40 ตอน Glass #36
โดย Wizard Pandas
“แกอยากจะวางมือจากวงการนี้?” ชายหนุ่มใบหน้าคมคายผิวสีแทนที่กำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่ในมือถึงกับเงยหน้าขึ้นจ้องนักฆ่าที่อยู่ใต้อาณัติของตน
“บอสได้ยินไม่ผิดหรอก” ชายหนุ่มผมแดงในชุดสูทเนื้อดีนั่งเอนหลังพิงโซฟาคุยกับอีกฝ่ายเหมือนเพื่อนซี้เก่าแก่มากกว่าจะเป็นเจ้านายกับลูกน้อง
“ถ้าแกเบื่ออยากจะลาพักร้อนฉันก็ไม่ว่าอะไร แต่มุกนี้ไม่ขำว่ะ” นายเหนือหัวเอานิ้วมือเคาะโต๊ะที่มักจะทำประจำเวลาที่กำลังไม่สบอารมณ์
“ไม่ได้เล่นมุก ผมพูดจริงๆ” ชายผู้เป็นลูกน้องลุกขึ้นแล้วยืนประจันหน้ากับคนที่ยังนั่งเคาะโต๊ะอยู่
“...แล้วแกคิดจะไปทำอะไรต่อ?” บอสหนุ่มถามถึงแผนการต่อจากนี้หากว่านักฆ่าผมแดงคิดที่จะอำลาวงการไปจริงๆ
“ไม่รู้สิ ใช้ชีวิตลอยชายไปจนกว่าเงินเก็บจะหมดล่ะมั้ง?” คนพูดยักไหล่พลางตอบอย่างไม่จริงจัง
“แกคงไม่ได้ลืมกฎสินะว่าถ้าคิดจะออกไปจากวงการนี้มีแต่ต้องตายหรือไม่ก็หายสาบสูญไปเท่านั้น” เจ้านายหนุ่มหยุดเคาะโต๊ะแล้วเอามือประสานกันไว้บนหน้าตักพลางเอนหลังไปกับเก้าอี้ตัวใหญ่
“จำจนขึ้นใจลึกถึงกระดูกดำเลยล่ะไอ้กฎคร่ำครึนั่นน่ะ” นักฆ่าผมแดงถอนหายใจเหนื่อยหน่ายกับกฎเกณฑ์ที่ถูกบัญญัติในสังคมมืดแห่งนี้มาช้านาน
“เอาเถอะ ฉันจะยกเว้นแกให้เป็นกรณีพิเศษแล้วกัน”
ดวงตาสีทองของนักฆ่าหนุ่มถึงกับเป็นประกายไปชั่วพริบตาหนึ่งก่อนจะหรี่แสงลง
“เพียงแต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนนิดหน่อย”
“ว่าแล้วเชียว...” อเวเค่นกะแล้วว่าต้องมีเงื่อนไข ก็เจ้านายของเขาคนนี้ไม่เคยให้อะไรใครฟรีๆ อยู่แล้ว
“แกรู้จักเกาะเซฟิลรึเปล่า?” เขาหยั่งเชิงคำถามเผื่อว่าลูกน้องที่อยู่ตรงหน้าจะพอได้ยินข่าวคราวมาบ้าง แต่สีหน้าของนักฆ่าหนุ่มถึงกับไปไม่เป็นกับชื่อเกาะที่เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
“ที่ไหนล่ะนั่น? แต่คงไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวหรอกมั้ง มันเป็นเกาะส่วนตัวที่มีไว้จัดงานประชุมลับๆ หรือเกาะร้างที่มีสมบัติโบราณซุกซ่อนอยู่งั้นเหรอ?”
“แสดงว่าไม่รู้จักสินะ งั้นเอาเป็นว่าแกช่วยไปทำธุระที่นั่นให้หน่อยก็แล้วกัน” ผู้เป็นเจ้านายเข้าประเด็นโดยไม่อ้อมค้อม ทั้งๆ ที่ลูกน้องยังทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกอยู่เลย
“จะส่งผมไปในที่ที่ไม่รู้จักนี่มันน่าสงสัยอยู่นะ” ถึงจะเคยชินกับการที่บอสมักชอบสั่งงานไม่เคลียร์มาให้อยู่เรื่อย แต่กับเรื่องนี้ยังไงก็คงต้องขอคำอธิบายเพิ่มเติมหน่อยล่ะ ไม่อย่างนั้นคงได้ถูกจับถ่วงทะเลลงไปนอนดูปะการังชั่วชีวิต
“เกาะเซฟิลตั้งอยู่กลางทะเลโดดเดี่ยว เป็นสถานที่ที่คนทั่วโลกเพิ่งได้รู้จักในช่วงไม่กี่ปีมานี้” เจ้านายหนุ่มเริ่มเล่าถึงที่มาที่ไป “แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งเกาะร้างหรือดินแดนลับแลที่มีชนเผ่าดั้งเดิมอาศัยอยู่ ตรงกันข้ามที่นั่นกลับมีวิทยาการที่ล้ำสมัยเท่าทันโลกปัจจุบัน และสิ่งเหล่านั้นยังผสมผสานเข้ากับภูมิปัญญาเก่าแก่อย่างเวทมนตร์ได้อย่างลงตัวด้วย”
เอาแล้วไง...เริ่มโม้อีกละ
เดิมทีแล้วเขาก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องรอบตัวมากไปกว่าวิธีสังหารเป้าหมายหรอก ก็เลยไม่ได้สนใจว่าเกาะนั่นมันอยู่ที่ไหนของแผนที่โลก แล้วก็ไม่ได้อยากฟังสิ่งที่บอสผู้ชอบเรื่องเหนือธรรมชาติเล่าสักเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่ฟังไว้บ้างเดี๋ยวจะเอาตัวไม่รอดก่อนจบงานเอาได้ ยิ่งไม่รู้ด้วยว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนรึเปล่า
เกาะเซฟิลนั้นว่ากันว่ามีผู้คนจากหลากหลายดินแดนมาอาศัยอยู่ร่วมกันจนเต็มไปด้วยผู้มีพลังพิเศษ ผู้คนที่ล้วนแตกต่างอย่างสิ้นเชิงแต่กลับสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยแทบจะไม่เกิดความขัดแย้งนั้น เพราะมีเจ้าเมืองที่เป็นผู้มีพลังเวทมนตร์สูงสุดบนเกาะคอยปกป้องคุ้มครองชาวเมืองและยังมีพรรคพวกสุดแกร่งมากมายคอยช่วยเหลือทุกครั้งที่มีอันตรายเกิดขึ้นกับเมืองแห่งนี้ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ
ฟังมาถึงแค่ตรงนี้ นักฆ่าผมแดงก็ไม่แน่ใจแล้วว่าตกลงนี่มันเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง แต่ก็คงต้องทนฟังเจ้านายพล่ามต่อไปเพื่อประดับความรู้ คิดซะว่าไอ้เรื่องพรรค์นี้เป็นพล็อตนิยายแฟนตาซีที่หลอกขายฝันเด็กโข่งอย่างบอสก็แล้วกัน
อเวเค่นยกกาแฟขึ้นดื่มแล้วฟังแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา บอสหนุ่มอธิบายยาวไปร่วมสิบห้านาทีแต่ก็ยังไม่ยอมเข้าประเด็น ซึ่งอเวเค่นก็ทำหน้าขี้เกียจฟังไปตั้งแต่สองนาทีแรกแล้ว
“ในทุกๆ ปี เกาะแห่งนี้จะจัดงานแข่งขันเป็นเหมือนงานกีฬาประจำปี เกมการต่อสู้หลากหลายรูปแบบเป็นอีเวนท์สุดเร้าใจที่ใครๆ ต่างก็เฝ้าจับตามอง แถมผู้เข้าร่วมการแข่งแต่ละคนก็ล้วนมีฝีมือไม่ธรรมดา...” บอสหนุ่มพยายามสรุปให้สั้นๆ แต่ก็ยังไม่หยุดคุยฟุ้ง จนอเวเค่นเริ่มหาวนิดๆ “แล้วทีนี้แกรู้มั้ยว่าในเกมกีฬานั้นทีมไหนจะชนะ?”
“ทีมที่มีผู้เล่นเก่งๆ?” นักฆ่าหนุ่มเดาเอา
“นั่นก็มีส่วนถูก แต่ยังไม่ใช่” เจ้านายส่ายหน้าและคลี่ยิ้มเล็กน้อย
“พวกที่มีความพร้อมและเตรียมแผนการมาอย่างดี?” อเวเค่นยังคงเดาต่อ
“เฉียดไปนิด ฉันให้โอกาสทายแกอีกครั้งหนึ่ง” ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมยิ่งกว่านักฆ่าผมแดงจ้องมองรอดูว่าลูกน้องจะให้คำตอบแบบไหนออกมา
“...อ้อ” อเวเค่นลากเสียงยาวกว่าจะเข้าใจถึงสิ่งที่แฝงอยู่ในคำถามลวง “หลงคิดโง่ๆ อยู่ตั้งนาน”
“เหมือนจะรู้แล้วสินะ” บอสทำหน้าเสียดายนิดๆ คิดว่าจะได้เห็นคำตอบน่าสนใจอีกเรื่อยๆ แต่เพราะอเวเค่นหัวไวกับเรื่องแบบนี้นี่แหละเขาถึงไม่ต้องเสียเวลาแจกแจงรายละเอียดงานในหลายๆ ครั้ง
“อย่างที่แกคิดนั่นล่ะ ไม่ใช่พวกผู้เล่นหรอกนะที่จะมีสิทธิ์กำหนดชะตาในการตัดสินผลแพ้ชนะของเกม”
ต่อให้ผู้เล่นแต่ละฝ่ายสู้กันจนเลือดตาแทบกระเด็น แต่ในหลายร้อยหลายพันครั้งที่ผลการแข่งกลับไม่เป็นไปอย่างยุติธรรมดังที่ควรจะเป็น นั่นก็เพราะ...
“คนที่เล่นเกมพนันต่างหากที่มีสิทธิ์ได้เลือกผู้ชนะ”
บอสหนุ่มเอ่ยถ้อยคำที่เป็นดั่งคำประกาศและความจริงเพียงหนึ่งเดียวในทุกเกมกีฬา ไม่ว่าจะเป็นกีฬาใต้ดินที่ผู้เล่นต้องต่อสู้เดิมพันชีวิตหรืองานกีฬาที่โด่งดังระดับโลกต่างก็มีเบื้องลึกเบื้องหลังทั้งนั้น
“แล้วคุณเดิมพันฝั่งไหนเอาไว้ล่ะ?”
“ฉันพนันว่าผู้เล่นฝั่งเกาะเซฟิลจะชนะ” บอสกล่าวถึงทีมที่ตนเลือกและชี้ไปยังเอกสารประกาศที่อยู่บนโต๊ะของตนเพื่ออธิบายต่อ “และฉันจะให้แกจะไปเข้าร่วมกับฝั่งผู้ท้าชิง แกล้งล้มมวยทำเป็นว่าพ่ายแพ้ในเกมนี้ซะ เท่านี้ก็จะได้ตัดโอกาสชนะของฝ่ายตรงข้ามไป”
“ยังชอบเล่นตุกติกเหมือนเคยเลยนะบอส”
“ชัยชนะที่ขาวสะอาดมันไม่มีอยู่ในโลกนี้หรอกนะ”
“งั้นทำไมถึงไม่ให้ผมลงสมัครแข่งขันกับฝั่งเกาะเซฟิลซะเลยล่ะ แบบนั้นยังจะดีกว่ามั้ย ไหนๆ คุณก็แทงข้างนี้อยู่แล้วนี่”
“เพราะฉันอยากเห็นแกแพ้หมดท่าลงไปนอนหมอบคลานกับพื้นเหมือนหมา เหตุผลแค่นี้พอมั้ย?”
“...ไอ้นิสัยเสียอย่างการชอบแกล้งลูกน้องของคุณนี่แก้ไม่เคยหายเลยน้า” อเวเค่นถอนหายใจกับความเอาแต่ใจของบอส
“หึๆๆ แต่แกก็ไม่เคยปฏิเสธฉันสักครั้งเลยนี่”
“แล้วรางวัลหลังเสร็จงานของผมล่ะ? ให้แค่ยี่สิบสามสิบล้านจากส่วนแบ่งที่คุณจะได้ ผมว่างานนี้ไม่คุ้มเท่าไหร่มั้ง ถ้าคิดจะให้ผมไปแกล้งแพ้ให้ขายขี้หน้าต่อหน้าคนตั้งเยอะแยะด้วย” นักฆ่าหนุ่มคำนวณคร่าวๆ มูลค่าการเดิมพันในบ่อนแต่ละครั้งของเจ้านายตนไม่เคยต่ำกว่าพันล้าน แถมบอสก็ยังเป็นเจ้ามือที่โชคดีถึงขนาดว่ายังไม่เคยขาดทุนเลยสักครั้ง คราวนี้ก็คงฟันกำไรจนซื้ออาวุธสงครามได้อีกเป็นกองทัพ
“ไหนๆ แกก็อยากออกไปจากวงการนี้อยู่แล้ว งั้นฉันจะให้อิสรภาพกับแกเป็นไง รวมถึงสั่งให้ลบประวัติอาชญากรในโลกเบื้องหลังของแกในแฟ้มตำรวจทิ้งทั้งหมดด้วย เท่านี้แกก็จะได้ไปเริ่มต้นใช้ชีวิตอย่างขาวสะอาดในโลกเบื้องหน้าอย่างที่แกต้องการ” ชายหนุ่มผิวสีแทนยื่นข้อเสนอที่นักฆ่าหนุ่มไม่มีวันปฏิเสธ เพราะนั่นคือสิ่งที่อีกฝ่ายปรารถนามาทั้งชีวิต
“...ใจดีจัดให้ซะขนาดนี้ คงไม่ใช่การแข่งทั่วไปแน่ๆ สินะ” อเวเค่นถึงกับเผลอซับเหงื่อที่ไหลออกมาโดยไม่ตั้งใจ
“แน่นอน เพราะว่านี่ไม่ใช่การแข่งของคนธรรมดา แต่ถึงอย่างนั้นผู้เข้าแข่งทุกคนก็มีสิทธิ์ตายในระหว่างการแข่งขันได้ตลอดเวลาเกินกว่า 40%” บอสหนุ่มให้ความกระจ่างแก่ลูกน้องที่ทำหน้าซีดนิดๆ อย่างไม่ปิดบัง
“อา...กะแล้วเชียว คิดอยู่แล้วว่าคุณน่ะไม่ได้ใจดีขนาดจะปล่อยผมไปง่ายๆ ก็ผมทำงานมาให้คุณตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ขืนผมหลุดออกไปได้เกิดพลาดท่าโดนศัตรูจับไปเค้นข้อมูลองค์กรขึ้นมามาคงโดนสอบสวนสืบสาวถึงตัวคุณก็ซวยแหง”
“เฮ้ยๆๆ ฉันก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น ต่อให้แกตายระหว่างแข่งก็อาจจะโชคดีฟื้นขึ้นมาก็ได้”
“หมายความว่าไง?”
“บอกไปแล้วนี่ว่าเจ้าเมืองและคนพวกนั้นเป็นผู้มีพลังพิเศษ ขืนจัดการแข่งขันที่มีคนตายอนาถทุกปีแล้วใครมันจะถ่อไปเที่ยวเกาะกันเล่า มันก็ต้องมีวิธีเซฟผู้เข้าแข่งขันไม่ให้เอาชีวิตไปทิ้งง่ายๆ อยู่แล้ว”
“ฟังดูเหลือเชื่อเกินไปหน่อยนะ”
“แล้วตกลงแกจะรับงานนี้มั้ยล่ะ? อาจเป็นโอกาสครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตที่ฉันจะให้แกเลือกแล้วนะ” ว่าพลางยื่นเอกสารที่อยู่ในซองสีน้ำตาลหนาปึ้กให้คนตรงหน้าเอาไปอ่านเพิ่มเติมเอง
“หึ คุณพูดอย่างกับไม่รู้จักผมดี ผมมันคนประเภทไม่เคยปฏิเสธแม้แต่งานเดียว” มือที่จับอาวุธมานับไม่ถ้วนยื่นออกไปรับมาแต่โดยดี
“ขอให้โชคดีล่ะ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดฉันจะให้คนจัดการให้ แกไปเตรียมตัวให้พร้อมเถอะ” บอสส่งลูกน้องด้วยคำพูดที่เอ่ยเป็นประจำยามส่งนักฆ่าหนุ่มผมแดงไปทำหน้าที่
“งั้นนี่ก็เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่จะได้คุยกับคุณแล้วสินะ?” อเวเค่นมองหน้าเจ้านาย บรรยากาศเป็นกันเองเมื่อครู่จู่ๆ ก็ถูกแทนที่ด้วยความเงียบกะทันหัน
“...อย่าได้คิดกลับมาเหยียบที่นี่อีกล่ะ ถ้าฉันหรือใครก็ตามเห็นหน้าแกในย่านนี้อีก ถึงตอนนั้นฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่”
“ครับผม งั้นก็...ขอบคุณและลาก่อนครับ บอส” อเวเค่นโค้งคำนับแล้วหันหลังเดินไปเปิดประตูและปิดลงอย่างเบามือ
“ลาก่อนอเวเค่น”
...ลาตลอดกาล
*
เมื่อเดินทางมาถึงเกาะแห่งความมหัศจรรย์ดังเทพนิยาย ชายหนุ่มนักฆ่าก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศหนักอึ้งผิดกับที่เคยจินตนาการไว้ลิบลับ หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมาก็มีคำประกาศจากเจ้าเมืองถึงสถานการณ์วิกฤตที่เกิดขึ้นบนเกาะเซฟิลไปทั่วทุกสารทิศว่าเจ้านรกได้บุกมาชิงวิญญาณของผู้คนบนเกาะเซฟิลและได้บังคับจัดการแข่งขันโดยมีดวงวิญญาณของทุกคนบนเกาะเป็นเดิมพัน อีกทั้งยังมีเงื่อนไขว่าจะต้องหาตัวแทนผู้เข้าร่วมการแข่งนี้มาให้ทันในเวลาที่กำหนด
ถึงแม้ว่าทางเจ้านรกจะยอมเสียเปรียบไม่ใช้กองทัพในสังกัดนรกภูมิของตนนอกเหนือจากผู้คนในดินแดนอื่นมาลงแข่ง ทว่า...อย่างไรเสียก็ยากที่จะเชื่อว่าการแข่งขันนี้จะเป็นไปอย่างขาวสะอาดยุติธรรม ไม่อย่างนั้นคงไม่มัดมือชกให้เจ้าเมืองจัดการแข่งขันโดยมีตัวประกันเป็นชีวิตของคนทั้งเกาะแบบนี้
แต่ถึงกระนั้นก็เกิดความสงสัยไปทั่วว่าเหตุใดเจ้านรกถึงได้โผล่มาบังคับจัดการแข่งขันแบบนี้ ไม่มีใครรู้สาเหตุที่แท้จริง แม้แต่ตัวเจ้าเมืองเองก็ไม่ทราบถึงการกระทำอันไร้เหตุผลนี้ แต่ก็จำต้องยอมตอบตกลงและทำสัญญาลงนามร่วมกับเจ้านรกเป็นผู้จัดการแข่ง ชาวเมืองก็เลยได้รับวิญญาณกลับคืนมาชั่วคราว แต่ก็ไม่สามารถหลบหนีออกไปจากเกาะได้จนกว่าจะจบการแข่งขัน สถานที่ต่างๆ บนเกาะเองก็กำลังถูกจัดเตรียมให้เป็นสนามแข่ง
ผู้ประสบภัยส่วนใหญ่จึงต้องหลบไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย เหลือแค่ผู้คนเพียงหยิบมือที่ยังเดินไปมาในเมืองอันเงียบสงัดไร้สีสันและขาดความมีชีวิตชีวาไม่สมกับชื่อเกาะแห่งความบันเทิงและสนุกสนานดังที่ได้ยินมา
เมื่อเดินสำรวจในเมืองจนเป็นที่พอใจแล้ว อเวเค่นก็นั่งเรือที่ขโมยมาไปยังปราสาทของเจ้านรกที่โผล่ขึ้นมาตั้งอยู่กลางอ่าว ที่จริงก็ไม่ได้อยากจะทำตัวเป็นโจรปล้นชาวบ้านกินในเวลาแบบนี้หรอก แต่พอลองจ้างคนแถวนั้นก็ไม่มีใครยอมขับเรือพาไปส่งที่ฐานบัญชาการของเจ้านรกนั่นน่ะสิ แล้วจะให้เขาทำยังไง
พอเข้ามาถึงภายในปราสาทก็นึกอยากจะถอยหลังกลับลงเรือเสียให้รู้แล้วรู้รอด เหล่าตัวแทนผู้เข้าร่วมแข่งขันที่มาสมัครพรรคพวกกับเจ้านรกล้วนมีแต่พวกไม่ธรรมดาทั้งสิ้น อเวเค่นเริ่มรู้สึกว่าตนนั้นโคตรจะอยู่ผิดที่ผิดทาง
แต่ก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่...คนดีๆ ที่ไหนจะมาเข้าพวกกับฝั่งเจ้านรก ถ้าไม่ใช่พวกที่กระหายการต่อสู้โดยไม่เลือกเวทีก็ต้องเป็นคนที่อยากเห็นเกาะแห่งนี้ลุกเป็นไฟ บ้างก็เป็นปีศาจเผ่าพันธุ์อื่นที่ต้องการวิญญาณผู้มีพลังแก่กล้าของคนบนเกาะเป็นรางวัลส่วนแบ่งจากเจ้านรก หรือไม่ก็เป็นวิญญาณร้ายซึ่งมีความแค้นกับคนที่นั่นเมื่อครั้งอดีต เหล่าผู้เข้าร่วมต่างก็มีเหตุผลของตนทั้งที่ฟังขึ้นและไร้เหตุผลปนๆ กันไป กว่าครึ่งหนึ่งของผู้สมัครตัวแทนเจ้านรกจึงล้วนแล้วแต่ไม่ใช่มนุษย์ แม้แต่เทพแห่งความตายก็ยังโดดมาเข้าร่วมด้วยเพราะกฎเกณฑ์แห่งผู้วายชนม์ถูกบิดเบือน
ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะได้พบเจออะไรแฟนตาซีเหนือคำบรรยายแบบนี้ในภารกิจสุดท้ายของชีวิต
นักฆ่าที่เป็นแค่คนธรรมดาอย่างอเวเค่นรู้สึกราวกับหลงมาอยู่ในหนังผิดเรื่อง ต่อให้เป็นจอห์น วิค ก็เถอะ...ถ้ามาเจออะไรแบบนี้ก็อาจจะไปไม่เป็นแบบเขาก็ได้ ปีศาจบางตนภายนอกว่าดูอันตรายแล้ว ลองมาดูพวกที่รูปร่างเหมือนมนุษย์มากจนแยกแทบไม่ออกแต่บรรยากาศรอบๆ ตัวกลับอันตรายยิ่งกว่าอีก นี่แหละสาเหตุที่เขาไม่แม้แต่จะเฉียดเข้าไปใกล้ใครเลย
ทว่า..เมื่อก้าวเท้ามาเหยียบที่นี่แล้วถ้าเกิดหันหลังกลับคงถูกเชือดทิ้งตั้งแต่ยังไม่ทันก้าวออกจากปราสาท และการอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางพวกที่เหนือมนุษย์เหล่านี้คงไม่เวิร์คนัก อย่างน้อยๆ ก็คงต้องลองเสี่ยงวัดดวงสุ่มหาพวกพ้องสักคนที่พอจะคุยภาษาเดียวกันได้ เท่าที่เห็น...ก็พอจะมีมนุษย์คนอื่นนอกจากเขาที่มาเข้าพวกกับฝั่งนี้อยู่บ้าง
หลังจากประเมินด้วยสายตาอยู่เกือบสองวัน อเวเค่นก็ได้เป้าหมายที่จะไปตีซี้เพื่อความอยู่รอดจนกว่าจะเริ่มเกมการแข่งขัน นั่นก็คือ ชเนย์ เจอร์น็อท คนที่ดูจะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดในปราสาทเจ้านรกแห่งนี้แล้ว
แต่…ใครจะไปคิดล่ะว่าตัวเขาเองจะเผลอไปตกหลุมรักผู้ชายคนนั้นซะได้...
*
นักฆ่าหนุ่มเจ้าของดวงตาสีทองลืมตาตื่นขึ้นนานแล้ว แต่ยังคงนอนนิ่งอยู่บนที่นอน เขาคิดทบทวนเหตุการณ์ก่อนหน้าที่ตัวเองจะมาอยู่ที่ปราสาทแห่งนี้ และเป็นความลับที่เขาจะแพร่งพรายให้ใครก็ตามที่อยู่ที่นี่รู้ไม่ได้เด็ดขาดจนกว่าจะจบเกมการแข่งขัน แต่ถึงจะปิดไปก็เท่านั้นเพราะว่าทั้งไคม์ทั้งเจ้านรกมองออกหมดแต่แรกแล้วว่าเขามีแผนจะทำอะไร แต่อีกฝ่ายก็ไม่ขัดขวางราวกับว่าจะเป็นยังไงก็ช่าง เพราะแค่มนุษย์ธรรมดาคนเดียวคงไม่มีทางทำให้อะไรๆ สั่นคลอนได้หรอก
ร่างที่นอนอยู่บนเตียงนอนรู้สึกไม่สบายตัวนักเพราะร่างกายที่โดนล่วงเกินยังไม่หายเจ็บดี ทำได้แค่พาตัวเองลุกไปกินยาและนอนอยู่นิ่งๆ จนกว่าอาการจะทุเลาลง
หากว่าเขาไม่ถูกบอสสั่งให้มาที่นี่ก็คงจะไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้...
ถึงกระนั้นถ้าดูจากนิสัยของบอสแล้ว การที่ไม่ส่งนักฆ่าในสังกัดคนอื่นมาเก็บเขาแต่ให้มาดิ้นรนเอาชีวิตรอดเอาเองนี่จะเรียกว่ายังเมตตาต่อลูกน้องที่ภักดีมาตลอดดีมั้ยนะ
ควรจะขอบคุณบอสสักหน่อยมั้ยนะ? คิดอีกทีคงไม่ล่ะ...ก็โดนสั่งว่าไม่ให้กลับไปอีกแล้วนี่
มีแต่ต้องไปข้างหน้าต่อเท่านั้น ต่อให้ต้องคลานไปเขาก็สาบานแล้วว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในฐานะคนธรรมดาให้ได้
Comments (0)