ชเนย์เริ่มเข้าใจความหมายของ ‘บินเล่น’ ที่เจ้านรกพูดไว้แล้ว เพราะตอนนี้เขากำลังถูกอุ้มลอยอยู่เหนืออ่าวเกาะเซฟิลที่ตั้งของปราสาทชั่วคราวของท่านเจ้านรก วิวทะเลในตอนกลางคืนมันทั้งสวยงามปนน่ากลัว เพราะสีของน้ำไม่ได้เป็นสีเดียวกับท้องฟ้าในตอนกลางวัน

คงไม่ได้คิดจะเอาเขามาโยนลงทะเลให้ฉลามกินหรอกนะ...

“เจ้าจะมองไปข้างล่างให้ตัวเองกลัวทำไมล่ะนั่น” เสียงทุ้มพูดกับคนที่อยู่ในอ้อมแขนที่แม้จะพยายามเก็บอาการแต่ดูก็รู้ว่ากำลังเกร็งอย่างเห็นได้ชัด

“งั้นผมขอมองหน้าคุณแทนก็ได้สินะ” ชเนย์หันมายิ้มหวาน เจ้านรกทำหน้านิ่งเหมือนไม่รับมุก ทำเอาคนยิ้มกว้างหน้าเจื่อน “...ถือว่าเมื่อกี้ผมไม่ได้พูดอะไรแล้วกันนะครับ”

“อยากมองก็มองสิ” ดวงตาคมจ้องมองผ่านแววตาที่ซ่อนอยู่หลังกรอบแว่นสีเข้มจนยากที่จะละสายตาหนี

“เอ่อ...ดาวสวยดีเนอะครับ” ชเนย์เปลี่ยนเรื่องแล้วเงยหน้ามองหาทิวทัศน์อื่นก่อนที่จะเขินอายไปมากกว่านี้

เจ้านรกเลื่อนมือข้างหนึ่งลงไปช้อนสะโพกอีกคนขึ้นเล็กน้อยทำให้ชเนย์สะดุ้งเบาๆ เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร แต่ทุกอย่างก็ได้รับการไขกระจ่างเมื่อเจ้านรกเปลี่ยนอิริยาบถด้วยการเอนตัวลงคล้ายกับท่านอนลอยเคว้งบนอากาศและให้คนที่ถูกพาขึ้นมาด้วยนั่งคร่อมบนตัวเขาไว้ต่างเก้าอี้ชมดาวระดับวีไอพี

“ข้าขี้เกียจอุ้มเจ้าตลอดน่ะ นั่งอยู่แบบนี้ไปละกัน” เจ้านรกยกสองแขนขึ้นรองหัวตัวเองและยกขาชันขึ้นไขว่ห้างไว้ต่างที่หนุนหลังของคนที่นั่งบนหน้าท้องตนเอง

“พูดแบบนั้นแต่เมื่อกี้ก็กอดผมไว้แน่นเลยนะครับ” ชเนย์ยิ้มให้คนปากไม่ตรงกับใจ เมื่อเห็นว่าร่างสูงใหญ่จ้องมาที่ตนไม่วางตาจึงต้องเบนหน้าหันไปสำรวจรอบๆ ตัวแทน

ทั้งสองลอยขึ้นมาสูงมากเสียจนเห็นเส้นขอบฟ้าโค้งมน และยังไต่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเลไปเรื่อยๆ จนแทบจะสัมผัสก้อนเมฆได้อยู่แล้ว เมื่อชเนย์เงยหน้ามองด้านบนก็เห็นแสงพราวระยับของดวงดาวที่อยู่เหนือท้องฟ้าและเมื่อมองกลับไปยังด้านล่างก็เห็นทะเลเรืองแสงสีฟ้า และทิวทัศน์ที่อยู่ไกลลิบสายตาก็มีแสงไฟจากแผ่นดินอื่นส่องสว่างอยู่ ทิวทัศน์ที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนทำเอาชเนย์ถึงกับยอมถอดแว่นประจำตัวออกเพื่อจะได้มองทุกอย่างเต็มตา ความประทับใจในสิ่งที่ตาเห็นจนทำให้เขาลืมความประหม่าในตอนแรกที่นั่งอยู่บนตัวคนที่ทำให้ตนดั้นด้นมาจนถึงที่นี่จนสิ้น

ร่างสูงใหญ่ไม่ได้สนใจความงดงามของธรรมชาติที่รายล้อมอยู่รอบตัวพวกเขา ดวงตาสีอ่อนมองหน้าชเนย์โดยมีเพียงความนึกคิดของตัวเองอยู่เต็มหัว

“มีอะไรรึเปล่าครับ?” คนถูกจับจ้องรู้สึกตัวหลังจากเห็นอีกฝ่ายเงียบมานาน

“เจ้านี่ช่างแปลกคนจริง...ยอมมาเป็นกำลังรบให้ข้าเพียงเพราะเหตุผลแค่นี้” เจ้านรกยิ้มเหมือนอย่างที่เคย “มนุษย์แบบเจ้าข้าล่ะเพิ่งเคยพบเจอ”

“ถ้าหากผมเป็นกำลังให้คุณได้คงจะดีไม่น้อยเลยล่ะ ทั้งจากนี้และตลอดไปด้วย”

“...ขอบใจ” เสียงทุ้มเอ่ยคำพูดสั้นๆ และยิ้มในแบบที่หาดูได้ยากยิ่ง แต่ชเนย์ก็เก็บภาพประทับใจอันหาดูยากนั้นได้ไม่นานนักเพราะเขารีบหลบสายตาอีกฝ่าย ขืนมองนานกว่านี้คงตาพร่าเป็นแน่

“ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับใต้เท้า” ชเนย์ยิ้มให้ ได้พูดออกมาตรงๆ แบบนี้ทั้งยินดีทั้งปลาบปลื้มจนหุบยิ้มไม่ได้และถือโอกาสเอนตัวลงไปซบอกกว้างนอนมองดูดาวท่ามกลางท้องฟ้าที่มีเพียงพวกเขาทั้งคู่ ชเนย์ชี้ให้เจ้านรกดูกลุ่มดาวมากมายที่เขาได้เรียนรู้มาจากหนังสือที่เคยอ่านสมัยก่อน แม้ว่าเรื่องราวเหล่านั้นผู้มีชีวิตอยู่มานานกว่าจะทราบดีอยู่แล้วแต่ก็ตั้งใจฟังอีกฝ่ายโดยดี จะมีแย้งบ้างก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายจำชื่อเรียกหมู่ดาวผิดไป ทำเอาคนเคยเรียนมาแอบทำหน้างุดไม่สมอายุ

“เด็กน้อย เจ้ายังต้องเรียนรู้อะไรๆ อีกเยอะ” ร่างสูงใหญ่กล่าวราวกับคนที่อยู่ด้วยเป็นเด็กเล็กๆ

แน่ล่ะ...หากเทียบกันแล้วชเนย์ก็เหมือนเด็กที่เพิ่งลืมตาดูโลก เทียบกันไม่ได้กับปีศาจที่อยู่มายาวนานอย่างเจ้านรก

“แหะๆ คงงั้นแหละครับ” ชเนย์ยิ้มแห้งให้ อุตส่าห์มั่นใจในความจำของตัวเองแล้วแท้ๆ แต่เมื่อถูกพูดแบบนี้แล้วคนฟังก็เริ่มเงียบลง

“เป็นอะไรไป?”

“สำหรับคุณแล้วผมก็คงเหมือนเด็กจริงๆ นั่นแหละ” ชเนย์แทรกตัวลงไปกอดร่างด้านใต้ที่พยุงตัวเขาไว้ “แต่มันก็เกือบจะครึ่งชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งแล้ว”

“ชีวิตของเจ้ามันเพิ่งจะเริ่มต้นจากนี้ไปต่างหาก” เจ้านรกยื่นมือไปแตะใบหน้าของอีกคนให้หันมาและจ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นชัดๆ “อายุแค่นี้จะรีบหมดอาลัยตายอยากไปไหน ไม่มีเรื่องอะไรที่อยากทำในชีวิตแล้วรึไง?”

“เอาตรงๆ แล้วก็ไม่มีจริงๆ นั่นแหละครับ นอกจากใช้ชีวิตไปวันๆ ผมก็ไม่ได้มีทั้งจุดหมายทั้งเรื่องที่อยากทำเลย” ชเนย์ตอบโดยที่ไม่คิดจะปิดบัง

“ข้าก็พอจะเดาได้อยู่ คนเป็นที่ไหนจะมีดวงตาว่างเปล่าเหมือนคนตายแบบเจ้า”

“คุณเองก็น่าจะเหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ อย่างน้อยก็คงมีสักครั้งหนึ่งในช่วงเวลาของชีวิตที่ยาวนานนั้นที่คุณรู้สึกเหมือนกับผมตอนนี้”

คนถูกสวมกอดไม่ตอบอะไรและให้ความเงียบแทนคำอธิบาย ทั้งสองกอดกันเนิ่นนานจนกระทั่งเจ้านรกเป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้น

“เวลานั้นของเจ้ายังมาไม่ถึงหรอก ส่วนข้า...ไม่รู้สิ แต่คงอีกไม่นาน” เสียงทุ้มต่ำพูดออกมาบางเบาข้างหูอีกคน ชเนย์เบิกตากว้างและผละออกมาเพื่อมองหน้าอีกฝ่ายแทบจะทันที

“คุณพูดเหมือนกับรู้ล่วงหน้างั้นแหละ” ดวงตาสีหม่นจ้องมองไปยังเจ้านรกที่มีรอยยิ้มจาง

“อย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ”

“ทำไม...คุณถึงบอกเรื่องนี้กับผม?”

เจ้านรกไม่ตอบแต่โอบร่างอีกคนเข้ามากอดแนบและพาบินขึ้นไปสูงยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะลอยตัวสูงขึ้นไปมากเท่าไหร่แต่ชเนย์ก็ไม่รู้สึกถึงสภาวะบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงใดๆ คิดได้อย่างเดียวว่าเจ้านรกคงทำอะไรบางอย่างเพื่อไม่ให้เขาหายใจลำบากนั่นแหละ

“ข้าใช้ชีวิตมานานเกินไป จนมาวันหนึ่งข้าเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าเมื่อไหร่จะถึงจุดสิ้นสุด นอกจากหน้าที่แล้วอะไรคือเหตุผลที่ทำให้ข้ายังคงมีชีวิตอยู่...แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบ” น้ำเสียงของคนกล่าวสงบนิ่งทุ้มนุ่มกว่าที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง “ข้าว่ามันคงถึงเวลาที่ควรจะยอมแพ้ เลิกคิดหาคำตอบแล้วก็เลือกจุดจบที่ตัวเองพอใจกับมันที่สุด”

ทั้งคู่ลอยผ่านเมฆขึ้นมาจนมองไม่เห็นพื้นโลกเบื้องล่าง ยิ่งขึ้นมาสูงดาวบนฟ้าก็ยิ่งแจ่มชัดสว่างไสว ร่างสูงใหญ่ยังคงกอดอีกคนไว้ไม่ยอมคลาย ใบหน้าคมซุกลงบนบ่าคนตัวเล็กกว่าค้างไว้เช่นนั้นและลอยอ้อยอิ่งอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว

“ทีแรกข้าคิดว่าจะไม่บอกเจ้าแล้ว แต่เดี๋ยวเจ้าก็คงรู้ไม่ช้าก็เร็วอยู่ดี ข้าก็เลยเลือกที่จะบอกเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ” เจ้านรกดึงแว่นของชเนย์ออกและเอาหน้าผากของตนแตะแนบกับหน้าผากอุ่นของคนในอ้อมแขน “ข้าไม่รู้ว่านี่คือคำตอบหรือเปล่า แต่ดูเหมือนข้าคงจะพอมีโชคเหลืออยู่บ้าง เพราะอย่างน้อยช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตที่ข้าเลือกจะมาที่นี่ก็ยังได้มาเจอกับเจ้า...”

‘อยู่ต่อไปเถอะนะครับ…’

ชเนย์อยากพูดคำๆ นี้ออกไป แต่ตะกอนความรู้สึกมากมายที่บรรยายไม่ได้นั้นขึ้นมารวมอยู่ที่คอจนจุกและไม่อาจเปล่งเสียงใดๆ ออกไปได้แม้แต่นิดเดียว เขาเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยน้ำตาที่รินรดแก้ม แววตาที่เคยว่างเปล่ากำลังขอร้องอ้อนวอนคนที่อยู่ตรงหน้า

เจ้าของรอยยิ้มอ่อนโยนแต่แววตาที่แฝงไว้ด้วยความเศร้าที่เก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกที่สุดส่ายหน้าให้แทนคำพูดที่อยู่ในใจของตน

ชเนย์ใช้มือทั้งสองข้างของตัวเองโอบรัดร่างแกร่งแน่น ไหล่สั่นสะท้านที่ไม่ได้เกิดจากอากาศรอบๆ ตัวที่หนาวเย็นลงเรื่อยๆ น้ำตาที่ไม่อยากให้ไหลก็หลั่งรินลงไปยังพื้นเบื้องล่างราวประกายแสงดาวเล็กๆ จากท้องฟ้าร่วงหล่นลงไป

เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เจ้านรกกำลังเผชิญอยู่มันทั้งหนักอึ้งและหนักหนาสาหัสเพียงไร ขนาดตัวเขาเองเป็นมนุษย์ที่ใช้ชีวิตมาเกือบสามสิบปียังทุกข์ทรมานกับตัวตนที่ไร้จุดหมายถึงขนาดนี้ แทบจะไม่ต้องพูดถึงอีกฝ่ายที่มีอยู่ชีวิตมานานนับพันนับหมื่นปีและต้องแบกรับความรู้สึกที่ทับถมพวกนั้นไว้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

“เอาแต่ก้มหน้าร้องไห้อยู่แบบนี้เดี๋ยวจะมองไม่เห็นของดีเอาได้นะ” เจ้านรกปาดน้ำตาให้อย่างเบามือก่อนจะพลิกร่างให้ชเนย์หันกลับไปดูแสงเล็กๆ ที่พุ่งข้ามผ่านบนท้องฟ้า

“ดาวตก?”

ดวงตาที่รื้นด้วยหยาดน้ำใสมองเส้นแสงสีขาววิ่งพาดผ่านท้องฟ้าเส้นแล้วเส้นเล่า และมันไม่ใช่แค่ดาวตกเพียงสองหรือสามแต่เป็นปรากฏการณ์ฝนดาวตกนับร้อยๆ ที่หาชมได้ยาก ทำให้น้ำตาของคนมองพลันหยุดไหลไปโดยไม่รู้ตัวเพราะถูกความงดงามดึงดูดและมันได้พัดเอาความเศร้าให้หายไป

“คุณรู้ว่าคืนนี้จะมีฝนดาวตกเหรอครับ?”

“ข้าเองก็ไม่คิดว่าจะมีเยอะขนาดนี้” เสียงทุ้มกล่าวขณะที่ดวงตาคมจ้องมองภาพดาวหางเหนือท้องฟ้าที่อยู่สูงขึ้นไปอีก

“ไม่คิด? งั้นก็แสดงว่าคุณรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วเลยชวนผมมาดูเหรอครับ?” ชเนย์พยายามหันหน้าไปมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเป็นประกายอยากรู้ที่ฉายชัด “หรือว่าที่หายไปเมื่อตอนกลางวันก็เพราะไปเสกดาวตกมาเหรอ?”

“ถึงเป็นข้าก็ไม่ได้แปลว่าจะบันดาลได้หมดทุกสิ่งในเอกภพหรอกนะ” ร่างสูงใหญ่หัวเราะขบขันกับความคิดของเด็กน้อยในอ้อมแขนแล้วก้มลงหอมหัวและใบหน้าของอีกคนอย่างหมั่นเขี้ยวในความซื่อนั้น “ก็แค่...ไปถามจากเทวทูตพยากรณ์มาเท่านั้นแหละ”

ชเนย์เลิกคิ้วขึ้นและจ้องมองอีกคนอย่างไม่เชื่อหู พอโดนมองด้วยสายตาคู่นั้นแล้วจู่ๆ คนถูกจ้องก็เบือนหน้าหนีหันไปมองดาวตกต่อเสียดื้อๆ

“เดี๋ยวนะ...เมื่อกี้คุณเขินใช่มั้ย!?”

“ช่างข้าเถอะ! เอ้า! ไหนๆ ก็ได้เห็นดาวตกแล้ว จะไม่อธิษฐานขอพรอะไรหน่อยรึ?” เจ้านรกกอดรัดชเนย์ไว้แน่นทำให้เขาไม่สามารถหันหัวเอี้ยวตัวมองตามไปได้ แถมยังเอาแว่นกันแดดที่เขาถอดออกไปก่อนหน้านี้มาสวมคืนจนไม่สามารถมองหน้าอีกฝ่ายได้ถนัดอีก

“ขอพรงั้นเหรอ...” ชเนย์หยุดดิ้นและยอมอยู่เฉยๆ ก่อนจะเงยหน้ามองฝนดาวตกที่ยังคงวิ่งผ่านน่านฟ้าไปเรื่อยๆ ราวกับจะไม่มีวันหยุด “งั้น...ถ้าผมจะอธิษฐานขอให้คุณอยู่ต่อไปจะสมหวังรึเปล่า?”

“ไม่รู้สิ อันที่จริงข้าไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรอก”

ร่างสูงใหญ่เหม่อมองดวงดาวนับร้อยด้านบนก่อนจะเงียบลง ปล่อยให้เวลาไหลไปเรื่อยๆ ก่อนจะก้มหน้าซุกลงไปกับผมสีเงินอ่อนนุ่ม ถึงแม้ปากจะบอกว่าไม่เชื่อ แต่ลึกๆ ตอนนี้ในใจของผู้ครองนรกกลับอ้อนวอนสุดหัวใจว่าในอนาคตอันใกล้นี้ขอให้คนในอ้อมกอดได้พบเจอแต่ความสุขด้วยเถอะ

 

*

 

ณ ห้องครัวของปราสาท

ในช่วงเวลาเดียวกับที่ชเนย์และเจ้านรกยังดูฝนดาวตกด้วยกันอยู่นั้น ขวดไวน์ที่ชเนย์ยกไปให้เจ้านรกแต่ทางนั้นไม่ได้ดื่มมันเมื่อตอนกลางวันได้ถูกรินใส่แก้วของคนที่นั่งอยู่เพียงลำพังในห้องครัว บนโต๊ะไม่มีอาหารแต่มีกระดาษข้อมูลจำนวนมากวางเกลื่อนโดยที่เขาเลิกสนใจมันไปนานแล้ว

“อยู่คนเดียวไม่เหงาหรือครับ?” คำถามจากไคม์ที่โผล่มาในเงามืดทำให้อเวเค่นหันไปมองด้วยหางตา ทั้งแววตาซุกซนและรอยยิ้มที่มองมายังชายหนุ่มนักฆ่าที่นั่งดื่มเพียงลำพังอย่างเงียบเหงาเพราะถูกพ่อครัวปล่อยให้อยู่อย่างเดียวดายในคืนนี้ดูแล้วคงไม่ใช่ความหวังดี

“จะมานั่งดื่มเป็นเพื่อนให้รึไง?”

“ผมไม่รบกวนเวลาสุนทรีย์ของคุณหรอก” ไคม์ปฏิเสธคำชวนอย่างสุภาพ สิ่งที่ปีศาจเลขาสนใจจริงๆ นั้นเห็นจะมีแต่เอกสารข้อมูลตัวแทนของผู้เข้าแข่งขันฝั่งเซฟิลบนโต๊ะข้างๆ ตัวนักฆ่าหนุ่มก็เท่านั้น

“ถ้าอยากได้ก็เอาไปเลย ผมขี้เกียจอ่านแล้ว” เจ้าของน้ำเสียงกึ่มๆ ได้ที่กล่าว ไคม์จึงได้เข้าไปหยิบเอกสารพวกนั้นมาอย่างเต็มใจ พลันสายตาก็เห็นกระดาษบางแผ่นที่โดนพับเป็นรูปดวงดาวอย่างสวยงาม

“พับเก่งดีนี่ครับ” เอ่ยชมไปอย่างนั้น พอได้ปึกกระดาษมาก็ปลีกตัวออกห่างจากชายหนุ่มนักฆ่าทันที “ระวังอย่าดื่มมากเกินไปนะครับ เดี๋ยวคุณชเนย์กลับมาเห็นสภาพดูไม่ได้ของคุณเข้าจะถูกเอ็ดเอา”

“ขอบใจที่เตือน” อเวเค่นโบกมือไล่ทั้งที่อยากชูนิ้วกลางให้เลขาปีศาจของเจ้านรกรีบๆ ออกไป

“ราตรีสวัสดิ์ครับ” ไคม์จ้องท่าทางอวดดีของคนที่หาได้กลัวปีศาจที่มีอำนาจเหนือกว่า แต่ก็เลิกที่จะถือสากับมนุษย์ตัวจ้อยที่ยังคงเหมือนเดิมตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกันไม่เปลี่ยน

หลังเสียงฝีเท้าเดินหายไปในความมืดเหลือเพียงแสงไฟจากในห้องครัวที่ยังคงเปิดสว่าง นักฆ่าผมแดงยังคงดื่มต่อคนเดียวเงียบๆ จนกระทั่งไวน์ชั้นเลิศหมดขวดแล้วจึงได้พาตัวเองกลับไปที่ห้องพัก

“ฝันดีนะ เคน” เขากล่าวกับตัวเอง หยดน้ำตาสายเล็กๆ รินรดข้างแก้มพร้อมกับที่ดาวตกดวงสุดท้ายลาลับฟ้าไป คืนนี้เขาไม่ขอรับรู้เรื่องราวใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้น ขอให้ตัวเองหลับฝันไปแล้วตื่นขึ้นมาเจอพ่อครัวคนเดิมที่ยิ้มให้พร้อมกับเสิร์ฟอาหารเช้าแสนอร่อยอย่างทุกทีแค่นั้นก็พอแล้ว

 

*

 

เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่อาจรู้ แต่เมื่อฝนดาวตกกลุ่มสุดท้ายจากไป ร่างสูงใหญ่ก็ค่อยๆ ลอยตัวลงมาจากท้องฟ้าอย่างช้าๆ จนกระทั่งเท้าเหยียบพื้นปราสาทหิน

“ถึงแล้ว” น้ำเสียงทุ้มกล่าว ชเนย์ยังคงกอดเจ้านรกเอาไว้ราวกับอยากจะให้ทุกอย่างหยุดอยู่แค่ที่ตรงนี้ตลอดไป

แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้...

“ผมรู้สึกไม่ค่อยสบาย...” ชเนย์ทำท่าคล้ายกับมึนหัว คงเพราะร่างกายปรับตัวไม่ทันกับการขึ้นไปบนที่สูงและกลับลงมาภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เจ้านรกจึงอุ้มพากลับเข้าไปด้านในปราสาทและไปส่งถึงห้องพักก่อนจะค่อยๆ วางลงบนเตียงอย่างเบามือ พร้อมกับถอดแว่นสีเข้มออกมาและจุมพิตหน้าผากนั้นเบาๆ

“ราตรีสวัสดิ์ เด็กน้อยของข้า”

ความรู้สึกอบอุ่นภายใต้สัมผัสบางเบาจึงทำให้อีกคนหลับตาพริ้มและหลับไปอย่างง่ายดาย