ผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง ข้ารับใช้ปีศาจได้นำอาหารมาให้ชเนย์ที่กำลังนอนพักผ่อน ดูจากหน้าตาของอาหารที่เหมือนจะเป็นข้าวต้มแต่สีสันน่ากลัวเหมือนออกมาจากหม้อต้มยาของพวกแม่มดหมอผียังไงยังงั้น ดูแล้วไม่น่าไว้ใจเอาซะเลยว่าจะกินเข้าไปได้ เดาเอาว่าคงเป็นฝีมือพ่อครัวปีศาจเป็นแน่ แต่ข้ารับใช้ที่นำอาหารมาให้ส่ายหน้าบอกว่าไม่ใช่

ชเนย์ทำหน้าสงสัยแต่ยังไม่ทันจะได้ถามว่าของใครฝากมา ข้ารับใช้ก็รีบเดินกลับไปซะก่อน เขาลองชิมข้าวต้มที่รสชาติไม่ได้ดีไปกว่าที่ตาเห็นแล้ววางช้อนลงข้างถาดตั้งใจจะเอาไปเททิ้งทีหลัง แต่แล้วก็เพิ่งเห็นว่ามีกระดาษแนบข้อความติดมาด้วย เมื่อคลี่อ่านก็เห็นว่าไม่มีชื่อคนเขียน แต่จากเนื้อความก็พอจะรู้ว่าใครเป็นเจ้าของอาหารมื้อนี้และกระดาษแผ่นนี้

‘กินเข้าไปแล้วรีบๆ นอนพักให้หายดีซะ’

ครั้งสุดท้ายที่มีคนทำอาหารให้กินเวลาที่ไม่สบายมันเมื่อไหร่กันนะ

เขากำกระดาษไว้ในมือ มองข้าวต้มจานนั้นอีกครั้งและชิมมันไปอีกคำ อยากจะเดินไปบอกอเวเค่นเหลือเกินว่าอาหารแบบนี้ถ้าเป็นคนอื่นกินคงร้องไห้ไปแล้ว...ไม่สิ เขาเองก็กำลังร้องอยู่เหมือนกัน

ทำไมถึงทำอาหารได้ห่วยแบบนี้นะ สงสารวัตถุดิบที่ต้องพลีชีพเพื่อมาเป็นข้าวต้มจานนี้เหลือเกิน

ถึงกระนั้นเขาก็ฝืนทานต่อไปจนเกือบหมดและกินยานอนพักผ่อนต่อ ถึงแม้ว่าปกติจะไม่ชอบการใส่เสื้อผ้านอนเพราะมันอึดอัด แต่คืนนั้นเขากลับสวมชุดครบและนอนห่มผ้าอย่างที่คุณนักฆ่าแนะนำ

เมื่อฟ้าเริ่มมืด ไข้ของชเนย์ก็เริ่มลดจนแทบจะเป็นปกติ ในใจนึกอยากไปหาอะไรมากินจะได้รีบหายๆ เลยใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วเดินไปในครัว แต่เมื่อเดินไปถึงก็หยุดชะงักฝีเท้าหน้าห้องเพราะเห็นอเวเค่นยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงที่หน้าต่างในครัวซึ่งเขามักจะไปนั่งบนขอบแล้วเหม่อมองวิวทะเลข้างนอก

“หิวอีกแล้วเหรอครับ?” ชเนย์ทักและพยายามปั้นหน้ายิ้มเป็นปกติ ทว่าไม่มีเสียงตอบมาจากคนที่ยืนรออยู่ก่อน แต่เขาก็ยังพยายามชวนคุยเพื่อไม่ให้เงียบจนเกินไปนัก “ไม่ยักรู้คุณว่าสูบบุหรี่ด้วย”

“สูบเฉพาะเวลาที่ต้องใช้ความคิดน่ะ” อเวเค่นตอบและขยี้บุหรี่ที่ยังสูบไม่หมดมวนทิ้ง “หายป่วยแล้ว?”

“ครับ อาหารของคุณนี่คุณค่าทางอาหารสูงจนผมหายป่วยเร็วเลย” ถึงจะชมไปแบบนั้นแต่มันเหมือนเป็นการใส่ทุกๆ อย่างแล้วปั่นรวมกันออกมาซะมากกว่า

“เหรอ...” อเวเค่นหันมาและปรี่เข้าหาตัวอีกคนอย่างว่องไวเสียจนคนเพิ่งหายป่วยตั้งหลักไม่ทันได้แต่ถอยจนติดผนัง

“เอ๊ะ?” จู่ๆ ก็โดนต้อนจนหมดทางหนีแถมยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะยังคิดมากอะไรเรื่องเมื่อกลางวันอีกหรือเปล่า ชเนย์เลยได้แต่ทำตัวลีบติดกับกำแพงไปทั้งอย่างนั้น

“ตอบคำถามผมให้หมดทุกอย่าง โอเค้?”

“ห้ะ?” พ่อครัวงง แต่ก็พยักหน้าหงึกหงักระรัว

“ชเนย์...” อเวเค่นถอนหายใจเล็กๆ เขาเรียกชื่อจริงอีกฝ่ายก่อนกลับเข้าเรื่อง “คุณคิดว่าผมเป็นคนยังไง?”

“เอ่อ ก็...” ชเนย์กะพริบตาหลังแว่นอย่างสงสัย ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่ก็ยอมตอบออกไปตรงๆ “ค่อนข้างเอาแต่ใจมั้งครับ แต่ว่า...”

อเวเค่นจ้องหน้านิ่ง ไม่ได้เอาแขนทั้งสองข้างกางกั้นไว้แล้วก็จริง แต่ไม่ยอมขยับออกไปไหน

“เมื่อวานกับเมื่อเช้าคุณดูใจดีมากๆ” พูดไปก็มองไปมาหาที่จดจ้องไม่ได้ แปลกดีที่มาพูดอะไรแบบนี้ทั้งที่ก็ไม่ใช่เกมหมุนขวดเหมือนเมื่อวานก่อนเสียหน่อย

“อาหารที่ผมทำมันห่วยแตกใช่มั้ย?”

สายตาจ้องจะเอาคำตอบจริงๆ ร่างสูงกว่าเหงื่อตกนิดหน่อยก่อนจะตอบสั้นๆ ว่า “ใช่ครับ...”

อเวเค่นถอยออกไปก้าวหนึ่ง “ผมน่ะไม่เคยทำแบบนี้ให้ใคร แถมเราสองคนเพิ่งจะรู้จักกันไม่นานเองด้วย”

ชเนย์งงกับท่าทางของอเวเค่น

“ผมอยากจะถามว่า...คุณทำเรื่องแบบนั้นกับคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่วันได้ด้วยเหรอ แต่เพราะผมเองก็เคยชวนสาวๆ เข้าโรงแรมตอนสบตาพวกเธอในบาร์แค่ไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ ฉะนั้นข้อนี้ข้ามไปเลยแล้วกัน”

คำพูดเมื่อตะกี้นี้เหมือนไม่ได้พูดกับเขาแต่เหมือนอีกฝ่ายกำลังคุยกับตัวเองมากกว่า ชเนย์เริ่มสงบใจได้แล้ว แต่ดูท่าทางคนตรงหน้าเขาต่างหากที่กำลังลน จะไหวมั้ยเนี่ย...

อเวเค่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ดวงตาสีทองหันมาสบตาคู่สนทนาอีกครั้ง

“บอกตรงๆ นะ ผมไม่เคยคิดอยากทำเรื่องแบบนั้นกับผู้ชายด้วยกัน” ชเนย์พยักหน้ารับรู้ เขาดูออกว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้น เขาเองต่างหากที่สนใจในตัวคนตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“แต่...” อเวเค่นเว้นช่วงพูด “ผมว่าผมเองก็เริ่มจะรู้สึกแปลกๆ กับคุณแล้ว”

“เอ๋?” ชเนย์เบิกตา แต่เพราะใส่แว่นสีเข้มและห้องครัวค่อนข้างมืด อีกฝ่ายจึงเห็นสีหน้าไม่ชัดนัก เขาได้แต่ยืนนิ่งในท่าสงบเสงี่ยมเพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี

“ถ้าคุณให้เวลาผมสักนิด ผมจะกลับไปคิดดู ย้ำว่าผมแค่คิดเท่านั้น ยังไม่ได้ตอบตกลงจะทำนะ!” อเวเค่นเน้นย้ำชัดๆ ให้อีกคนเข้าใจ “แล้วก็เรื่องที่ใครจะเป็นฝ่ายอยู่บนอยู่ล่างนี่...”

“เดี๋ยวๆ ! แป๊บนะครับ” คนโดนบีบไว้กับกำแพงยกสองมือขึ้นทำท่าปางห้ามญาติค้างไว้เป็นสัญญาณว่าขอพูดอะไรบ้าง “ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นอะไรหรือไปหกล้มหัวฟาดตรงไหนมา แต่ผมไม่ได้จะชวนคุณทำเรื่องแบบนั้นนะ”

“อ้าว...” อเวเค่นเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่สมองเริ่มตีกันเป็นพัลวัน หากเป็นเครื่องจักรนี่ก็คงจะร้อนเกินลิมิตแล้วกระมัง

“อย่าบอกนะครับว่าคุณคิดมากเรื่องนี้?” รอยยิ้มสดใสแต้มใบหน้าอย่างจริงใจแล้วลดมือลงช้าๆ

อเวเค่นสะดุ้ง เหมือนเจ้าตัวจะไม่อยากตอบสักเท่าไหร่ แต่ชเนย์ก็ไม่คิดอยากได้คำตอบในตอนนี้แต่อย่างใด และถึงแม้ชายหนุ่มนักฆ่าจะดูเป็นคนที่คาดเดาใจยาก แต่ก็คงไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรหรอกมั้ง

“ทำตัวตามปกติเหมือนที่ผ่านมาเถอะครับ เวลาที่อยู่กับคุณผมรู้สึกสนุกดีด้วยซ้ำ”

“แน่ใจนะที่จะให้ผมเกาะแกะอยู่แบบนี้?” นักฆ่าหนุ่มถามย้ำ อีกคนพยักหน้าแทนคำตอบ อเวเค่นถอนหายใจเหมือนโล่งอกที่สุดในชีวิต ถึงจะรู้สึกเหมือนโดนว่าทางอ้อมว่าเขาเป็นพวกคิดได้แต่เรื่องพรรค์นั้นก็เถอะ

“หิวรึยังล่ะครับ? ผมกำลังจะทำมื้อดึกให้ท่านเจ้านรกน่ะ” ไม่รู้ว่าควรถามมั้ย แต่เขาไม่อยากให้บรรยากาศมันเงียบจนน่าอึดอัดอีก

“ไม่ล่ะ เชิญคุณตามสบาย ผมจะไปอาบน้ำเข้านอนแล้ว” ในใจหนุ่มนักฆ่าก็อยากตอบไปว่าหิวมาก แต่พอรู้ว่าอีกฝ่ายมาที่ครัวทำไม อยู่ๆ คำพูดที่คิดจะบอกก็เหมือนโดนดูดหายไป

“อ่า ครับ...” เขาปล่อยให้อเวเค่นเดินห่างจากตัว แต่ก่อนอีกคนจะหายลับไปชเนย์ก็ตะโกนไล่หลังตาม “ฝันดีครับ”

อเวเค่นแค่หันมามองแต่ไม่ได้ตอบอะไรมา ระยะทางกับแว่นสีเข้มยิ่งทำให้ไม่เห็นสีหน้าอีกฝ่าย แต่ชเนย์ก็ไม่คิดจะยื้อไว้แล้ว พอได้อยู่คนเดียวแล้วเปิดตู้ดูของไปพลางคิดหาเมนูที่สามารถทำได้ในครัว จู่ๆ ก็เหมือนสมองเพิ่งจะคิดอะไรออก

ที่ว่าเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับเขานี่ คงไม่ใช่ว่า...

“ไม่หรอกมั้ง” ชเนย์ส่ายหน้ารัวๆ กับความคิดเข้าข้างตัวเองในหัว ทว่าถึงจะพูดและคิดแบบนั้น แต่สีแดงที่แต้มบนใบหน้าก็ไม่ได้ลดลง

 

*

 

เช้าวันนี้ห้องอาหารในปราสาทเจ้านรกดูจะเอะอะเป็นพิเศษ สาเหตุมาจากผู้เข้าแข่งขันรายหนึ่งดันไปมีเรื่องกับพ่อครัวปีศาจที่มีหน้าที่ทำอาหารเลี้ยงทุกคนที่อยู่ที่นี่ ทว่าขึ้นชื่อว่าปีศาจแล้วการรับรู้รสชาติก็ต่างไปจากมนุษย์ แม้จะสามารถทำอาหารให้มนุษย์ซึ่งถือเป็นคนส่วนน้อยทานได้ แต่บางครั้งก็เกิดปัญหาที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น

อย่างเช่นในตอนนี้...

“คนผิดคือไอ้พ่อครัวปีศาจต่างหาก คิดยังไงถึงได้เอาปลาปักเป้ามาทำอาหารฟะ นั่นมันปลามีพิษไม่ใช่เรอะ คิดจะฆ่ากันรึไง!”

ชเนย์ยืนสูบไปป์อยู่หน้าห้องขังทำหน้าที่รับฟังเรื่อง ส่วนคนที่อยู่อีกฝั่งของลูกกรงก็ไม่ใช่ใครอื่น...อเวเค่น นักฆ่าผู้เรื่องมากกับการกินที่สุดในโลกกำลังบ่นเป็นฟืนเป็นไฟผิดวิสัยปกติของเจ้าตัวนัก

“เนื้อปลาปักเป้ามันกินได้นะครับ ถ้ารู้วิธีเอาเส้นพิษมันออก” ชเนย์อธิบาย แต่อีกคนนั้นกำลังหัวเสียไม่รับฟัง เพราะกำลังโมโหหิวอย่างมาก “ปกติคุณก็ไม่ทานอาหารในห้องอาหารอยู่แล้ว ทำไมหนนี้ถึงได้เข้าไปยุ่งล่ะครับ”

“...ไม่ใช่เรื่องของคุณ” ความหงุดหงิดทำให้อเวเค่นพาลใส่อีกฝ่าย ชเนย์นิ่งไปนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้เก็บคำพูดนั้นมาใส่ใจนัก

“เค้าจะจับคุณขังไว้นานมั้ยล่ะครับ?” ชเนย์เปลี่ยนเรื่อง

“ไม่รู้ ไม่ได้บอก” เหมือนคนที่อีกฟากกรงดูจะยังไม่สงบสติดี แถมเดินวนไปทั่วห้องจนดูน่าเวียนหัวเข้าไปอีก

“ให้ผมไปถามให้มั้ยล่ะ เผลอๆ อาจจะได้ออกมาเลยก็ได้” ร่างสูงพ่นควันกลิ่นดอกไม้ออกมา คราวนี้กลิ่นเหมือนดอกพลัม...

“คุณไม่ต้องมายุ่งหรอก เดี๋ยวจะเดือดร้อนเปล่าๆ” เดินมากก็เหนื่อยแถมหิวมากกว่าเดิม สุดท้ายก็เลยนั่งนิ่งๆ เป็นการประหยัดพลังงาน

“ตามใจคุณนะครับ” ชเนย์ไม่ว่าอะไรและมองดูเวลาในนาฬิกาพกของตัวเอง “ได้เวลาที่ผมต้องไปทำอาหารแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ”

“อืม...” ตอบไปอย่างห้วนๆ เสียงเท้าของพ่อครัวหนุ่มเดินห่างไปไกล แต่เสียงร้องในกระเพาะกลับดังขึ้นมาแทน “หิวชะมัด...”

เพราะไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เมื่อวาน แถมยังไปก่อเรื่องแบบนั้นอีก อเวเค่นคิดว่าเขาคงจะหิวตายอยู่ในนี้ก่อนจะได้ออกไปสู้กับฝั่งเกาะเซฟิลแน่ๆ

“คุณหงุดหงิดเพราะหิวอยู่จริงๆ ด้วย” ชเนย์ยื่นหน้าผ่านลูกกรงมาหา แอบยืนฟังอยู่ที่ทางออกแล้วพ่นควันใส่

“ไม่ต้องมายุ่งน่า ไปทำหน้าที่ของตัวเองซะไป” นักโทษออกปากไล่

“ทำเพิ่มอีกสักที่มันไม่ได้หนักหนามากหรอกครับ...ถ้าไม่ใช่ฟูลคอร์สน่ะนะ” ไม่รอคำตอบของอเวเค่น ชเนย์ก็รีบจ้ำหายไปก่อนจะได้ฟังคำปราม

หลังชเนย์จัดเตรียมอาหารเสร็จก็แบ่งใส่อีกจานเพื่อจะเอาไปให้คนที่นั่งรออยู่ในห้องขัง ทว่าระหว่างที่กำลังจะเดินไปที่นั่นก็เจอเข้ากับไคม์ มือขวาของเจ้านรกยืนรออยู่

“จะเอาอาหารไปไหนเหรอครับ?” ถามอย่างเป็นมิตร แต่แอบจับผิดพ่อครัวหนุ่มไปในตัว

“เอ่อ...” ชเนย์นึกหาเหตุผล และไม่มีประโยชน์ถ้าจะโกหกด้วย “เอาไปให้เพื่อนน่ะครับ ผมเห็นเขายังไม่ได้ทานอะไรเลยน่ะ”

จะเรียกว่าเพื่อนได้รึเปล่านะ? ชเนย์ถามตัวเองในใจ แต่ก็คิดคำอื่นไม่ออกแล้วในตอนนี้

“หือ? น่าแปลกจริงนะที่หาเพื่อนได้ในเวลาแบบนี้” รอยยิ้มกว้างดังเดิมที่ไม่เคยดูน่าเข้าใกล้ยังคงเปื้อนอยู่บนหน้า

“ก็แหม มาคนเดียวอยู่คนเดียวมีเพื่อนไว้หน่อยจะเป็นไรไปล่ะครับ”

“มิน่าล่ะช่วงนี้ไม่ค่อยอยู่ที่ครัวเลย” ไคม์แอบหยอกนิดหน่อย “ใต้เท้าเลยหัวเสียเวลาแวะไปแล้วไม่เจอคุณตลอด”

“เอ๊ะ?” ชเนย์ขมวดคิ้ว ลืมไปเลยว่านอกจากอเวเค่นแล้วยังมีอีกคนที่ชอบบุกครัวประจำ “เหรอครับ ต้องขอโทษด้วย”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ไคม์ยิ้มเล็กน้อย “แต่ระวังไว้หน่อยก็ดีนะครับ วัตถุดิบที่ผมให้คนไปลำบากหามาให้ มันจะไม่บาลานซ์กับอาหารที่คุณต้องทำเพราะแอบเอาไปให้เพื่อนคุณทาน”

ชเนย์มือไม้อ่อนจนเกือบทำจานหล่น ดูเหมือนเมนูฟูลคอร์สที่เป็นตัวผลาญวัตถุดิบครั้งก่อนจะหันมาเล่นงานเขาแล้ว

“มาเตือนเท่านี้ล่ะครับ เชิญคุณไปหาเพื่อนคุณได้เลย อ้อ...แต่ขอบอกไว้อีกเรื่องนะครับ” ไคม์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้เพื่อกระซิบไม่ให้ดังจนเกินไป

“ระวัง ‘เพื่อน’ คนนั้นเอาไว้หน่อยก็ดีนะครับ เขาไม่ได้เป็นเหมือนที่คุณคิดหรอก”

ไคม์หันหลังกลับเพื่อไปสะสางตารางงานของวันนี้ต่อ ทิ้งให้ชเนย์ยืนนิ่งจนอาหารในจานเริ่มเย็นถึงเพิ่งรู้สึกตัวและรีบเดินไปยังห้องขัง

“เชิญครับ เพนเน่เบคอนเห็ดอบชีส อ้อ...แล้วนี่คลาสสิคโมจิโต้แก้เลี่ยน”

ชเนย์จัดแจงวางอาหารส่งให้ผ่านช่องลูกกรงแล้วก็ถอยมานั่งมองเหมือนรอดูปฏิกิริยาของคนกิน

“มองขนาดนั้นจะไปกินลงได้ไง” พูดไปงั้นแต่มือก็หยิบเอาจานอาหารที่หายร้อนไปนิดหนึ่งขึ้นมากินอยู่ดี อเวเค่นจัดการทานอาหารที่ชเนย์เอามาให้อย่างรวดเร็วจนเกือบติดคอ

“ทานช้าๆ ก็ได้ครับไม่มีใครแย่งกินหรอก”

“ก็คนมันหิวนี่” พูดทั้งที่ยังมีของกินอยู่เต็มปาก ชเนย์เผลอยิ้มกับท่าทางของอีกฝ่าย แต่แล้วคำพูดของไคม์ก็แวบเข้ามาในหัว

‘เขาไม่ได้เป็นเหมือนที่คุณคิดหรอก’

เรื่องที่อเวเค่นถามเมื่อคืน จะเกี่ยวกับที่ไคม์เตือนเขารึเปล่านะ...ขอให้เป็นแค่เรื่องคิดไปเองเถอะ

แต่พอไคม์มาเตือนจู่ๆ ก็รู้สึกดีใจขึ้นมาที่เจ้านรกอุตส่าห์แวะมาหาจนเผลอยิ้มแปลกๆ ออกมา

“ทำหน้าอะไรของคุณน่ะ...” อเวเค่นหรี่ตามองและตั้งคำถามอีกฝ่ายหลังกินเสร็จพลางจิบค็อกเทล

“เปล่าๆ ไม่มีอะไรครับ” แม้จะปฏิเสธทว่าสีหน้าก็เก็บไม่อยู่

“หลอกผมไม่ได้หรอก หน้าคุณมันฟ้องแถมยิ้มจนปากจะฉีกถึงหูอยู่แล้ว”

พูดแซวจนดูโอเว่อร์ แต่ก็ไม่ได้ผิดไปจากท่าทางที่คนอยู่อีกฝั่งของลูกกรงพยายามเก็บอาการเลยสักนิด

“ปกติผมก็ยิ้มตลอดอยู่แล้วนี่ครับ” ทำท่าชี้นิ้วใส่ตัวเองทั้งสองมือและปั้นหน้าลัลล้าใส่คนที่โดนโทษขังเดี่ยวให้แอบเอือมนิดๆ

“...คุณยิ้มไม่เหมือนเวลาอยู่กับผมก็แล้วกัน” คำพูดของอเวเค่นทำให้ชเนย์ถึงกับหยุดทำท่าทางแสร้งยิ้ม “อร่อยมาก ขอบคุณที่เลี้ยง” ส่งจานกับแก้วเปล่าคืนให้พ่อครัว

“ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ ถือว่าเป็นค่าอาหารก็แล้วกัน” ชเนย์รับจานคืนมาและเรียกเช็กบิล

“ว่า...?”

“เมื่อคืน...ทำไมจู่ๆ ถึงถามความเห็นผมล่ะ?” ชเนย์เขยิบมานั่งชิดติดหน้ากรงเผื่ออีกคนจะพูดอะไรอุบอิบจะได้ฟังได้ถนัด แถมถอดแว่นออกเพื่อไม่ให้ความมืดมาบังสีหน้าของอเวเค่นอีก “ที่ถามผมว่า คิดว่าคุณเป็นคนยังไงน่ะ?”

“อ้อ...นั่นน่ะเหรอ” อเวเค่นทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ “ไม่รู้สินะ...”

“อย่าพูดว่าไม่รู้สิครับ เป็นคนถามเองไม่ใช่เหรอไง?” ชเนย์รู้สึกเหมือนโดนกวน ทั้งที่คำถามนี้เขาตอบอีกฝ่ายไปอย่างจริงจัง

“ที่บอกไม่รู้คือ...ผมไม่รู้ว่าผมทำตัวยังไงเวลาอยู่กับคุณต่างหาก ที่ถามนั่นก็เพื่อเช็กดูตัวผมเองด้วย” อเวเค่นตอบ ชเนย์มองสีหน้าอีกคนที่มองตรงมา ไม่รู้ว่าแกล้งพูดโกหกรึเปล่า

“คุณตอนอยู่กับผมเหรอ...” ชเนย์เอียงคอทวนคำถาม ระหว่างนั้นก็พยายามอ่านสีหน้าอีกคน แต่ดูแล้วความสามารถด้านนั้นของเขาจะไม่ถึง

“แค่นี้?” ส่วนอเวเค่นก็พยายามจะจบบทสนทนาโดยไว

“งั้นผมถามคุณกลับบ้างดีกว่า” ชเนย์เริ่มยิงคำถามบ้าง แต่รอยยิ้มเป็นกันเองช่วยให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดเกินไป “ในสายตาคุณผมเป็นคนยังไงเหรอ?”

“จากสายตาผม คุณน่ะ...เป็นคนที่น่าจะโดนหลอกได้ง่ายมาก”

คำตอบที่ทำเอาคนฟังรู้สึกเหมือนโดนฟาดกลางแสกหน้า นี่หลอกด่ากันรึไง?

“ล้อเล่นน่ะ” อเวเค่นขำที่เห็นชเนย์ทำหน้าเหวอนิดๆ “เคยบอกแล้วนี่ว่าคุณเป็นคนดี”

“มันกว้างไปนะครับไอ้คำว่าคนดีเนี่ย ระบุชัดๆ ให้มันเข้าใจง่ายหน่อยไม่ได้เหรอ?”

“อยากให้บอกรายละเอียดก็เอาอาหารมื้อต่อไปมาแลกแล้วกัน แค่จานเดียวน่ะถูกไปนะ” ตอบแบบยียวนและกวนโอ๊ย จนพ่อครัวหนุ่มอยากแกล้งหาเรื่องใส่พริกเผ็ดๆ ลงในอาหารมื้อต่อไปเลยทีเดียว “แถมให้หน่อยแล้วกันสำหรับความใจกล้าที่เอาอาหารมาให้นักโทษ”

อเวเค่นกระดิกนิ้วเป็นเชิงให้อีกฝ่ายเอาหูเข้ามาใกล้ๆ ทั้งที่ในคุกนี่ก็มีกันแค่สองคน ไม่รู้ว่าจะกระซิบไปทำไม แต่ชเนย์ก็ยอมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ลูกกรง

แต่...แทนที่จะได้ยินคำตอบ หน้าเขากลับโดนจมูกของอีกฝ่ายแนบแก้มผ่านลูกกรงซะงั้น

ชเนย์ถอยออกมาแทบจะทันที ไม่ใช่ว่ารังเกียจแต่ตกใจที่คนในห้องขังทำเรื่องเหนือความคาดหมายสุดๆ พอกำลังจะเอ่ยปากถามอะไรก็คิดได้ว่าเครื่องบรรณาการมันหมดไปแล้วจึงยอมเก็บจานแล้วออกไปแต่โดยดี

“เอ่อ...ไว้ผมจะแวะมาตอนเย็นนะครับ”

พ่อครัวรีบลนออกจากเขตคุมขังไปไม่ได้หันกลับมามอง พอต่างคนต่างพ้นหน้ากันจนลับตา สีหน้าทั้งคู่ที่เก็บอาการอยู่ก็เริ่มแสดงออกมา

“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”

ส่วนอเวเค่นนั้นก็แอบคิดในใจว่าตนแกล้งแหย่แรงไปมั้ย...แต่คิดว่าไม่