“ทำหน้าเหมือนไม่พอใจเลยนะ” เจ้านรกยักคิ้วให้เหมือนทุกที อเวเค่นทำเมินหันมามองชเนย์ที่นอนหอบสั่นอย่างหมดแรง ร่างกายมีแต่รอยจูบและรอยกัดนับไม่ถ้วน แน่นอนผลงานกว่าครึ่งไม่ได้มาจากตัวเขา

ชเนย์หมดสติไปแทบจะทันทีหลังจากเสร็จกิจอันหนักหน่วง เจ้านรกอุ้มเอาร่างอ่อนแรงนั้นให้มานอนบนโซฟากว้างอย่างทะนุถนอมผิดกับการวางตัวที่ผ่านมา

“ผิดคาดนะ นึกว่าคุณจะสนใจแค่ได้เล่นสนุกซะอีก” อเวเค่นนั่งลงบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยขวดเหล้าตรงหน้านั้นโดยไม่สนว่ามันจะสมควรหรือไม่ พลางทอดสายตามองมือหนาที่วาดผ่านตัวอีกคน ก่อนที่รอยช้ำทั้งหมดจะหายไปในพริบตา

“โห สะดวกดีจังนะนั่นน่ะ”

“พวกมนุษย์ใช่ว่าจะมีเวทมนตร์รักษาตัวเองได้ทุกคนนี่นะ มันก็น่าเห็นใจอยู่” พูดจบก็ถอดเสื้อคลุมของตัวเองห่มร่างเปลือยเปล่านั้นไว้ คำพูดกับการกระทำช่างดูย้อนแย้งกันจริงๆ

หลังจัดแจงเนื้อตัวเรียบร้อย เจ้านรกก็นั่งแผ่สบายอารมณ์และหยิบเหล้าอีกขวดมายกดื่มเหมือนเมื่อครู่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น

“ไม่นึกว่าเจ้าจะยอมมาร่วมวงจริงๆ ขอบใจนะที่ทำให้เรื่องมันสนุกขึ้น”

“ผมไม่ได้ทำเพื่อคุณสักหน่อย” อเวเค่นเปิดเหล้าอีกขวดโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะดื่มไปมากแล้ว

“เอาเป็นว่าข้าได้ประโยชน์ทางอ้อมละกัน” รอยยิ้มอารมณ์ดีผิดวิสัยและสถานะที่ทำให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดเกินจำเป็นกลับยิ่งทำให้อเวเค่นครุ่นคิดหนักขึ้นไปอีก “อยากจะถามอะไรก็ถามมาเถอะ สีหน้าของเจ้ามันปกปิดเอาไว้ไม่อยู่หรอก”

“ผมล่ะเดาไม่ออกจริงๆ ว่าคุณชอบหรือว่าเกลียดมนุษย์กันแน่”

เมื่อเปิดให้ถามอเวเค่น เขาก็เอ่ยถามออกมาไม่ให้เสียโอกาส การกระทำหลายอย่างมันทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายจัดการแข่งขันโดยมีวิญญาณของมนุษย์จำนวนมากบนเกาะเซฟิลเป็นตัวประกัน แต่ไอ้ที่ทำอยู่เมื่อครู่ก็เหมือนไม่ได้รังเกียจการเสพสังวาสกับมนุษย์ แถมตอนนี้ยังมานั่งจับเข่าคุยกับเขาอีก

“ชอบหรือเกลียด นั่นมันก็ต้องแยกเป็นกรณีไป”

เจ้านรกยกเหล้าออกจากปากก่อนจะถือไว้พลางสบมองดวงตาสีทองที่ไม่เคยกลัวอะไร “ข้าถามกลับนะ แล้วมนุษย์อย่างเจ้าล่ะชอบมนุษย์ทุกคนบนโลกรึเปล่า?”

“เล่นโยนคำถามกลับมาแบบนี้ขี้โกงจริง” ว่าจบชายหนุ่มผมแดงก็ยกดื่มมันทั้งขวด ส่วนที่หกออกจากมุมปากไหลออกแต่ก็ไม่คิดใส่ใจ

เจ้านรกแอบมองรอยน้ำหยดนั้นเพียงเสี้ยววินาทีก่อนตวัดสายตากลับไปหาเครื่องดื่มของตน

“สำหรับพวกคุณแล้วคงมองว่าคนบนเกาะพวกนั้นแหกกฎธรรมชาติและยกโทษให้ไม่ได้ล่ะสิ”

“ข้ามาที่นี่ก็เพื่อทวงคืนวิญญาณที่ชะตาถึงฆาตหายไปจากบัญชีกลับมา ส่วนการแข่งนี่ก็แค่ต่อเวลาให้พวกมันแค่นั้นเอง ถ้าข้าเอาจริงล่ะก็เจ้าพวกนั้นไม่มีสิทธิ์ได้ต่อรองอะไรทั้งนั้น”

“นี่ขนาดต่อให้แล้วนะ” อเวเค่นยิ้มระอา

“ข้าก็แค่อยากเห็นพวกมันดิ้นรนพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อให้ตัวเองรอดเหมือนแมลง ทำอะไรไว้ก็ต้องได้รับผลมากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่าพันเท่า”

“ผมขอเปลี่ยนคำพูดแล้วกัน คุณมันโรคจิตชัดๆ สบประมาทมนุษย์แบบนี้ระวังจะขำไม่ออกทีหลังก็แล้วกัน”

“ถ้าหากฝั่งนั้นมีผู้กล้าที่ลุกขึ้นมาตะโกนแหกปากว่าจะปกป้องมนุษย์พวกนั้นโผล่มาเพื่อต่อกรกับข้า ก็หวังว่ามันจะช่วยให้เกมนี้สนุกขึ้นได้บ้างสักนิดล่ะนะ”

นักฆ่าหนุ่มยกเหล้าขึ้นกระดก เมื่อวางขวดลงก็เหลือบไปเห็นชเนย์ที่งัวเงียดันร่างตัวเองขึ้นมา เจ้านรกมองไปหาคนที่ลุกมานั่งข้างๆ แต่ท่าทางจะยังไม่สร่างและยังเมาขี้ตาอยู่เป็นแน่แท้ถึงได้ดูไม่มีสติขนาดนั้น

“ใต้เท้า...” คนง่วงเรียกเสียงเบาก่อนไถตัวเองไปนอนขดห่อตัวด้วยเสื้อคลุมจนมิดทุกส่วนในอ้อมแขนร่างสูงใหญ่ อเวเค่นเผลอยิ้มกับท่าทางงัวเงียของพ่อครัวที่แทบไม่เคยได้เห็น แต่ลึกๆ ข้างในก็เจ็บใจนิดที่ทางนั้นเลือกจะไปอยู่ข้างๆ คนตรงหน้าเขา ขวดเหล้าถูกยกดื่มอีกครั้งและอีกครั้ง ทำไมวันนี้ถึงไม่เมาสักทีนะ

“ถ้าชอบเจ้านี่ขนาดนั้นล่ะก็ข้ายกให้ก็ได้นะ”

“แค่กๆ! ...ทุเรศ! อย่ามาพูดล้อเล่นนะ!” อเวเค่นสบถด่าอย่างไม่กลัวว่าจะโดนเจ้านรกฆ่าเอาตอนนี้เลย ดวงตาสีอ่อนมองพลางหัวเราะคนที่สำลักเหล้าทันทีหลังจากที่ตนพูดจบ

“ก็เห็นทำหน้าอยากได้ซะขนาดนั้น มาขอร้องเอาทีหลังข้าไม่ยกให้แล้วนะ” ยังไม่วายแกล้งแหย่ให้คนขี้โมโหหน้าขึ้นสีแดงจัด

ช่างยุง่ายเสียจนน่าขำ

“ไม่ต้องมายุ่งแล้วก็ไม่ต้องมาทำหน้าเห็นใจกันเลย” อเวเค่นถอดเสื้อนอกที่เลอะเหล้าที่ตัวเองสำลักออกอย่างน่าเสียดาย “คุณก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าชเนย์เขา...ภักดีกับคุณแค่ไหน”

“เรื่องนั้นทำไมข้าจะไม่รู้” วงแขนข้างที่โอบร่างขดกลมไว้ยกขึ้นลูบแก้มคนหลับเบาๆ ก่อนจูบลงกลางหน้าผากค้างไว้เช่นนั้นพร้อมกับแววตาที่คาดเดาอารมณ์ไม่ได้ “น่าดีใจอยู่หรอกที่มีคนแบบนี้อยู่ แต่ขืนอยู่ด้วยกันนานกว่านี้ข้าคงหาทางทำให้เจ้านี่ไม่แก่ไม่ตายไปด้วยแน่ๆ”

“...นั่นมันก็ดีแล้วนี่ เขาเองก็คงต้องการแบบนั้น” ยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจจนต้องทำหน้าสงสัยเพื่อเค้นคำอธิบาย

“ทำแบบนั้นแล้วข้าจะถ่อมาที่นี่ทำไมกันเล่า เห็นแบบนี้ข้าก็รักษากฎของนรกเหมือนกันนะ”

อเวเค่นไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้า ทำได้แต่เพียงหมุนแก้วเหล้าข้างๆ เพื่อใช้ความคิดเท่านั้น

“อย่างน้อยก็รู้สึกดีที่คุณไม่ได้เห็นเขาเป็นของเล่นล่ะนะ”

“ถ้าข้าคิดแค่นั้นข้าจะมานั่งคุยกับเจ้าทำไมล่ะ อีกอย่างของแก้เบื่อแบบนี้น่ะข้าจะหาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้” เจ้านรกยักไหล่แล้ววางขวดเปล่าลง “แม้แต่กับเจ้าเองข้าก็อยากลองเล่นสนุกด้วยเหมือนกันนะ”

เพล้ง!

แก้วเหล้าในมือของอเวเค่นไม่ได้ลื่นหล่นลงแตกลงพื้น แต่โดนปาข้ามหัวเจ้านรกไปโดนแมงมุมสีดำขนปุกปุยที่อยู่ด้านหลังจนลงมานอนชักดิ้นชักงออยู่ที่พื้น

“บอกมือขวาคนสนิทว่าให้สั่งข้ารับใช้มาทำความสะอาดบ้างก็ดีนะ มีทั้งแมงมุมทั้งตัวอะไรไม่รู้เต็มปราสาทไปหมด” เจ้าของดวงตาสีทองเอ่ยแนะนำโดยไม่สนเรื่องที่อีกฝ่ายพูดค้างเอาไว้เมื่อครู่ อเวเค่นลุกขึ้นยืนและหยิบเสื้อนอกขึ้นพาดบ่า “ขอตัวกลับห้องก่อนล่ะ”

“เหล้ายังเหลืออีกตั้งเยอะจะรีบกลับแล้วรึ?”

“ดื่มหมดเดี๋ยวได้ตับแข็งตายกันพอดี” ชายหนุ่มผมแดงก้าวขาข้ามขวดเหล้าที่เเกลื่อนกลาดเต็มพื้นไปได้สองสามก้าว เจ้านรกก็เอ่ยทักขึ้น

“จะกลัวอะไรกับอีแค่ตายเร็วขึ้นเพราะเหล้า ยังไงชีวิตมนุษย์ก็สั้นอยู่แล้ว” เสียงทุ้มถามไล่หลัง อเวเค่นหยุดก้าวเท้าแล้วยืนนิ่งก่อนหันหน้ามาหาดวงตาสีอ่อนที่ปรายตามองมา

“...ขอถามอะไรอีกสักข้อหนึ่งสิ” น้ำเสียงที่ไร้มารยาทอ่อนลงเล็กน้อย

“ว่ามาสิ” เจ้านรกอนุญาตให้ถามได้และรอว่าอีกฝ่ายจะถามอะไร

“ถ้าผมตาย วิญญาณของผมต้องไปอยู่ในนรกของคุณด้วยงั้นสินะ?”

“ของมันแน่อยู่แล้ว” ร่างสูงใหญ่ให้คำตอบนักฆ่าหนุ่มในทันที

“...ก็ดี งั้นผมจะเลิกเหล้าซะตั้งแต่วันนี้เลยก็แล้วกัน ไม่ขอตายเร็วขึ้นแม้แต่วินาทีเดียวแล้ว” อเวเค่นสะบัดเสื้อนอกแล้วเปิดประตูห้องรับรองแขกออก “เชิญดื่มให้เมาหัวทิ่มตามสบายเถอะ แล้วก็เสียใจด้วยนะแต่ผมไม่คิดจะเป็นของเล่นแก้ขัดให้หรอก ถ้าอยากได้ก็ไปรอเอาวิญญาณของผมตอนแก่ตายก็แล้วกัน!”

ปึง!!

เสียงปิดประตูไล่หลังอย่างแรงตามด้วยเสียงเดินลงส้นเท้าอย่างเร็วจ้ำอ้าวออกไป เจ้านรกยกมือทาบหน้าตัวเองแล้วหัวเราะเสียงลั่น

“แก่ตายเหรอ? พูดอย่างกับว่าชีวิตของพวกเจ้ามันยาวนานนักล่ะ” คนที่อยู่และเห็นคนเกิดแก่เจ็บตายจนชินชามานับไม่ถ้วนพูดเสียงระรื่น เจ้านรกหันไปเหล่แมงมุมที่ชักเฮือกสุดท้ายจนกระทั่งแน่นิ่งไป

“อือ...” ร่างในอ้อมแขนขยับตัวเล็กน้อย คงเป็นเพราะที่เขาหัวเราะเสียงดังไปเมื่อครู่

“ถ้าอย่างนั้น ข้าเองก็ต้องเห็นเจ้าตายในสักวันสินะ...” วงแขนโอบร่างเล็กกว่ากระชับเข้าหาตัว การตัดสินใจว่าจะยอมรับความสูญเสียในอนาคตหรือจบลงแค่ความสนุกคั่นเวลาทำเอาแววตาทรงอำนาจอ่อนจางลงเล็กน้อย

อเวเค่นเดินเตร็ดเตร่ไร้จุดหมายไปรอบปราสาท หลายคนกำลังเตรียมตัวและอีกหลายคนก็เอ้อระเหย บรรยากาศเริ่มครึกครื้นเพราะคนที่เริ่มเข้าร่วมรบมากขึ้นตาม ตั้งแต่เมื่อไหร่นะที่รู้สึกว่ามีคนไม่คุ้นหน้ามากมายขนาดนี้

สุดท้ายเท้าก็พาเดินมาหยุดหน้าครัวที่ว่างเปล่าอีกครั้ง

“...บอกว่าจะไปพักแต่เท้าก็เดินมาที่นี่เพราะความเคยชินอีกแล้ว” อเวเค่นสบถกับตัวเอง อย่างน้อยก็เข้าไปนั่งพักหาน้ำดื่มช่วยให้ตัวเองไม่รู้สึกมึนจนเผลอล้มฟุบเพราะเมาหัวทิ่มไปก่อนจะกลับถึงห้องตัวเองก็แล้วกัน