“เจ้าเองเหรอที่ทำอาหารมื้อเย็นเมื่อวานนี้?”

ความสงบสุขของการยึดห้องครัวที่ชเนย์เพิ่งได้มาถูกทำลายด้วยเสียงทักของบุคคลที่ไม่น่าจะมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ บุรุษร่างสูงใหญ่มีเขาโค้งงามทั้งสองข้าง อาภรณ์ที่เผยให้เห็นแผงอกกำยำของร่างกายที่ขาวซีดตั้งแต่หัวจรดเท้าเดินย่างกรายช้าๆ เข้ามายังห้องครัว (แถมยังเป็นเวลาเช้ามืดอีกต่างหาก) ก่อนจะบิดขี้เกียจให้ร่างกายมันเข้าที่ สภาพดูเหมือนคนที่เพิ่งตื่นนอนมาหมาดๆ

ชเนย์เข้ามาอยู่ในครัวตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเพื่อจัดเตรียมอาหารมื้อแรกของวันตามที่ได้ตกลงไว้กับปีศาจมือขวา และที่เขาพูดอะไรกับผู้บุกรุกไม่ออกเพราะว่าตัวเองกำลังอยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนลูกไม้สีขาวที่ไปขอยืมจากคุณเมดปีศาจมาใช้แก้ขัดไปก่อนเพราะเมื่อวานไม่ได้จดรายการให้ไคม์หามาให้

ก็ใครมันจะไปคิดว่าผู้บัญชาการของปราสาทจะมาเยือนถึงห้องครัวด้วยตัวเองกันล่ะ หวังว่าคงไม่ได้จะมาเพื่อบ่นว่าอาหารที่เขาทำรสชาติไม่เอาอ่าวหรอกนะ

“นี่ข้าคุยกับรูปปั้นอยู่รึไง?”

“ครับ ผมเป็นคนทำอาหารพวกนั้นเอง” ชเนย์ขานรับก่อนจะถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วหันไปสนใจหม้อที่เคี่ยวซุปหอยลายของตัวเองต่อ และที่เตาข้างๆ ก็มีหม้อที่กำลังเคี่ยวเนื้อบางอย่างอยู่ด้วยเช่นกัน

“ได้กลิ่นอะไรไม่รู้ฟุ้งไปทั่วปราสาทจนข้านึกสงสัยว่าใครมันลุกมาทำอะไรตั้งแต่เช้ามืด ที่แท้สาเหตุก็มาจากมนุษย์ก้นครัวนี้นี่เอง” เจ้านรกยิ้มกว้างพร้อมกับพาตัวเองมานั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ชเนย์ใช้นั่งพักเหนื่อยเวลาทำอาหาร แถมยังยกเท้าขึ้นพาดไว้กับโต๊ะที่ใช้วางข้าวของอยู่กลางครัวอีกต่างหาก

“ขอโทษด้วยนะครับ แต่ช่วยเอาเท้าลงไปหน่อยได้ไหม?” ชเนย์พูดทั้งที่ไม่ได้หันไปมอง แต่เดาจากเสียงแล้วผู้บุกรุกห้องครัวคงกำลังทำในสิ่งที่เขาคิดอยู่เป็นแน่แท้

“...หา?”

“ถ้าอาหารมันปนเปื้อนอะไรเข้าผมกลัวว่าเดี๋ยวพวกคุณจะท้องเสียน่ะครับ” ชเนย์หันมายิ้มให้ ซึ่งดูเหมือนจะไม่เป็นผลนัก ท่าทางอารมณ์ดีของเจ้านรกเมื่อครู่เริ่มมีบรรยากาศคุกรุ่นบางอย่างผสมปนเปมาด้วย

ช่างเป็นบรรยากาศยามเช้าที่แสนอึมครึมและน่าหน่ายใจยิ่งขึ้นไปอีก แต่แล้วชายร่างสูงใหญ่ก็ยอมเอาขาลงจากโต๊ะให้แต่โดยดีและไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

“ขอบคุณครับ”

ถึงแม้บรรยากาศในห้องจะดูอึดอัดสวนทางกับอากาศยามเช้าแต่ชเนย์ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เขายังคงก้มหน้าก้มตาทำตามหน้าที่ของตัวเองต่อไปเสมือนว่าแขกผู้มาเยือนคนนี้แทบจะไม่มีตัวตนอยู่ในห้องครัวนี้เลย

“ไม่ไปนั่งรอที่ห้องอาหารเหรอครับ แบบนั้นน่าจะสะดวกสบายกับคุณมากกว่านะ”

“นี่เจ้ารู้ตัวรึเปล่าว่ากำลังพูดกับใครอยู่?” เสียงทุ้มถามด้วยรอยยิ้ม นึกแปลกใจในความเป็นกันเองจนอดคิดไม่ได้ว่าเจ้าคนที่สวมแว่นดำนี่มันตาบอดหรืออย่างไรถึงได้มองไม่เห็นหน้าของตนจึงได้ทำท่าไม่เกรงกลัวเอาเสียเลย

“พูดกับคุณไงครับ” ชเนย์ยิ้มตอบอย่างไม่หวาดหวั่น

เจ้านรกนึกขำในใจเนื่องด้วยว่าไม่ได้เจอคนที่ไร้ความหวาดกลัวต่อสถานะของเขาขนาดนี้มานานแล้ว นับตั้งแต่ครั้งที่เขาขึ้นปกครองนรกภูมิใหม่ๆ โน่นเลย

“เจ้าน่ะไม่กลัวตายบ้างเลยรึไง?”

“ก็เคยกลัวเหมือนกันนะครับ แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจเรื่องนั้นแล้ว”

“โฮ่…” ในสายตาของเจ้านรก มนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ก็เหมือนกับพวกปากดีที่ยังไม่เคยเจอนรกของจริง เมื่อครั้งที่เขายังสนุกสนานกับการสรรหาวิธีทรมานวิญญาณบาปที่ตกลงมายังแดนนรก หลายต่อหลายครั้งคนบาปหนาที่เอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา สุดท้ายเมื่อพบเจอกับการทรมานแสนสาหัสต่างก็ล้วนขวัญหนีดีฝ่อร้องขอชีวิตกันถ้วนหน้าเสียจนน่าขัน ซึ่งเจ้าหมอนี่ก็คงเป็นเช่นเดียวกันกับดวงวิญญาณนับหมื่นที่เขาเคยเจอ

“จานนี้เค้าเรียก Clam Chowder ต้องเสิร์ฟก่อนแล้วก็ตามด้วยเพนเน่ซอสเพสโต้เฮเซลนัทไว้ตัดเลี่ยน” ชเนย์เอ่ยเจื้อยแจ้วสนุกสนานกับการแนะนำเมนูอาหารที่กำลังจัดจานอยู่ “สุดท้ายก็ปิดด้วยหมูอบน้ำผึ้ง…”

ยังไม่ทันได้ร่ายรายการอาหารเช้าเสร็จ เมนูดังกล่าวก็ถูกเจ้าของปราสาทคว้าไปกินซะก่อนแล้ว แถมยังกินหมดในพริบตาอีกด้วย

เมื่อเห็นคนตรงหน้าทานมื้อเช้าเสร็จแล้วพ่อครัวจึงเอ่ยขึ้นมา

“คุณมีธุระอะไรกับผมเหรอครับ?”

“...?” เจ้านรกเลิกคิ้ว

“ก็...กะอีแค่อยากเห็นหน้าคนที่เป็นคนทำอาหาร คุณคงไม่ถ่อมาเองถึงก้นครัวนี่หรอกมั้งครับ แค่ถามมือขวาของคุณหรือไม่ก็เรียกผมให้ไปพบเองก็ได้ แต่คุณกลับไม่ทำแบบนั้น” ชเนย์ยักคิ้วกวนอวัยวะเบื้องล่าง และค่อยๆ เก็บหม้อเก็บจานบางส่วนไปวางไว้บนอ่างล้างจาน “ผมพูดถูกใช่มั้ย?”

“...ข้าว่าหน้าอย่างเจ้าดูไม่น่าใช่คนโง่จริงๆ นั่นแหละ”

“งั้นเหรอครับ” พ่อครัวหันไปมองหาสิ่งที่พอจะสามารถใช้แทนกระจกแถวนั้นเพื่อจะเช็กดูว่าบนใบหน้าของเขามีอะไรที่ใช้บ่งชี้ศักยภาพของสมองกัน

“ตอนที่ข้าเห็นเจ้าก้าวเข้ามาในปราสาท จู่ๆ สายตาของเจ้าก็เปลี่ยนไป”

“เอ่อ…แล้วสายตาของผมมันทำไมเหรอครับ?”

“เจ้าทำท่าเหมือนผิดหวังในตัวข้า สายตาที่เหมือนกำลังมองดูสิ่งที่ว่างเปล่านั่นมันทำให้ข้าหงุดหงิด” เสียงทุ้มที่เคยอารมณ์ดีเปลี่ยนไป ทำให้ชเนย์พอจะรับรู้ได้ว่าเจ้านรกนั้นไม่ชอบใจการกระทำของเขาเอามากๆ

เพราะว่าเขาผิดหวังในตัวเจ้านรกอย่างที่กล่าวมาจริงๆ นั่นแหละ

ชเนย์นิ่งไปครู่หนึ่งเพราะแอบแปลกใจนิดๆ เขาใส่แว่นดำขนาดนี้แล้วยังจะสังเกตเห็นอีกเหรอ แต่การที่ปีศาจระดับสูงผู้นี้ถึงกับมาเคลียร์ข้อสงสัยด้วยตัวเองก็ถือว่าตรงไปตรงมาดีล่ะนะ

“ต้องขอโทษด้วยนะครับถ้าผมทำอะไรให้คุณไม่พอใจ แต่อิมเมจของคุณที่ผมคิดไว้ในตอนแรกกับตัวจริงดูต่างกันลิบลับอย่างกับเป็นคนละคน คุณดูเหมือนกับคนที่หมดไฟในชีวิตราวกับว่าทุกอย่างมันน่าเบื่อไปหมด”

หมดไฟงั้นรึ? ร่างสูงใหญ่เลิกคิ้ว ก็จริงอยู่ที่เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่กับตัวเองด้วย แต่เพิ่งจะเคยโดนคนที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรกพูดใส่แบบนี้แถมยังเป็นมนุษย์อีก มันชวนให้มีน้ำโหพิกล

“แต่ไม่ต้องห่วงนะครับเพราะคุณคงไม่ได้เห็นมันอีกแล้วล่ะ ผมเองก็จะไม่คาดหวังอะไรกับคุณอีกแล้ว”

สิ้นประโยค ร่างของชเนย์ที่ยืนอยู่ก็ถูกบางอย่างกระชากออกเป็นชิ้นๆ เสียงเนื้อที่ฉีกขาดกับเสียงกระดูกหักลั่นไปทั่วห้อง สีแดงสดของเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นและผนังตรงที่ชเนย์ยืนอยู่ แต่กลับไร้ซึ่งเสียงกรีดร้องใดๆ เล็ดลอดออกมา

ก่อนที่ร่างรุ่งริ่งจะตกถึงพื้น มือขนาดใหญ่ก็คว้าคอเอาไว้ให้สายตาอยู่ระดับเดียวกัน เจ้านรกจ้องเข้าไปในแววตาสีหมองที่ซ่อนอยู่หลังแว่นกันแดดที่แตกละเอียดนั่น

ทว่าชเนย์กลับไม่ได้มองเขาอยู่ แม้ว่าดวงตาจะประสานกันก็ตามแต่ชั่ววินาทีสุดท้ายก่อนที่จะสิ้นลม สายตาของชเนย์ทอดมองออกไปไกลเกินกว่าจะเป็นบุคคลเบื้องหน้า

ความเงียบปกคลุมห้องจนเย็นเยียบ ทว่าไฟในใจของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ในห้องนั้นเพียงคนเดียวกลับระอุด้วยความเกรี้ยวกราด เจ้านรกขบฟันแน่นหลับตาลงเหมือนกำลังตัดสินใจบางอย่าง

ผ่านไปเพียงครู่เดียว พลังเวทคนละขั้วกับเมื่อครู่ไหลวนอยู่ที่มือข้างที่บีบคอของร่างไร้วิญญาณ เศษชิ้นเนื้อแต่ละส่วนค่อยๆ กลับมารวมกันใหม่อีกครั้ง ซ่อมแซม ฟื้นฟู และกลับสู่สภาพปกติในเวลาไม่นานนัก

“นอกจากจะดูแคลนข้าแล้วตอนตายก็ยังจะเมินเฉยข้าอีกเรอะ!” พอแน่ใจว่าสติและวิญญาณของอีกคนกลับเข้าร่างโดยสมบูรณ์ก็ตวาดเสียงดังใส่แทบจะทันที

“เอ...นี่ผมสามารถเอาไปโม้ให้น้องสาวฟังได้รึเปล่านะว่าเคยตายไปแล้วครั้งหนึ่งน่ะ?” ชเนย์หัวเราะร่วนบางเบาอย่างไม่ยี่หระกับสิ่งที่เกิดขึ้น จะเสียดายก็แต่แว่นกันแดดอันโปรดที่คนทำมันพังไม่ได้คืนสภาพให้เหมือนเดิม

“นี่เจ้าวอนหาเรื่องตายอีกรอบรึไง?”

“ผมก็บอกไปแล้วนี่ครับว่าตอนนี้ผมไม่สนใจเรื่องนั้นแล้ว จะอยู่หรือตายผมก็ไม่แคร์หรอก”

เจ้านรกหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อพบว่าแววตาของอีกคนเมื่อปราศจากสิ่งบดบังอย่างแว่นดำแล้วกลับดูเฉยเมยและไร้ชีวิตชีวายิ่งกว่าตอนที่ยังมีแว่นสวมอยู่มากนัก

“เป้าหมายของเจ้าคืออะไรกัน?”

“เป้าหมายของผม...ตอนนี้มันหายไปแล้วครับ” ชเนย์ยิ้มให้ แต่เป็นยิ้มแสนว่างเปล่าเช่นเดียวกับดวงตาคู่นั้น “ตอนแรกผมก็คิดว่าจะมาหาอะไรทำตามใจตัวเองเล่นที่นี่เฉยๆ”

“เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นสนามเด็กเล่นรึไง?”

“คุณก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ? อันที่จริงถ้าคิดจะสั่งสอนคนพวกนั้นคุณแค่ริบวิญญาณคนบนเกาะแล้วกลับนรกไปเลยก็ย่อมได้ แต่คุณก็ไม่ทำแบบนั้นแถมยังจัดการแข่งขันขึ้นมาอีก”

เจ้านรกไม่ได้เถียงอะไรกลับไป แต่ก็ยังไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง และยิ่งอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ด้วยยิ่งแล้วใหญ่

“ก็แค่มาหาที่ตายให้ตัวเองว่างั้น?”

“อ๋อ เรื่องนั้น...บอกตรงๆ นะครับ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” ชเนย์ยักไหล่ เจ้านรกเห็นแล้วนึกอยากขยี้ให้แหลกคามืออีกรอบ “ถ้าไม่พอใจจะฆ่าผมเลยก็ได้ คุณก็แค่หาคนแข่งเพิ่มอีกคนเท่านั้น ไม่ได้ลำบากอะไร”

ฆ่าเจ้าไปมันก็ไม่ต่างอะไรกับพังสิ่งของที่พังมาตั้งแต่แรกแล้วนั่นแหละ… เจ้านรกได้แค่คิดในใจแล้วมองอีกฝ่ายที่ทำตัวเป็นปกติ

“คิดในแง่ดีก็...โดนฆ่าด้วยฝีมือคุณมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเท่าไหร่” ชเนย์จ้องกลับไปที่ดวงตาของเจ้านรก ก่อนเลื่อนลงมองแผงอกแน่นและยกมือขึ้นลูบเบาๆ

คนถูกคุกคามเหมือนเพิ่งจะนึกออกเรื่องรสนิยมของอีกฝ่ายที่ไคม์รายงานไว้ก่อนหน้านี้ได้จึงได้ปล่อยคออีกฝ่ายลงแล้วเว้นระยะตัวเองออกมาก้าวหนึ่ง คนตัวเล็กกว่าเลยเดินไปตรวจเช็กว่าอาหารที่ทำไว้คงไม่เปรอะเปื้อนเพราะเลือดของตน

“ว่าแต่...น่าเบื่อขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”

“หือ?”

“ชีวิตน่ะ”

 

*

 

อาหารชั้นเลิศยังคงเปี่ยมด้วยรสชาติอันแสนโอชา ทว่ากลับไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกของใครบางคนปลอดโปร่งเหมือนท้องฟ้าที่ปราศจากเมฆแต่อย่างใด เหล่าผู้บัญชาการที่หมายจะถล่มเกาะเซฟิลให้พินาศสิ้นต่างละเลียดไปกับความสุขเล็กๆ บนจานตรงหน้า มีเพียงไคม์ที่สงสัยถึงความหมองขุ่นในอารมณ์ของนายเหนือหัวเจ้าชีวิตของตน

“ทางเจ้าเมืองเซฟิลแจ้งมาว่าการรับสมัครผู้ที่อาสาจะลงแข่งขันเป็นไปอย่างล่าช้าเพราะจำนวนคนไม่พอ ปัญหาแบบเดียวกันกับที่ทางเราเจอเลยนะครับ”

ไคม์แอบหนักใจเล็กน้อยเพราะท่านเจ้านรกที่ไปยื่นข้อเสนอเองว่าจะยอมอ่อนให้ทางนั้นโดยการไม่ใช้กองกำลังจากขุมนรก ทางฝ่ายนี้เองก็ต้องมาลำบากหาคนอื่นเอาจากบนพื้นพิภพนี้เช่นกัน

“ข้าคิดว่าเราอาจจะต้องเลื่อนวันประลองออกไปก่อนนะครับ”

เลขาผู้ช่วยของเจ้านรกเอ่ยเสียงเรียบก่อนตัดเอาชิ้นเนื้อบนจานเข้าปากไป ทว่าสิ่งที่ไคม์พูดเปิดประเด็นบนโต๊ะอาหารนั้นหาใช่เรื่องที่จะทำให้ผู้ร่วมรับประทานอาหารคนอื่นๆ เย็นใจลงได้ เพราะการหาสมาชิกเพื่อมาเป็นตัวตายตัวแทนพวกตนในการลงแข่งก็เป็นหน้าที่ของพวกเขาแต่ละคนเองนั่นแหละ ซึ่งก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ ซะเมื่อไหร่ เพราะนี่มันเป็นการละเล่นของปีศาจที่ต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน คนสติดีที่ไหนเค้าจะยอมทำกัน

“งั้นเหรอ...ก็เอาสิ” คำตอบของเจ้านรกทำให้แต่ละคนลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างเงียบๆ มีเพียงไคม์ที่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“ข้าต้องขออภัยด้วยที่ทำให้ท่านต้องรอนานขึ้นอีกนิดนะครับ”

“เออ ช่างมันเหอะ ข้ามีเรื่องที่อยากทำอยู่พอดี”

มีเรื่องที่อยากทำ? คำพูดลอยๆ ของเจ้านรกที่เหมือนตอบส่งๆ ทำให้ไคม์แอบติดใจสงสัย

ลำพังแค่จัดงานแข่งขันเดิมพันวิญญาณก็น่าแปลกใจพออยู่แล้ว นี่ยังมีเรื่องอื่นที่เขาไม่ได้รับรู้ด้วยยิ่งดูประหลาดมากทีเดียว

คิดเสียว่าลดภาระการจัดการ ‘ทำอย่างไรไม่ให้เจ้านรกเม้งแตกก่อนถึงวันแข่ง’ ของตัวเองไปหน่อยแล้วกัน