“ต้องรออีกนานแค่ไหนถึงจะได้เริ่มการแข่งขันกันสักทีล่ะ” น้ำเสียงเปี่ยมอำนาจของเจ้านรกเอ่ยถามกับคนสนิทข้างกาย

“การจะรวบรวมผู้เข้าแข่งขันโดยมีเงื่อนไขว่าจะไม่ใช้กองทัพจากนรกภูมิของท่าน ทำให้มีคนสมัครเข้าร่วมกับฝั่งเราน้อยกว่าที่คาดไว้ ข้าคิดว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักพักฝั่งเราถึงจะมีกำลังพลเพียงพอเท่ากับฝั่งนั้นครับ” ชายหนุ่มที่เป็นสมุนมือขวากล่าวตอบระหว่างที่ทำการขีดเขียนอะไรต่อมิอะไรลงไปในกระดาษที่ยาวลากพื้น

“ชิ...ชักช้าเป็นบ้า”

“ก็ฝ่ายเราเป็นตัวร้ายในสายตาของพวกมนุษย์นี่ครับ เรื่องนั้นมันก็ช่วยไม่ได้หรอก”

อันที่จริงแล้วพวกเขาไม่จำเป็นต้องมาทำเรื่องเสียเวลาแบบนี้เลยด้วยซ้ำ แต่เพราะว่าทั้งหมดนี้เป็นเกมฆ่าเวลาที่สร้างขึ้นเพื่อมอบความบันเทิงแก่เจ้านรกผู้เบื่อหน่าย แถมผู้บัญชาการของทางนี้ก็ดันเป็นฝ่ายยอมเสียเปรียบเองด้วย เพราะงั้นเรื่องนี้ก็คงโทษใครไม่ได้

เสียงนิ้วของใครบางคนเคาะกับพื้นผิวไม้เนื้อแน่นดังเป็นจังหวะบางเบาอยู่ภายใต้เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ของผู้คนมากหน้าหลายตาที่รวมตัวกันในโถงกว้างของปราสาทกลางทะเลเบื้องหน้าเกาะเซฟิล ถ้าจะพูดให้ถูกยิ่งกว่าก็คือเกือบทั้งหมดของสิ่งมีชีวิตที่ยืนออกันอยู่ในที่นี้ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่มนุษย์แทบทั้งสิ้น

“ยังไม่เริ่มแข่งอีกหรอ เบื่อจะตายอยู่แล้วนะ”

“เจ้าเองก็อย่าบ่นมากนักสิ น่ารำคาญชะมัด”

“หิว…ไม่มีอะไรให้กินเลยเหรอ”

ผู้เข้าร่วมฝั่งเจ้านรกบางส่วนเริ่มโอดครวญกับการรอคอยที่ยังไม่มาถึงเสียที จนเริ่มมีพวกที่จ้องเขม่นเพื่อจะแลกหมัดใส่กันอยู่รอมร่อ

“เฮ่อ...เจ้าพวกนี้หนวกหูจริง ไปหาอะไรมายัดปากพวกมันหน่อยสิ”

“รับทราบครับ” ปีศาจเลขาไล่อ่านรายชื่อผู้สมัครก่อนจะสะดุดเข้ากับคนคนหนึ่ง

เสียงเอะอะของผู้เข้าแข่งขันบางส่วนที่เริ่มหาอะไรแก้เบื่อด้วยการวัดกำลังใส่กัน บางรายที่ดูอ่อนแอก็โดนฆ่าทิ้งเอาง่ายๆ และนั่นทำให้ดวงตาใต้แว่นกันแดดสีดำที่กำลังนั่งเหม่อล่องสติไปในอากาศหันกลับมาสนใจรอบๆ

“มองอะไร? แกก็อยากจะเอาด้วยอีกคนรึไง เจ้ามนุษย์?”

เหล่าปีศาจที่อยู่รอบๆ ต่างหันมามองมนุษย์ผู้ชายผมสีขาวที่เอาแต่นั่งเคาะนิ้วอยู่นานสองนาน ไม่มีใครทำท่าออกตัวว่าอยากจะญาติดีกับมนุษย์ที่เป็นเหมือนสิ่งแปลกปลอมของที่นี่แม้แต่คนเดียว

ไปจากตรงนี้ดีกว่า

ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งลุกเดินออกจากห้องโถงไปด้วยความเอือมระอาพวกบ้าพลังดังเช่นหลายคนที่เดินหนีหายออกไปหาอย่างอื่นทำเพราะขี้เกียจมีเรื่องกับพวกสมองกล้ามเนื้อ แต่เพียงแค่พ้นประตูห้องโถงออกมาได้นิดเดียวเขาก็โดนเรียกให้หยุดเสียก่อน

“ขอโทษด้วยครับคุณชเนย์

“ครับ?” คนที่เรียกเขาจนต้องหยุดกึกอยู่กับที่ก็คือ ไคม์ ปีศาจเลขา สมุนมือขวาของเจ้านรก

“ในใบสมัครของคุณระบุไว้ว่าทำอาหารได้ใช่มั้ยครับ?”

“อา...ใช่ครับ” ชเนย์เลิกคิ้วสงสัย จริงๆ เขาก็แค่กรอกไปอย่างนั้นเอง “แล้วมันติดปัญหาอะไรรึเปล่าครับ?”

“ผมอยากจะรบกวนให้คุณช่วยเป็นพ่อครัวเฉพาะกิจให้หน่อยน่ะครับ ไหนๆ ขึ้นมาบนโลกทั้งทีพวกเราก็อยากลองทานอาหารของฝั่งนี้ดูบ้าง”

ชเนย์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยอย่างหนักว่านี่มันเป็นความต้องการส่วนตัวหรือว่าเจ้าของปราสาทอนุญาตแล้วกันแน่ แต่จะอย่างไหนก็คงดีกว่าให้นั่งรออยู่เฉยๆ ล่ะมั้ง

“อืม...ก็ได้อยู่หรอกนะครับ ว่าแต่มีวัตถุดิบที่จะให้ผมทำรึยัง?”

“ผมไม่ค่อยสันทัดเรื่องอาหารของมนุษย์กับวัตถุดิบของโลกข้างบนนี่เท่าไหร่ เอาอย่างนี้แล้วกันครับ คุณช่วยคิดเมนูมาแล้วบอกส่วนผสมกับวัตถุดิบที่ต้องการใช้ แล้วผมจะไปจัดเตรียมมาให้เองครับ” ไคม์ยิ้มให้อย่างมีมารยาท แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจเสียทีเดียว “ถ้ายังไงคุณช่วยเตรียมอาหารให้เสร็จทันตอนเย็นเลยไหวมั้ยครับ?”

“เอ๊ะ? เอ่อ...” ชเนย์หยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดูก่อนคำนวณเวลาทำอาหารในหัว “กะทันหันแบบนี้ผมคงทำได้แค่เมนูพื้นๆ ไปก่อนนะครับ เพราะพวกอาหารชั้นเลิศมันต้องใช้เวลาเตรียมการนานน่ะ”

พูดออกไปแบบนี้จะโดนโกรธไหมนะ?

“ได้ครับ บอกสิ่งที่คุณต้องการมาได้เลย”

คุยง่ายดีแฮะ หลังจากจดรายการสิ่งของที่ต้องใช้ในการทำอาหารให้ไคม์ไป ชเนย์ก็เดินมายังห้องครัวตามเส้นทางในปราสาทที่ปีศาจเลขาของเจ้านรกบอกเพื่อสำรวจว่ามีพื้นที่ขนาดไหนและมีอุปกรณ์อะไรที่พอจะใช้ได้บ้าง ช่างน่าตกใจที่ห้องครัวของปราสาทหินที่เหมือนหลุดมาจากยุคโบราณที่ไม่ค่อยถูกจริตเขาสักเท่าไหร่ดูจะมีข้าวของที่คล้ายคลึงกับห้องครัวของโลกมนุษย์ยุคปัจจุบัน ทั้งที่แอบเตรียมใจเอาไว้ว่าอาจจะเจออะไรแปลกๆ อย่างกระทะทองแดงเป็นอย่างน้อย นับว่าโชคดีแล้วที่ห้องครัวดูปกติดี

หลังจัดการทำความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการทำอาหารอยู่นานสองนาน ไคม์ก็กลับมาพร้อมบริวารปีศาจและวัตถุดิบจำนวนมากตามที่พ่อครัวได้ร้องขอเอาไว้

“วัตถุดิบบางอย่างมันไม่ได้อยู่ในรายการ แต่ผมเห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยเอาติดมาด้วย แต่จะใช้หรือเปล่าก็แล้วแต่คุณเลยนะครับ”

ดวงตาหลังแว่นกันแดดมองสภาพข้าวของที่ถูกห่อมาอย่างดี เจ้าตัวไม่ได้บอกว่าไปเอามาได้ด้วยวิธีไหน ซึ่งชเนย์ก็ไม่ได้สนใจว่าไคม์จะไปกว้านซื้อที่ตลาดหรือปล้นใครมาเพราะเขาเป็นแค่คนทำอาหาร สิ่งที่ควรใส่ใจก็คือปริมาณเท่านี้จะเติมเต็มความหิวของคนกินได้รึเปล่า ได้ยินมาว่าพวกปีศาจมักกินจุกันด้วยสิ ถ้าต้องทำอาหารในปริมาณเทียบเท่ากับคนมางานจัดเลี้ยงลำพังแค่เขาคนเดียวจะไหวมั้ยนะ

“ทำไปตามปกติของคุณแหละครับ ไม่ต้องกังวลไปหรอก” เหมือนถูกล่วงรู้ความคิด แต่ก็ทำให้คนฟังสบายใจขึ้นนิดหนึ่ง

“ที่ผมต้องทำทั้งหมดก็คืออาหารสามมื้อสำหรับหกที่สินะครับ”

“รบกวนด้วยนะครับ” ไคม์เดินออกจากห้องครัวไป เหลือแค่ชเนย์ที่เริ่มขยับตัวทำโน่นนี่ เริ่มมาก็ยังหยิบจับอะไรไม่ถูกนักเพราะยังไม่คุ้นชินเหมือนครัวที่บ้าน แต่พอเริ่มลงมือทำอาหารแล้วทุกอย่างดำเนินไปอย่างคล่องแคล่วว่องไว

ระหว่างที่มือจัดแจงปรุงอาหารไปเรื่อยๆ ด้วยความชำนาญ ในหัวของเขากลับหยุดคิดถึงเรื่องอื่นอยู่

ว่าแต่อาหารพวกนี้จะถูกปากคนคนนั้นรึเปล่านะ?

พ่อครัวเผลอคิดนอกเรื่องไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่อาหารทุกอย่างถูกปรุงจนเสร็จเรียบร้อยและรสชาติก็ไม่ได้เลวร้าย เหลือก็แต่เพียงตกแต่งจานให้ดูน่าทานและยกไปเสิร์ฟเท่านั้น

“...แล้วห้องอาหารอยู่ไหนหว่า?”

พ่อครัวเดินไปตามหาเลขาปีศาจเพื่อแจ้งว่าอาหารจัดเสร็จแล้ว แม้ชเนย์กะว่าจะยกมาเสิร์ฟด้วยตัวเองแต่ไคม์ก็ยืนยันว่าเขาจะให้ปีศาจรับใช้ยกไปเองก็เลยต้องยอมๆ ไป เพราะไม่อยากขัดใจใครก็ตามที่สามารถฆ่าเขาได้เพียงแค่ปริปากพูดอะไรไม่เข้าหู

หลังจากนั้นชเนย์ก็ลากตัวเองกลับมาในห้องครัวเพื่อทำอย่างอื่นให้ตัวเองกินบ้าง ยังมีเส้นบัควีทเหลือเลยจับเอามาผัดกับเห็ดที่เหลือเสียเลย

เหตุผลที่เขายอมตกลงทำอาหารตามคำชวนของไคม์ อย่างน้อยๆ ก็ได้เปรียบตรงที่เขาจะได้ยึดเอาห้องครัวไว้ปักหลักเพื่อจะได้ไม่ต้องออกไปเผชิญหน้ากับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นนี่แหละ แต่ละคนท่าทางพร้อมบวกขนาดนั้น ให้เขาสิงอยู่ที่นี่แบบเงียบๆ ไปดีกว่า

เมื่อได้อาหารเย็นของตัวเองแล้วชเนย์ก็ย้ายตัวเองไปนั่งพาดอยู่บนหน้าต่างบานใหญ่เพื่อรับชมวิวทะเลเคล้าเสียงคลื่นไปด้วย แค่นี้ก็สุขใจพอแล้วสำหรับช่วงเวลาแบบนี้

“ไม่มีเสียงนกนางนวลเลยแฮะ”

เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ทั้งบนฟ้าและใต้ทะเลต่างก็คงสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลจึงลี้ภัยไปกันหมดแล้วกระมัง เหลือก็แต่เพียงเมืองเซฟิลที่เงียบสงัดราวกับเกาะร้างเนื่องจากวิญญาณของคนบนเกาะเกือบทั้งหมดถูกเจ้านรกยึดไว้เป็นตัวประกัน

แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่ไม่มีไฟดวงใดในเมืองติดอยู่นอกเสียจากอาคารบริหารของผู้ปกครองแห่งเมืองเซฟิล

อีกไม่กี่วัน เขาจะต้องห้ำหั่นกับนักแข่งของอีกฝั่งที่คิดจะปกป้องเมืองนั้นสินะ

ชเนย์เป็นหนึ่งในมนุษย์เพียงไม่กี่คนในจำนวนอมนุษย์ส่วนใหญ่ แถมยังเลือกเข้ามาสมัครลงแข่งเป็นตัวแทนฝั่งเจ้านรกเป็นคนแรกๆ อีก และถ้าถามถึงเหตุผลในการมาเข้าร่วมทั้งที่เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับบ้านเมืองของเขาเลยสักนิด นั่นก็เพราะตัวตนของเจ้านรกเองนั่นแหละ

ใช่...ฟังไม่ผิดหรอก ความหลงใหลในตัวปีศาจผู้สูงส่งจากนรกดึงดูดให้ทหารรับจ้างอย่างเขาถึงกับถ่อจากอีกซีกโลกมาไกลถึงที่นี่ แม้จะได้ยินว่าการแข่งขันนี้มีโอกาสตายในระหว่างการต่อสู้สูงมากก็ตามที

ในตอนแรกเขาก็สมัครเข้ามาอย่างกระตือรือร้นเหมือนคนอื่นๆ ทว่าตอนนี้ชเนย์กลับทำได้แค่นั่งถอนหายใจอย่างสุดเซ็งกับสภาพความเป็นจริง ด้วยเพราะเขากำลังผิดหวังกับบุคคลที่เป็นแรงผลักดันให้เขาปรี่มาถึงที่นี่

ภาพนัยน์ตาคมดุดันของเจ้านรกที่ฉาบไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นกับการแข่งขันที่บังคับจัดขึ้นที่เมืองเซฟิล แล้วไหนจะยังรูปร่างแสนกำยำและหน้าตาที่แสนจะตรงสเป็กที่อยู่ในใบประกาศนั่นอีก แต่เมื่อได้มาเจอกับตัวจริงของราชาแห่งนรก ชเนย์กลับพบเพียงความว่างเปล่าในดวงตาอันแสนคุ้นเคย เพราะมันคือสิ่งที่เขาเกลียดมันจนเข้ากระดูกดำ

เมื่อนั้นเอง ความสนใจต่อตัวเจ้านรกที่เขามีในคราแรกก็มอดลงแทบจะทันที

เสียอารมณ์จัง…แต่สมัครเข้ามาแล้วก็ช่วยไม่ได้ รีบๆ แข่งให้จบงานไปเหมือนที่แล้วๆ มาก็พอ