หลังจากคุยกันมาสักพักก็ได้ข้อสรุป มันไม่ใช่อาหารมื้อต่อไปอย่างที่ไคม์กล่าวอ้าง แต่เป็นอาหารมื้อเช้าของวันสำคัญที่จะเกิดการปะทะขึ้นแน่นอน

“เข้าใจแล้วครับ รายการอาหารที่ว่าทั้งหมดนั่นก็พอจะทำให้ได้ ถ้าหากุ้งเมดิเตอร์เรเนียนมาให้ได้ด้วยก็ดีครับ แต่ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ก็ไม่เป็นไรนะครับ วัตถุดิบก่อนหน้านี้ยังมีเหลือให้ทำได้อีกเยอะแยะ”

ต่อให้อเวเค่นกินเก่งแค่ไหนแต่ก็ยังผลาญวัตถุดิบไม่เยอะเท่ากระเพาะหลุมดำของเหล่าปีศาจหรอก

“ทราบแล้วครับ จะจัดหามาให้ตามนั้น” ไคม์พยักหน้ารับ ชเนย์นึกสงสัยทุกครั้งที่ขอให้อีกฝ่ายจัดหาวัตถุดิบว่าไปเอาของทุกอย่างทั้งหมดนั่นมาได้ยังไง

“สนิทสนมกันดีนะครับ กับเพื่อนของคุณน่ะ”

“ครับ?” ชเนย์เลิกคิ้ว จู่ๆ ทางนั้นก็เปลี่ยนเรื่องเลยไม่ทันตั้งตัว

“ผมเคยบอกไปแล้วนะครับว่าเพื่อนคุณคนนั้นไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่คุณคิดหรอก แต่สงสัยว่าคุณคงจะลืมไปแล้วสินะ”

“อ๋อ...ก็ใช่ครับแหละครับ เขาน่ารักกว่าที่ผมคิดเยอะเลยล่ะ”

ไคม์อึ้งและส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินออกไป

ทำไมวันนี้เจอแต่คนที่ทำให้เขาสงสัยเยอะจังหว่า? ชเนย์เดินกลับมาที่ห้องครัวเห็นอเวเค่นยังนั่งอยู่ แต่ที่น่าแปลกคือวีล มาซาล่า ที่อเวเค่นกินยังเหลืออีกกว่าครึ่งจาน

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ ทำไมกินเหลือล่ะ?” พ่อครัวถามด้วยสายตาเป็นห่วง

“เอ่อ...ปวดท้องนิดหน่อยน่ะ ขอโทษด้วย” อเวเค่นตอบด้วยสีหน้าที่ซีดและมีเหงื่อซึมผุดเต็มหน้าผาก

“อา...ขอโทษครับ สงสัยจานนี้คงจะหนักไปหน่อย ผมน่าจะทำอะไรเบาๆ กว่านี้ให้คุณทาน” ชเนย์เก็บจานที่อีกคนทานเหลือเอาไปซีลเก็บไว้ “เดี๋ยวผมพาคุณไปพักนะ”

“อืม...รบกวนด้วย” ชเนย์แอบแปลกใจว่าทำไมจู่ๆ อเวเค่นถึงนิ่งผิดปกติทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังคึกอยู่เลย หรือจะปวดท้องหนักมากจริงๆ นะ

“จะไม่ให้ผมช่วยจริงเหรอ?” พอมาถึงหน้าห้องอเวเค่นก็ออกปากขออยู่คนเดียว ชเนย์ยืนสงสัยระหว่างร่างเล็กกว่ากำลังเดินเข้าห้องตัวเอง

“ไม่เป็นไรหรอก ผมแค่เพลียๆ น่ะ” อเวเค่นปั้นหน้ายิ้มให้ แต่ชเนย์ยังกังวลอยู่ ทว่าก็ไม่อยากขัดใจอีกคน

“ถ้าเกิดมีเรื่องอะไรก็ไปหาผมได้ที่ห้องครัวนะครับ”

เสียงประตูปิดลงเบาๆ เป็นคำตอบ ชเนย์ยืนนิ่งอยู่หน้าห้องนั้นสักครู่ก่อนเดินกลับครัวอย่างเป็นกังวล แต่เมื่อเดินมาถึงครัว คนที่มานั่งรออยู่ทำเอาหัวสมองของเขาว่างเปล่าทันที

“ไปเตร็ดเตร่ที่ไหนมาล่ะ?” เจ้านรกนั่งยกเท้าพาดโต๊ะ แขนยกขึ้นประสานไว้หลังศีรษะ

“อย่าเอาขาพาดขึ้นโต๊ะแบบนั้นสิครับ” พ่อครัวขมวดคิ้ว แต่ริมฝีปากเจือรอยยิ้มยินดีอย่างน่าประหลาด ชเนย์เดินไปที่ตู้เย็นยกจานของหวานมาวางไว้ให้ผู้บุกรุกห้องครัวก่อนเดินไปนั่งลงฝั่งตรงข้าม

“เจ้าผมแดงยังมาที่นี่อยู่รึเปล่า?” จู่ๆ เจ้านรกก็ถามขึ้นมา แม้สีหน้าท่าทางจะไม่ได้เปลี่ยนไปจากบุคลิกอันแสนสบายดังเดิมแต่ชเนย์กลับหุบยิ้มลง ลำพังแค่ไคม์คนเดียวยังไม่เท่าไหร่ แต่พอเริ่มมีการพูดถึงนักฆ่าผมแดงจากปากของเจ้าของปราสาท ชเนย์ก็ชักเริ่มกังวลว่าเพื่อนนักฆ่าของเขากำลังโดนปีศาจทั้งสองหมายหัวอยู่หรือเปล่า

แต่มันเพราะอะไรล่ะ?

“ก็มาเกือบทุกวันนะครับ มีอะไรรึเปล่า?” ชเนย์ลองทำใจกล้าถามไปตรงๆ

“ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรอกนะ แต่ดูท่าทางไคม์คงวางแผนจะทำอะไรแย่ๆ กับเจ้านั่นอยู่”

ชเนย์หน้าเริ่มซีด สมองเขายิ่งตามความคิดทางนั้นไม่ออกอยู่แล้วด้วยเลยออกอาการลนมากกว่าเดิม แต่ก็พยายามที่จะตั้งสติและไม่ทำอะไรตามอารมณ์

“เค้าบอกคุณเหรอครับว่าจะทำ?”

“เห็นหน้ามันข้าก็รู้แล้ว” เจ้านรกซัดของหวานจนหมดก่อนจะยิ้มออกมา “เป็นรอยยิ้มที่น่ารำคาญเป็นบ้า”

 

*

 

อเวเค่นนอนเอามือก่ายหน้าผากอยู่บนเตียง นึกเจ็บใจที่ตัวเองแสดงความอ่อนแอแบบนั้นออกมา ทั้งที่คิดว่าตนแกร่งพอและเตรียมใจมาดีตั้งแต่ก่อนจะมาอยู่ที่นี่แล้วแท้ๆ แต่แรงกดดันมหาศาลนั่นทำเอาเข่าอ่อนยวบเลย

“แค่นี้เอง ไม่เท่าไหร่หรอกน่า...” ยกมือที่ปิดหน้าขึ้นมองดู แม้จะยังสั่นอยู่เล็กๆ แต่เจ้าตัวก็กำมันเอาไว้แน่นเพื่อเรียกเอาความมั่นใจคืนมาทีละนิด

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ในใจเผลอคิดไปว่าเป็นพ่อครัวคนนั้น ชายหนุ่มเจ้าของห้องจึงเด้งตัวลุกขึ้นจากที่นอนโดยลืมไปว่ายังระบมอยู่

“อูย...” อเวเค่นเอามือจับสะโพกที่ยังเหลืออาการปวดนิดๆ ค่อยๆ เดินตรงไปเปิดประตู ทว่าคนที่อยู่อีกด้านของประตูกลับไม่ใช่คนที่เขาคิด

“มีธุระอะไร...” ถามไม่มีหางเสียงต่อแขกไม่รับเชิญที่ยิ้มหน้าเป็นให้อย่างเคย

“มีแน่นอนครับคุณนักฆ่า” ไคม์ถอนตัวออกจากหน้าประตู “แต่คุยที่นี่คงไม่สะดวกเท่าไหร่ ช่วยตามมาด้วยกันหน่อยได้รึเปล่าครับ?”

“ถ้าไม่ไปแล้วจะทำไม?”

“หึๆ ก็ไม่มีอะไร แต่พ่อครัวคนโปรดของคุณอาจจะมีปัญหานิดหน่อยนะครับ” แม้ใบหน้าจะยิ้มให้อย่างเป็นกันเองแต่วาจาเต็มไปด้วยคำขู่ที่อีกฝ่ายปฏิเสธไม่ได้

อเวเค่นกัดปากตัวเองแล้วเดินออกมาจากห้องโดยไม่สนว่าจะชนเข้ากับตัวคนที่ยืนขวางหรือไม่ ไคม์สืบเท้าเดินนำหน้าไปยังที่ที่เหมาะกับการลากคนข้างหลังมาคุยอย่างที่สุด

พอเดินตามไคม์มาก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคยกับทิวทัศน์มากขึ้นทุกที เพราะมันคือทางไปห้องครัวที่นักฆ่าหนุ่มแวะเวียนไปทานอาหารเป็นประจำ

“เฮ้ มาที่นี่ทำไมกัน?” น้ำเสียงแข็งกระด้างเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์

“เดี๋ยวก็รู้ครับ อ้อ...แล้วก็ช่วยกรุณาหุบปากอยู่เงียบๆ สักครู่ด้วยจะขอบคุณมากเลยครับ” ไคม์หันหน้ามายิ้มและกล่าวคำพูดแกมสั่ง อเวเค่นยักไหล่ ถ้าเขาจะพูดซะอย่างใครก็ห้ามไม่ได้

ทว่าจู่ๆ ไคม์ก็หยุดเดินก่อนจะถึงประตูห้องครัว อเวเค่นที่เดินตามเลยชะงักเท้าไม่ทันเผลอชนเข้าเต็มๆ หลัง ไคม์หันหน้ามาแล้วเอามือปัดๆ เหมือนไม่อยากให้สิ่งสกปรกติดตัว

เห็นแล้วน่าโมโหเป็นบ้า

“ดูเหมือนจะมาได้จังหวะพอดี” รอยยิ้มเต็มไปด้วยเลศนัยเผยอกว้าง นักฆ่าหนุ่มขมวดคิ้วในคำพูดน่าสงสัยนั้นก่อนที่หูของเขาจะได้ยินเสียงคนคุยกันดังมาจากในห้องครัว

“เสียงนี้มัน....” ดวงตาสีทองสั่นไหว ส่วนดวงตาของปีศาจเลขานั้นวาววับผิดกับมนุษย์ที่อยู่ข้างๆ ตน

“วันก่อนเจ้าทำอะไรให้ข้ากินนะ ที่เป็นสีขาวๆ นุ่มๆ”

“อ้อ พันนาคอตต้าครับ”

“ยังมีอีกมั้ย?”

“เมื่อกี้ก็เพิ่งจะกินไปเอง หิวอีกแล้วเหรอครับ?”

“ของแค่นั้นจะไปพอยาไส้อะไร”

ไคม์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้อเวเค่นกระซิบเสียงเบาหวังจะให้ได้ยินคำพูดของตนเพียงลำพัง

“ใต้เท้ากำลังใช้เวลาว่างอยู่กับพ่อครัวของคุณไงครับ ตอนที่คุณไม่ได้อยู่กับเขา คุณชเนย์ก็มักจะอยู่กับใต้เท้าเสมอนี่แหละ”

“ก็ได้แหละครับ แต่คงต้องรอหน่อย” ชเนย์ปั้นเสียงเริงร่ากลับมาเป็นปกติ แม้จะยังคิดเรื่องของอเวเค่นเต็มหัว แต่คนเป็นพ่อครัวก็ไม่ควรปล่อยคนท้องหิวไว้ตรงหน้าแบบนี้

“เอาไปให้ข้าที่ห้องด้วยละกัน” พอพูดแบบนั้นเจ้านรกก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที

“เอ๋? จะไม่รอกินเหรอครับ” ชเนย์ถึงกับหยุดมือที่กำลังเตรียมวัตถุดิบ

“อยู่ตรงนี้ข้าคงกินไม่อร่อยเท่าไหร่”

ความกดดันหนักแน่นที่แผ่ซ่านจนออกมาจากห้องครัวนั้นหนักอึ้งจนอเวเค่นที่รับรู้ได้ยังแทบหยุดหายใจ

“คือ...ผมคงเอาไปให้ไม่ได้นะครับ” ชเนย์เอ่ยออกมา “พอดีว่าผมต้องรอใครบางคนอยู่ที่นี่น่ะ เดี๋ยวทำเสร็จแล้วจะให้ข้ารับใช้เอาไปให้นะครับ”

“แล้วแต่เจ้า”

“เป็นอะไรไปรึเปล่าครับ? ปกติก็เห็นคุณนั่งทานที่นี่ได้นี่นา”

เจ้านรกหันกลับมามองชเนย์ รอยยิ้มขบขันฉาบอยู่บนหน้าผิดกับบรรยากาศกดดันเข้มข้นที่ปล่อยออกมา

“ผมทำอะไรผิดไปรึเปล่าครับ?” พ่อครัวหนุ่มทำเสียงอ่อนลงเพราะโดนคนตรงหน้าปฏิเสธที่จะทานของที่เขาทำในพื้นที่แห่งนี้

อเวเค่นนึกสงสัยสุดๆ ที่ชเนย์ไม่รับรู้ถึงบรรยากาศหนักอึ้งรอบตัวปีศาจชั้นสูงตนนั้นสักนิดเลยรึไงกัน

“เจ้าไม่ใช่สาเหตุหรอกน่า” เจ้านรกเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายแล้วจับใบหน้าหงอๆ ของอีกคนให้เงยขึ้นมาหา “เก็บไว้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวข้าจะแวะมาหาใหม่”

ไคม์ที่ยืนอยู่ด้านนอกจับคอเสื้ออเวเค่นแล้วออกแรงเพียงนิดก็ลากร่างเล็กกว่าตนเข้ามุมมืดได้ง่ายๆ และก่อนที่นักฆ่าหนุ่มผมแดงจะได้โวยวายอะไร ร่างสูงใหญ่ของผู้ปกครองนรกก็ก้าวออกมายืนอยู่นอกครัว

“เจ้าก็รู้นี่ว่าข้าไม่ชอบเป็นตัวหมากในเกมของใคร”

ไคม์ที่แอบอยู่หลังประตูทำหน้านิ่งจนไม่เหลือแววตาและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อครู่

ชเนย์ยกมือขึ้นเกาหัวงงๆ กับคำพูดของคนตัวใหญ่ที่เดินหายลับไปจากทางเดิน

“พอดีผมเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระที่ต้องไปคุยกับใต้เท้า คงต้องขอตัวก่อนนะครับ” ไคม์ปล่อยมือที่จับคอเสื้อออก โดยที่อเวเค่นทำได้เพียงแค่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไร้การโต้ตอบ

“พามาดูแล้วก็ทิ้งกันไว้แบบนี้คิดอะไรอยู่กันแน่?” เสียงลอดไรฟันที่พยายามข่มกลั้นอารมณ์เอ่ยออกมา

“ก็แค่อยากให้คุณรู้สถานะของตัวเองไว้หน่อยน่ะครับ” เขาเบือนหน้าและเดินออกห่างมา แต่ปากยังคงกล่าววาจาเชือดเฉือน “หวังว่าคงจะตาสว่างขึ้นมาบ้างนะว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร...มนุษย์” เสียงหัวเราะในลำคอค่อยๆ เงียบหายไปในความมืด ปล่อยให้คนที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังฉากมหรสพทำได้แค่ยืนกำหมัดแน่นจนมือห้อเลือด

อเวเค่นแอบชะเง้อมองไปยังคนที่ยืนนิ่งอยู่ในห้องครัว ใบหน้าที่คุ้นเคยเจือสีแดงระเรื่อยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เขาอ่านออกในทันทีจากสีหน้าที่อยู่หลังแว่นสีเข้มและกิริยาท่าทางเหล่านั้นมันบ่งบอกชัดเจนว่าชเนย์รู้สึกยังไงกับคนที่เพิ่งเดินออกไป

ทุกอย่างมันแสดงออกอย่างชัดเจน แม้แต่คนโง่ก็ยังรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

ก็รู้มาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่รึไง นี่ล่ะคือความเป็นจริง ที่ผ่านมาแกก็แค่ละเมอฝันไปเองเท่านั้น คำพูดไร้เสียงสะท้อนก้องอยู่ในใจของนักฆ่าหนุ่ม