17 ตอน Glass #14
โดย Wizard Pandas
อเวเค่นลืมตาในความมืด เห็นแต่แผ่นหลังของพ่อครัวที่นั่งอยู่ขอบเตียง เขาดันตัวลุกขึ้นพร้อมสลัดอาการมึนหัว และขอน้ำดื่มจากชเนย์
ร่างสูงเทน้ำใส่แก้วแล้วยื่นส่งให้ นักฆ่าหนุ่มเอามือนวดขมับหลังทบทวนความจำเลือนรางที่ตีกันในหัว ดูเหมือนเขาจะสบประมาทเหล้าสาเกไปหน่อย คิดว่าขวดแค่นั้นคงไม่เมา ที่ไหนได้เล่นซะหัวเกือบทิ่มสระ
“หิวมั้ยครับ?” ชเนย์หันมาถามคนเพิ่งสร่าง อเวเค่นมองสบตาแล้วส่ายหน้า
“แย่จัง แบบนี้สตูคงเป็นหมันซะแล้ว แต่เดี๋ยวเอาไปเก็บไว้แล้วพรุ่งนี้ค่อยอุ่นกินก็ได้” พ่อครัวหนุ่มบอกตัวเอง
“โทษที...ทำให้วุ่นวายทั้งวันเลยสินะ” เสียงสารภาพบาปเบาจนเกือบจะไม่ได้ยิน คนถูกเอ่ยขอขมาหันไปมองและยกมือบีบบ่าอีกคนเพื่อปลอบ
“ไม่เป็นไรครับ” ชเนย์ยิ้มอ่อน อเวเค่นมองหน้าอีกฝ่ายแล้วก็แอบรู้สึกผิด และคิดว่าคืนนี้ไม่ควรจะรบกวนไปมากกว่านี้แล้ว
“ผมจะกลับห้องล่ะ” เขาดันตัวเองลุกขึ้นแต่ร่างกายดันเสียหลักเซไปหาคนที่นั่งอยู่ขอบเตียง ชเนย์เผลอปล่อยไปป์ร่วงลงพื้นเพื่อยกมือขึ้นรับอีกคนไว้
“ถ้ามึนหัวเดินกลับไม่ไหวจะนอนที่นี่ไปเลยก็ได้นะครับ” เจ้าตัวเอ่ยโดยไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อคนเพิ่งสร่างหันหน้ามามองเป็นเชิงถามเขาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ “เอ่อ... ถ้าคุณสะดวกใจล่ะก็นะ”
“จะใจดีไปถึงไหนเนี่ย” อเวเค่นสับสันมือลงกลางหน้าผากชเนย์ แต่มันเบามากจนน่าสงสัยว่าเพราะยังไม่หายแฮงค์ดีหรือเพราะไม่กล้าลงมือหนัก
“อันที่จริงแล้ว...ผมอยากคุยกับคุณน่ะ” มือจับบ่าอีกคนให้ออกห่างจากตนและบังคับนั่งลงตรงขอบเตียงด้วยกัน
“คุยเรื่องอะไร?” อเวเค่นเอียงคอและจ้องหน้าคนถาม ตกลงไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งทำเป็นไม่รู้ตัวกัน
“คุณดูแปลกๆ มาตั้งแต่วันก่อนแล้วนะ รู้ตัวรึเปล่า?”
“ไม่เห็นแปลกตรงไหนนี่ ออกจะสบายดี” อเวเค่นลอบยิ้ม เห็นแบบนี้ก็พอเดาได้ว่าที่จริงอีกฝ่ายก็รู้ตัวเองดีอยู่แล้ว
“อย่าแกล้งปั่นหัวผมแบบนี้สิครับ ผมไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้คุณโกรธแค้นนะ แต่ถ้าผมเผลอทำลงไปก็ขอโทษด้วยครับ” ชเนย์นวดขมับตัวเองเพราะนึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าเขาไปทำอะไรให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองจนทำตัวผิดผีได้ขนาดนี้
“ก็นะ...” อเวเค่นยิ้มกริ่มแล้วขยับเข้ามาใกล้ “คุณทำผมไว้เยอะซะด้วยสิ”
“ขนาดนั้นเลย!?” พอโดนบอกแบบนี้ชเนย์ก็สะดุ้งลนลาน
เมื่อเห็นโจทก์กำลังสติแตกเพราะมีคดีติดตัวให้เพียบอเวเค่นก็อยากจะหัวเราะอัดหน้า แต่ต้องเก็บอาการไว้ก่อน
“บอกผมทีได้มั้ย เอ่อ...เผื่อว่าผมจะได้ไม่เผลอทำอีก”
ในสายตาอเวเค่นตอนนี้เขาเห็นสีหน้าสำนึกผิดของชเนย์เหมือนสุนัขตัวโตที่กำลังหงอ ซึ่งมันกระตุกต่อมคนนิสัยไม่ค่อยดีอย่างเขาให้นึกอยากแกล้งนัก
“ถ้าไม่บอกจะทำไม” นักฆ่าหนุ่มแกล้งแลบลิ้นใส่ ชเนย์ถึงกับอึ้งตาค้างไป คนตัวใหญ่กว่าห่อตัวลีบแม้จะไม่ได้ดูตัวเล็กไปกว่าคนแหย่สักเท่าไหร่ สมองเริ่มขุดเอาความทรงจำตั้งแต่แรกเริ่มที่เจอหน้าอีกฝ่ายขึ้นมาระลึกความหลังทุกรายละเอียดว่าเขาทำความผิดอะไรลงไปบ้าง
“เอ่อ...หรือว่ายังโกรธเรื่องเกมเจงก้านั่นอยู่เหรอครับ?” ร่างสูงกว่านึกถึงเกมสัปดนนั่นที่น่าจะเป็นสาเหตุก่อนใครเพื่อน
“เรื่องนั้นเคลียร์จบไปแล้วนี่” อเวเค่นโคลงศีรษะลอยหน้าลอยตาเป็นเชิงบอกว่าไม่ใช่เรื่องนี้ ชเนย์จึงก้มลงนึกอีกที ยิ่งเห็นยิ่งรู้สึกสนุกจนเผลอขยับเข้าไปใกล้อีก ทว่าคนคิดมากยังไม่รู้ตัว
“หรือว่า...ไม่ๆ ไม่น่าจะใช่... เอ่อ...” ดูเหมือนว่าพ่อครัวจำเป็นจะสติแตกเป็นที่เรียบร้อย
“กลัวว่าผมจะโกรธคุณขนาดนั้นเลยเหรอ?” คำถามของอเวเค่นดังใกล้หู ทำให้ชเนย์ดึงสติกลับมาอยู่กับปัจจุบัน จึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาใกล้ขนาดไหน
“เอ่อ ก็...” ใกล้ขนาดนี้...แม้ไม่ได้คิดอะไรยังใจสั่น
“ไม่เดาต่อแล้วเหรอ?” ระยะห่างของสายตาสั้นลงทุกที เสียงลมหายใจก็แทบจะรดต้นคออยู่แล้ว
“ผม...เดาใจคุณไม่ถูกแล้วครับ” สมองเหมือนหยุดสั่งการให้เลิกคิดชั่วขณะ ชเนย์เผลอหลับตาลงช้าๆ จมูกได้รูปรู้สึกถึงกลิ่นหอมจางๆ ที่ไม่ใช่จากยาสูบของเขาแตะจมูกจนแทบจะเคลิ้มไป
“...ราตรีสวัสดิ์” สิ้นเสียงก็โดนผลักจนลงไปกองกับที่นอน ส่วนคนรุกก็โดดลงจากเตียงแล้วปรี่ไปที่ประตูห้อง พร้อมโบกมือลาก่อนจะปิดประตูจากไป ทิ้งให้คนโดนหลอกงงเป็นไก่ตาแตก
ชเนย์นอนแผ่บนเตียงเหมือนยังอึ้งและสับสนอยู่ พอประสาทสัมผัสโดดกลับสู่ไทม์ไลน์ปัจจุบัน ร่างสูงโปร่งก็พลิกตัวไปกอดหมอนไว้แน่น
เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ? ยิ่งคิดหน้ายิ่งกลายเป็นมะเขือเทศ กลิ่นหอมเมื่อครู่ยังติดปลายจมูกเป็นการย้ำเตือนว่าเขาไม่ได้ฝันไป ชเนย์ซุกหน้าลงกับหมอนแล้วขดตัวจนกลมกลิ้งไปทั่วเตียง “แบบนี้...ไม่ดีแหง”
อเวเค่นกึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับมาจนถึงห้องของตนโดยที่สภาพไม่ต่างกับชเนย์ที่ขลุกไปมาบนเตียงเท่าไหร่ พอปิดประตูได้ก็ทรุดตัวลงกอดร่างตัวเองไว้
“ก...เกือบไปแล้ว” อยากเอามีดมาแทงตัวเองว่าตอนนั้นทำบ้าอะไรลงไป แค่จะแกล้งแหย่คนคนนั้นทำไมต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้ด้วย ดูท่าทางเขาชักจะอาการหนักขึ้นทุกทีแล้ว ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่ายังเมาอยู่แหงๆ
ดูท่าทางคงต้องงดเหล้าสักระยะแล้วล่ะ
*
เช้าวันต่อมา ชเนย์เดินโซเซมาถึงครัวและเริ่มทำตามหน้าที่ของตัวเองต่อ ด้วยความที่คิดมากจนนอนไม่หลับ กว่าจะได้นอนก็เกือบเช้าถึงได้เคลิ้มหลับไป แต่ก็ต้องรีบตื่นมาทำมื้อเช้าอยู่ดี แถมเช้านี้เจ้านรกยังบุกมาหาถึงครัวอีกด้วย
“ไปทำอะไรมาล่ะนั่น?” เสียงเข้มหนักแน่นถามจากอีกมุมครัวเมื่อเห็นคนเพิ่งมาอยู่ในสภาพไม่ต่างกับซอมบี้
“มีเรื่องให้คิดมากนิดหน่อยครับ แต่ไม่ต้องห่วง วันนี้ยังไงคุณก็ได้กินซูชิฟัวกราส์แน่นอน” พ่อครัวจำเป็นหันมายิ้มสดใสให้ส่วนในมือนั้นยังคงง่วนอยู่กับอาหารต่อไป
“...เป็นเพราะเจ้าผมแดงเมื่อวานน่ะเหรอ?” เจ้านรกกลอกตานึกหาสาเหตุ
“.....” ชเนย์หยุดมือแล้วหันมามองแทบจะทันที อะไรจะเดาออกง่ายขนาดนั้น...
“ก็อย่าไปเที่ยวทำตัวแบบนี้กับทุกคนสิ” เจ้านรกหัวเราะในลำคอ
“แบบนี้? คือ...ยังไงครับ?” พ่อครัวขมวดคิ้วสงสัย
“ไม่รู้ตัวจริงๆ สินะเนี่ย แต่ก็ช่างเถอะ”
ร่างสูงใหญ่ลุกจากเก้าอี้และหันหลังเดินออกไปจากห้องครัวเพื่อไปรอที่ห้องอาหาร “ทำตัวแบบนี้ไปเรื่อยๆ ระวังจะลำบากเอาทีหลังแล้วกัน”
แม้จะเป็นประโยคตักเตือนแต่รู้สึกเหมือนเจ้านรกกำลังสนุกยังไงไม่รู้สิ
เจ้านรกก้าวออกจากห้องครัวและเดินสวนกับหนุ่มนักฆ่าที่เดินตัวเซไปยังห้องครัวที่ร่างสูงใหญ่เพิ่งออกมา ต่างฝ่ายต่างเหลียวหลังหันมามองแต่ไม่ได้สบตากันโดยตรงก่อนจะหันกลับไป
ชเนย์ที่กำลังทำซูชิฟัวกราส์อยู่ถึงกับหยุดมือไปเพราะเจอตัวการที่ทำให้นอนไม่หลับมาทักทายสวัสดีแต่เช้าด้วยหนังตาคล้ำเป็นหมีแพนด้า
“หิว” เสียงที่ลอดจากปากคนง่วงนอนคือคำตอบของทุกสิ่งในจักรวาล
ชเนย์พยักหน้ารับอย่างหมดแรงแล้วชี้ไปยังตู้เย็นที่เก็บสตูว์ของเมื่อวาน
“แค่เอาออกมาอุ่นเองคงทำได้นะครับ” เขาพยายามชวนคุยเป็นปกติ อเวเค่นเดินไปอุ่นมื้อเช้าเอามานั่งทานเงียบๆ แล้วลุกไปตักมาเพิ่มจนสตูหมดหม้อไม่เหลือทิ้งให้เสียของ ถึงจะชวนคุยไปตามปกติแต่ชเนย์ก็ไม่รู้สึกว่าบรรยากาศมันตึงเครียดน้อยลงเลยสักนิด
“ง่วง...” อเวเค่นเปิดปากหาวขึ้นมา
“อย่าบ่นสิครับ ผมเองก็ง่วงเหมือนกันนะ...” จัดแจงอาหารลงจานเสร็จก็สั่นกระดิ่งเรียกปีศาจรับใช้มารับอาหารไป
“จะนอนแล้ว...”
“ครับๆ รู้แล้ว...หือ?” ชเนย์กำลังจะเดินไปหยิบกล่องเก็บเมล็ดกาแฟแต่ร่างเล็กกว่าโงนเงนมาหาและซบหน้าลงบนบ่าจากด้านหลัง
“...อย่ามาใช้คนอื่นเป็นที่นอนสิครับ” ยิ่งห้ามอีกคนก็ยิ่งไถหน้าไปมาบนบ่ากว้างราวกับจะหามุมวางหัวให้เหมาะเจาะ
“อุ่นดี...” อีกคนพึมพำแถมยกมือขึ้นกอดเอวหาที่ยึดทำตัวเป็นไม้เลื้อย กล่องเมล็ดกาแฟเกือบร่วงลงพื้นให้เสียของเล่น แต่ถึงอย่างนั้นร่างสูงโปร่งก็ไม่สามารถสลัดมือเหนียวเป็นกาวติดหนึบนี้ไปได้
“ง่วงก็ไปนอนที่ห้องดีๆ สิครับ บ่าผมไม่ใช่ที่นอนปิกนิคนะ” ชเนย์เอียงคอหันไปดุแต่ไร้สัญญาณตอบกลับ
นี่หลับจริงเหรอ...แบบนี้ก็ได้เหรอ!?
“ฟรี้....” พอได้ที่แล้วก็หลับทั้งยืน คนตัวโตกว่าก็ไม่กล้าขยับ ยืนตัวแข็งเป็นตอไม้นิ่งไม่ไหวติง
ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้!? เขาไปทำอะไรไว้ถึงต้องมาเจอแบบนี้ด้วยเนี่ย!?
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถปล่อยไว้แบบนี้ได้จึงจัดการอุ้มอีกฝ่ายขึ้นขี่หลังอย่างทุลักทุเล
“ห้องของคุณไปทางไหนครับ?” การบอกทางเป็นไปอย่างยากลำบาก กว่าจะมาถึงห้องที่ไม่เคยได้รับรู้ว่ามันอยู่ทิศไหนของปราสาทอันกว้างขวางก็เล่นเอาลิ้นห้อย
เขาพยายามพาคนตัวเล็กกว่าลงบนเตียง ทว่าอเวเค่นก็ไม่ยอมปล่อยมือจากหลังง่ายๆ นิ้วมือติดหนึบจนแทบจะเรียกว่าเกาะยึดฝังรากไว้เรียบร้อย ชเนย์อยู่ในสภาพที่โดนคนข้างหลังโอบคอล็อกไว้และซบหน้าลงไปบนบ่าตัวเอง ส่วนช่วงล่างนั้นมีขาข้างหนึ่งเกี่ยวพาดไว้
สภาพสุ่มเสี่ยงจริงๆ ...
“...เอาแบบนี้สินะ ได้” หมดสิ้นความพยายามเนื่องจากความง่วงและความเหนื่อยที่รุมเร้า เขาล้มตัวลงพร้อมอีกคนและขยับไปนอนข้างๆ พยายามไม่ให้นอนทับแขนอีกคน
ว่าแล้วก็ขอนอนกลางวันมันทั้งอย่างนี้แหละ!
“ทำผมลำบากใจทุกทีเลยสิน่า...” หันหน้ามาพลางบ่นอุบอิบเบาๆ แต่กลับยิ้มให้คนหลับสนิทอย่างเอ็นดู
กินอิ่มแล้วก็ง่วงนอนหลับปุ๋ย ทำตัวเป็นเด็กน้อยไปได้
เป็นเพราะอะไรไม่ทราบ แต่ชเนย์ก็เผลอจูบลงบนเปลือกตาปิดแน่นนั่นก่อนจะหลับตามไป
“...” อเวเค่นลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง ชายหนุ่มผมแดงลอบมองดูอีกคนผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอจนแน่ใจว่าหลับสนิทไปแล้ว ดูเหมือนว่าแผนแกล้งหลับไม่รู้เรื่องเพื่อลากให้พ่อครัวจำเป็นหลบมางีบนั้นดูเหมือนจะได้ผลเกินคาด
ทั้งๆ ที่บอกตัวเองว่าอย่าคิดทำตัวสนิทสนมกับอีกฝ่ายมากเกินไป แต่ทุกๆ ครั้งก็ไม่เคยทำได้ เหมือนโดนอะไรบางอย่างดึงดูดจนต้องเข้าหา แต่ก็ไม่ชินกับการทำตัวดีๆ กับใคร เลยมีแต่ต้องแกล้งไปกวนป่วนประสาท
ขอโทษนะ แต่ผมน่ะ...เป็นคนนิสัยเสียแบบนี้ล่ะ
*
เมื่อได้งีบจนเต็มอิ่ม ชเนย์ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาก่อนจะกลอกตาหันไปมาเพื่อดูเวลา แต่ในห้องนั้นไม่มีนาฬิกาแขวนผนัง ทว่ากลับเจอคนคุ้นตานอนอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ เขา
“ยังไม่ถึงเวลาทำมื้อเที่ยงหรอกน่ะ” อเวเค่นยื่นนาฬิกาข้อมือใส่หน้าเหมือนรู้ว่าอีกคนมองหาอะไรอยู่ หน้าปัดบอกเวลาเกือบสิบเอ็ดโมง แม้จะหลับไปไม่กี่ชั่วโมงแต่ก็เพียงพอให้มีแรงทำอย่างอื่นต่อได้
“ขอโทษทีครับ เผลอหลับตอนพาคุณมาส่งที่เตียง” ชเนย์เกาหัว ยังไม่ได้ลุกออกจากที่นอนทันทีเพราะรอให้สมองที่ง่วงงุนของตัวเองกลับเข้าที่ก่อน
“นอนต่ออีกสักหน่อยก็ได้นี่ เมื่อคืนก็แทบไม่ได้นอนไม่ใช่เหรอไง?”
“รู้ได้ยังไงน่ะครับ?” จะเดาว่าแอบย่องเข้าห้องก็ไม่ถูก เพราะเขานอนไม่หลับทั้งคืน ถ้ามาจริงๆ ก็ต้องรู้ตัวแล้ว
“รอยใต้ตามันฟ้อง” ว่าแล้วเอานิ้วจิ้มๆ ไปที่ใต้ตาข้างหนึ่งของคนที่เพิ่งตื่น
“ขืนนอนต่อคืนนี้ก็ตาสว่างนอนไม่หลับพอดี” เขายันร่างตัวเองลุกขึ้นแล้วนั่งคูลดาวน์ตัวเองต่อ แถมผมเผ้ายังยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงอีก
“ผมคงไม่ได้นอนดิ้นจนคุณตื่นหรอกนะครับ?”
“ไม่ได้นอนดิ้นขนาดนั้นนี่” อเวเค่นย้ำแทนคำตอบ
“พูดแบบนี้หรือคุณไม่ได้นอนหลับจริง...” ชเนย์หรี่ตา ตอนนี้อเวเค่นจะทำตัวแปลกๆ อะไรอีกก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
“นั่นสินะ” หนุ่มนักฆ่าแกล้งเอาหนังสือบังรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “บางทีผมอาจจะแกล้งหลับเหมือนตอนที่ติดฝนคราวก่อนก็ได้”
“คุณนี่...ชอบแกล้งผมเล่นอยู่ได้”
“ไม่ได้แกล้งเล่นสักหน่อย แกล้งอย่างจริงจังเลยล่ะ”
“แสบจริงๆ เลย” ชเนย์หยิบหมอนที่ใช้หนุนมาฟาดอีกคน แต่เบาจนคนโดนตีไม่รู้สึกเจ็บสักนิดแถมยังหัวเราะจนตาปิดอีก “ช่วยเลิกเฉไฉแล้วบอกความจริงทีได้ไหม คุณทำแบบนี้ไปทำไม?”
ชเนย์เสยผมขึ้นแต่บางส่วนก็ยังตกลงมาปรกหน้า อเวเค่นหุบยิ้มแล้วปิดหนังสือก่อนวางลงข้างๆ
“ท่าทางของผมคงทำให้คุณคาใจมากสินะ?” หนุ่มผมแดงถาม
“ก็คุณชอบบ่ายเบี่ยงตลอด มันทำให้ผมสับสนไปหมดว่าตกลงคุณคิดยังไงกันแน่”
อเวเค่นมองหน้าชเนย์อยู่นาน ถึงแม้เขาจะไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งด้วยเพราะอีกฝ่ายเป็นผู้ชายและมีคนที่ปลื้มอยู่แล้ว แถมด้วยนิสัยที่จะไม่ทำอะไรกับใครโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้สมัครใจ อเวเค่นจึงมักหาเรื่องคอยปั่นหัวให้ชเนย์สติแตกอยู่เป็นระยะๆ ท่าทางเวลาโดนเขาแกล้งนั่นมันดูน่าสนุกจนทำให้นักฆ่าหนุ่มรู้สึกบันเทิงอยู่ไม่น้อย
แต่...หลายครั้งเขาเองก็เผลอหวั่นไหวจนเกือบพลาดท่าตกหลุมพรางที่ตัวเองขุดดักไว้เสียเอง เพราะในชีวิตมีโอกาสน้อยมากที่เขาจะเจอกับคนน่าคบหาแบบนี้ด้วย งานหลักที่ทำอยู่ในโลกมืดก็มีแต่พวกคนทำงานเบื้องหลัง เชื่อใจใครไม่ได้ทั้งนั้น
“ทำไมถึงเงียบไปล่ะครับ?” พอเห็นว่าไม่มีทีท่าจะได้คำตอบ ชเนย์จึงตัดสินใจเขยิบไปหาคนที่นอนอยู่ แขนทั้งสองข้างค้ำยันคร่อมร่างอีกคนไว้เพียงครึ่งตัวท่อนบน อเวเค่นเบิกตาขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ยังนอนนิ่งไม่ได้ขยับหนี
“ถ้าคุณไม่ลุกขึ้นมาต่อยผม ผมจะถือว่าไอ้ที่ผมคิดไว้มันถูกนะ”
“คิดจะทำอะไรจนผมถึงกับต้องลงไม้ลงมือทำร้ายคุณขนาดนั้นล่ะ?” คนโดนคร่อมแสร้งปั้นยิ้ม ไม่ทันได้เตรียมใจว่าคนขันติแรงจะเริ่มรุกไล่เร็วแบบนี้
“ผม...ขอจูบคุณได้มั้ย?” แม้จะพยายามทำตัวเป็นผู้ล่าก็ยังไม่ทิ้งลายสุภาพบุรุษเต็มตัว ยังอุตส่าห์ถามความสมัครใจอีก
“ไม่” อเวเค่นตอบทันทีทันใด ครั้งก่อนที่โดน French Kiss ไปเพราะเกมเจงก้าก็เกือบทำเขาเตลิดกลับเข้าฝั่งไม่ถูกไปทีหนึ่ง เรื่องชอบแกล้งให้คิดลึกก็ส่วนเรื่องนั้น แต่เรื่องเปลืองตัวน่ะอย่าหวังจะยอมง่ายๆ
“กลัวเหรอครับ?” น้ำเสียงทุ้มต่ำถาม
“ผมเนี่ยเหรอจะกลัวคุณ?” อเวเค่นอยากหัวเราะใส่ ถึงอยู่ในสภาพเสียเปรียบแต่เขาก็มั่นใจว่าสามารถคว่ำคนที่อยู่บนตัวลงไปกองกับพื้นได้แน่นอน
“ไม่ใช่ คุณกลัวใจตัวเองอยู่ต่างหาก...”
“.........”
“ผมพูดถูกใช่มั้ยครับ?”
ในเมื่อคำพูดมันบอกอะไรไม่ได้ ชเนย์จึงก้มหน้าลงไปหา แต่ก่อนที่จะได้แนบริมฝีปากลงไปก็กระซิบเสียงต่ำเพื่อย้ำเตือนอีกครั้ง
“ถ้าคุณอยากจะซัดผมก็เชิญเลยนะ แล้วผมจะถือว่าผมคิดมากไปเอง”
ริมฝีปากอุ่นแนบประกบลงกับกลีบปากอีกฝ่ายช้าๆ ไม่รีบร้อนและไม่เร่งเร้าใดๆ คล้ายถามทางล่วงหน้าว่าจะยินยอมหรือเปล่า คนถูกจู่โจมจับหนังสือในมือไว้แน่น ไม่รู้ว่าที่ยังไม่ผลักคนข้างบนออกไปนี่เป็นเพราะอะไร แค่โดนอีกฝ่ายพูดจี้ใจดำถึงกับทำตัวไม่ถูกเลยงั้นเหรอ?
ไร้สาระ...ของแค่นี้จะไปรู้สึกรู้สาอะไร
อเวเค่นไม่ได้ตอบรับจูบหรือผลักไสคนที่อยู่บนตัวออกไป ทว่าคำพูดที่ชเนย์ถามมันยังคงวนเวียนอยู่ในสมอง
คนอย่างเขาน่ะเหรอกลัวตัวเองจะเผลอใจให้อีกฝ่ายทั้งๆ ที่ไม่เคยชอบผู้ชายเลยแท้ๆ
ร่างสูงถอนริมฝีปากออกและผละออกมามองหน้าคนตัวเล็กกว่า ชเนย์นิ่งไปและแววตาที่มองมันทำให้อเวเค่นต้องถามออกมา
“พอใจแล้วเหรอ?”
“...คุณร้องไห้ออกมาแบบนี้ ถ้าผมยังทำต่อก็เลวเกินคนแล้วครับ”
“ห้ะ?” อเวเค่นชักมือตัวเองมาป้ายตา นี่น้ำตามันไหลออกมาตอนไหนกัน?
“ขอโทษด้วยครับ!” คนทำสำนึกผิดรีบลุกออกจากตัวอีกคนย่างรวดเร็วแล้วโค้งคำนับหัวลงจนต่ำแทบติดกับเตียงเป็นการขมาแบบสุดตัว “จะให้ทำอะไรไถ่โทษก็ได้ทั้งนั้นครับ!”
“ถ้างั้น...มื้อเที่ยงนี้ผมขอเป็นสเต็ก เอาความสุกแบบเดียวจานหลักวันนั้นละกัน”
“แค่นั้นเองเหรอครับ?” พ่อครัวเงยหน้าถาม
“หรือจะจัดฟูลคอร์สให้ผมอีกสักรอบล่ะ?” พอเห็นอีกคนทำหน้าซีด ร่างเล็กกว่าจึงเอามือลูบไปบนผมสีอ่อนยุ่งเหยิงนั้นเหมือนจะปลอบ “รีบๆ ไปทำสเต็กมาให้ไวเลย หิวแล้ว”
“ได้ครับ!” ชเนย์เงยหน้าขานรับด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิดปนโล่งใจสุดๆ แต่แล้วจู่ๆ ก็โดนอีกคนโถมเข้าหาโดยไม่ได้ตั้งตัว
“อเวเค่น...” ชเนย์มองคนที่ขยับมานั่งกอดเขาไว้แล้วซุกหน้าลงบนบ่า “ทำแบบนี้...ผมยิ่งสับสนนะครับ...”
เขาปล่อยให้คนกอดซบเขาไปทั้งอย่างนั้น มือข้างหนึ่งยันตั้งหลัก ส่วนมือที่ว่างอีกข้างยกขึ้นลูบแผ่นหลังอีกคนเบาๆ
“ก็พอกันนั่นแหละ...” อเวเค่นตอบเสียงเบา น้ำตาที่หลั่งออกมาเมื่อครู่มันยังไหลไม่ยอมหยุด ไม่รู้เพราะโดนบังคับจูบหรือเป็นเพราะอะไรกันแน่
Comments (0)