม่เป็นแบบนั้น

“ว่าแต่คุณเองก็เป็นมนุษย์ใช่มั้ยครับ ทำไมถึงมาเข้าร่วมกับฝั่งนี้ล่ะ?”

ในปราสาทแห่งนี้ ผู้สมัครเข้าแข่งขันอาสาร่วมเป็นกำลังรบให้กับราชาแห่งนรกล้วนไม่ใช่คนธรรมดา หันไปทางไหนก็เจอแต่ปีศาจต่างเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่บนพื้นพิภพแห่งนี้ไม่ก็พวกอมมนุษย์แทบทั้งสิ้น แต่ละคนต่างมีเหตุผลส่วนตัว บ้างก็เพื่อความสนุกสนาน บ้างก็เพื่อล้างแค้น แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือทุกตนล้วนไม่มีใครน่าคบหาโดยสิ้นเชิง ถ้าให้เปรียบก็คงเหมือนทหารรับจ้างที่ถูกจ้างวานให้มารบในสงคราม จะเป็นใครมาจากไหนก็ช่าง หรือต่อให้ตายไปก็ไม่มีใครมานั่งเสียใจให้กันหรอก

แต่...บอกตามตรงว่าการเป็นมนุษย์ส่วนน้อยในที่แห่งนี้เวลาที่เดินอยู่คนเดียวก็แอบเสียวสันหลังวาบเหมือนกัน กลัวว่าจะโดนลากไปขึ้นเขียงลงหม้อเสิร์ฟเป็นฟูลคอร์สเนื้อมนุษย์

“ผมมีเหตุผลส่วนตัวเลยขอไม่ตอบแล้วกัน” อเวเค่นเห็นชเนย์ย่นคิ้วเลยยกยิ้มยียวน ไม่ได้ทำให้คลายความกระจ่างอยู่ดี “คุณเองก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน แล้วทำไมมาเข้าฝั่งนี้ล่ะ?”

ชเนย์ลอบถอนหายใจเบาๆ นอกจากจะไม่ตอบให้ตรงประเด็น ยังเอาคำถามของเขามาล้อเลียนอีก มันน่าตีด้วยทัพพีจริงๆ

“อืม...เหตุผลของผมนี่...” พ่อครัวลากเสียงและจัดจานต่อมาอย่างว่องไว ก่อนเบนหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อแอบยิ้มกริ่มเล็กน้อย “ผมว่าคุณคงไม่อยากรู้หรอกมั้ง”

“ก็ลองบอกมาสิ” สายตาคนมองทำท่าอยากรู้สุดๆ

จะให้บอกว่ามาลงแข่งเพราะหลง (ปีศาจ) ผู้ชาย ก็ฟังดูแย่ไปหน่อย ถึงมันจะจริงก็เถอะ...

“ผมไม่ทำจานใหม่เผื่อคุณแล้วนะครับ” ชเนย์เปลี่ยนเรื่องเพื่อที่จะกลบเกลื่อน

“อ้าว?”

“จากนี้ไปคุณก็มานั่งทานอาหารที่นี่แทนแล้วกัน ว่าไงครับ?”

อเวเค่นกะพริบตาปริบ ทั้งเงียบและอึ้งอยู่นานจนคนถามใจคอไม่ดี

“คือ...ที่ผมเสนอเนี่ยเพราะกลัวว่าคุณจะแอบเข้ามาตอนผมเผอเรออีก แล้วก็ไม่อยากลุกมาทำใหม่แบบรีบๆ เหมือนอย่างตอนนี้อีกน่ะ”

“อ้อ แบบนั้นก็ดีนะ ดีกว่าต้องไปนั่งกินของเหลือเป็นไหนๆ” อเวเค่นตอบตกลงแทบจะทันที

ทีแบบนี้ไม่คิดจะเก็บอาการสักนิดเลยเหรอ ไอ้ที่บอกว่าอาหารของผู้เข้าแข่งขันพอกินได้นั่นโกหกสินะ

แต่ก็ดูไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรแฮะ...คงพอจะรับมือไหว พ่อครัวพึมพำบางเบาแทบไม่ได้ยินเพราะโดนเสียงตอนกำลังทำอาหารกลบหายไปหมด

เมื่อจานที่สามเข้าสู่เตาอบ ชเนย์ถอนหายใจและขยับมายืนพิงโต๊ะอย่างเหน็ดเหนื่อย มือควักไปป์ก้านยาวสีสวยแปลกตาออกมาสูบผ่อนคลาย ใบหน้าสงบนิ่งราวกับว่าไอ้ท่าทางที่คุยกันแบบสบายๆ ชิวๆ เมื่อครู่เป็นคนละคนกัน

“งั้นตอนเที่ยงก็แวะมาใหม่แล้วกันครับ ผมจะทำส่วนของคุณเตรียมไว้ให้ แล้วก็อย่าไปยุ่งกับวัตถุดิบหลักในตู้เก็บเสบียงนะครับ ของพวกนั้นมันไม่ใช่ของของผม” สายตาหลังแว่นสีเข้มทอดมองไปยังเกาะเซฟิลซึ่งอยู่อีกฝั่งของปราสาท เป็นทิวทัศน์แห่งเดียวที่มีให้ดูแก้เบื่อหน่าย

“ที่เกาะนั่นเหมือนจะมีแหล่งท่องเที่ยวกับร้านค้าดีๆ อยู่นะ ก่อนจะมาที่นี่ผมก็เคยแวะไปสำรวจมาเหมือนกัน” อเวเค่นกล่าวเมื่อเห็นชเนย์ทอดสายตามองออกไป “สนใจที่เกาะนั่นเหมือนกันเหรอ?”

“ไม่หรอกครับ พอดีผมกำลังคิดว่าผู้คนบนเกาะนั่นคงจะแค้นฝั่งนี้น่าดู”

ต่อให้ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน แต่ลองอยู่คนละฝ่ายกันแล้วก็ไม่ต่างจากการเป็นศัตรู ทั้งสองฝั่งต่างก็พร้อมที่จะเกลียดชังกันได้โดยไร้เหตุผล

ชเนย์มองเตาอบเป็นระยะเหมือนกะเวลาในใจและปิดเตาก่อนเวลาที่ตั้งไว้จะแจ้งเตือนเสียอีก เท่านี้เมนูทุกอย่างก็พร้อมเสิร์ฟแล้ว จะขาดก็แต่เครื่องดื่มชั้นเลิศเท่านั้นเอง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะไปหามาจากไหนเพราะตอนที่ไหว้วานให้ไคม์ไปหามาให้ก็โดนปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าเดี๋ยวท่านเจ้านรกจะทำตัวสำมะเลเทเมาเกินงาม

จริงสิ! ยังพอมีที่ที่จะหาของพวกนั้นได้อยู่นี่นา!

“ผมเปลี่ยนใจแล้วครับ ผมจะไปที่เกาะนั่น คุณสนใจจะไปด้วยกันมั้ย?”

“หา?” อเวเค่นเงยหน้าจากการดมอาหารมาทำตาปริบๆ

“เห็นว่าคนส่วนใหญ่บนเกาะโดนเจ้านรกริบวิญญาณจนตอนนี้นอนหลับเป็นผักกันไปหมดแล้ว พวกร้านค้าต่างๆ ก็คงเงียบเป็นป่าช้าเหมือนกัน เพราะงั้นก็น่าจะมีเครื่องดื่มดีๆ ให้ยกเค้าเพียบเลยล่ะ”

คำพูดไม่เข้ากับสีหน้ายิ้มแย้มและท่าทางเยี่ยงคนดีแบบชเนย์ทำเอาอเวเค่นเลิกคิ้วแปลกใจ แต่พอเป็นแบบนี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าเจ้าตัวเองก็ไม่ใช่คนปกติเพราะไม่งั้นคงเลือกไปเป็นอาสาสมัครของเกาะเซฟิลไปแล้ว

“งั้นจะไปกันเลยมั้ยล่ะ? จะเป็นตอนกลางวันหรือกลางคืนก็คงไม่ต่างกันเพราะพวกเวรยามบนเกาะคงแทบไม่มีเหลือแล้วด้วย”

“ยอมตกลงไปด้วยง่ายๆ เลยนะครับ” ชเนย์พูดแซว

“ผมเองก็อยากออกไปเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง อุดอู้อยู่แต่ในปราสาทนี่นานๆ ไม่ได้ออกกำลังเลยมันน่าเบื่อจะตาย”

แหงสิ ที่นี่ไม่ใช่โรงแรมรีสอร์ทและพวกเขาก็ไม่ได้มาพักร้อน กำหนดการแข่งก็ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ จะให้นั่งๆ นอนๆ รออยู่เฉยๆ คงเปื่อยก่อนตายชัก

“งั้นก็ไปหลังทานมื้อเที่ยงดีมั้ยครับ? ถ้าเจอไวน์ดีๆ จะได้เอามาเสิร์ฟช่วงดินเนอร์ด้วย”

“ตกลงตามนั้น”

นี่ก็ดีลด้วยง่ายซะไม่มี