“รีบๆ เล่ามาได้แล้วโว้ย!” หลังจากได้สติกลับมา อเวเค่นก็ออกฤทธิ์เดชเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่ยังนอนคว่ำอยู่บนของเจ้านรกเพราะปวดระบมไปทั้งตัว โดยเฉพาะด้านหลังที่โดนใส่ไม่ยั้งจนลุกขึ้นมานั่งดีๆ ไม่ได้

“ใจร้อนจังนะ” เจ้านรกเอนตัวพิงหลังกับหัวเตียงโดยมีหมอนรองท้ายทอยเอาไว้ “แลกกับการที่ข้าจะไม่บอกชเนย์เรื่องที่ทำเจ้าลุกไม่ขึ้นคืนนี้ เจ้าเองก็ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้เด็ดขาด”

“ใครมันจะเอาเรื่องที่เสียตัวให้คุณไปเที่ยวป่าวประกาศให้คนรู้กันล่ะฟะ!” อเวเค่นเงยหน้าพรวดพราดขึ้นมาจ้องเขม็ง แต่เพราะขยับเร็วไปหรืออย่างไรไม่ทราบ จู่ๆ ก็นิ่วหน้าเพราะทั้งจุกทั้งปวดแล้วฟุบหน้าลงไปอยู่ท่าเดิม “พูดมาสักทีว่าคืนนั้นคุณไปพูดอะไรกับเขา”

“...ข้าน่ะคงจะอยู่กับชเนย์ไม่ได้น่ะสิ” เจ้านรกยกสองแขนขึ้นบิดขี้เกียจอย่างสบายตัวจนน่าหมั่นไส้

“เรื่องนั้นรู้อยู่แล้วโว้ย” ร่างเล็กโวยวายใส่หมอนพลางควานมือหาผ้าห่มมาคลุมตัวไว้ไม่ให้โดนมองอีกแม้แต่วินาทีเดียว แต่ท่าทางแบบนี้ดูจะน่ารักในสายตาคนยิ้มระรื่นอยู่ข้างๆ

“เหรอ? แล้วชเนย์ได้บอกเจ้ารึยังว่าหลังจบการแข่งขันครั้งนี้แล้วข้าคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน”

คนพูดกล่าวถึงความตายของตัวเองด้วยท่าทีที่สบายเสียจนเหมือนเรื่องโกหก แต่เป็นเรื่องล้อเล่นที่ฟังดูไม่ขำสำหรับคนที่มีตำแหน่งเป็นถึงผู้ปกครองนรกภูมิสักเท่าไหร่

“...นี่คุณคิดจะมาตายที่นี่อีกคนรึไง?” อเวเค่นค่อยๆ เงยหน้าจากหมอนขึ้นมามองด้วยสายตาที่มีทั้งความสงสัยระคนประหลาดใจ ทำไมถึงได้เจอแต่พวกที่ตั้งใจจะเอาชีวิตมาทิ้งเหมือนกันไปหมด เห็นแล้วมันน่าหงุดหงิดชะมัด

“ทำหน้าแบบนั้นแสดงว่าชเนย์ไม่ได้บอกอะไรเจ้าจริงๆ ด้วยสินะ” เจ้านรกมองตาคนที่แอบเหล่มาทางนี้

“ถ้าเขาบอกง่ายๆ ผมก็คงไม่ต้องเสนอหน้ามาถามคุณจนต้องมาเสียตัวแบบนี้หรอก” พูดไปก็ยิ่งเข้าตัว นักฆ่าหนุ่มมุดคลุมโปงเข้าไปในผ้าห่ม จะว่าเป็นความผิดของพ่อครัวคนนั้นก็ไม่ได้เพราะเขาแส่หาเรื่องใส่ตัวเอง

“ฮะๆๆ ก็ว่างั้น แต่ถึงยังไงข้าก็ไม่ใช่ผู้เสียหายอยู่ดี” เจ้านรกหัวเราะชอบใจกับคำพูดของอเวเค่นจนเผลอเอามือตบคนข้างตัวเบาๆ แต่ทำเอาอีกฝ่ายร้องลั่นเพราะสะเทือนไปถึงด้านหลังที่ระบมช้ำไปหมด

“โอ๊ย! หนอย...! ฝากไว้ก่อนเถอะ ลุกเดินได้เมื่อไหร่ล่ะก็เจอผมเอาคืนเป็นสิบเท่าแน่!”

อเวเค่นโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่มพร้อมยกนิ้วกลางใส่หน้าอย่างคาดโทษ แต่ใบหน้าคมเคลื่อนมาหาพร้อมคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์

“โฮ่ เจ้ากล้าพูดแบบนี้ แสดงว่าอยากจะโดนของข้าอีกสักสิบอย่างนั้นยกใช่มั้ย?” มือแกร่งวางคร่อมตัวคนนอนคลุมโปง เงาของคนที่อยู่ด้านบนทาบทับลงมาบนตัวร่างเล็กจนบังมิด

“...ขอโทษ ผมปากดีไปงั้นแหละ” น้ำเสียงอวดดีหงอลงก่อนมือจับกระชับผ้าห่มเป็นปราการป้องกันตัว

“ว่าแต่...เจ้านั่นเป็นเอามากถึงขนาดนั้นเลยเหรอ ช่างอ่อนไหวซะจริง…” เจ้านรกย้ายตัวเองกลับไปนั่งลงที่เดิมและคิดว่ารู้อย่างนี้ตนน่าจะปิดปากเงียบๆ ไว้ก็ดีแล้ว ไม่น่าหลุดปากเผลอบอกไปบอกเลยจริงๆ

“พอเป็นเรื่องของคุณเขาก็เป็นแบบนั้นแหละ” อเวเค่นพูดทั้งที่ยังมุดตัวหลบภัยอยู่ในผ้าห่มหนา

“มีเจ้าอยู่ด้วยทั้งคน เดี๋ยวสักวันก็คงทำใจได้เองนั่นแหละ” เจ้านรกผลักไสภาระให้คนข้างๆ ถึงแม้ไม่ได้อยากจะฝากฝังมนุษย์คนสำคัญไว้กับนักฆ่าปากดีที่แส่หาเรื่องจนต้องมานอนหมดสภาพอยู่ตรงนี้สักเท่าไหร่ แต่ในเมื่อเจ้าตัวดันเป็นคนเดียวกับที่อยู่เคียงข้างและคอยปลอบคนเศร้าแทนเขาทุกอย่าง อย่างน้อยๆ ก็มีค่าพอให้เชื่อใจ

“...ยังไงเค้าก็เลือกคุณ” อเวเค่นพยายามลุกขึ้นมานั่งอย่างยากลำบาก แม้จะเจ็บจนแทบขยับไม่ได้แต่ก็ต้องการที่จะนั่งเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตรงๆ ให้ได้ “ถึงแม้เขาจะรู้เรื่องที่คุณตัดสินใจ แต่เค้าก็ยังเลือกที่จะอยู่ข้างๆ คุณอยู่ดี”

“งั้นเหรอ…” เจ้านรกมองดวงตาสีทองที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย และหลบสายตาคู่นั้นไปทางอื่นเงียบๆ

“เพราะงั้นถึงจะไม่ค่อยอยากพูดนัก แต่ผมมีเรื่องที่อยากขอร้องคุณ” อเวเค่นหันไปมองเสี้ยวหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

“เกรงว่าคำขอของเจ้าข้าคงทำให้ไม่ได้” เจ้านรกเอ่ยดักทางนักฆ่าหนุ่มอย่างรู้ทันความคิด

“ผมไม่ได้จะขอให้คุณมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อเขาสักหน่อย เข้าใจหรอกว่ามีชีวิตอยู่มานานก็คงอยากตายเต็มที” อเวเค่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดรู้ทันอีกคน ร่างสูงใหญ่จึงหันหน้ากลับมาหาอย่างรู้สึกสงสัย

“ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้แล้วเจ้าจะขอเรื่องอะไร?” เจ้านรกมุ่นคิ้วถามอย่างใครรู้ แอบแปลกใจเล็กๆ ที่ตนคาดเดาใจของมนุษย์ผู้นี้ผิดไปจากที่คิด

“ผมขอถามอะไรอย่างหนึ่งก่อน ปีศาจอย่างคุณเนี่ยถึงจะตายไปแล้วแต่ก็สามารถเกิดใหม่ได้อีกครั้งรึเปล่า?”

“เกิดใหม่? หมายถึงการกลับชาติมาเกิดใหม่งั้นรึ?” เจ้านรกชันเข่าเอามือเกยคางหันหน้ามามองนักฆ่าด้วยแววตาจริงจัง “โทษทีนะแต่เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

เจ้าของเสียงทุ้มทำหน้าครุ่นคิดเพราะเรื่องพรรค์นี้แทบไม่ได้อยู่ในหัวของเขาเลย ตลอดเวลาหลายพันปีมานี้เขามีหน้าที่แค่ตัดสินโทษของวิญญาณคนตายในนรกเท่านั้น ไม่เคยคิดสนใจเรื่องการเกิดใหม่แม้แต่น้อย

“ต่อให้กลับมาเกิดใหม่ได้จริงก็เท่ากับเป็นคนใหม่ ไม่มีทางที่จะเป็นคนเดิมกับชาติก่อนได้หรอก แล้วไหนจะยังเรื่องที่ไม่มีความทรงจำก่อนหน้านั้นเหลืออยู่อีก แต่พวกที่ดันทะลึ่งนึกเรื่องในชาติก่อนออกก็ใช่ว่าจะไม่มีหรอกนะ”

“...งั้นเหรอ” อเวเค่นก้มหน้าลงอย่างผิดหวัง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังพอมีความหวังที่จะเป็นไปได้อยู่

“นี่อย่าบอกนะว่าเจ้าจะขอให้ข้ากลับมาเกิดใหม่เพื่อมาเจอชเนย์อีกครั้งน่ะ?”

“ก็...ถ้าทำได้ล่ะก็นะ” ชายหนุ่มนักฆ่าเอ่ยกับเจ้านรก

“ทำไมถึงต้องขออะไรที่มันยุ่งยากแบบนั้นด้วย ถ้าข้ากลับมาได้จริงๆ แล้วเจ้าจะได้ประโยชน์อะไร?” ร่างสูงใหญ่เอ่ยเสียงเข้มกดดันคนพูด แต่นอกจากอเวเค่นจะไม่หลบสายตาแล้วยังจ้องตอบอีกด้วย

“...แค่ได้เห็นรอยยิ้มของเขากลับมาก็ดีที่สุดแล้วยังไงล่ะ”

ดวงตาสีอ่อนนิ่งไปครู่หนึ่ง ในใจอดคิดไม่ได้ว่าความต้องการของอีกฝ่ายมีแค่นั้นเองงั้นหรือ สิ่งที่มนุษย์ตรงหน้าเขาปรารถนาเหตุใดจึงได้เล็กน้อยถึงเพียงนี้

“ถึงผมจะสัญญากับชเนย์ว่าจะพยายามมีชีวิตรอดกลับมาหลังจบการแข่งให้ได้ แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าผมจะรอดจริงๆ” อเวเค่นเอนหลังพิงหมอนนุ่มและพูดสิ่งที่ตนคิดออกมา “คุณเป็นคนที่ชเนย์อยากให้มีชีวิตอยู่ต่อไปมากที่สุด แล้วอีกอย่าง...ถ้าเป็นปีศาจอย่างคุณยังไงก็ยังมีโอกาสรอดมากกว่ามนุษย์ธรรมดาอย่างผมล่ะนะ”

ข้อมูลของผู้เข้าแข่งขันฝั่งเซฟิลและคนอื่นๆ ในปราสาทเท่าที่เขาไปรวบรวมมาได้นั้น แต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นนักสู้ระดับสูงหรือไม่ก็พวกมีพลังเหนือมนุษย์กันเกินไปกว่าครึ่ง คนธรรมดาที่เป็นแค่นักฆ่าอย่างเขาที่หลงมาอยู่ในเกมการแข่งขันแสนอันตรายนี้แทบจะไม่มีโอกาสรอดกลับมาครบสามสิบสองเลยก็ว่าได้

“เจ้านี่นะ...” เจ้านรกถอนหายใจดังอย่างหนักใจ “ช่างเป็นคำขอร้องที่ยุ่งยากน่ารำคาญซะจริง”

“ผมก็พูดไปงั้นแหละ ถือซะว่าผมไม่เคยพูดเรื่องนี้ก็แล้วกัน”

ชายหนุ่มนักฆ่ากล่าวแล้วพยายามเอามือควานหากางเกงที่ถูกโยนทิ้งไว้ข้างเตียงมาสวม ทันทีที่เนื้อผ้าสัมผัสโดนช่องทางด้านหลังที่โดนเจ้านรกกระทำเสียยับเยิน อเวเค่นก็นิ่วหน้าจนน้ำตาแทบร่วงแต่ก็ต้องข่มกลั้นความเจ็บเอาไว้แล้วค่อยๆ ยันตัวเองลุกขึ้นออกจากเตียง

“...คุณนี่มันป่าเถื่อนจริงๆ” มือคว้าหยิบเอาเสื้อเชิ้ตและสูทที่ขาดเป็นชิ้นๆ ก่อนสายตาจะหันไปมองด้วยสายตาเอาเรื่องจากตัวการที่ทำเสื้อผ้าราคาแพงของเขามีสภาพไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้ว

เจ้านรกใช้มือวาดไปมาในอากาศ เพียงไม่นานเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นไปก็กลับมามีสภาพดังเดิม ใบหน้าคมยักคิ้วและส่งยิ้มกวนให้คล้ายจะบอกว่าของแค่นี้ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วย

“...ไม่ขอบคุณหรอกนะ ไม่ได้ขอให้ซ่อมนี่”

“อ้อเหรอ...งั้นข้าคงไม่ต้องใช้เวทรักษาให้สินะ ก็เจ้าไม่ได้ขอนี่”

ฉิบหาย...หนุ่มนักฆ่าอวดดีสวมเสื้อแล้วจัดแจงสภาพตัวเองให้เข้าที่ เว้นเสียแต่ยังยืนได้ไม่ตรงนักเพราะยังระบมช่วงล่างอยู่ และหันหน้ามาทำตาเขียวใส่ร่างสูงใหญ่ที่แอบขำอยู่บนที่นอน

“เหอะ! ฝากไว้ก่อนเถอะ” อเวเค่นส่งเสียงขู่เป็นการประกาศล่วงหน้าว่าจะมาเอาคืน สองขาเดินออกจากประตูบานใหญ่ก่อนจะกระแทกปิดมันอย่างแรง ดวงตาสีทองมองตรงและเดินไปยังห้องอาบน้ำเพื่อจะรีบไปล้างเอาคราบอะไรต่อมิอะไรออก แต่แม้ใจจะอยากไปถึงให้เร็วแค่ไหนก็ทำได้แค่เดินช้าๆ ไม่ให้ช่วงล่างของตนเสียดสีกับเนื้อผ้า

...กลับไปขอร้องให้ช่วยรักษายังทันมั้ยนะ

สุดท้ายเขาก็ไม่กล้าหน้าด้านกลับไปขอร้องคนที่ตนเพิ่งสบถด่าไป พอมาถึงห้องอาบน้ำอุ่นก็ปลดเสื้อผ้าออกอีกครั้งและรีบล้างตัวทำความสะอาดเอาส่วนที่คั่งค้างอยู่ภายในช่องทางคับแคบออก จนแน่ใจว่ากวาดออกหมดแล้วจึงลงไปแช่น้ำอุ่น

ชายหนุ่มนักฆ่ามองรอยกัดตามตัวเท่าที่สายตาจะสำรวจเห็นแล้วสบถกับตัวเอง ถึงแม้ว่าตอนมีอะไรกับเจ้านรกตัวเขาจะรู้สึกดีขนาดไหน แต่พอตั้งสติได้อเวเค่นกลับรู้สึกสมเพชเวทนาตัวเอง ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยลงทุนทำอะไรที่เปลืองเนื้อเปลืองตัวขนาดนี้ แถมยังขาดทุนยับเยินอีกต่างหาก

“ทำอะไรสิ้นคิดไม่สมเป็นแกเลยเคน...” บ่นกับตัวเองและเงยหน้าขึ้นมองเพดานกว้าง น้ำตาของคนที่ไม่คิดจะแสดงความอ่อนแอของตัวเองให้ใครเห็นเอ่อขึ้นบดบังภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าจนพร่ามัว

เขาเกลียดตัวเองที่ตกอยู่ในสภาพนี้ ทั้งๆ ที่ตลอดมาก็อยู่ตัวคนเดียวมาได้ตั้งนาน แต่เวลานี้กลับหลงรักและยังผูกพันกับคนคนหนึ่งทั้งที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานมากเสียจนต้องมานั่งร้องไห้เสียใจกับความผิดหวัง

เขาย้อนนึกไปถึงคนที่เป็นเหมือนอาจารย์ที่สอนวิธีการลอบฆ่าให้กับอเวเค่น คนคนนั้นเคยเอาพูดไว้ว่าสิ่งที่นักฆ่าควรฆ่าเป็นอันดับแรกคือความรู้สึกของตัวเอง เพราะถ้าหากเกิดอารมณ์หวั่นไหวก็จะสูญเสียความเฉียบขาดและการตัดสินใจอันเยือกเย็นไป การปล่อยให้อารมณ์และความรู้สึกอยู่เหนือเหตุผล ปลายทางของนักฆ่าคนนั้นก็คือความตาย

และตอนนี้เขาก็รู้ซึ้งจากมันเป็นอย่างดีเลยเชียวล่ะ...

 

*

 

ระหว่างที่นักฆ่าหนุ่มกำลังจมปลักอยู่กับความรู้สึกของตนเองที่ห้องอาบน้ำเงียบสงัด เจ้านรกที่ควรจะอยู่ที่ห้องของตัวเองกลับมาปรากฏกายภายในห้องพักของชเนย์ที่เพิ่งจะหลับไปไม่นานเพราะเหนื่อยจากการร้องไห้มาตลอด

“เจ้าเสียใจเพราะข้าขนาดนี้เลยเหรอเด็กน้อย…” มือหนาไร้เกราะใดๆ ป้องกันเช่นเดียวกับร่างกายเปลือยเปล่าท่อนบนกวาดผ่านไปในอากาศอย่างช้าๆ ผงสีทองระยับคล้ายเม็ดทรายจำนวนหนึ่งปกคลุมลงบนร่างของชเนย์ที่พลิกขยับตัวเพราะรับรู้ได้ถึงผู้มาเยือนยามวิกาล แต่ทำอย่างไรก็กลับลืมตาไม่ขึ้น

หลังจากที่เม็ดทรายทั้งหมดหายไป ร่างบนที่นอนก็ผล็อยหลับสนิทสู่ห้วงนิทราลึกล้ำ ร่างสูงใหญ่นั่งลงข้างตัวผู้เป็นเจ้าของห้อง มือข้างหนึ่งลูบไปบนแก้มที่เลอะรอยคราบน้ำตาที่เหมือนจะเพิ่งหยุดไหลไปไม่นาน ไหนจะรอยเปียกปอนเป็นจุดๆ บนหมอนนุ่มนี่อีก

เจ้านรกอุ้มร่างอ่อนแรงขึ้นมากอดแนบไว้กับตัว ชเนย์ที่โดนมนต์สะกดทำให้หลับไปทำได้แค่เพียงส่งเสียงราวกับคนละเมอออกมาเบาๆ

“รู้รึเปล่าว่าปีศาจก็สามารถมอบพรให้ได้นะ…”

เจ้านรกกระซิบเสียงเบาเสมือนว่าอีกคนนั้นกำลังนั่งฟังอยู่

“แต่เพราะปีศาจอย่างพวกเราไม่คิดจะช่วยเหลือมนุษย์ที่ชอบไม่รักษาสัญญาสักเท่าไหร่ พรพวกนั้นเลยถูกเรียกว่าคำสาปไงล่ะ”

ริมฝีปากหนากระซิบเสียงเบาดั่งการร่ายมนต์ที่ไร้เสียง แววตาอ่อนละมุนอย่างที่ไม่มีทางที่ใครจะได้เห็นหลุบหายไปกับเปลือกตาที่ปิดลง

ช่วยจำชื่อของข้าไว้ในวันที่เราได้พบกันอีกครั้งด้วยนะ...