เวลาล่วงเลยไปถึงเที่ยงคืนกว่าที่ชเนย์จะเริ่มสงบใจลงได้บ้าง ทีแรกอเวเค่นก็ตั้งใจว่าจะปล่อยให้ทั้งตนและอีกฝ่ายนอนกอดกันอยู่อย่างนี้ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อตอนหัวค่ำยังไม่ได้อาบน้ำเพราะเมาหลับอยู่ในห้องครัว และเดาว่าคนที่อยู่ข้างกายตนก็คงเหมือนกัน

“คุณลุกไหวมั้ย?”

“ทำไมเหรอครับ?”

“ผมจะพาไปอาบน้ำ แต่ถ้าไม่ไหวเดี๋ยวจะเช็ดตัวให้แทน”

“...อุ้มหน่อย”

“ห้ะ?”

“อุ้มพาผมไปอาบน้ำทีสิครับ” ชเนย์เอ่ยเสียงอ้อนและเงยหน้าที่ซุกอยู่กับอกอีกคนขึ้นมา

“ได้ แต่ถ้าผมทำคุณร่วงแล้วเจ็บตัวหนักกว่าเดิมอย่ามาว่ากันนะ”

“ล้อเล่นครับ” จู่ๆ ก็อาการดีขึ้นมาเสียดื้อๆ แม้จะลุกอย่างเชื่องช้าแต่ก็ยังพอจะประคองตัวเองขึ้นมาได้ และจัดแจงใส่เสื้อผ้าให้เหมือนปกติที่สุดก่อนจะค่อยๆ เดินไปห้องอาบน้ำกันเอื่อยๆ แน่นอนว่าดึกดื่นป่านนี้ก็คงไม่มีใครมาใช้ห้องอาบน้ำอยู่แล้ว

“เดี๋ยวผมตามไปนะครับ” ชเนย์ขอแยกไปห้องน้ำส้วนตัวเพื่อจัดการเอาอะไรๆ ที่ยังคั่งค้างในตัวออกก่อน

“โอเค” อเวเค่นตอบตกลงตามนั้นและเข้าไปในห้องถอดเสื้อผ้าออก พลันดวงตาสีทองเหลือบไปเห็นตะกร้าใส่ผ้าของคนอื่นอยู่ด้วย ดึกขนาดนี้ยังอุตส่าห์มีคนมาใช้ห้องอาบน้ำอีก

“ว่าแต่ เสื้อผ้าพวกนี้ดูคุ้นๆ แฮะ”

พอลองแอบส่องดูก็นึกออกว่าเป็นชุดของใคร นักฆ่าหนุ่มก็พลันถอนหายใจออกมาทันที เขาเปิดประตูห้องอาบน้ำเข้าไปและก็ได้เห็นด้านหลังของคนที่แช่น้ำอุ่นอยู่คนเดียวในสระน้ำขนาดใหญ่

ไคม์ที่นั่งพิงขอบสระอยู่ก่อนหันหลังมาดู และทำหน้าเซ็งไปครู่หนึ่ง

“เครียดเรื่องอะไรอยู่เหรอถึงได้หนีมานั่งแช่น้ำกลางดึกแบบนี้?” อเวเค่นทำเสียงกวนประสาทก่อนลงไปแช่ที่อีกฝั่งของสระกว้าง ความเงียบทำให้ได้ยินคำถามนั้นชัดเจนแม้จะเอ่ยด้วยระดับเสียงปกติ

“ข้าไม่เหมือนกับเจ้าหรอกนะ” ไคม์แอบเหน็บคนหาเรื่องแถมยังเรียกด้วยสรรพนามแทนตนและอีกฝ่ายต่างจากเวลาปกติ “ข้ามีภาระที่ต้องจัดการมากมาย ไม่ได้ว่างถึงขนาดจะมาแช่น้ำอย่างสำราญใจเล่นๆ ได้ทุกครั้งที่ใจอยากหรอก”

“ดูท่าจะโดนเจ้านายโบ้ยงานไปให้ทำหมดเลยล่ะสิ” ชายหนุ่มนักฆ่าพอจะเดาได้จากเวลาว่างอันเหลือเฟือของเจ้านรกที่เอาแต่ทำตัวเหลวไหลเดินเตร่ไปเตร่มาในปราสาทซะขนาดนั้น

“ถึงใต้เท้าจะอยากทำเองแต่ข้าก็ไม่ไว้ใจคนคนนั้นอยู่ดี...” ไคม์ลุกขึ้นจากน้ำแม้จะพูดไม่จบประโยคดี “ข้าหมดอารมณ์สุนทรีย์แล้ว ขอตัว”

“ไปโดนเค้าว่าอะไรมาล่ะ ถึงได้ไม่ทำท่าอวดดีเหมือนเดิมแล้ว” อเวเค่นทำเสียงหยอกล้อไม่เกรงกลัวปีศาจตรงหน้า

“หึหึ...ข้าเคยบอกแล้วว่าไงว่าถ้าเกิดเจ้าเข้ามาก้าวก่ายข้าจะกำจัดเจ้าซะ แน่นอนว่าข้าก็ยังยืนยันคำเดิมนะ มนุษย์” สายตาเอาจริงจนน่าขนลุกเหลือบมองผ่านบ่ามาหาอเวเค่นและตวัดกลับไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ร่างนั้นจะเดินออกนอกประตูก็พบเข้ากับชเนย์ที่ค่อยๆ เดินตามเข้ามาพอดี

“อ่ะ...อ้าว... สวัสดียามดึกครับคุณไคม์”

ไร้เสียงตอบจากปีศาจเลขาที่เดินสวนไป มีแค่สายตาคาดเดาความคิดไม่ได้ส่งมาให้พร้อมรอยยิ้มเท่านั้น

“คุณไปแกล้งอะไรคุณไคม์เค้ารึเปล่า?” ชเนย์หันมาถามคนที่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คนที่เพิ่งเดินออกไปทำหน้าหงุดหงิด

“ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยสักหน่อย” อเวเค่นยักไหล่ ก็แค่พูดเท่านั้นยังไม่ได้ทำอะไรจริงๆ นี่นา

“คุณนี่น้า...” ร่างสูงโปร่งส่ายหน้าเอือมนิดๆ ดูท่าทางสองคนนี้คงจะญาติดีกันไม่ได้ง่ายๆ ชเนย์หย่อนตัวลงไปแช่น้ำ รอจนร่างกายปรับเข้ากับอุณหภูมิน้ำได้ก็เริ่มรู้สึกสบายตัว

“ถ้ามีเหล้าด้วยคงจะดีไม่น้อย” อเวเค่นเอนตัวพิงขอบสระสบายใจ

“ถ้าเมาแล้วจมน้ำอีกคราวนี้ผมไม่อุ้มขึ้นจากสระแล้วนะ” ดูจากสภาพของตัวเองตอนนี้ ต่อให้อุ้มไหวแต่เขาคงทำได้แบบทุลักทุเลสุดๆ เป็นแน่

“ว่าแต่ทำไมเอาออกไวจัง?” คนถามเปลี่ยนจากเรื่องเหล้าไปเป็นเรื่องใต้สะดือ

“แล้วคุณอยากจะให้ผมอธิบายวิธีเอาออกมั้ยล่ะครับ?”

“ไม่เป็นไร” อเวเค่นรู้สึกเหมือนเปลี่ยนเรื่องมาเจอเรื่องที่ไปไม่ถูกกว่าเดิม “เออ...เห็นครั้งก่อนคุณเคยบอกว่ามีน้องสาวนี่ เธอน่ารักรึเปล่า?”

“หยุดแม้แต่จะคิดเลยครับ”

“โธ่...ที่ผมถามนี่ไม่ใช่เพราะจะไปจีบเธอสักหน่อย ทำเป็นพี่ชายขี้หวงไปได้” อเวเค่นพูดเย้าแหย่แกล้งอีกฝ่ายเล่น

“ถึงจีบไปก็คงไม่ติดหรอกครับ ผู้ชายแบบคุณไม่ใช่สเป็กของน้องสาวผม” คนเป็นพี่ชายตัดช่องไม่ให้คนที่แช่น้ำอยู่ด้วยกันคิดไม่ซื่อกับน้องสาวของตน

“ว้า...” เจ้าของเสียงทำท่าเสียดายนิดๆ จนชเนย์ต้องมาเอ็ดเสียงดุ

ไหนว่าไม่คิดจะจีบ!

“ผมล้อเล่นหรอกน่ะ ใครจะจีบน้องสาวของคนที่ตัวเองชอบกัน” ดวงตาสีทองหันมาส่งสายตาพร้อมกับยิ้มหวานให้ ทำเอาคนมองต้องหันหน้าหลบสายตาเพราะเขิน

“ว่าแต่มีพี่น้องนี่ดีจังเลยนะ...” อเวเค่นเอ่ยเสียงเบากว่าทุกที “ผมอยู่ตัวคนเดียวเลยไม่รู้ว่าการมีพี่น้องมันดีหรือเปล่า คุณเคยทะเลาะกับน้องสาวบ้างมั้ย?”

“อา...ก็มีบ้างแหละครับ”

“เล่าให้ฟังหน่อยสิ ผมอยากรู้เรื่องของคุณอีกเยอะๆ” อเวเค่นขยับตัวเข้ามาฟังใกล้ๆ แววตาสีหม่นสบเข้ากับตาสีทองอย่างระแวดระวัง

“ก็ได้ครับ แต่ผมไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี”

“เล่าแค่ที่คุณอยากให้ผมรู้ก็พอ”

“ถ้าเป็นช่วงที่ยังอยู่บ้านเก่าก็ตามที่ผมเคยเล่าแหละครับ พอพวกเราออกมาจากบ้านหลังนั้นแล้วก็ต้องยิ่งต้องพึ่งพากันมากกว่าเดิมอีก” แล้วชเนย์ก็ยอมเล่าตามที่อีกคนรบเร้า เขายิ้มแห้งให้และเงยหน้ามองเพดานที่ถูกเจาะเป็นรูปทรงประหลาดให้มองเห็นท้องฟ้าได้ “พวกเรามีกันและกันแค่สองคนเท่านั้นแหละครับ แถมมีชะตากรรมเดียวกันอีก คนที่น้องสาวผมรักที่สุดก็ตายไปพร้อมกับอาจารย์ของผมด้วย แต่ว่าเธอน่ะเข้มแข็งกว่าผมเยอะเลย”

“ไม่ขี้แงสินะ” อเวเค่นพูดหยอกขัดคอคนเล่า จนอีกฝ่ายหันมามองค้อนเบาๆ

“ไม่เชิงหรอกครับ ก็ตามประสานักดาบน่ะ เธอไม่แสดงความอ่อนแอให้ประชาชนเห็นเพื่อที่พวกเขาจะได้รู้สึกปลอดภัยไง”

“น...นักดาบ” จากที่กำลังจินตนาการถึงน้องสาวตัวเล็กๆ น่ารักที่พี่ชายหวงแหนเหมือนไข่ในหิน อเวเค่นหันไปมองขนาดตัวของชเนย์แล้วเริ่มคิดใหม่ว่าคนที่กำลังอยู่ในหัวข้อสนทนาถึงอาจจะไม่ได้จิ้มลิ้มเหมือนตุ๊กตาดั่งที่คาดเดาไว้ “คุณน้องสาวนี่เหมือนกับคุณรึเปล่า? ผมหมายถึงรูปร่างหน้าตา...”

พอพูดมาถึงตรงนี้ ชเนย์ก็แผ่คลื่นรังสีพี่ชายออกมาจนอเวเค่นรู้สึกหนาวสันหลังนิดๆ ทั้งที่ในห้องอาบน้ำออกจะอุ่นจนแทบร้อน

“...ผมว่าผมขึ้นก่อนดีกว่า” นักฆ่าจอมกะล่อนหาทางหนีให้ตัวเอง แต่คุณพี่ชายผู้กำลังของขึ้นคว้าแขนอีกคนไว้ได้ทัน

“จะรีบไปไหนครับคุณอเวเค่น...” น้ำเสียงเย็นยะเยือกผิดกับอุณหภูมิห้องอย่างไม่ต้องสงสัย “คุณบอกว่าหิวจนไส้กิ่วอยู่ไม่ใช่เหรอ? เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จแล้วผมจะหาอะไรมายัดปากนั่นให้กินเองนะครับ”

ดวงตาสีทองส่งสายตามาให้คล้ายจะขอร้องว่าให้ช่วยเบาๆ มือกับกระเพาะของเขาหน่อย

 

*

 

แล้วทุกอย่างก็ตัดกลับมาที่ห้องครัวอีกครั้ง

“จะตายแล้ว...” หลังทานเสร็จ อเวเค่นก็ฟุบหน้าแนบลงไปกับโต๊ะและเอามือกอดตัวเองเหมือนผู้หญิงปวดท้องรอบเดือน

“โอเว่อร์แอ็คติ้งมากไปแล้วครับ” ชเนย์แกล้งพ่นควันจากไปป์ใส่หน้า ทำเอาคนได้กลิ่นสำลักควันนิดๆ

อาหารมื้อดึกที่ควรจะเป็นอะไรเบาๆ อุ่นท้อง กลับเป็นต้มยำกุ้งที่แสนแสบร้อนเกินปกติ แม้จะอร่อยแค่ไหนก็ตาม ทว่าสำหรับกระเพาะที่ค่อนไปทางว่างเปล่าก็ไม่ต่างกับการทรมานตัวเองนั่นแหละ

แต่ถึงอย่างนั้นก็อร่อยอยู่ดี! โธ่โว้ย!

ชเนย์ที่นั่งรับลมอยู่ตรงหน้าต่างที่ประจำบานเดิมพร้อมไปป์กลิ่นหอมในมือราวกับรู้สึกสบายใจที่ได้ทำอะไรแก้เผ็ดอีกคนบ้าง

“ชักเริ่มง่วงอีกรอบแล้วสิ” พ่อครัวเริ่มหาวหวอดในขณะที่นักฆ่าหนุ่มนั่งกุมท้องเหงื่อตกด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดกับความอิ่มหนำที่แสบร้อนนี้

“ทำอาหารอร่อยจนหยุดกินไม่ได้ แถมยังกินไปด้วยทรมานลิ้นกับกระเพาะไปด้วย...คุณนี่มันปีศาจชัดๆ” อเวเค่นเอ่ยคำพูดที่ทั้งชมและประชดในทีเดียว

“ขอบคุณที่ชมนะครับผม” ชเนย์ค้อมหัวรับคำด่าด้วยน้ำเสียงและท่าทีสุดกวนประสาท และแม้ว่ามันจะเผ็ดจนคนกินลิ้นห้อย แต่อเวเค่นก็ทานต่อจนหยดสุดท้าย น้ำตากับน้ำมูกไหลจนใบหน้านั้นดูเหมือนเด็กที่เพิ่งจะร้องไห้เพราะโดนแกล้งมาหมาดๆ

“เคยเป็นคุณหมอจริงรึเปล่าเนี่ย นิสัยไม่ดีเลย” อเวเค่นแกล้งบีบน้ำตาเล่นละครให้เห็นใจ แต่ครั้งนี้ชเนย์ไม่ใจอ่อน อย่าหวังเลยว่าจะยอมยกโทษให้ง่ายๆ

“อย่าเรียกผมว่าคุณหมอสิครับ ฟังแล้วจั๊กจี้พาลให้นึกถึงเวลาทำเรื่องไม่ดีเอา” ชเนย์เดินมาเก็บจานไปล้าง

“เห็นอย่างนี้คุณก็หื่นเอาเรื่องอยู่นะเนี่ย” อเวเค่นหันหน้าที่ฟุบอยู่กับโต๊ะไปทางอื่น ชเนย์ในชุดคุณหมอเองก็คงจะน่ามองไปอีกแบบ...หยุดคิดเดี๋ยวนี้

ชเนย์แอบเหล่มองผ่านไหล่ก่อนจะเคาะหัวเพื่อปรามให้อีกคนหยุดปากดี ก่อนที่อาหารมื้อเช้าจะกลายเป็นเกมลงโทษที่หนักหนากว่าไอ้ที่เพิ่งกินไปเมื่อครู่นี้

“ไม่ได้หื่น แค่มันทำให้ผมนึกถึงพวกคนในอาชีพนั้นที่ผมเคยผ่านมาแล้วน่ะ แน่นอนว่าไม่ใช่ความทรงจำที่ดีเท่าไหร่”

“ยังไง?”

“ตอนเด็กๆ ผมเคยถูกข่มขืนครับ...” ชเนย์ไม่ได้หันมามองอเวเค่นที่นั่งฟังอยู่เพื่อดูว่ามีปฏิกิริยายังไง แต่ความเงียบนั้นเป็นคำตอบอย่างดี

ไม่น่าหลุดพลั้งปากเลย อีกฝ่ายคงรับเรื่องของเขาไม่ได้แหง...

“อยากเล่าต่อมั้ย?” ชายหนุ่มนักฆ่าถาม พอชเนย์หันหน้ากลับมาถึงได้เห็นว่าอีกคนสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “อะไรที่คุณไม่อยากนึกถึงมันก็ไม่ต้องฝืนเล่าหรอก แต่ถ้าคุณอยากเล่าผมก็พร้อมจะฟังนะ”

“แน่ใจนะครับ คุณอาจจะไม่รู้สึกดีๆ กับผมอีกหลังจากที่ผมเล่าจบเลยก็ได้นะ” ชเนย์เอาจานไปวางไว้ที่อ่างแล้วหันมาพูดเป็นการลองเชิงดูว่าอีกฝ่ายจะรับได้กับอดีตของเขาหรือไม่

“นั่นสินะ...จะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงโกหก แถมดีไม่ดีก็อาจทำใจรับได้ยากหน่อย” อเวเค่นยืดตัวขึ้นมานั่งหลังตรง “แต่ยังไงผมก็ยังอยากฟังเรื่องของคนที่ผมชอบอยู่ดี”

ดวงตาสีหม่นทั้งเขินในคำพูดแต่ก็ลังเล ถ้าพูดออกไปแล้วอีกคนจะมองเขาเหมือนคนอื่นๆ ที่เคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้รึเปล่านะ

“...จะเรียกว่าตอนนั้นผมโดนหลอกก็ได้ครับ คนที่ล่อลวงผมไปเป็นบาทหลวงคนสนิทของพ่อผม” ชเนย์อยากลองเสี่ยงดูจึงยอมเล่าออกมา “ตั้งแต่นั้นผมก็ถูกข่มขู่มาตลอด หลังจากนั้นก็มีทั้งผู้ช่วยหมอที่ทำงานในวัง หัวหน้าทหาร แล้วก็พวกคนใหญ่คนโตอีกเยอะเลยที่เกลียดพ่อผมแต่ทำอะไรไม่ได้เลยเอามันมาลงที่ผมแทน เป็นแบบนั้นอยู่เกือบปี จนกระทั่งเรื่องมันไปเข้าหูคนในวังเข้า คนพวกนั้นก็เลยถูกลงโทษด้วยการถูกสั่งย้ายไปที่อื่นกันหมดน่ะครับ”

“...นอกจากผมแล้ว คุณเคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังอีกรึเปล่า?”

“ก็มีบ้างนะครับ คนอื่นที่เคยคบหากันก่อนหน้านี้เคยมาถามผมแบบนี้เหมือนกัน แต่นอกจากความเห็นใจแล้วดูเหมือนพวกเขาจะรับไม่ได้เท่าไหร่”

หลังเอ่ยจบอเวเค่นก็เงียบไปสักพักใหญ่ แต่ชเนย์ก็คาดเดาเอาไว้แต่แรกแล้วว่าจะต้องเป็นแบบนี้

“โทษของคนพวกนั้นเบาซะจนน่าโมโหเลยนะ ทำลายชีวิตคนทั้งคนแต่ก็ยังเชิดหน้าต่อได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

“ไม่น่าแปลกใจหรอกครับ เพราะแต่ละคนที่เคยก่อเรื่องไว้ก็มีคนหนุนหลัง กฎหมายเลยเอาผิดคนพวกนั้นไม่ได้”

“...ขอบคุณที่เล่าให้ฟังนะ” อเวเค่นยันมายิ้มให้ ดวงตาสีหม่นของร่างสูงโปร่งฉายแววประหลาดใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงยิ้มออกมาได้แบบนั้น แถมยังยิ้มได้น่าขนลุกอีกด้วย

“คุณยิ้มทำไมน่ะครับ?” เขาอดสงสัยไม่ได้ หลายคนที่ฟังเรื่องของเขามักจะทำหน้าเห็นใจหรือไม่ก็รู้สึกสงสารที่เขาเจอเรื่องเลวร้ายมาแบบนั้น

“ผมรู้แล้วล่ะว่าถ้าจบการแข่งนี้แล้ว เรื่องต่อไปที่ผมจะทำคืออะไร”

ตอนแรกชเนย์ก็ทำหน้างง แต่พอนึกขึ้นได้ว่าคนตรงหน้าทำอาชีพอะไรก็ยกมือขึ้นจับบ่าแล้วเขย่าตัวอีกคน

“อย่าแม้แต่จะคิดนะครับ ถ้าคุณไม่อยากเดือดร้อนล่ะก็”

“ผมยังไม่ทันได้พูดเลย คุณรู้เหรอว่าผมจะทำอะไร?”

“สักวันผมจะจัดการคนพวกนั้นด้วยมือผมเองครับ เข้าใจตามนี้นะ”

“ชิ...” อเวเค่นเบ้ปากเล็กน้อยอย่างนึกขัดใจ

“คุณเป็นคนแรกเลยนะที่โกรธแทนผมขนาดนี้เนี่ย”

“หรือคุณอยากให้ผมร้องไห้เห็นใจคุณมากกว่างั้นเหรอ?” อเวเค่นย้อนถาม

“เปล่าครับ ไม่ใช่แบบนั้น...” ขณะที่ชเนย์ยังสับสนอยู่ อีกฝ่ายก็ลุกขึ้นยืนแล้วดึงคอเสื้อเขาลงมาแล้วจูบที่ข้างแก้มไม่ให้ทันตั้งตัว

“อะไรเนี่ย? ปลอบใจผมเหรอ?” ยังไม่ทันจะหายงง อเวเค่นก็ดึงให้ชเนย์โน้มตัวลงมาแล้วสวมกอด ยิ่งทำให้คนถูกกอดสับสนทำอะไรไม่ถูก

“คุณเข้มแข็งมาก ผมดีใจนะที่คุณยังมีชีวิตอยู่ตรงนี้ อดทนจนผ่านเรื่องเลวร้ายพวกนั้นมาได้แล้วก็มาอยู่ตรงหน้าผม”

“...ขอบคุณนะครับ” ร่างสูงโปร่งตอบรับอ้อมกอดที่อบอุ่นกว่าที่เคย อีกฝ่ายยกมือตบหลังเขาเบาๆ เหมือนกำลังปลอบ ทำให้ชเนย์แอบเขินกับท่าทีที่อีกฝ่ายปฏิบัติกับเขาเหมือนเด็กๆ

“คืนนี้ดึกมากแล้ว กลับห้องเถอะเดี๋ยวคุณจะนอนไม่พอเอาได้”

“...เล่าเรื่องของคุณให้ผมฟังบ้างสิครับ คิดซะว่าแลกเปลี่ยนกันไง ผมยังไม่ค่อยรู้เรื่องของคุณเลย”

“หือ? เรื่องนั้นเอาไว้วันหลังดีกว่ามั้ย?” คนพูดกล่าวพลางมองนาฬิกาที่เลยตีสองไปแล้ว

“ถือว่าเป็นนิทานกล่อมนอนก็ยังดีนะครับ”

ลองพูดแบบนี้แสดงว่าคงไม่ได้คิดจะกลับไปนอนที่ห้องตัวเองคนเดียวแน่ๆ

“งั้นก็...เรื่องก่อนที่ผมจะมาเป็นนักฆ่าก็แล้วกัน แต่ฝันร้ายขึ้นมาผมไม่รู้ด้วยหรอกนะ”

“เดี๋ยวไปขอตาข่ายดักฝันมาไว้หัวเตียงละกันครับ”

อเวเค่นอยากถามว่าจะไปเอาของแบบนั้นมาจากไหน แต่ชเนย์ก็ก้มลงจูบกลางหน้าผากเขาและหยิบฉวยเอาขวดที่ว่างเปล่าไปเก็บซะก่อน

 

*

 

ทั้งสองมาที่ห้องพักของพ่อครัวจำเป็น อเวเค่นนั่งกึ่งนอนเอนพิงหมอนและเริ่มเล่าเรื่องของตัวเอง เป็นช่วงหลังจากตอนที่รู้ว่าตนนั้นความจำเสื่อม

ตอนนั้นเขาอายุประมาณสิบกว่าขวบ ในเมืองที่เขาอาศัยอยู่นั้นมีปัญหาเรื่องความเป็นอยู่แร้นแค้น ความยากจน ผู้คนอดอยาก เรียกว่าแต่ละวันแทบไม่มีจะกินพวกคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นก็มีแต่พวกเด็กๆ ที่สูญเสียครอบครัวไปและคนแก่ถูกทิ้งมารวมกัน

ตัวเขาที่เป็นเด็กผู้ชายซึ่งถือว่าอายุมากที่สุดในจำนวนเด็กทั้งหมด เขารับหน้าที่หาอาหารที่ได้จากการเข้าไปขโมยในเมืองอื่นมาแบ่งให้ทุกคนไม่ต้องอดตาย เขาทำอยู่นานจนวันหนึ่งถูกจับได้ว่าแอบเข้าไปขโมยเนื้อในร้าน

แต่แทนที่จะถูกจับส่งเข้าตะราง เขากลับได้รับความสงสารจากเจ้าของร้านกลับมาแทน และได้งานเป็นลูกจ้างของร้านนั้นแลกกับค่าแรงและอาหารที่เหลือแต่ละวันของที่ร้านให้เอากลับไปแบ่งแจกจ่ายให้ทุกคนได้ทานกันคนละเล็กคนละน้อยทุกวัน ทำให้พอจะประทังชีวิตอยู่ได้ไประยะหนึ่ง ทั้งที่คิดว่าต่อไปอะไรๆ ก็คงจะเริ่มดีขึ้น แต่กิจการร้านอาหารก็แย่ลงทุกวันและเจ้าของร้านก็มีหนี้สินก้อนโตเพราะไปกู้เงินพวกปล่อยเงินกู้นอกระบบ

ตอนนั้นเขาไม่เข้าใจหรอกว่ามันคืออะไรแต่พอเขาเห็นพวกนั้นส่งคนทวงหนี้มาอาละวาดพังข้าวของในร้าน เขาพยายามจะปกป้องเจ้าของร้านเลยพยายามต่อสู้ แต่เด็กตัวเล็กๆ อย่างเขาก็สู้แรงพวกนักเลงตัวโตไม่ได้อยู่ดี เขาก็เลยตัดสินใจโง่ๆ ด้วยการไปหยิบมีดในครัวมาตั้งใจจะใช้ขู่พวกนั้น และลงเอยที่เขาโดนซ้อมถูกอัดอย่างไม่ปรานี ตอนที่คิดว่าจะโดนฆ่าตายแน่ๆ ในตอนนั้นหัวของพวกมันก็กระเด็นหลุดไปต่อหน้าต่อตา เลือดพุ่งกระฉูดไปทั่วทั้งร้าน พวกนักทวงหนี้ทุกคนตายในเวลาไม่ถึงห้านาที และคนที่จัดการพวกนั้นก็คือนักฆ่าที่เจ้าของร้านตั้งใจจ้างมาเพื่อเล่นงานพวกนั้น

เขาเคยคิดมาตลอดว่าเจ้าของร้านเป็นคนแสนดีมีน้ำใจ แต่พอมนุษย์เราอับจนหนทางก็ทำได้ทุกอย่างแม้แต่จ้างวานฆ่าเพื่อให้ตัวเองรอด หลังจัดการพวกนั้นเสร็จเรียบร้อยนักฆ่าได้ทวงเงินที่เหลือจากเจ้าของร้านแต่เงินขาดไม่พอจ่ายให้ครบ แม้จะอ้อนวอนว่าจะรีบหาเงินค่าจ้างที่เหลือมาให้แต่เจ้าของร้านก็โดนเก็บตามไป ตัวเขาที่ยังนั่งช็อคตัวสั่นกับเหตุการณ์ตรงหน้า สำนึกของเด็กรู้แค่ว่าตัวเองอาจจะถูกเก็บเป็นรายต่อไป

เขาหลับตาเตรียมใจที่จะตาย แต่นักฆ่ากลับไม่ลงมือและยังถามเขาว่าทำไมถึงไม่ร้องขอชีวิตหรือหนีไป เขาสับสนแทบตายว่าจะถามไปทำไมแต่จำได้ว่าตอนนั้นเขาพูดว่าถึงหนีก็คงไม่รอด และต่อให้รอดก็คงต้องไปเป็นโจรขโมยของเหมือนเดิมเพราะตัวเขาเป็นเด็กไร้หัวนอนปลายเท้าไม่มีใครคิดจะจ้างเขาทำงาน พูดมาถึงตรงนี้นักฆ่าก็เปลี่ยนใจและถามเขาว่า

‘จะมาด้วยกันมั้ย ถ้าอยากจะมีชีวิตรอดก็ตามมา’

ตัวเขาในตอนนั้นนั่งนิ่งอยู่นานในหัวสมองว่างเปล่า และก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงวิ่งไล่ตามหลังของคนที่ฆ่าผู้มีพระคุณไปอย่างไม่รู้สึกเสียใจว่าจะเดินกลับมายังเส้นทางเดิมไม่ได้อีกแล้ว

พอเล่ามาจนถึงตรงนี้อเวเค่นก็ขอพักไว้ก่อนเพราะเล่าจนคอแห้ง และเขาก็ง่วงนอนเกินกว่าที่จะเล่าเรื่องต่อจากนี้แล้วด้วย

“น่ากลัวรึเปล่า?” ร่างเล็กกว่าหันมาถาม แน่นอนว่าชเนย์ส่ายหน้าและยังสงสารเขาอีกด้วย “ถ้างั้นก็นอนกันเถอะ”

บรรยากาศแสนอบอุ่นปกคลุมทั่วห้อง ความนึกคิดในจิตใจที่อยากจะมีชีวิตอยู่ของทั้งสองคนเริ่มมีมากขึ้นแทนที่ความคิดที่หมดอาลัยตายอยากเหมือนอย่างในคราแรกที่มายังที่แห่งนี้