เช้าวันรุ่งขึ้น

“นี่มันเรื่องอะไรกัน? อธิบายให้ผมฟังจะได้ไหมครับ” ไคม์กลอกตามองคนสองคนที่ไม่น่าจะอยู่ด้วยกันได้กำลังนั่งเอกเขนกรอกินอาหารเช้าก่อนใครอยู่ในห้องครัว นับเป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่ง

สาเหตุก็เป็นเพราะว่าชเนย์ดันเผลอตื่นสายเลยต้องมาเร่งทำมื้อเช้าที่เลทไปพอสมควรแล้ว และนั่นก็เลยทำให้ทั้งอเวเค่นและเจ้านรกซึ่งนั่งรอไม่ไหวเลยพากันมานั่งกดดันรอกินอยู่ที่นี่โดยพร้อมเพรียงกัน

“ถามได้ ก็รอทานข้าวเช้าอยู่ไง” อเวเค่นที่เสนอหน้ามานั่งกินของว่างอยู่ในครัวพร้อมกับนายเหนือหัวที่ทำหน้าไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นกล่าว โดยมีฉากหลังเป็นพ่อครัวยืนเหงื่อแตกทำอาหารชุดใหญ่อยู่และไม่มีเวลามาสนใจสงครามประสาทระหว่างนักฆ่ากับมือขวาเจ้านรกที่กำลังจ้องเขม็งก่อตัวเป็นบรรยากาศมาคุในห้องครัว

เส้นขมับความอดทนของไคม์กระตุก ก่อนจะดึงแขนและลากอเวเค่นให้ออกไปคุยนอกห้องครัว แต่เจ้านรกเรียกรั้งไว้ว่ามีอะไรให้คุยกันที่นี่ตรงนี้อย่าได้แอบไปทำอะไรลับหลังตนอีก ไคม์จึงปล่อยแขนอเวเค่นและพยายามคุยให้เสียงเบาที่สุด

“นี่ขนาดผมเตือนไปแล้ว แต่คุณก็ยังรั้นไม่ฟังอะไรเลยจริงๆ นะครับ” แม้ปีศาจมือขวาจะพยายามใจเย็นลงแต่ข้างในนั้นบอกได้เลยว่ากำลังเดือดไม่ใช่น้อย

“ถ้าคิดจะขู่กันล่ะก็ของแค่นี้ไม่เจ็บไม่คันเท่าไหร่หรอก” อเวเค่นยิ้มข่ม ถึงตอนเห็นภาพบาดตามันจะปวดใจจริงๆ ก็เถอะ แต่เรื่องอะไรที่เขาต้องยอมรับบทเป็นฝ่ายถูกกลั่นแกล้งจากปีศาจนิสัยแย่พรรค์นี้ด้วยล่ะ

“แหมๆ ผมนี่ไม่รู้จะเรียกมนุษย์หน้าด้านหน้าทนเหลือรับอย่างคุณว่ายังไงดีเลยนะครับเนี่ย”

“ขอบคุณที่ชม และขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าต่อไปผมจะไม่ยอมอยู่เฉยๆ ให้คุณปั่นหัวอีกแน่ พอดีว่าผมเป็นพวกชอบเล่นกับไฟน่ะนะ”

“ปากดีอย่างนี้ ระวังจะไม่มีเงาหัวอยู่กับตัวเข้าสักวันนะครับ”

“คิดว่ากลัวรึไง? จัดมาตอนนี้เดี๋ยวนี้เลยก็ได้นะ พอดีคันไม้คันมือขี้เกียจรออยู่เหมือนกัน”

ทั้งสองส่งสายตาข่มกันไปมาโดยไม่มีใครยอมใคร ราวกับงูเห่าและพังพอนซึ่งเป็นศัตรูตามธรรมชาติมาเจอกันก็ไม่ปาน

“เอ่อ...จะไม่ห้ามอะไรสองคนนั้นหน่อยเหรอครับ?” พ่อครัวที่กังวลและหยุดการทำมื้อเช้าก้มลงไปกระซิบถามเจ้านรกที่กำลังนั่งดูเพลินๆ ราวกับดูรายการโทรทัศน์ แต่คนที่ดูจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเพียงหนึ่งเดียวในห้องครัวนั้นกลับนิ่งเฉย

“ปล่อยพวกมันสองคนกัดกันไปเถอะน่า” เจ้านรกหยิบของกินเล่นไปพลางดูภาพตรงหน้าอย่างเพลิดเพลิน น้อยครั้งนักที่จะมีโอกาสได้เห็นภาพคนที่กล้าตีฝีปากกับไคม์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอีกฝ่ายที่เป็นมนุษย์ด้วย สมุนมือขวาของท่านเจ้าคงหงุดหงิดหัวเสียอยู่ไม่น้อยที่โดนสิ่งมีชีวิตต่ำชั้นกว่าปีศาจที่อีกฝ่ายดูจะภาคภูมิใจกับมันมากลุกขึ้นมากล้าเถียงคอเป็นเอ็น ชเนย์เริ่มหวาดกลัวเพราะว่าบรรยากาศก่อเค้าว่าจะเกิดการนองเลือดยิ่งกว่าเดิม ห้องครัวแห่งนี้กำลังจะเปลี่ยนเป็นสมรภูมิในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้แล้ว

“ทำไมสองคนนั้นถึงไม่ถูกกันได้ขนาดนี้น่ะครับ ไปมีเรื่องอะไรกันมาก่อนหน้านี้โดยที่ผมไม่รู้รึเปล่า?”

“หึ! เจ้าซื่อบื้อเอ๊ย” หัวเราะใส่หน้าพ่อครัวทีหนึ่งแล้วก็หันไปดูมวยคู่เอกในเช้านี้กำลังขู่ใส่กันฟ่อๆ ตามเดิม

“เอ๋?” ชเนย์ทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกที่โดนเจ้านรกว่าเข้าให้ เหตุการณ์วุ่นวายเล็กๆ ในเช้านี้คงเป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่งกว่าสิ่งมหัศจรรย์ของโลกเป็นแน่

 

*

 

“กำลังทำอะไรอยู่หรือครับ?” ดวงตาหลังกรอบแว่นสีเข้มมองนักฆ่าหนุ่มที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับกระดาษกองโตที่ถูกพับเป็นรูปเครื่องบิน บางอันพับเนี้ยบบางอันก็พับเบี้ยวๆ อย่างขอไปที

“สนใจมาเล่นด้วยกันมั้ยคุณพ่อครัว?” หันมาถามโดยที่มือยังคงพับไม่หยุด ร่างสูงโปร่งลองเดินมาดูกระดาษบนโต๊ะบางส่วนที่ยังไม่ถูกนำไปพับเล่น กระดาษสีขาวที่มีรูปใบหน้าและข้อมูลของเหล่าคนที่เขาไม่รู้จักมากมายแต่ก็พอจะเดาได้ว่าคนพวกนี้เป็นใคร

“พวกนี้คือนักแข่งของฝั่งเซฟิลสินะครับ ไปรวบรวมมาได้เยอะน่าดูเลยนี่นา”

ชเนย์ถือวิสาสะคลี่เครื่องบินพับอันอื่นๆ ออกมาเปิดดู เท่าที่ประเมินจากจำนวนดูคร่าวๆ แล้วอีกฝั่งนั้นมีคนมากกว่าผู้สมัครของฝั่งนี้ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งห่างกันมากมายเท่าไหร่

“ว่าแต่...เอาเวลาที่ไหนไปหาข้อมูลมาเหรอครับ?” ชเนย์ลองถามดูเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นอเวเค่นทำอย่างอื่นนอกจากกิน

“ผมก็ไม่ได้ตัวติดอยู่กับคุณตลอดเวลาสักหน่อยนี่” อเวเค่นฉกเครื่องบินกระดาษในมือชเนย์ขว้างออกไปให้มันร่อนไปมาในห้อง พ่อครัวหนุ่มอดคิดในใจไม่ได้ว่าเสียดายของ แต่ก็คิดว่าอีกฝ่ายคงอ่านจนเข้าหัวหมดแล้วถึงได้เอาข้อมูลสำคัญพวกนี้มาพับแล้วร่อนไปทั่วแบบนี้

“แล้วที่บอกว่าจะไปอยู่ข้างนอกตลอดเจ็ดวันนี่ไม่ทำแล้วเหรอครับ?” ชเนย์ถามไปพลางหยิบกระดาษเอามาพับบ้าง

“ไม่ล่ะ อยู่นี่ก็สบายดี มีที่นอนกับอาหารอร่อยๆ ให้กิน ไม่รู้จะออกไปข้างนอกให้ลำบากทำไม” พอเห็นอีกคนพับให้ อเวเค่นก็เอาแต่ขว้างเครื่องบินกระดาษไม่สนใจพับต่อ

“ฮะๆ เปลี่ยนใจง่ายจริงๆ เลยนะครับคุณเนี่ย” ส่ายหน้าพลางยิ้ม แล้วก็พับได้เครื่องบินกระดาษของตัวเองมาอีกหนึ่งลำ

“อื้ม ผมเป็นพวกเปลี่ยนใจง่าย แต่ไม่ตัดใจง่ายๆ หรอกนะ” เอ่ยจบ เครื่องบินกระดาษที่ปาออกไปก็วนกลับมาชนเข้าที่หัวของพ่อครัว แม่นราวกับสั่งได้

“เอ่อ...พูดอะไรกำกวมอีกแล้วนะครับคุณเนี่ย” ชเนย์หันไปสนใจกับการพับเครื่องบินลำต่อไปแทน

เหลืออีกไม่กี่วันก่อนจะถึงวันที่สงครามจะเริ่มต้นขึ้น ทว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้กับอนาคตที่ยังไม่มาถึงทั้งนั้น

 

*

 

ยามค่ำคืนของวันมาเยือน หมู่ดาวบนฟ้าสว่างไสวมากกว่าคืนไหนๆ เพราะเป็นคืนฟ้าเปิด และไม่มีแสงไฟจากอาคารบ้านเรือนมากมายนัก

หลังจากเก็บกวาดห้องครัวเป็นที่เรียบร้อย ชเนย์ก็หยิบเอาไวน์ที่ยังเหลืออยู่มาเสียมากมายมานั่งจิบที่ระเบียงชั้นสูงสุดของปราสาท ลมทะเลยามค่ำคืนปะทะใบหน้าแผ่วๆ พอให้ความคิดไม่ล่องไปไหนไกลนัก ชเนย์เอนหลังพิงกำแพงปราสาทเงยหน้าพินิจประกายแสงเล็กๆ บนฟ้า

“ตายแล้วไม่กลายไปเป็นดาวหรอก” เสียงทุ้มทำลายความสงบของราตรี เจ้านรกยืนมองอีกคนอยู่ที่ประตู ไม่แน่ใจว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่คงจะยืนมองนานเสียจนต้องทักเพราะชเนย์ไม่มีทีท่าจะขยับไปไหน

“แหม กำลังคิดเลยว่าอยากจะไปอยู่ข้างๆ ดาวดวงนั้นอยู่เลย” ชเนย์ยกนิ้วขึ้นชี้ไปบนฟ้าเพื่อระบุตำแหน่งดาวดวงที่หมายตา “มีธุระอะไรเหรอครับ?”

เจ้านรกเดินมาหยุดพิงกำแพงข้างชเนย์ แต่เว้นระยะไว้พอให้ไม่โดนมืออีกฝ่ายเอื้อมมาถึงได้

“เจ้าคิดว่าเจ้าเข้าใจข้าจริงๆ รึ?”

“ครับ?”

“ก็ไอ้ที่เจ้าพยายามมาวอแวกับข้านั่นไง”

“อ้อ นั่นน่ะ...” ชเนย์คลี่ยิ้มน้อยๆ ยกไวน์ขึ้นจิบหลังทิ้งไว้ให้พอได้ที่อย่างใจเย็น “ไม่มีทางหรอกครับที่ผมจะเข้าใจว่าคุณรู้สึกเบื่อหน่ายขนาดไหน คุณมีพลังขนาดที่จะคว้าทุกอย่างมาเป็นของตัวเอง มีอำนาจพอจะช่วงชิงหรือมอบชีวิตแก่ใครก็ได้ นี่ยังไม่นับว่าคุณมีชีวิตอยู่มานานกว่ามนุษยชาติอีกนะ”

ร่างสูงโปร่งทว่าก็ยังเล็กกว่าคนตัวสูงใหญ่พูดแจกแจงด้วยน้ำเสียงแจ่มใส มือข้างที่เว้นว่างจากแก้วใสยื่นขึ้นบนฟ้า เล็งเอาดาวดวงน้อยที่ตนจ้องมองเหมือนจะสามารถหยิบมาได้จริงๆ

“แต่ผมน่ะไม่มีอะไรแบบนั้นเหมือนกับคุณหรอกครับ”

พอจบประโยค ชเนย์ก็ดึงมือกลับมาและผายฝ่ามือไปทางเจ้านรกให้เห็นว่าไม่มีอะไรที่เขาเก็บมาได้เหมือนที่ตั้งใจ แต่อีกคนก็ไม่ได้หันมามอง ชเนย์เลยชักมือกลับรวดเร็วเหมือนกำลังเขินที่เล่นบทซึ้งแล้วคนฟังไม่สนใจ

“สมมุติว่าเจ้าเจอคนที่เหนื่อยหน่ายกับชีวิตจนละทิ้งทุกอย่างไปแล้วเหมือนข้า เจ้าก็จะปฏิบัติกับอีกฝ่ายเหมือนที่ทำกับข้าใช่ไหม?” เจ้านรกคว้าเอาขวดไวน์ที่อยู่ข้างๆ ชเนย์มายกดื่มโดยไม่สนสายตาคัดค้านของอีกฝ่าย

“ก็นะ แต่ตอนนี้ลุ้นให้ผมรอดจากการแข่งก่อนเถอะครับ” ชเนย์หัวเราะร่วน แต่ตายังจ้องไวน์ในมือเจ้านรกเขม็ง “คุณควรรินทิ้งไว้ในแก้วก่อน ไม่งั้นจะไม่ได้สัมผัสรสชาติที่แท้จริงของมันนะครับ”

“ข้าอยากจะดื่มมันตอนไหนก็เรื่องของข้า” พอจะยกขึ้นกระดกอีกรอบก็โดนมือของอีกคนหยุดไว้ก่อน

“อย่ามากินอาหารผิดวิธีต่อหน้าพ่อครัวสิครับ” ถึงจะโดนจ้องอย่างไม่พอใจแต่คนห้ามก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรกับการที่คนกินอาจจะโมโหแล้วกระชากตัวเขาออกเป็นชิ้นๆ อีกสักรอบเหมือนวันแรกที่เจอกัน ทว่าเจ้านรกก็ยอมปล่อยไวน์ในมืออย่างง่ายดาย

ชเนย์ยื่นแก้วในมือที่มีไวน์เหลืออยู่มาให้แทนด้วยใบหน้าสดใสดังเดิม เหมือนจะเชื้อเชิญให้ลองดื่มด้วยวิธีที่ถูกต้อง ร่างสูงใหญ่รับมานิ่งๆ แต่ว่าไม่ได้ลองชิมในทันทีเนื่องจากยังจ้องฝ่ายที่ไม่ยอมละสายตาไปจากตน

“ทำแบบนี้มันสนุกนักรึไง?”

“ไม่ครับ แต่ผมเกลียดความว่างเปล่าในสายตาคุณน่ะ” เอ่ยราวกับจะบอกเป็นนัยๆ ว่าเขานั้นเกลียดคนที่เป็นเหมือนตัวเองขนาดไหน ชเนย์ถอดแว่นออกก่อนมองไปยังเมืองเซฟิลที่ตั้งตระหง่านในทิศตรงข้ามกับปราสาทเจ้านรกด้วยตาตัวเองตรงๆ ไม่ผ่านแว่นกันแดด “แต่ยังไงซะผมก็คงทำให้แววตาคู่นั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้เหมือนเดิม”

“ก็เลยจะยอมแพ้แล้วงั้นเรอะ?” เจ้านรกแอบจิบไวน์ที่ได้มา รสชาติที่แตกต่างอย่างชัดเจนทำเอาตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย

“ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอกครับ แค่คิดว่าจะเปลี่ยนวิธีการน่ะ” ดวงตาไร้แววจดจ้องไปที่แสงไฟบ้านเรือนภายในเมืองที่อยู่อีกฟากอย่างหมายจะดับแสงไฟเหล่านั้นให้มลายหายไปเสีย “ถ้าหากความสนใจของคุณมีเพียงเป้าหมายเดียวคือเทศกาลนองเลือดในเมืองนี้...ถ้างั้นผมก็จะช่วยทำให้มันมีสีสันขึ้นมาให้เต็มที่เองครับ”

“อา...เรื่องนั้นน่ะ...” ยังไม่ทันที่ร่างสูงใหญ่จะเอ่ยจบประโยคดี ชเนย์ก็ชิงพูดแทรกขึ้นมาราวกับไม่อยากได้ยินสิ่งที่อีกคนกำลังจะหลุดปากออกมา

“ข้างล่างมีไวน์ที่รสชาติดีกว่านี้อีกนะ อยากไปเลือกไว้เผื่อดื่มฉลองด้วยเลยดีมั้ยครับ?”

ถึงจะเป็นประโยคคำถาม ทว่าการกระทำที่ลุกพรวดขึ้นนั่นคือการบังคับกลายๆ คนเสนอความคิดคว้าแก้วไปถือด้วยมือข้างเดียวกับที่มีขวดไวน์อยู่อย่างชำนาญเหมือนจะเร่งเร้าให้อีกฝ่ายตามเขาไป

เจ้านรกถอนหายใจแล้วลุกตามอย่างเสียมิได้ แต่เดินไปได้เพียงครู่เดียวคนตามหลังก็หยุดฝีเท้าลงจนทำให้คนเดินนำหน้าต้องหยุดก้าวเท้าอย่างกะทันหันด้วยความสงสัย

“มีอะไรรึเปล่าครับ?”

“...ข้าล่ะไม่เข้าใจเจ้าจริงๆ”

“เอ...ก็ไม่เห็นต้องเข้าใจเลยนี่ครับ” ชเนย์หันมายิ้มให้ แต่เมื่อไร้แว่นบดบังก็เห็นได้ชัดเลยว่าแววตาไม่ได้ยิ้มตามใบหน้าไปด้วย “คุณคือผู้บัญชาการของที่นี่ และผมกับคนอื่นๆ ก็มีหน้าที่ทำตามคำสั่งของคุณ”

“ทั้งที่เอาแต่ขัดใจข้าเสียตั้งหลายครั้งน่ะนะ?” เจ้านรกกระตุกยิ้มที่มุมปาก

“ฮะๆ ขออภัยที่นิสัยผมเป็นแบบนี้นะครับ” ร่างเล็กกว่าขยับเข้ามาใกล้ มือข้างที่ว่างไร้ขวดไวน์ทรงเรียวยาวเอื้อมไปช้อนมือของอีกฝ่ายขึ้นมา ประทับจูบลงบนมือหนาหุ้มเกราะเย็นเยียบและค้างไว้ครู่หนึ่งก่อนผละริมฝีปากออกมาแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ ซึ่งคนที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่มีอาการขัดขืนอะไรแสดงออกมาให้เห็น

“วันนั้นเจ้าเองก็จะ...”

ก่อนที่จะได้พูดอะไรบางอย่าง เจ้านรกก็โดนนิ้วเรียวยกขึ้นแตะริมฝีปากเหมือนจะบอกให้หยุด ชเนย์ปล่อยทั้งขวดและแก้วไวน์ให้ร่วงลงสู่พื้นราวกับว่ามันไม่มีค่าเมื่อเทียบกับคำพูดที่กำลังจะหลุดออกมานี้เลย

“วันนั้นคือวันที่คุณเฝ้ารอให้มาถึง แล้วถ้าเกิดว่ามันไม่สามารถตอบสนองความต้องการของคุณได้ คุณจะทำยังไงต่อไปเหรอครับ?” ชเนย์ไม่ได้เงยหน้าสบตากับร่างสูงใหญ่ตรงหน้า “หรือจะทิ้งความพินาศทุกอย่างไว้แล้วก็หายตัวไปเฉยๆ?”

“.....”

ไม่มีคำตอบอะไรจากเจ้านรก นอกจากการหารือเรื่องการจัดการแข่งกับไคม์เพียงสองคนแล้ว สิ่งที่เขาต้องการจะทำจริงๆ นั้นก็ไม่ได้บอกให้ใครรับรู้ แม้แต่เรื่องความเบื่อหน่ายนี้เองก็ไม่เคยได้รับแก้ไข ได้แต่ปล่อยมันเอาไว้แบบนั้น

เมื่อเห็นว่าเรื่องอนาคตของอีกฝ่ายคงไม่น่าจะหาทางออกได้ด้วยการครุ่นคิดหาคำตอบแบบนี้เขาก็ลดมือลง

“ขออภัยด้วยที่ผมทำให้พื้นปราสาทคุณเลอะเทอะซะแล้วล่ะครับ” ชเนย์หันมาส่งยิ้มแห้งๆ ให้ราวกับจะสำนึกผิด เจ้านรกยักไหล่ราวกับไม่ยี่หระเท่าใดนัก

“ช่างมัน ตอนนี้ข้าหิวแล้ว”

“เอ่อ...ถ้าอยากจะกินทันทีก็ทำได้แต่เมนูง่ายๆ นะครับ”

 

*

 

เนื่องด้วยคำขอกึ่งบังคับของเจ้านรก ทำให้ชเนย์ต้องลงมาเปิดครัวเพื่อหาอะไรให้คนหิวกินยามดึกทั้งที่ได้เก็บข้าวของไปหมดแล้ว

“เป็นของหวานแทนได้มั้ยล่ะครับ? มีพันนาคอตต้าที่น่าจะพอทำให้กินได้ทันที” แม้จะยื่นข้อเสนอไปแล้วแต่พ่อครัวก็ยังค้นหาวัตถุดิบอื่นๆ ต่ออยู่ดี

“ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ เอาของพรุ่งนี้มาทำก่อนก็ได้” เจ้านรกหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ตัวเดิมที่โดนย้ายไปวางไว้มุมห้อง

“อ่ะ…น่าจะทำข้าวปั้นให้ได้” พอนึกถึงข้าวที่ต้องหุงก็นึกขึ้นได้ยังว่ามีทูน่าเหลือ “แต่ต้องรอข้าวสุกก่อนนะครับ”

ทว่าพอหันมาหาคำตอบก็เห็นเจ้านรกกำลังละเลียดของหวานอยู่เงียบๆ กระนั้นสายตาก็ตอบกลับมาว่าแค่นี้ไม่พอยาไส้หรอก

“...งั้นรอสักครู่” เริ่มไม่มั่นใจว่าบทสนทนาที่ระเบียงเมื่อครู่เกิดขึ้นเพราะเจ้าตัวหิวเลยตามหาเขาเพื่อจะใช้ให้หาข้าวให้กินหรือเปล่า

พอชเนย์เริ่มเข้าโหมดทำครัวก็ยกสมาธิทั้งหมดไปจดจ่อกับสิ่งที่กำลังทำ บรรยากาศเลยเต็มไปด้วยความเงียบงัน แม้ของหวานจะหมดไปแล้วแต่เจ้านรกก็ไม่ได้เรียกร้องเพิ่ม ตอนนี้เขาเริ่มเพลิดเพลินกับการมองอีกฝ่ายที่เดินไปมาทำนู่นนั่นนี่อยู่รอบห้อง เมื่อจ้องมองดีๆ เขาก็รู้สึกได้ว่าสายตาของชเนย์ที่กวาดตามองสิ่งที่อยู่รอบตัวเวลาทำอาหารมันดูไม่ได้ว่างเปล่าไปหมดเสียทีเดียว

ด้วยความสงสัย เจ้านรกผละตัวเองขึ้นมาจากเก้าอี้และย่างเท้าเข้าไปใกล้ๆ อีกคน ทว่าชเนย์ที่มัวแต่สนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่รู้ตัวเลยว่าโดนเข้าประชิดตัวแล้ว

“นี่...”

“ครับ?”

“ทำไมเจ้าถึงได้ชอบทำอาหารล่ะ?”

“ไม่ได้ชอบทำอาหารครับ ผมชอบเห็นคนอื่นมีความสุขเวลาทานอาหารของผม” พ่อครัวตอบคำถามทั้งที่ไม่ได้มองหน้าคนถามเสียด้วยซ้ำ

“งั้นเหรอ” เจ้านรกเลิกคิ้วและหยุดอยู่ข้างๆ อีกฝ่ายในระยะใกล้พอให้สังเกตสิ่งที่อยากรู้ได้ชัดๆ “ไม่เห็นเจ้าจะโผล่หน้าไปดูเวลาพวกข้ากินอาหารสักครั้ง”

“ผมดูจากปริมาณเอาน่ะ…เอ่อ?” เมื่อเห็นว่าโดนเข้าประชิดเกินกว่าที่คิด สมาธิก็หลุดกระเจิงออกจากสมองแทบจะทันที

ร่างสูงใหญ่อยู่ห่างไปแค่คืบเดียว มือข้างหนึ่งเท้าโต๊ะไว้เพื่อเอียงคอมามองหน้าพ่อครัวที่ไม่ระวังตัวให้ชัดๆ

“...อะไรเหรอครับ?”

“กว่าจะรู้ตัวสักทีนะ…” เจ้านรกพึมพำพอให้ได้ยินแค่เขาสองคนและยิ้มระบายมุมปากอย่างสมเพชเบาๆ หากอีกฝ่ายโดนลอบฆ่าคงจะตายไปนานแล้วเป็นแน่แท้ “หือ?”

เจ้านรกเห็นว่าชเนย์ที่หลบหน้าไปอีกทางกระเถิบตัวออกห่างไปเล็กน้อย แถมยังมีสีแดงเจือบนใบหน้าไปจนถึงใบหู มือหนาอีกข้างที่เท้าเอวอยู่เปลี่ยนไปจับลงบนผมสีเงินของอีกคนและฝืนบังคับให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับตน

“อายอะไรของเจ้า?” ยิ่งเห็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น เจ้านรกก็งงหนักกว่าเดิม

“ก็...อย่าเข้ามาใกล้ขนาดนี้สิครับ!” ชเนย์สะบัดหัวตัวเองให้หลุดจากมือที่กุมอยู่ แล้วก้าวถอยออกไปอีก “ผม...ตกใจหมด”

“เจ้าก็เดินคุยกับข้าตลอดตอนทางจะมาพูดอะไรเอาป่านนี้”

“.....” เมื่อเถียงไม่ได้จึงก้มหน้าก้มตามองหม้อหุงข้าวที่ใกล้ดีดไปเงียบๆ แต่ความผิดปกติบนใบหน้าก็ไม่ยอมหายไปง่ายๆ เจ้านรกเริ่มใคร่อยากรู้ว่าทำไมคนที่ไม่เคยเกรงกลัวต่อการเข้าใกล้ตัวเขาเลยตลอดเวลาที่มาอยู่ที่นี่กลับมีอาการแปลกประหลาดไปจากทุกที

…หรือจะไม่ถนัดตั้งรับสถานการณ์ที่ตนเองไม่ได้เป็นคนเริ่มก่อน?

เมื่อนึกได้ดังนั้นก็นึกอยากจะลองทดสอบอะไรบางอย่าง รอยยิ้มไม่น่าไว้ใจผุดขึ้นมาจนเก็บอาหารไม่อยู่ ทว่าชเนย์ก็ไม่ทันได้สังเกตเห็นมันอยู่ดี

“ใกล้หุงเสร็จแล้ว ช่วยรออีกสักนิดนะครับ” พ่อครัวถอนหายใจ เริ่มที่จะสงบสติตัวเองลงได้บ้างเพราะอีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรให้เขาทำตัวไม่ถูก “ว่าแต่จะทานที่นี่หรือให้ผมยกไปให้นั่งทานที่ห้องอาหารดีล่ะครับ?”

“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว อยากกินอย่างอื่นมากกว่า”

“ครับ?”