36 ตอน Glass #32
โดย Wizard Pandas
อเวเค่นค่อยๆ ลืมตาตื้นขึ้นมาในห้องอันคุ้นตาที่ไม่ใช่ห้องนอนของเขาเอง หัวหนักอึ้งค่อยๆ หันไปหาสัมผัสที่แขนขวาของตน ก่อนจะพบชเนย์ที่กำลังเช็ดตัวให้เขาด้วยน้ำสีชาแปลกตากับกลิ่นเครื่องหอมที่ส่งกลิ่นแสนสบายอบอวลไปทั้งห้อง
“ขอโทษครับที่ผมเอาแต่ใจตัวเองจนทำให้คุณไม่สบาย...” ชเนย์ก้มหัวให้อย่างสำนึกผิดทั้งที่มือยังเช็ดตัวให้คนป่วย
“ช่างมันเถอะ ได้เห็นคุณกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็พอแล้ว” อเวเค่นยิ้มให้ ดูเหมือนว่าทั้งกลิ่นและยาฟื้นสภาพที่ผสมน้ำจะช่วยบรรเทาอาการแย่ๆ ทั้งหมดของเขาจนดีขึ้นแล้ว
อย่างน้อยๆ ก็ดูเหมือนจะทำให้คนตัวโตขี้แยหยุดร้องไห้ได้แล้วล่ะนะ
“เดี๋ยวผมไปทำอาหารมาบำรุงคุณดีกว่า” เขาวางผ้าลงกับขอบกะละมังผสมน้ำสมุนไพร ทว่าอเวเค่นคว้าแขนเสื้อชเนย์ไว้ก่อนที่อีกคนจะลุกออกไป คนป่วยส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องไป ชเนย์จึงยอมนั่งลงที่เดิม
“...ขอโทษครับที่ทำให้คุณต้องเป็นห่วง” ชเนย์จับมือคนที่เพิ่งฟื้นพลางบีบเบาๆ
“อืม...สงบใจได้แล้วสินะ พอจะเล่าให้ผมฟังได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น?” ดวงตาสีทองจ้องเจ้าของดวงตาอับแสงคู่นั้นอีกครั้ง “แต่ถ้าลำบากใจที่จะเล่าผมก็จะไม่เซ้าซี้อีก”
“ขอโทษด้วยครับ แต่ผมคงบอกไม่ได้” ชเนย์บอกปัดที่จะเล่า อเวเค่นเดาว่าคงเป็นเรื่องที่หนักหนาสำหรับเจ้าตัว ชเนย์ถึงได้กลัวที่จะพูดมันออกมา ดังนั้นจึงได้แต่พยักหน้ายอมรับ
“ไม่เป็นไร ผมเข้าใจดี”
“ยังมีอีกเรื่องที่ผมต้องขอโทษคุณ...” เจ้าของน้ำเสียงเบาหวิวพยายามบอกตัวเองให้พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
“อะไรเหรอ?”
“ผมน่ะ...รักเขามากกว่าที่ตัวเองคิดอีกครับ” ชเนย์กล่าวออกมาและพยายามมองสู้หน้าอีกฝ่ายโดยไม่หลบสายตา
“เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้ว”
ใช่ รู้อยู่แก่ใจมาตั้งแต่แรกแล้ว หัวใจของอเวเค่นหน่วงราวถูกบีบที่ต้องมาได้ยินชัดๆ ซ้ำอีกครั้ง
“ผมอยากจะอยู่เคียงข้างเขา...จนถึงวาระสุดท้าย” มือที่จับมือของคนบนที่นอนกำลังสั่นเกร็งและเผลอออกแรงบีบอย่างไม่ตั้งใจ
“...งั้นเหรอ ก็ดีแล้วนี่” เขาแตะมือที่สั่นระริกและลูบเป็นเชิงปลอบก่อนจะจับให้มือนั้นคลายออกจากตน “ทำในสิ่งที่คุณอยากทำเถอะ”
“ผมขอโทษ...” ใบหน้าที่อดทนอดกลั้นมาตลอดซุกลงที่ข้างบ่าชายหนุ่มผมแดงอีกครั้ง อเวเค่นยกมือขึ้นตั้งใจจะลูบหัวที่เต็มไปด้วยเส้นผมสีเดียวกับหิมะนั้นเป็นการปลอบ แต่ก็กำมือเอาไว้และผละออกมา
“งั้นก็...ขอบคุณสำหรับที่ผ่านมานะ” อเวเค่นลุกขึ้นพลางเอื้อมมือไปหยิบเสื้อนอกของตนมาใส่ลวกๆ แล้วลุกขึ้นยืนก่อนเดินไปที่ประตูห้องของอีกฝ่าย
“เคน...คุณเกลียดผมรึเปล่าครับ?” ชเนย์ถามออกไปทั้งที่ยังนั่งหันหลัง ขณะที่คู่สนทนาเพียงแค่หันหน้ามามองด้วยเสี้ยวหางตา
“แย่หน่อยนะ ผมคงเกลียดคุณไม่ลงหรอก” สิ้นคำพูด เสียงประตูห้องก็ปิดลง ความเงียบครอบคลุมทั้งห้อง ทิ้งไว้เพียงร่างสูงโปร่งที่ฟุบตัวลงกับเตียง และคนที่เดินจากไปทรุดลงกอดเข่าตัวเองอยู่หน้าประตูห้อง ไม่อาจลุกเดินไปไหนได้ราวกับเรี่ยวแรงที่เคยมีมันได้หายไป
*
เวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างช้าๆ รู้ตัวอีกทีก็เข้าวันที่สามแล้ว ตั้งแต่ตอนที่อเวเค่นหมดสติไปเจ้าตัวก็ยังไม่โผล่มาที่ห้องครัวเลยสักครั้ง ทำเอาคนที่เตรียมอาหารเผื่อไว้ให้ในแต่ละวันกังวลว่าทางนั้นจะหิวตายคาห้อง
อันที่จริงแล้วเขาก็ยังคอยแอบยกถาดอาหารไปวางไว้ให้ที่หน้าห้องแทบทุกมื้อ ทว่าอเวเค่นก็ไม่ได้แตะต้องมันเลยแม้แต่จานเดียว
“ทำอะไรไม่เข้าเรื่องเลยนะ…” ชเนย์กำลังพูดถึงตัวเองที่ทำเรื่องเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ เขากวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องครัว เพิ่งจะรู้สึกตัวว่ามันทั้งกว้างและเงียบเหงาขนาดไหนก็วันนี้ เขาพาตัวเองมานั่งลงที่ข้างหน้าต่างที่นั่งประจำของตน ไปป์คู่กายก็โยนทิ้งลงทะเลไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบแล้ว จึงทำได้แค่นั่งรับลมชมวิวทะเลอย่างเหม่อลอยอยู่เฉยๆ
“คุณทำของตกไว้แน่ะ”
ชเนย์หันหน้ามาเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย จู่ๆ คนที่กำลังนึกถึงก็โผล่มาอยู่ข้างหลังโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียงแถมยังห่างออกไปเพียงสองสามก้าวพร้อมกับไปป์ในมือ คนที่กำลังตกตะลึงถึงกับยืนนิ่งไม่ไหวติง
“...คุณไปงมเก็บมาให้ผมงั้นเหรอครับ?” ชเนย์ถาม เป็นไปได้ไหมว่าที่อีกฝ่ายไม่โผล่หน้ามาเลยเป็นเพราะมัวแต่ไปหาของมาคืนให้เขา จะคิดเข้าข้างตัวเองเกินไปมั้ยนะ
“โยนมาจากที่สูงซะขนาดนั้นใครมันจะไปหาเจอกันล่ะ อันนี้ผมไปหาซื้อมาให้ใหม่ต่างหาก”
“งั้นเหรอครับ…” พ่อครัวโล่งอกที่เห็นคนตรงหน้ากลับมาจึงลุกไปหยิบอกเป็ดรมควันที่ทำไว้มาเสิร์ฟ “ผมให้จานนี้แทนคำขอบคุณเรื่องไปป์ครับ”
ว่าไปนั่น อันที่จริงแล้วเป็นจานใหม่ที่เขาทำเผื่อไว้ให้เจ้าตัวอยู่แล้วหรอก
พอได้ของตอบแทนมา อเวเค่นก็นั่งลงกินอาหารโดยไม่พูดไม่จาอะไร แล้วชเนย์ก็เดินกลับไปนั่งตรงริมหน้าต่างตามเดิม
ร่างสูงโปร่งหมุนไปป์ในมือไปมา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้ามันก็เป็นแค่ของธรรมดา แต่ตอนนี้มันกลับมีความสำคัญขึ้นมาเสียจนเขารู้สึกจุกอกไปหมดที่ก่อนหน้านี้พูดจาใจร้ายกับอีกฝ่าย และพยายามจะไม่พูดอะไรที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกลำบากใจมากขึ้น
“คุณกำลังหลบหน้าผมนะ” อเวเค่นท้วงราวกับจะเอาคืนเรื่องก่อนหน้านี้
“ขอโทษด้วยครับ” พ่อครัวหนุ่มเอ่ยด้วยความรู้สึกผิด
“เรื่องมันผ่านไปแล้วยังจะขอโทษผมทำไมอีก”
“อา...ผมนึกว่าเราจะไม่ได้เจอกันจนถึงวันแข่งแล้วซะอีกครับ”
“ผมก็ต้องการเวลาทำใจบ้างสิ” อเวเค่นพูดทั้งที่เนื้อเป็ดนุ่มยังเต็มปาก “อย่าบอกนะว่าคิดถึงผม?”
เกิดความเงียบขึ้นระหว่างทั้งคู่ ชเนย์จึงพูดขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบ
“ถ้า...บอกว่าไม่คิดถึงเลยก็คงไม่จริงครับ”
“.......” คนฟังถึงกับอึ้งจนเนื้อเป็ดร่วงจากปากเพราะตั้งตัวไม่ทัน
“ก็...พอคุณไม่มาขลุกอยู่ที่นี่แล้วมันก็เงียบลงไปถนัดเลย” เขาเกือบจะหลุดปากพูดออกไปแล้วว่าเป็นห่วง แต่ถ้าขืนพูดออกไปคงจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดแย่ พอคิดแบบนั้นแล้วจึงกลืนประโยคที่อยากเอ่ยเก็บเอาไว้ในใจ
“ผมก็พอเข้าใจเรื่องที่คุณยังเป็นห่วงความรู้สึกของผมอยู่” เสียงของอเวเค่นอ่อนลง แต่ก็ยังดังพอให้ได้ยินกันทั้งสองคน “ก็เหมือนกับที่ผมยังไม่ได้ตัดใจจากคุณซะทีเดียว”
“.....” ดวงตาหลังแว่นสีเข้มมองอเวเค่นที่กำมือแน่นเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าที่ต้องพูดออกมา ทั้งที่จริงแล้วชเนย์เองก็ลุ้นไม่ต่างกัน
“ผมก็เคยพูดไปแล้วนี่ว่าผมชอบคุณ ถึงแม้ว่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคุณคิดยังไงกับหมอนั่น”
ทั้งห้องเงียบกริบจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง แต่ที่ใจเต้นแรงขนาดนี้ไม่ได้มาจากเหตุผลเดียวกัน
ชายหนุ่มผมแดงหลบสายตาไปทางอื่น ชเนย์เห็นใบหูของอีกฝ่ายแดงก็เลยไม่ได้พูดอะไรตอบ และรอจนกระทั่งอาหารในจานหมดเกลี้ยงอเวเค่นจึงหันมาพูดกับเขาว่า “...ไหนของหวานล้างปากล่ะ?”
“ไม่กลัวอ้วนแล้วเหรอครับ?” พ่อครัวถามและแซวไปในตัวเพราะจำได้ว่าเมื่อสามวันก่อนเจ้าตัวเพิ่งพูดว่าจะไดเอทอยู่แหม็บๆ เจ้าของดวงตาสีทองเลยมองค้อนขวับเข้าให้ ทั้งที่ไม่ได้น่าเอ็นดูเหมือนเวลาที่เด็กๆ ทำเลยสักนิด แต่คนมองก็อดยิ้มตามไม่ได้แล้วหยิบเอาของหวานมาเสิร์ฟให้
ขณะที่มองอเวเค่นตักบราวนี่ชาเขียวเข้าปาก ชเนย์ก็พูดขึ้นมา
“...ระหว่างที่ไม่ได้เจอกัน ผมก็คิดเรื่องหนึ่งซ้ำไปซ้ำมาตลอด” ชเนย์พูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะไม่ให้สั่น แต่ละคำเค้นออกมายากเย็นเพราะความรู้สึกที่เอ่อล้น แน่นอนว่าไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนัก
“คิดเรื่องอะไร?” อเวเค่นถามเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายกำมือแน่นเสียจนน่าหวั่นใจ ไหนจะน้ำเสียงสั่นผสมปนเปด้วยความเศร้าที่ปิดไม่มิด
“ถ้าเกิด...สมมติว่าสักวันผมสามารถลืมเขาได้แล้วหันกลับมารักคุณอย่างจริงจังขึ้นมา คุณจะหายไปจากชีวิตผมด้วยอีกคนรึเปล่า?”
“.....” ไร้เสียง ไร้คำตอบ มีเพียงความเงียบที่เกาะกุมบรรยากาศระหว่างคนทั้งคู่ ชเนย์เป็นฝ่ายหลบตาแล้วหันหน้าออกไปทางหน้าต่างมองวิวทะเลที่เงียบสงัดไม่ต่างจากห้องครัว
“...ขอโทษที่ผมถามอะไรไม่เข้าท่านะครับ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะพูดเรื่องร้ายกาจกับคุณไปเมื่อไม่กี่วันก่อนแท้ๆ”
ดวงตาเหม่อมองท้องฟ้าที่ตะวันเริ่มลาลับ ความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุมย้อมผืนฟ้าสีส้มให้กลายเป็นสีดำ ชเนย์คิดว่าเขาคงจะไม่ได้รับคำตอบใดๆ แต่แล้วสัมผัสอบอุ่นที่โอบกอดจากข้างหลังก็ทำเอาดวงตาที่อับแสงหันกลับมามองร่างเล็กกว่าที่เอาหน้าซุกท้ายทอยตนไว้ไม่ให้เห็นสีหน้าในเวลานี้
“ผมจะไม่สัญญากับสิ่งที่ผมไม่แน่ใจว่าจะทำได้” น้ำเสียงเอ่ยออกมาพร้อมกับมือที่เกาะกุมแน่นยิ่งขึ้น “เพราะผมอาจจะหายไปในระหว่างการแข่ง...พูดตรงๆ คือผมอาจจะตายเมื่อไหร่ก็ได้”
คนถูกกอดแกะมืออีกคนออกแล้วหันกลับมาสวมกอดแน่น แน่นมากเสียจนเหมือนกลัวว่าเขาจะหลุดหายไป
“ไม่เอาสิ เก็บน้ำตาไว้ร้องไห้ตอนผมตายก่อนดีกว่ามั้ย?”
ร่างสูงโปร่งที่เป็นฝ่ายโถมตัวเข้าใส่ก่อนเริ่มสั่นระริก ดูท่าว่าความอดกลั้นตลอดหลายวันที่ผ่านมาคงถึงขีดจำกัดแล้ว ไอ้เขาก็รับมือกับคนเจ้าน้ำตาไม่เก่งด้วยสิ
ชายหนุ่มผมแดงรู้สึกได้ว่าที่ไหล่ของตนที่คนกอดก้มหน้าลงซบไหล่อยู่เริ่มเปียกชุ่มทีละนิด ก็พอจะรู้ถึงสาเหตุอยู่หรอก แล้วไหนจะยังคำพูดของเขาเองที่ไปสะกิดปมเรื่องสูญเสียคนที่รักในชีวิตของคนตรงหน้าอีก
คงต้องพูดอะไรสักอย่างให้ชเนย์รู้สึกดีขึ้น ปล่อยให้อยู่แบบนี้มันก็มีแต่ทำให้เขาเจ็บไปด้วย
“...ยื่นมือมาหน่อยสิ” น้ำเสียงที่ไม่ถึงกับอ่อนโยนแต่ก็ไม่ได้แข็งกระด้างเอ่ยข้างหูร่างสูงกว่าที่ยังร่ำไห้อยู่กับไหล่ของตน ชเนย์ผละตัวเองออกมาเล็กน้อยโดยไม่ได้นึกถึงว่าใบหน้าของตนในตอนนี้จะไม่น่าดูแค่ไหน ทว่าอเวเค่นก็ไม่ได้หัวเราะขบขัน กลับยิ้มและเอามือเช็ดน้ำตาที่ไหลเป็นทำนบแตกอย่างเบามือ
อเวเค่นเกี่ยวนิ้วก้อยของอีกฝ่ายที่ยังทำท่าเก้ๆ กังๆ จับต้นชนปลายไม่ถูก ชเนย์มองดวงตาสีทองที่จ้องมาแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนหน้าผากชนกัน
“ผมสัญญาว่าจะพยายามมีชีวิตรอดกลับมา” นิ้วก้อยเกี่ยวกระชับแน่นขึ้นเช่นเดียวกับน้ำเสียงของคนเอ่ยถ้อยคำ “...ไม่ว่าจะตกอยู่ในสภาพไหนก็ตาม”
แม้ว่าน้ำตาจะยังไหลไม่หยุด แต่ชเนย์ก็ค่อยๆ ยิ้มออกพลางหัวเราะแห้งทั้งที่ยังฟูมฟายอยู่จนกลายเป็นภาพที่ดูตลกสุดๆ
“ขอบคุณครับ เคน”
“เอ้า หน้าตาดูไม่ได้แล้วนะคุณเนี่ย” อเวเค่นยกแขนเสื้อขึ้นปาดเอาน้ำตาอีกคนอย่างหยอกๆ ไม่ว่าชเนย์จะแกล้งเชื่อหรือหายเศร้าแล้ว แต่อย่างน้อยรอยยิ้มที่เขาหลงรักก็กลับมาระบายบนหน้าอีกฝ่ายได้ก็เพียงพอ ทั้งคู่ยังคงยืนกอดปลอบกันและกันอยู่สักพักใหญ่ ก่อนอเวเค่นจะพาพ่อครัวที่ร้องจนตาบวมไปนอนพักผ่อน
“ไม่ต้องมาส่งถึงห้องก็ได้นะครับ” ชเนย์หยุดยืนหน้าประตูที่อเวเค่นกำลังไขห้องพักของเขาจากกุญแจที่ไปทำสำรองไว้
“ไม่เห็นเป็นไรเลย” พอเปิดได้ก็ผายมือให้เจ้าของห้องเข้าไปก่อน “คิดซะว่าตอบแทนเรื่องอาหารแล้วกัน”
“ก็ได้ครับ” แต่ก่อนที่ชเนย์จะเดินเข้าห้องไปก็สวมกอดและหอมแก้มคนเปิดประตูให้ “แทนคำขอบคุณในหลายๆ เรื่องครับ”
เมื่อประตูห้องปิดลง สีหน้าผ่อนคลายของชายหนุ่มนักฆ่าก็เปลี่ยนไปเป็นขมึงตึงปนสงสัยในเรื่องที่เขาคิดไม่ตกมาหลายวัน
เรื่องที่ว่าทุกคนที่ชเนย์รักต้องจบชีวิตลง
นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่? เพราะเขายังเห็นไอ้คุณเจ้านรกเดินร่อนไปมาในปราสาทแล้วก็นั่งหลับคาบัลลังก์อยู่ที่โถงกลางอยู่เลย
มัวแต่คิดหาคำตอบเองไปก็ไม่ได้คำตอบอะไร ชายหนุ่มนักฆ่าจึงคิดว่าจะเลือกอะไรระหว่างอยู่เงียบๆ อย่างสงบเสงี่ยม หรือเลือกที่จะเอาชีวิตไปเสี่ยงกับการหาคำตอบนี้
Comments (0)