ดวงตะวันโผล่ขึ้นสาดแสงลอดเข้ามาทางหน้าต่างห้องแยงตาร่างที่นอนคว่ำอยู่บนที่นอนให้รู้สึกรำคาญ ชายหนุ่มนักฆ่าที่เมาหมดสภาพรู้สึกไร้เรี่ยวแรงที่จะลุกไปเผชิญหน้ากับความจริงในเช้าวันใหม่จึงคิดว่าจะนอนกินบ้านกินเมืองต่ออีกสักหน่อย

ทว่า สักพักหัวก็เริ่มปวดตุ้บๆ ราวกับสมองกำลังจะระเบิด จากที่ค่อยๆ พลิกตัวเองกลับมานอนหงายก็ยกมือกุมหัวก่อนจะเด้งตัวลุกพรวดวิ่งไปอาเจียนออกทางหน้าต่างและคายทุกสิ่งที่ดื่มไปเมื่อวานจนหมดไส้หมดพุง

“...เมาเหมือนหมาของแท้เลยว่ะ” อเวเค่นด่าตัวเองแล้วทรุดลงข้างหน้าต่างหลังจากปล่อยของเก่าออกมาจนสิ้นสภาพ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นแก้วน้ำชาที่มีกลิ่นขิงอบอวล ควันจากน้ำขิงร้อนๆ นั้นยังคงลอยเอื่อยอยู่ ทำให้รู้ว่ามันคงเพิ่งถูกยกมาวางไว้ได้ไม่นาน

คนยังไม่สร่างเมายันตัวขึ้นอย่างทุลักทุเลแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ และเห็นกระดาษโน้ตวางไว้คู่กับกุญแจห้อง บนกระดาษมีข้อความจากคนที่เขาก็รู้ว่าใครเขียนไว้เพื่อคลายข้อสงสัยถึงที่มาของเครื่องดื่มแก้วนี้

‘คุณดื่มเยอะเกินไปอีกแล้วนะ แถมยังเสียบกุญแจห้องคาไว้ที่ประตูอีก ผมเลยถือวิสาสะทำของแก้เมาค้างมาให้ ถ้าดีขึ้นแล้วก็ลุกมากินข้าวด้วยนะครับ’

“...อย่ามาเอาใส่ใจกันไม่เข้าเรื่องแบบนี้สิ” รอยยิ้มจางแต้มใบหน้าอย่างฝืนทน ก่อนที่มือจะเอื้อมไปหยิบแก้วน้ำขิงร้อนและค่อยๆ จิบละเลียดทีละนิดราวกับกลัวว่ามันจะหมดเร็วเกินไป

พอเริ่มมีอะไรตกถึงท้องความหิวก็เข้ามาถามหาอีกจนได้

อเวเค่นจัดการธุระส่วนตัวหลังจากหายแฮงค์ไปพอประมาณ ขณะมองกระจกก็ปั้นหน้ายิ้มแบบคนไม่แคร์โลกเหมือนอย่างเคย แต่มันกลับดูไม่เนียนเหมือนที่ผ่านๆ มา ชายหนุ่มนักฆ่าเอาหัวตัวเองแนบกระจกพลางถอนหายใจยาว

สภาพยังกับคนโดนทิ้ง ดูไม่ได้เอาซะเลย เจ้าของดวงตาสีทองเอ่ยกับตัวเองในใจและพยายามนึกถึงเหตุผลที่ถ่อมาถึงที่นี่ ยังมีเรื่องสำคัญที่เขาต้องจัดการให้เสร็จ จะมัวมานั่งซึมกะทือเพราะเรื่องไร้สาระแบบนี้ต่อไปไม่ได้เด็ดขาด

สุดท้ายแล้วอเวเค่นก็ยอมก้าวออกจากห้องพักพร้อมกับแก้วเปล่าในมือ ตอนนี้ชเนย์อาจจะกำลังอารมณ์ดีหลังจากที่เมื่อคืนใช้เวลาแสนสุขร่วมกับเจ้านรกก็เป็นได้ คิดในแง่ดีก็คืออาหารเช้าวันนี้คงจะต้องปรุงอย่างเอร็ดอร่อยเป็นพิเศษแน่นอน

“หิวจัง มีอะไรให้กินบ้างเนี่ย?”

เมื่อมาถึงห้องครัวกลับพบว่าคนทำอาหารกำลังนั่งจ้องขวดไวน์ที่ว่างเปล่ากับก้อนดาวกระดาษที่ตนพับทิ้งไว้บนโต๊ะด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

“อ่า...ขอโทษนะ เดี๋ยวผมเอาไปทิ้งให้” นักฆ่าหนุ่มยิ้มแห้งแล้วรีบโกยสิ่งที่ตนทำรกเอาไปทิ้งลงถังขยะ แล้วก็มานั่งกินอาหารเช้าแบบง่ายๆ ที่วางอยู่ข้างๆ พ่อครัว “จะทานล่ะนะ”

“เดี๋ยวครับ” ชเนย์จับมือข้างที่อเวเค่นกำลังหยิบขนมปังปิ้งหน้าชีสเข้าปาก นักฆ่าหนุ่มหันหน้ามาหาพ่อครัวที่ขมวดคิ้วมุ่นจนแทบพันกัน “ตาคุณแดงๆ นะ”

“อ๋อ สงสัยผมคงดื่มมากไปหน่อยน่ะ”

“...โกหก”

“ผมเปล่าโกหกสักหน่อย คุณก็น่าจะเห็นตั้งแต่ตอนเข้ามาแล้วนี่ว่าไวน์มันหมดขวดเลยน่ะ”

“ตอนที่เอาน้ำขิงไปวางไว้ให้ที่ห้อง ผมเห็นคราบน้ำตาบนหน้าคุณด้วย” ชเนย์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้กว่าเดิมโดยที่ยังไม่ปล่อยมือ “คุณร้องไห้เพราะผมใช่มั้--”

ขนมปังปิ้งที่ควรจะเข้าปากคนทานกลับเข้าไปอยู่ในปากคนทำ คำพูดของพ่อกลัวเลยโดนกลืนหายไปในทันที

“อย่าสำคัญตัวเองผิดไปหน่อยเลย” อเวเค่นจัดการปิดปากอีกฝ่ายด้วยขนมปังแล้วลุกพรวดเดินออกไปจากครัว “วันนี้ผมคงไม่แวะมาที่นี่อีก คุณไม่ต้องเตรียมอาหารส่วนของผมนะ”

ลับหลังชายหนุ่มผมแดงที่ออกไปแล้ว ชเนย์ยังคงนั่งอึ้งโดยที่ปากยังคาบขนมปังคาไว้อยู่อย่างนั้นไปอีกสักพักใหญ่ๆ กระทั่งเขาหยิบเอาอาหารเช้าที่เตรียมไว้ให้อีกคนออกจากปากแล้วก้มหน้านิ่ง

 

*

 

ด้านอเวเค่นที่ตอนนี้ยืนอยู่ที่ระเบียงซึ่งยื่นออกมานอกตัวปราสาทกำลังเอามือขยี้หัวตัวเองอย่างคนอับจนปัญญา

“เวรเอ๊ย...ดันพูดไม่คิดแบบนั้นออกไปซะแล้ว แล้วต่อไปจะเข้าหน้ากันติดได้ยังไงล่ะเนี่ย?” นักฆ่าหนุ่มกุมขมับอยากทึ้งหัวตัวเอง รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ดีกับสหายร่วมรบฝ่ายเดียวกันแต่ก็ยังเลือกจะหนีมาแบบคนโง่ที่ไม่กล้าเผชิญหน้า นึกอยากย้อนเวลากลับไปชกปากตัวเองเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ไอ้แบบนี้มันเรียกว่าขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ แบบนี้มันก็ยิ่งแย่ไปกันใหญ่น่ะสิ

แล้วจะหนีไปฆ่าเวลาที่ไหนดี? โดดไปดำน้ำดูปะการังข้างล่างนี่เลยดีมั้ย?

“คุณกำลังหลบหน้าผมเหรอครับ?” คำพูดดังมาจากข้างหลัง อเวเค่นสะดุ้งตัวโยนแต่ก็ไม่ได้หันหน้าไปหาต้นเสียงที่เท้าคางมองอยู่ที่หน้าต่างทางเดินด้านหลังตน

“หา? ใครหลบหน้าคุณกัน” อเวเค่นไม่ยอมหันไปคุย แถมในใจก็กำลังตีอกชกหัวตัวเองอย่างหนัก

“เป็นนักฆ่าแต่โกหกไม่เนียนเลยนะครับ” ชเนย์พ่นควันจากไปป์ด้วยสีหน้านิ่งเฉยเช่นเดิม พอโดนว่าเข้าหน่อยอเวเค่นเลยหันกลับมาเผชิญหน้า และเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าตั้งแต่เจอกันวันนี้เขายังไม่เห็นรอยยิ้มของคุณพ่อครัวแสนดีคนเดิม เพราะงั้นนี่เลยอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาเองก็รู้สึกไม่สบอารมณ์เหมือนกัน

“คุณดูหงุดหงิดชอบกลตั้งแต่อยู่ในครัวแล้วนะ เป็นอะไรรึเปล่า?” อเวเค่นเอ่ยถาม ชเนย์ไม่ตอบแต่เบือนหน้าไปทางอื่นและทำท่าเหมือนกำลังใช้ความคิดจนบรรยากาศหนักอึ้ง

“...ขอโทษที่ผมแอบดื่มไวน์แถมยังทำให้ห้องครัวของคุณสกปรกอีก” อเวเค่นไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ชเนย์หงุดหงิดจึงกล่าวขอโทษเพราะรู้สึกผิดต่ออีกคน ทว่าบรรยากาศรอบตัวทั้งคู่กลับยิ่งเงียบกว่าเดิมจนน่าอึดอัด อเวเค่นยังคงยืนจ้องอีกฝ่าย ส่วนชเนย์ก็ยืนสูบไปป์พ่นควันอยู่อย่างนั้นไม่หยุด และสุดท้ายคนที่หมดความอดทนก่อนก็คือนักฆ่าหนุ่มที่ทนบรรยากาศมาคุต่อไปไม่ไหว

“...ถ้าคุณไม่มีอะไรจะพูดกับผม งั้นผมขอตัวก่อนล่ะ”

“คิดจะหนีเหรอครับ?”

คนที่เอาแต่เงียบมานานเอ่ยขึ้น เจ้าของดวงตาสีทองถึงกับคิ้วกระตุก เอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา พอได้พูดก็ยังมาทำให้หัวร้อนไปอีก

อเวเค่นสูดลมหายใจและนับหนึ่งถึงสิบ ขืนยิ่งดับเครื่องชนใส่ก็มีแต่จะแย่ยิ่งกว่าเดิม

“โอเค ผมยอมรับก็ได้ว่าผมหลบหน้าคุณ แล้วทางคุณล่ะไปเจอเรื่องอะไรมาถึงได้เอาแต่พ่นควันมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว?” อเวเค่นยืดอกถามออกไปตามตรง ชเนย์ได้ยินดังนั้นเลยเปลี่ยนจากยืนมาเป็นนั่งบนขอบหน้าต่างนั้นแทน

ท่าทางแปลกๆ แบบนี้มันต้องมีอะไรแหงๆ พอเดินเข้ามาใกล้กว่าเดิมก็ได้กลิ่นยาสูบของวันนี้ลอยมาตามลม ทั้งที่ปกติจะได้กลิ่นหอมจางๆ บางเบาเท่านั้น แต่วันนี้กลับฉุนจนแสบจมูกไปหมด

“คุณไหวมั้ย?” อเวเค่นถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง ทว่าปล้องยาสูบยาวที่คุ้นตาก็หลุดจากมือเจ้าของตกลงไปยังเบื้องล่างปราสาทกลางทะเล ทิ้งไว้เพียงควันที่ค่อยๆ จางหายไปกับอากาศ

“เฮ้! ทำอะไรของคุณน่ะ นั่นของสำคัญไม่ใช่เหรอ?” อเวเค่นหันกลับมาหาเจ้าของที่ทำเหมือนว่าจงใจปล่อยให้ไปป์มันร่วงลงไปด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ เพราะมันแทบจะเป็นเสมือนส่วนหนึ่งของร่างกายชเนย์ไปแล้ว

“ช่างมันเถอะครับ ไอ้ของพรรค์นั้นน่ะสูบไปมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอก” ชเนย์ชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งแล้วกอดซบหน้าลงไปอย่างเหน็ดเหนื่อย

“คุณเป็นอะไรรึเปล่า?”

“...เป็นครับ” ชเนย์เอ่ยอย่างไม่ปิดบัง และสิ่งที่ทำให้ใจของหนุ่มนักฆ่าถึงกับเกือบร่วงลงไปกองที่เท้าก็คือน้ำตาของคนที่กำลังอยู่ตรงหน้าเขา

มันเกิดอะไรขึ้นกันล่ะเนี่ย!? ในสมองของนักฆ่าหนุ่มเต็มไปด้วยคำถาม ทั้งๆ ที่เมื่อเย็นวานเขาคิดว่าบรรยากาศระหว่างชเนย์กับเจ้านรกออกจะเป็นไปด้วยดีจนน่าอิจฉา แต่ท่าทางของคนที่อยู่ตรงหน้ากลับสร้างความกังขาไปหมด

“หรือว่าหมอนั่นปฏิเสธคุณ?” อเวเค่นกล่าวถึงบุคคลที่อาจเป็นสาเหตุของความผิดปกตินี้ และเข้าไปเขย่าตัวชเนย์ให้เงยหน้าขึ้นมา พอจ้องมองผ่านกรอบแว่นสีดำเข้าไปถึงได้เห็นว่าดวงตาของอีกฝ่ายนั้นแดงก่ำยิ่งกว่าเขาเสียอีก

“ถูกปฏิเสธยังจะดีซะกว่า...” น้ำเสียงสั่นเครือที่พยายามควบคุมให้เป็นปกติแต่ก็ทำไม่ได้เอ่ยอย่างเศร้าสร้อย “ผมควรจะทำยังไงดี?”

เสียงสะอื้นฟังไม่ได้ศัพท์ของคนคุมสติไม่อยู่บาดลึกลงกลางอกของคนที่ต้องรับฟังทุกถ้อยคำ

“ตกลงเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่?” ด้วยสงสัยในคำพูดของชเนย์ที่กำลังโศกเศร้าเลยถามออกไป อเวเค่นพยายามจับใจความทุกอย่างที่ชเนย์พรั่งพรูออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

“ผมน่ะ...ชักจะเริ่มสงสัยแล้วว่าจริงๆ แล้วตัวเองเป็นตัวหายนะรึเปล่า ทำไมทุกคนที่ผมรักถึงมีชะตาที่จะต้องจากผมไปทุกครั้งเลย”

เดี๋ยวก่อนนะ...นี่ไปเดตกันอีท่าไหนเรื่องมันถึงเลยเถิดไปได้ขนาดนั้น?

“ถ้าต้องเสียใครไปอีก ผมคงรับมันไม่ไหว” ชเนย์ส่ายหัวไปมา สองแขนเอื้อมไปดึงตัวคนข้างหน้าแล้วสวมกอดพร้อมก้มซุกลงไปบนบ่านั้น “มันเจ็บปวดยิ่งกว่าการที่ตัวเองต้องตายซะอีก”

อเวเค่นโอบกอดตอบแน่นและพยายามลูบหัวปลอบใจ ตัวเขาเองก็เจ็บปวดกับการที่คนตรงหน้าตกอยู่ในความเศร้าแต่ก็ไม่รู้จะหาถ้อยคำไหนมาปลอบ และพอคิดว่าคนที่ทำให้ชเนย์ต้องตกอยู่ในสภาพนี้เป็นใครแล้วก็ยิ่งกัดฟันแน่นจนอยากจะวิ่งไปถามเอากับตัวต้นเหตุให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าเขาไม่อยากจะทิ้งชเนย์ไว้คนเดียวแบบนี้ ดีไม่ดีกลัวว่าอีกฝ่ายจะคิดสั้นโดดลงทะเลไปดูปะการังแทนเขาซะเอง

“ได้โปรดอย่าตายเลยนะ...”

“คิดมากเกินไปแล้ว อย่างหมอนั่นน่ะไม่มีทางตายง่ายๆ หรอก”

“คุณก็ด้วย...อย่าตายเลยนะครับ”

“...ไหงมาแช่งกันงี้เล่า เห็นแบบนี้แต่ผมก็ไม่คิดจะยอมตายง่ายๆ หรอกนะ”

คนพูดพยายามปลอบอย่างสุดความสามารถ แต่เหมือนจะยังไม่ดีพอที่จะทำให้น้ำตาของอีกคนหยุดไหลได้ ท่าทางชเนย์จะอ่อนไหวกับเรื่องแบบนี้มากจริงๆ

“ฟังนะ ผมไม่ยอมตกลงไปในนรกที่หมอนั่นปกครองหรอก หรือต่อให้ตกลงไปจริงๆ ก็จะหาทางปีนหนีกลับขึ้นมาให้ได้นั่นแหละ”

ไร้คำพูดใดๆ จากชเนย์ มีแต่ไหล่ที่สั่นเทิ้มกว่าเดิม ทว่าเสียงสะอื้นกลับกลายเป็นเสียงกลั้นหัวเราะแทน

“คุณนี่มันจริงๆ เลย” ชเนย์กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นอีก “...ทำไมผมถึงไม่เจอคุณก่อนเค้านะ”

“อา...ขอโทษที่มาช้าละกันนะ” เขายืนเป็นเสาหลักให้อีกฝ่ายพิงต่อโดยไม่ปริปากบ่นแม้แสงแดดจะเริ่มแรงขึ้นจนเหงื่อผุดเป็นน้ำก็ตาม จนกระทั่งชเนย์คลายกอดแล้วเงยหน้าขึ้นจึงพบว่าอเวเค่นหน้าซีดผิดปกติ

“เคน!?” ชเนย์ยกมือขึ้นแตะใบหน้าไร้เลือดฝาดจนลืมความเศร้าของตนไปชั่วขณะ

“ผมไม่เป็นไร...” อเวเค่นฝืนยิ้มให้ทั้งที่เริ่มเวียนหัว และแล้วสติสุดท้ายเลือนหายไปก่อนที่ภาพของคนตรงหน้าจะวูบกลายเป็นสีดำ