11 ตอน 11
โดย pynox
“อ้าว โกไม่อยู่เหรอครับ”
เด่นปองเผลอถามเมื่อเดินเข้ามาในบ้านของเพื่อนรักดั่งเป็นบ้านตัวเองแล้วกลับเจอเพียงมารดาของเพื่อนนั่งดูละครอยู่กับลูกสาว เจอพี่อันผู้แต่งงานย้ายไปอยู่ที่อื่นยังไม่น่าประหลาดใจนัก เพราะเขาเดินผ่านสามีของพี่อันเล่นปิงปองอยู่กับพ่อของโก มีเด็กตัวกะเปี๊ยกเป็นกรรมการอยู่นอกบ้าน ยากันยุงจุดโชยส่งควันเส้นผอม แต่เวลานี้น่าจะต้องมีเพื่อนเขาร่วมวงไหนสักวงด้วยอีกคน
คุณป้านกยูงกับพี่ชันละสายตาจอจอโทรทัศน์มามองเขาด้วยสีหน้างุนงงพอกัน “อ้าว ปอง โกไม่ได้อยู่กับเราเหรอ”
“ชะ…” ตายละวา ไอ้โกมันหลอกอะไรที่บ้านแล้วเขามาทำความแตกเปล่าเนี่ย -- เด่นปองแตกตื่นแม้จะยังเก็บท่าทีภายนอกไว้
เดี๋ยวนะ เขาหยุดความแตกตื่นไว้ก่อน ครอบครัวเพื่อนเขาสนิทกันยิ่งกว่าหลุดมาจากละครเย็นวันหยุดเสียด้วยซ้ำ มันจะมีเรื่องคอขาดบาดตายอะไรให้โกปิดความลับจากบุพการีและพี่สาวกัน ตอนอยู่โรงเรียนวันนี้ก็ไม่เห็นพูดอะไรสักคำเดียว ถ้ามีปัญหา เด่นปองวางใจว่าอย่างน้อยตนหรือพี่ปราชญ์ต้องได้ยินจากปากเจ้าตัวไปนานแล้ว
“โกมันบอกว่าอยู่กับปองเหรอครับ”
“เปล่าหรอก แต่เมื่อเช้าแค่บอกว่าจะกลับช้า ป้าก็นึกว่าคงไปเล่นบ้านปอง ก็เห็นไม่ไปตั้งนานแล้วนี่นา”
เด่นปองหลุบตาหลบ กลัวเผลอหลุดปากว่าจะไปได้ยังไงกัน เขายังไม่ได้บอกเพื่อนคนไหนเลยว่าโดนไล่ออกจากบ้านจนต้องย้ายไปขออยู่บ้านญาติมาเป็นปีแล้ว ในขณะที่ด้านโกคือเล่าทุกอย่างให้เด่นปองฟังตั้งแต่เรื่องส้วมตันยันเรื่องพ่ออยากทำเบียร์ขาย
“งั้นคงไปหาพี่ปราชญ์มั้ง เดี๋ยวปองไปตามมันกลับบ้านให้”
“ไปกวนอะไรปราชญ์เขานะ เรียนมหาวิทยาลัยนี่ยุ่งออก” นกยูงพ่นลมหายใจ เธอรู้จักเพื่อนสนิทลูกทุกคน “ไม่ต้องไปหรอก ปอง ข้างนอกร้อนจะตาย กินข้าวยัง ป้าอุ่นข้าวให้ มีน้ำอัดลมเย็นๆ ด้วย เจ้าโกแช่ทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อวาน”
ยินดีสอยน้ำอัดลมเพื่อนรักยิ่งนัก
โกกลับมาตอนประมาณสามทุ่มได้ แขนคล้องถุงพลาสติกเข้ามาด้วย “อ้าว ไอ้ปอง เออ ดีนะ กูว่าจะไปหามึงที่บ้านละ แต่เห็นมืดเกินเลยว่าจะให้พรุ่งนี้” ลูกชายของบ้านถอดรองเท้าเดินมาทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นหน้าโซฟา ไม่มีใครสนใจคนเพิ่งกลับเข้าบ้านเท่าที่สนใจความเป็นไปของตัวละครในเรื่องโซดากับชาเย็น เด่นปองแบมือไปด้านข้าง ตาจ้องจอ
“อะไรวะ”
ความสนใจเขาย้ายมานอกจอเมื่อมีสัมผัสหยักถี่เป็นเส้นจำนวนมากพาดลงบนฝ่ามือ ปรากฏว่าเป็นเชือกถักสีขาวน้ำเงินเกือบโหล “สำหรับผูกข้อมือวันปัจฉิมอาทิตย์หน้า ยังไงมึงก็คงไม่ทำของมึงเองไปใช่ไหมล่ะ”
“เออแฮะ เขาจะให้ม.หกเดินผูกข้อมือให้ชั้นปีอื่นใช่มะ” เขาลืมไปสนิทเลย ไม่คิดจะสนใจทำของพวกนี้ด้วย ตอนนี้ไม่อยากเสียเงินกับอะไรไม่จำเป็นสักนิดเดียว แค่ทำเป็นเหมือนยังอยู่กับครอบครัวตามปกติ มีพ่อคอยให้ค่าขนมดั่งแต่ก่อนก็เต็มกลืนแล้ว เวลาบ่นว่าเงินหมด ยังพอปล่อยให้คนรอบข้างคิดว่าเขาเอาเงินไปใช้กับพวกตลับเพลงหรือกล้องถ่ายรูปได้
“กูว่าแล้ว เดี๋ยวรุ่นน้องบ้ากล้องของมึงเสียใจตายห่า”
“จะอะไรขนาดนั้น แต่ขอบใจว่ะ นี่มึงไปนั่งทำบ้านพี่ปราชญ์มาเหรอ”
“คิดว่าจู่ๆ กูจะถักอะไรแบบนี้เองเป็นรึไง”
“ทำไมอวดความอ่อนได้เสนอหน้าขนาดนี้วะ คนเรา”
“พัดเอาตีนเช็ดหน้ามึง”
อัญชันเอาหมอนตีหัวทั้งสองให้คุยเบาลง
คืนนั้นเด่นปองไม่กลับบ้าน เรื่องปกติ ถ้านับคืนจริง อาจจะนอนบ้านนี้บ่อยกว่าบ้านญาติก็ได้ ใครจะไปรู้ กลางคืนเขาจะนอนไหนไม่สำคัญหรอก ไปโรงเรียนวันถัดไปเป็นพอ
นกยูงเอาผ้ามาปูให้เขานอนบนพื้นห้องกับโก เขาหลับทีหลัง ดวงตาเบิกโพลงมองไปในความมืดจนชิน เพียงแสงรถข้างนอกส่องเข้ามานิดเดียวก็เห็นโครงหน้าเพื่อนยามหลับ ความสงสัยมันรบกวนไม่ยอมปล่อยเขานอนบ้างเลย
“เหม่ออะไรวะ ไม่นอนเหรอ”
ปองสะดุ้งโหยง โกยื่นมือมาโบกตรงหน้าเขา อีกนิดก็คงตีโดนเข้าพอดี “แล้วมึงล่ะ”
“กูว่าของเล่นเจ้าโณมันตกอยู่ใต้ผ้า อะไรมันทิ่มหลังกูอยู่นั่นแหละ” โกขยับยุกยิก ไม่นานก็หยิบของบางอย่างออกมาจากข้างใต้ผ้าปู เด่นปองมองไม่ออก เดาว่าคงเป็นพวกของเล่นพลาสติกสักชิ้น “มีอะไร อย่าบอกนะว่ามึงกลุ้มใจ”
“แล้วถ้ากูกลุ้ม มึงจะทำไม”
“กูก็ต้องกลุ้มกับมึงสิ ถามอะไรโง่จังวะ”
“พัด”
จะได้ต่อยกันทั้งนอนนี่แหละ บางทีคงเหนื่อยจนหลับได้หลังจากนั้น โกจัดหมอนตัวเองใหม่ “มึงไม่ต้องกลัวหรอกน่า ไม่ว่ามึงจะไปเรียนไหน มีปัญหาอะไร ไม่กูไปหามึงก็มึงมาหากู แล้วเดี๋ยวทุกอย่างก็ดีเอง”
“มึงนี่…”
“อะไร”
“สมควรแล้ว”
“สมควรอะไร สมควรอะไรวะ” เด่นปองพลิกตัว หันหลังให้ โกตามมาดึงหลังเสื้อเขา เขย่าไปมา ทว่าฝ่ายแขกค้างคืนจงใจทำเสียงกรนดังๆ ยืนกรานจะปิดตานอนเสียทีหนึ่ง เจ้าบ้านจึงยอมกลับไปนอนต่อบ้าง นั่งถักเชือกผูกข้อมือมาเป็นชั่วโมง ตาเขาล้าน่าดู เมื่อไม่มีอะไรแล้วจึงผล็อยหลับสนิท ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
กว่าจะเช้า รอยเปียกบนหมอนเด่นปองก็จางไปจนไม่มีอะไรให้ใครเห็นแล้ว
วันปัจฉิมกำลังจะมาถึง
บางครั้งเขาหยิบกล้องขึ้นมามองผ่านเลนส์ไปยังนอกหน้าต่างในยามรุ่งสาง
เมื่อภาพอยู่ในกล้อง เด่นปองรู้สึกลืมได้ว่าคืออีกเช้าที่ตนไม่อยากลุกจากเตียง ทว่าขณะเดียวกันก็ไม่อยากอยู่ข้างในบ้านนานไปกว่านี้ เขารีบอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดนอนเป็นเครื่องแบบซึ่งไม่เรียบร้อยต้องตาคณาจารย์นักหนา หากใครจะใส่ใจจริง ตรงนี้มีเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดย่างสิบแปดหนีบกระเป๋าลีบแบน ใส่เชือกถักผูกข้อมือไว้ก้นกระเป๋า ออกจากบ้านไปก่อนผู้ใหญ่คนใดใต้หลังคาเดียวกันจะตื่น
เขาเดินไปจนเกือบสุดซอย นิ้วกดออดข้างประตูรั้วสีเทา รอให้ใครสักคนระหว่างสองผู้อาศัยเดินออกมาหา บางครั้งพวกเธอก็ตื่นมาทักทายอรุณสวัสดิ์เขาด้วยกัน เช้านี้คือโอกาสเช่นนั้น สองภรรยาเดินหาวหวอดมาด้วยกัน คนหนึ่งผมกระเซิงเชียว ส่วนอีกคนมีผ้าขนหนูห่อศีรษะ เพิ่งอาบน้ำเสร็จ
หญิงคนผมกระเซิงควักธนบัตรใบละร้อยส่งให้เขาห้าใบ “เอ้า”
“เยอะไปมั้ง”
“เอาไปเถอะน่า วันปัจฉิมแล้วไม่ใช่เหรอ ไว้ไปฉลองกับเพื่อนไง” เธอบอกเสียงเริงร่า “ยังไงปองก็จะคืนให้ทุกบาททุกสตางค์อยู่แล้ว ให้เยอะแค่ไหนก็ไม่เห็นเป็นไรเลย”
“ส่อแววสัญญาทาสมาแต่ไกลเลย” ภรรยาของหล่อนเหน็บ “ขอให้สนุกนะ”
วันสุดท้ายในโรงเรียนสนุกตามคำอวยพร พวกเขาผูกข้อมือให้เพื่อนและรุ่นน้องกันตอนเช้า กินข้าวกลางวัน ถ่ายรูปหมู่ห้องกับอาจารย์ประจำชั้น รุ่นน้องบางคนเอาของขวัญอำลามาให้ ถ่ายรูปกันเอง เล่นฟุตบอล ไหว้ลาอาจารย์ที่สนิทด้วย เล่นวิ่งไล่จับกับเพื่อนชั้นปีเดียวกันที่ไม่เคยคุยด้วยมาก่อน พี่ปราชญ์มาหา พวกเขาถ่ายรูปกันอีก ฟิล์มหมดแล้ว
“แล้วเจอกัน” ทั้งกลุ่มบอกกันในร้านอาหารซอยแถวบ้านโก
“วันนี้มึงจะค้างเปล่าเนี่ย” โกถาม
เด่นปองก้มมองพวกของขวัญที่ต้องหอบไปไหนมาไหนด้วย “ไม่แล้วกัน เออ แต่ขอบใจจริง ๆ ว่ะ เรื่องเชือกผูกน่ะ พวกน้องแม่งดูดีใจกันน่าดู”
“พี่เด่นปองขา”
“อยากโดนถีบก็บอกดีๆ ไอ้ห่า” เขายกเท้าช่วยประกอบการตัดสินใจ โกหัวเราะ ยิ้มเหมือนในรูปนับร้อยที่ถ่ายด้วยกันมาตลอดตั้งแต่รู้จักกันมา
“แล้วเจอกัน โก”
ความคิดแรกตอนเปิดกระเป๋าบนรถเมล์คือ ซวยละ เด่นปองหยิบเอาเครื่องเล่นเทปของเพื่อนออกมา ดันลืมคืนเสียได้ จากนั้นก็นึกทางออกขึ้นมาทางหนึ่ง จึงใส่หูฟัง เทปของตัวเองเล่นเสียงดอลลี พาร์ตันเป็นเพื่อนร่วมทางไปถึงป้ายจอดรถแถวปากซอยทางเข้าบ้าน เสาไฟต้นเดียว กับไฟจากร้านขายของชำส่องนำทาง
มืดสลัวขนาดนี้ โทษเขาได้หรือที่เกือบไม่ทันเห็นพ่อตัวเองยืนอยู่หน้าบ้านญาติ ข้าวของทั้งหมดย้ายจากห้องนอนของเด็กหนุ่มมากองอยู่ข้างเท้าชายตัวสูงใหญ่ หัวรองเท้าเขี่ยกระเป๋าเสื้อผ้า หน้าซึ่งอาศัยแสงจากก้นบุหรี่ช่วยขับเส้นโครงร่างเชิดขึ้น “พอใจรึยัง ปอง”
“พ่อมาทำอะไร”
“พาแกกลับบ้านน่ะสิ เรียนจบแล้วนี่ มาช่วยงานที่บ้านต่อได้แล้ว”
“แล้วพ่อพูดแบบนี้ตั้งแต่ปีที่แล้วไม่ได้รึไง”
“พ่อมาบอกให้แกกลับบ้านแล้ว ยังจะเอาอะไรอีก คิดว่าป้าเขาจะให้แกอยู่บ้านนี้ไปตลอดรึไง เก็บของขึ้นมา ไปกันได้แล้ว”
เขามองพ่อเดินไปขึ้นรถ ปองจัดของในอ้อมแขน แล้วเดินไปคว้ากระเป๋าเสื้อผ้า
เด็กหนุ่มออกตัววิ่ง
แรงกระชากถ่วงให้เขาเสียสมดุลแล้วลมลง ปล่อยทุกอย่างกระจัดกระจาย เขามองแสงไฟค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น ตรงมาทางพวกเขา
“…วันนี้ครูภาษาไทยให้บอกความหมายชื่อของแต่ละคน”
เสียงคุณพ่อสำลักน้ำดังพร้อมเสียงส้อมในมือคุณแม่หลุดมือตกใส่จาน อรัณเลิกคิ้วทั้งสองข้าง มองบุพการีอย่างงุนงง โดยเฉพาะเมื่อมารดายกมือตีต้นแขนสามีดังเผียะๆ กระนั้นฝ่ายชายกลับยิ่งขำจนต้องเอาหน้าฟุบกับโต๊ะ “ขำอะไร พ่อ เดี๋ยวเหอะ!”
“ไม่ให้ขำก็บอกลูกไปสิ” เมธีเงยหน้า ดันตัวกลับขึ้นมานั่ง แต่ยังมิวายต้องเอามือปิดปาก หาทางให้ตัวเองหยุดขำ พ่อเขาชื่อเล่นว่าเมฆ ส่วนแม่ของเขาชื่อนภาไกล ชื่อเล่นว่าฟาก (แต่ทุกคนจะเดาก่อนว่าชื่อเล่นว่าฟ้า) อรัณเลยบอกอาจารย์ไปว่าชื่อตนแปลงมาจาก อรุณ แต่ดูจากอากัปกิริยาของผู้ตั้งชื่อ สงสัยเขาคงเดาผิดถนัด
นภาไกลรวบช้อนส้อม ทำเป็นมีพิธีรีตอง ทั้งยังกระแอมไล่เสมหะทิพย์ในคอ “คืออรัณ พ่อเขาไม่มีงานอดิเรก --”
“อย่ามาโทษพ่อสิ”
“ดังนั้นพ่อเขาไม่เข้าใจ”
“ลูกก็ไม่เข้าใจคุณ”
“ถ้าขัดอีกมื้อหน้าจะทำผัดสะตออย่างเดียวนะ”
อรัณมองพ่อเขายกมือขึ้นยอมแพ้พลางนึกขอบคุณ เขากินสะตอไม่ไหว ก็เหมือนพ่อนั่นแหละ
“แต่อรัณชอบดูหนังดูละครเหมือนแม่ คงเข้าใจเนอะ ที่เราชอบดารานักแสดงอะไรงี้ แล้วแบบ ถ้ามีคนที่เรารักมากๆ กับอีกคนที่เรารักมากๆ เราก็อยากทำให้เกี่ยวกันบ้างนิดหน่อยไว้ขำๆ เอ็นดูกับตัวเอง”
“ครับ?”
“แม่ของลูกบ้าอลัน ริคแมน เลยตั้งชื่อลูกว่าอรัณ”
อ๋อ
อรัณหน้านิ่ง แต่ในใจคือร้องอ๋อดังกังวานชัดหนึ่งพยางค์ แม่เขาชอบนักแสดงฝรั่งตั้งหลายคน เลยไม่ทันโยงไปยังหนึ่งในคนที่แม่ชอบหยิบผลงานมาเปิดดูด้วยกันบ่อยๆ เพราะตัวอรัณเองแม้จะเข้าใจทำไมไม่ชื่นชอบอลัน ริคแมน แต่ตัวเขาก็ชอบนักแสดงคนอื่นด้วย
“ถ้าลูกอยากเป็นดาราขึ้นมา คุณจัดการเองนะเออ ผมไม่ยุ่งด้วยหรอก”
“ถ้าอรัณอยากเป็นดาราก็ดีออกจะตายนะคุณ” แม่ของเขาตาเป็นประกายระริกระรี้ “ลูกเราน่าอวดออกจะตายไป”
“วงการบ้านเราไม่เหมือนของฝรั่งนะ แม่” เมธีทักท้วง “พวกดัง ๆ ก็บ้านรวยใหญ่โตดันลูกได้ทุกทาง ไม่งั้นก็มีแต่พวกโนเนมที่เป็นตุ๊ดแต๋วทำตลกไปวันๆ อยากให้เจ้าอรัณโดนมองเป็นแบบนั้นรึไง”
“พ่อนี่จริงจังไปหมดทุกอย่างเลย ไม่คุยด้วยแล้ว”
“อ้าว แม่!”
อรัณมองนภาไกลจิ้มสลัดจากชามตรงกลางโต๊ะทิ่มเข้าปากสามี มุมปากอมยิ้ม
“จะว่าไป หนูอยากได้มือถือกับเขาบ้างหรือเปล่า”
อรัณเอาจานท่วมฟองที่รับจากแม่ไปจ่อน้ำใต้ปากก๊อกพลางมองด้านข้าง ย่นคิ้วงุนงงมองตอบ “ผมก็มีมือถือแล้วนะครับ” แม่เขาจำอะไรผิดหรือเปล่า
“ไม่ แบบสมาร์ทโฟนไง เพื่อนที่ทำงานแม่เขาเปลี่ยนกันหมดแล้ว อวดให้แม่ดูใหญ่เลยว่ามีพวกแอพเอิพไว้แชทกันเป็นกลุ่ม ไว้ไปซื้อกับแม่ไหม เครื่องของแม่ก็ชักรวนแล้วเหมือนกัน”
เขาไม่มีเพื่อนให้แชทกันเป็นกลุ่มนี่สิ
“อย่างอรัณยังเด็กอยู่เลย มีมือถือไว้โทรหาพวกเราก็พอแล้ว”
แต่พ่อของเขาตอบให้แทน นภาไกลเท้าสะเอว
“ปีหน้าลูกก็เข้ามหาลัยแล้วนะคุณ เกิดต้องตามตัวงานกลุ่มกับเพื่อนแล้วเขาใช้แชทกันล่ะ มหาลัยมันตามตัวกันยากกว่าโรงเรียนนะ แล้วกล้องมือถือพวกนี้ดูถ่ายสวยด้วย เอาไว้ถ่ายรูปกิจกรรมไง งั้นไว้ไปซื้อกับแม่เสาร์นี้เนอะ จะได้มีไว้ใช้วันปัจฉิมปีนี้ด้วยไง”
วันเสาร์เขาเลยได้โทรศัพท์เครื่องใหม่ แต่ไม่ได้เอาไปโรงเรียนทันที เพราะรู้สึกเหมือนเห่อชอบกล รูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบนๆ ไม่มีปุ่มกดเองก็ช่างแตกต่างกับเครื่องที่ใช้มาตลอดตั้งแต่มัธยมสอง จนกระทั่งนภาไกลถามบุตรชายถึงโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ เพราะแทบไม่เห็นเขาหยิบออกมาใช้ อรัณจึงเริ่มพกไปโรงเรียนบ้าง วันนั้นถึงมีคนเข้ามาทักเขาก่อนโดยไม่ใช่เรื่องขอลอกการบ้านหรือถามถึงงานกลุ่ม พวกเพื่อนซึ่งแทบไม่คุยกันเลยผลัดกันหย่อนว่าควรดาวน์โหลดอะไรใส่ไว้ในเครื่อง อรัณปล่อยให้ตัวเองโดนบอกนั่นบอกนี่จนรู้สึกตัวอีกทีก็สมัครบัญชีเฟสบุ๊คตอนคาบคอมพิวเตอร์เรียบร้อย แน่นอนว่าเขาคิดออกเพียงกดเพิ่มบัญชีของนภาไกลเป็นเพื่อน พ่อของเขาไม่เล่นเว็บไซต์พวกนี้
“อรัณเล่นเฟสด้วยเหรอ แม่เขาเอาให้พ่อดูเมื่อคืน” พ่อถามขึ้นในเช้าวันหนึ่งหลังจากนั้นไม่กี่วัน ขณะขับรถไปส่งเขาที่โรงเรียน
“ครับ”
“มีคนแปลกหน้าทักมาคุยหรือเปล่า ระวังด้วยนะ” เมธียื่นโทรศัพท์ตัวเองให้บุตรชายตอนรถจอดรอไฟเขียว “พิมพ์ชื่อกับรหัสไว้ให้พ่อซิ พ่อจะได้คอยดูให้”
แสงแดดข้างหน้าส่องท้องถนนจ้าประหนึ่งเป็นแดดตอนแปดโมงเช้า สัมผัสเบาะนั่งกับเครื่องแบบเริ่มน่าอึดอัดขึ้นมาชอบกล อรัณลังเล นิ้วขยับจัดเข็มขัดนิรภัยที่พาดลำตัว
จะอย่างไรบัญชีเขาก็คงเป็นเพื่อนกับบัญชีของมารดาเพียงผู้เดียว และตัวเขาคงไม่ได้ใช้งานบ่อยอะไร พ่อของเขาเองคงไม่ยุ่มย่ามมาก ถ้าเห็นว่าเขาคุยแต่กับแม่คงเลิกสนใจ อรัณไม่มีกะจิตกะใจจะค้านหรือเถียงไม่ยอมบอก เขากดพิมพ์อีเมลกับรหัสลงไปก่อนส่งคืน
“จะว่าไป ใกล้ต้องไปตัดผมอีกแล้วหรือยังน่ะ” พ่อเอื้อมมือขึ้นมายีผมสั้นเตียน
พวกครูไม่ได้ทักอะไร ดังนั้นเขาคิดว่าไม่ แม้อรัณจะลอบรู้สึกว่าพวกครูเคร่งระเบียบกับเด็กมัธยมหกน้อยลงอย่างบอกไม่ถูก เขาคิดว่าพวกเพื่อนผู้หญิงในห้องผมสีอ่อนลงกันหลายคน หลายคนยังรวบหางม้าตามกฎ ทว่าปลายผมพวกเธอม้วนเป็นลอนเกินธรรมชาติ เพื่อนผู้ชายหลายรายก็ใส่ต่างหูมาเรียนโดยไม่โดนเรียกให้ถอดออก หลายคนเปลี่ยนรองเท้าหลังเตะบอลตอนเย็น ใส่แตะเดินกลับบ้านก็ไม่โดนเตือนแบบสมัยก่อน
ไฟเขียวพอดี
“หัวหน้า ขอลอกของจารย์วีระหน่อย” เพื่อนผู้หญิงในห้องสองคนมาประนมมือหาอรัณทันทีที่เห็นเขาเดินเข้ามาในห้องเรียน เขาเปิดกระเป๋าหยิบสมุดโน้ตส่งให้
อรัณไม่ได้เป็นหัวหน้าห้อง หากเด็กหนุ่มก็ปลง ขนาดอาจารย์ประจำชั้นยังลืมเรื่องนี้ไปแล้วเลย
“อรัณ ครูฝากเอานี่ติดหลังห้องทีนะ” อาจารย์แนะแนวโผล่เข้ามาในห้อง พอเห็นอรัณก็ฝากกระดาษแผ่นใหญ่ซึ่งเป็นกระดาษเอสี่สองแผ่นติดด้วยเทปกาวพับไว้ลงกับโต๊ะ เขางกางมันออก พบว่าเป็นใบรายชื่อนักเรียนของห้องกับกระดาษเปล่าตีเส้นต่อจากตารางไปจนสุดขอบ ด้านบนตารางเขียนด้วยปากกากำกับไว้ว่าให้กรอกมหาวิทยาลัยที่ตนสอบติด
เขาเอาไปติดบนผนังว่างด้านหลังห้องตามคำขอ คนที่เพิ่งมาถึงห้องเรียนพอดีสนอกสนใจมองแวบหนึ่ง เมื่อเห็นหัวข้อก็บ่ายหน้าหนี “ไอ้เหี้ย ปวดใจ”
“รับตรงมึงประกาศเมื่อไรนะ”
“เขาบอกว่าสิ้นเดือน ไอ้สัตว์เอ๊ย ถ้าไม่ติดกูจะเคาท์ดาวน์ยังไง”
“นับถอยหลังจากสิบไง อีควาย”
กระทั่งเพื่อนผู้กำลังลอกการบ้านอยู่ ไม่ได้ร่วมวงสนทนายังหลุดขำพรืด
“โห ศักดินาให้ติดทุกห้องเลยว่ะ” อรัณไม่ได้หันไปดู แต่เดาว่าคงมีคนไปเดินสอดส่องมาว่าห้องอื่นก็เอาแผ่นนี้ติดแล้วเหมือนกัน “มึง กูกลัว เกิดชื่อกูว่างอยู่คนเดียวอะ”
“อย่างห้องเรา หัวหน้า ไอ้โต้ง แพท ส้ม ฉัตร จีนเท่านั้นแหละที่มีให้เขียนชัวร์”
“หัวหน้า หัวหน้า! คะแนนรวมหัวหน้าเท่าไรอะ”
“สองหมื่นแปดพัน” อรัณตอบ สายตายังจดจ่ออ่านหนังสือการ์ตูนที่หยิบมาจากชั้นมุมห้อง อ่านหนังสือการ์ตูนของห้องเรียนไม่สะดวกเท่าไร เพราะเพื่อนในห้องหยิบวางยืมกันไม่เป็นระเบียบ ใครจะเอาของตัวเองคืนกลับบ้านหรือเอาเรื่องใหม่มาแบ่งเมื่อไรก็ไม่รู้ ไม่เคยได้อ่านครบทั้งชุดสักเรื่อง แต่อ่านที่นี่ยังสบายใจกว่าซื้อการ์ตูนเข้าบ้าน เพราะพ่ออาจเห็นเข้าแล้วขอดูว่าข้างในมีภาพล่อแหลมไหม ซึ่งตัวอรัณเองก็สงสัยว่าตนจะทราบล่วงหน้าได้อย่างไรถ้าเขาซื้อจากร้านที่มีปกพลาสติกหุ้ม ทว่าจะเรียงหาเหตุผลอย่างไร ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ตนต้องโดนดุอยู่ดี
กระดาษรายชื่อแผ่นนั้นมีรอยปากกาเพิ่มเข้าไปทีละนิด คนแรกที่เขียนคือเด็กเก่งของห้องซึ่งจะไปเรียนต่างประเทศ หลายคนเขียนหลายมหาวิทยาลัย
ผลรับตรงประกาศคืนวันสิ้นปี ชื่ออรัณก็กลืนไปกับบรรดารายชื่ออื่นที่มีที่เรียนสำหรับปีหน้าต่อท้าย พอโรงเรียนเปิดหลังหยุดปีใหม่ จำนวนเพื่อนในห้องเรียนน้อยลงถนัดตา อาจารยก็สั่งการบ้านน้อยลง แค่ทวนบทเรียนวนไปสำหรับคนที่จะสอบส่วนกลาง ทางโรงเรียนยังย้ำว่าคนที่มีที่เรียนแล้วก็ต้องไปสอบ อรัณพยายามไปเรียนตามปกติ ยกเว้นวันที่ตนมีสอบสัมภาษณ์ เขาไม่เอาหนังสือเรียนติดกระเป๋ามาเพราะตั้งใจว่าสัมภาษณ์เสร็จจะลองแกร่วระหว่างวันดูบ้าง ไหนๆ พ่อกับแม่ไม่ยืนกรานจะรับไปส่งโรงเรียนพอดี บางทีที่เขาไม่เคยเถียงหรือขอไปไหนคนเดียวมาตลอดทั้งชีวิตอาจปูมาเพื่อวันนี้ก็เป็นได้ มหาวิทยาลัยนั้นอยู่ใกล้ย่านการค้าใหญ่ขนาดนั้น ไม่เหมือนโรงเรียนเขาที่รายล้อมด้วยอาคารหน้าตาอนุรักษ์นิยมและตึกข้าราชการ
ตอนรู้ตัวว่าหลงทาง เด็กหนุ่มไตร่ตรองเรื่องหนีเที่ยวสำหรับวันนี้เล็กน้อย แถมฝนยังเริ่มปรอยลงมาอีก
“นาย -- นาย!” เสียงหนึ่งเรียกเขาจากข้างหลัง อรัณหันตามแล้วเห็นเด็กผู้ชายไม่พ้นรุ่นเดียวกันและคงมามหาวิทยาลัยนี้เพื่อจุดประสงค์เดียวกัน “มาสัมภาษณ์ของคณะมนุษย์เปล่าน่ะ”
“ใช่”
“แต่คณะอยู่ทางนู้นนะ”
“ขอบคุณ…ผมหลง”
“ก็ว่างั้นแหละ เห็นกำลังจะเดินไปอีกทาง แต่เพื่อนเราบอกว่าวันนี้มีคณะสัมภาษณ์คณะเดียวเลยลองทักดู” เด็กคนนั้นถือแก้วน้ำไว้ในมือข้างหนึ่ง ท่าทางเหมือนเพิ่งออกมาจากโรงอาหาร
เขาเดินไปเด็กหนุ่มคนนั้น
“ยื่นอะไรเข้าอะ” อีกฝ่ายชวนคุย
“เยอรมัน คุณล่ะ”
“นี่ยื่นแพทเลขเข้าน่ะ เพื่อนอีกคนยื่นฝรั่งเศส แล้วจะเอกเยอด้วยเลยไหม”
“กำลังคิดอยู่ พี่เขยของพ่อทำงานอยู่โรงพยาบาลเอกชน แล้วเขามาเล่าให้ที่บ้านฟังว่าล่ามภาษาอาหรับได้เงินดี ที่บ้านเลยอยากให้เรียนเอกอังกฤษกับเรียนภาษาอาหรับไปด้วย”
“เหย ฟังดูเท่วุ้ย”
ให้ตัวตนเอื่อยเฉื่อยแบบเขาเป็นล่ามน่ะรึ อรัณนึกออกเพียงภาพตนไขว้นิ้วภาวนาขอให้ไม่โดนไล่ออกจากงานตั้งแต่วันแรก
จำนวนคนในชุดนักเรียนจากหลากสถาบันชี้ชัดยิ่งกว่าอะไรว่ามาถูกที่ อรัณโล่งอก ผู้ช่วยให้รอดข้างกายเขาโดนใครสักคนซึ่งอรัณมองหาตัวไม่เจอท่ามกลางคนมากมาย หมอนั่นจึงอวยพรเขาแล้ววิ่งไปทางนั้น มีนักศึกษามานำนักเรียนรอสัมภาษณ์ขึ้นตึก เชิญให้ดูกระดานแจ้งหมายเลขประจำตัวกับห้องที่ต้องไปสัมภาษณ์ แล้วก็มีพวกนักศึกษาที่แต่งตัวสบายๆ กว่ามาเดินประปรายคอยสอบถามความเรียบร้อย บางคนยิ้มปลอบว่าที่รุ่นน้องว่าไม่ต้องกลัว แทบไม่มีคนเคยตกสัมภาษณ์ สารพัดคำให้กำลังใจสลับกับเสียงโอดใจแป้วจากกลุ่มอื่น เมื่อเห็นว่ามีคนเอาแฟ้มผลงานหนามาด้วย
คณะจัดห้องสัมภาษณ์แล้วกระจายเด็กเอา ชั้นทั้งชั้นจึงมีนักเรียนเครื่องแบบต่างๆ เกาะกลุ่มนั่งรอคิวตัวเอง อรัณไม่ประหลาดใจกับกลุ่มที่เป็นเครื่องแบบเดียวกันหมด แต่มีบางจุดเป็นชุดต่างโรงเรียน แถมท่าทางไม่ใช่เพื่อนกันมาก่อน แต่กลับคุยกันอย่างสนุกสนาน แลกแฟ้มผลงานหรือใบคะแนนสอบรับตรงกันดู บางกลุ่มขยับตัวเป็นท่าเดียวกันทั้งสภาพยังนั่งบนพื้น คล้ายกำลังเต้นอะไรด้วยกันสักอย่างจนลามไปเป็นทั้งวงกลมขยับด้วยกัน ส่วนหนึ่งเสียบหูฟังไว้พร้อมฮัมทำนอง คงกำลังช่วยกันคลายเครียดกับฆ่าเวลา แต่คนที่อยู่คนเดียวเองก็ไม่น้อยหรอก อรัณสงบจิตสงบใจลง --
คนเข้าไปสัมภาษณ์ห้องริมสุดเดินร้องไห้ออกมา ระเบียงทั้งชั้นถึงกับเงียบกริบ ไม่มีใครกล้าเข้าไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกหัวหันมองห้องริมสุด
“ห้องริมสุด ใครสัมวะ” รุ่นพี่นักศึกษาซึ่งคงรับงานมาช่วยดูแลความเรียบร้อยกระซิบกระซาบ พี่คนหนึ่งย่องไปดูแล้วรีบจ้ำอ้าวกลับมา “ไอ้เหี้ย แว่นขาวสัมห้องนั้น”
“มึงไปแอบๆ ปลอบน้องคนนั้นดิ๊ว่าไม่ตกหรอก แว่นขาวแค่สันดาน ไม่ทำเด็กเครียดชีวิตแม่งขาดสีสันรึไงก็ไม่รู้มัน”
อาจารย์วิชาอะไรกันนะ -- ขออย่าให้สอนอาหรับหรืออะไรที่ต้องเจอเลย ไม่สิ เด็กหนุ่มขัดตัวเอง ตอนนี้ภาวนาให้ตนไม่โดนเรียกเข้าไปสัมภาษณ์ห้องสุดท้ายก่อนดีกว่า ต่อให้รู้ว่าแค่อาจารย์โหดวางมาดข่ม เขย่าประสาทกัน อรัณก็ไม่มั่นใจว่าจะรับมือได้ดีนักหรอก เขาไม่อยากเดินร้องไห้ออกมาท่ามกลางสายตาของคนแปลกหน้าเป็นสิบเป็นร้อย
โชคเข้าข้าง อาจารย์ห้องถัดจากห้องสุดท้ายเปิดประตูออกมาพร้อมคนที่สัมภาษณ์อยู่ก่อน แล้วเรียกหมายเลขของอรัณ เด็กหนุ่มลอบถอนหายใจโล่งอก คว้ากระเป๋าเข้าไปข้างในห้อง เขาทำตามทุกอย่างจากพ่อสอน ยกมือไหว้ ยืนรอจนอาจารย์เชิญค่อยนั่ง ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี
ส่วนข้างนอกดูไม่ราบรื่นสักเท่าไรนัก พอเดินกลับมายังระเบียง อรัณเห็นว่ามีคนนั่งร้องไห้เพิ่ม ทั้งคนที่มีเพื่อนช่วยปลอบ กับคนที่ยืนสูดจมูกอยู่คนเดียว เด็กส่วนใหญ่ย้ายที่นั่งหนีหน้าห้องสุดท้ายประหนึ่งว่าจะช่วยให้ชื่อตนไม่ตกไปห้องนั้น คนเดียวที่ยืนอยู่หน้าห้องเลยเด่นเอาการ
เด็กหนุ่มคนนั้นอีกแล้ว แถมยังยืนระส่ำระส่าย มองเข้าไปในห้องไม่วางตา อรัณลังเล แต่พอคิดว่าอีกฝ่ายช่วยตนไว้ก่อนหน้านี้ จะให้เดินไปเลยก็รู้สึกไม่ดี ทางนั้นอุตส่าห์เสี่ยงทักเก้อ เพราะอรัณอาจจะแค่คนที่มีธุระอื่นก็ได้ แต่ตอนนี้ ทางนั้นดูมีปัญหา
เขาเดินเข้าไป
“คุณ เป็นอะไรหรือเปล่า”
“อ้าว ไง สัมเสร็จแล้วเหรอ” อรัณพยักหน้าพร้อมส่งเสียงขานรับ ชี้ยังห้องข้างๆ ซึ่งเพิ่งมีคิวถัดไปโดนเรียก “เสร็จแล้วเหมือนกัน คุยกับอาจารย์ที่สัมเพลินด้วย ออกมาอีกทีคุยไปตั้งครึ่งชั่วโมง อ่า…แต่เพื่อนฉันน่ะสิ”
ประตูห้องเป็นประตูกระจกผลักได้จากทั้งข้างนอกข้างใน พวกครูนั่งกันสองคนตรงที่เวลาปกติคงจะเป็นเก้าอี้สำหรับคนเรียน แล้วเอาเก้าอี้อีกตัวแยกออกมาหันหลังให้กระดาน นักเรียนหญิงผูกโบว์น้ำเงินเข้มนั่งประจันหน้าหาหญิงในชุดผ้าไหมสีเลือดหมู กับผู้ชายใส่แว่นกรอบขาว
แว่นขาวที่พวกนักศึกษาเรียกกันแน่นอน ร้อยละร้อย ไม่มีทางผิด เด็กสาวคนนั้นดูเกร็งยิ่งกว่าสายไวโอลินบิดสุดเสียอีก มวลอายในห้องแผ่รัศมีน่ากลัวมาถึงข้างนอก มองด้วยตาไม่รู้หรอกว่าอาจารย์แว่นกรอบขาวเป็นคนอย่างไร ส่วนท่าทางของคนเข้ารับการสัมภาษณ์นั้นยิ่งกว่าเขียนป้ายกำกับทีละจังหวะว่าอาการไม่ดีเลยสักนิดเดียว
“คนก่อนเข้าไปตั้งเกือบชั่วโมงได้มั้ง”
“ไม่ต้องคิดมากหรอก” อรัณบอกเด็กหนุ่ม “ได้ยินพวกพี่นักศึกษาคุยกัน ครูคนนั้นไม่ให้ใครตกสัมภาษณ์หรอก”
“เอาจริง”
“เห็นว่าแค่นิสัยไม่น่าคบเท่าไรน่ะ”
“โห อะไรของเขาวะ เขียนป้ายบอกได้ไหมเนี่ย” จากกังวลกลายเป็นกระตือรือร้นปนเดือด อรัณมองคนแปลกหน้าขยับแขน ย่นหน้า เหมือนพยายามส่งกระแสจิตไปให้เพื่อนหายเกร็ง แต่คนในห้องแทบไม่สนใจจะมองออกมาข้างนอกเลย มีแค่อาจารย์หญิงชุดผ้าไหมไทยคนนั้นที่แอบเหลือบมองด้านข้างบ้าง แถมยังมองมาตอนเด็กหนุ่มทำท่าทีใหญ่โต ขยับปากทำเสียงแหบพร่าว่า ยู-แคน-ดู-อิท ที่ไม่มีใครได้ยินนอกจากอรัณ กระนั้นหล่อนก็อมยิ้มเล็กน้อย ส่วนอาจารย์แว่นกรอบขาวยังพูดยืดยาวทำให้เด็กสาวตัวลีบลงทุกวินาที
“คุณ เต้นเป็นไหม”
“เหอ เต้นอะไร”
อรัณมองไปข้างหลัง แล้วเดินไปทางกลุ่มที่นั่งล้อมวงขยับมือไปมาอยู่เมื่อครู่ “คุณ ขอโทษครับ เมื่อกี้พวกคุณเต้นยังไง สอนผมกับเขาที”
ทั้งกลุ่มนั้นเงยหน้ามองอรัณกันงง ๆ จนอรัณชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปทางห้องสัมภาษณ์ คนหนึ่งก็คงใจดีหรืองงจนสงสาร เลยลุกขึ้นมา “ท่านี้น่ะเหรอ” เธอเท้าสะเอวแล้วขยับสะโพกไปมา
“อ๋อ เพลงนี้ฉันเต้นได้” เด็กหนุ่มคนนั้นร้องแล้วขยับตามเด็กสาว
อรัณสูดลมหายใจแล้วขยับตามทั้งสองคน ไม่นานก็มีเสียงขำรอบด้าน จากนั้นคนอื่นในวงเดียวกับเด็กสาวที่ลุกขึ้นมาช่วยก็พากันมายืนแล้วเต้นด้วยกัน หลายคนฮัมหรือกระซิบเนื้อร้องเบาๆ แว่วแตะโสตเป็นเนื้อเพลงที่อรัณถอดเสียงไม่ถูกว่าได้ยินเป็นจี๊หรือจีหรือจี่ แต่ทุกคนดูจดจำทำนองกันได้เป็นอย่างดี
พอมีการเคลื่อนไหวเป็นกลุ่มหนาแน่นบนระเบียง ครูผู้หญิงคนนั้นหันมาดูตามคาด เธอยกมือปิดปาก พร้อมกันนั้น ครูชายสวมแว่นตากรอบขาวกับเพื่อนของเด็กหนุ่ม เธอยกมือตะครุบปากตัวเองไม่ต่างกับครูผู้สัมภาษณ์ ส่วนคนใส่แว่นกรอบขาวทำท่าจะลุกขึ้น ทุกคนรอบตัวพวกอรัณพลันสลายโต๋ทันที อรัณเองยังเลือกจะกระเถิบให้พ้นรัศมีมองเห็นจากตรงประตู เขาหันดูว่ามีใครเหลือไหม แล้วเห็นเด็กหนุ่มรายเดิมค่อยๆ ย่องหนี สองมือชูนิ้วโป้งส่งกำลังใจเข้าไปหาเพื่อนคนข้างใน แล้วรีบจ้ำอ้าวผ่านอรัณไปถึงกลางทางเดินยาว ครูกรอบแว่นขาวเปิดประตูออกมาเรียกพวกนักศึกษาไปพูดด้วย ครั้งเห็นว่าที่รุ่นพี่ก้มหัวปะหลกๆ ให้แก่อาจารย์ อรัณพลอยรู้สึกผิดตาม แต่จะให้เดินไปถามหรือยกมือขอรับผิดแทน ตัวเขาเองก็กลัวไม่ใช่น้อย แม้จะเป็นเพียงความไร้ระเบียบเล็กน้อยบนทางเดิน แต่ถ้าถึงขั้นไม่ให้เขาผ่านสัมภาษณ์ขึ้นมา คงได้ร้องไห้ไปทั้งปี
“นาย นาย!” เสียงคนเดิมหยุดความคิดแง่ร้าย เด็กคนนั้นเอานิ้วทิ่มด้านหลังไหล่อรัณระรัวให้สนใจตัวเอง “ขอบคุณนะ”
“ไม่เป็นไร แต่ถ้าทำทุกคนโดนดุก็…”
“ไม่หรอกมั้ง พวกพี่ๆ เขาไม่เห็นพูดอะไรเลย ท่าทางยังขำๆ กันอยู่ด้วย อาจารย์คนนั้นกลับเข้าไปสัมภาษณ์ต่อแล้วด้วย” หมอนั่นฉีกยิ้ม “เพื่อนฉันก็ดูหายเครียดขึ้นเยอะเลย คราวนี้ไม่รู้แม่คุณจะขำจนไม่เป็นอันสัมภาษณ์แทนไหม”
“อาจารย์อีกคนดูใจดี คงไม่เป็นอะไรหรอก”
“ขอบคุณจริงๆ แฮะ ว่าแต่ว่า ชื่ออะไรน่ะ”
“อรัณ ใช้ร.เรือกับณ.เณร” เขาเผลอแนะนำตัวตามความเคยชิน เมื่อก่อนเวลาบอกชื่อใครมักต้องย้ำเช่นนี้ไม่ให้คิดว่าชื่ออลันแบบฝรั่ง ที่ไหนได้
“ถามจริง”
อรัณกะพริบตาปริบ ๆ “ชื่อผมทำไมเหรอ”
“ฉันชื่ออรุโณทัยไง อรัณนี่ก็เกี่ยวอะไรกับอรุณใช่มะ สะกดคล้ายกันขนาดนี้”
ไม่สักนิด อรัณปฏิเสธทันควัน ขยับมือโบกไปมาประกอบย้ำว่าไม่ใช่อย่างที่คาดเลย นายเอ๋ย แต่อรุโณทัยกลับยิ่งตื่นเต้นพอได้ฟังความหมายแท้จริงเบื้องหลังชื่อเขา ทั้งสองคุยกันจนเด็กสาวในห้องสัมภาษณ์น่าสยองของชั้นเดินออกมา เธอชกหลังเพื่อนหนุ่ม พูดขอบคุณแล้วรีบวิ่งลงบันไดไป ไม่อยู่ให้ถามไถ่ว่าสัมภาษณ์เป็นอย่างไรบ้าง “นางมีสอบซ่อมเลขต่อที่โรงเรียนตอนบ่ายน่ะ” อรุโณทัยอธิบาย
เธอเป็นคนแรกจากห้องนั้นที่ไม่ออกมาทั้งน้ำตานองหน้า
“อรัณ รัน?”
“อ๋อ ผมไม่มีชื่อเล่นน่ะ”
“ฉันมีแฮะ เรียกโณได้นะ ไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันไหม น้ำปั่นคณะนี้อร่อยนะ แต่โรงอาหารแคบนิดเดียว ซื้อน้ำปั่นแล้วไปหาอะไรกินแถวห้างข้างนอกกันมะ เดี๋ยวนำทางให้ โรงเรียนนายน่าจะอยู่ไกลจากแถวนี้ใช่เปล่า”
อรัณบรรจงทำความเข้าใจคำชวน “อือ ไปสิ”
ฝนข้างนอกหยุดตกไปนานแล้ว แสงแดดจ้าจนรู้สึกร้อนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ปอง!” มีมือมาพยุง ดึงเขาลุกขึ้นก่อนเด่นปองจะเข้าใจว่าใครกำลังพูดอะไร เขาปล่อยมือจากของทุกอย่าง ยกแขนถลอกปอกเปิกเข้ากอดหญิงสาวไว้ แสงไฟหน้าของยานพาหนะสองล้อแผ่พาดข้าวของส่วนหนึ่งบนพื้น
“พี่ปุย พี่น้ำ” ข้างหลังปุยมีภรรยากำลังลงมาจากมอเตอร์ไซค์ เด็กหนุ่มเรียกหาทั้งสอง
จะมืดเพียงใด เขาก็เห็นสายตาของผู้เป็นพ่อ ชายคนเดียวกับที่ไล่เขาออกจากบ้านตอนเขาเพิ่งขึ้นมัธยมห้า
“พวกเธอสองคน ที่เขาพูดถึงกันใช่ไหม”
ปองปล่อยมือจากหญิงผมดำยุ่งซึ่งวันนี้หล่อนเกล้ามวยหลวมไว้ข้างหลัง ตั้งใจเอาตัวบัง ทว่าเธอเบี่ยงเขาให้หลบมายืนข้างกัน “คุณน่ะใคร” ปุยชักสีหน้า
“นี่พ่อผมเอง พี่ปุย” เขาบีบแขนเธอเป็นเชิงเตือนให้ระวัง
ได้สิ่งตรงกันข้าม ปุยผละจากข้างตัวปอง ย่างสามขุมไปประจันหน้ากับชายอายุมากกว่า “แล้วเสนอหน้ามาทำอะไรแถวนี้!”
“ถอย!” พ่อเขาผลัก แต่เธอจับแขนชายวัยกลางคนไว้ ปองเดินจะเข้าไปช่วยปุย แต่หญิงสาวอีกคนรั้งตัวเขาไว้กับที่ น้ำส่ายหน้า เตือนให้เว้นระยะห่างออกมา “หลบ ฉันมาพามันกลับบ้าน เรียนก็จบแล้ว เลิกไร้สาระแล้วกลับไปทำงานกับที่บ้านสักที ก็ปล่อยให้ทำตามใจชอบตั้งสองปีแล้ว ยังจะอะไรอีก”
“ปล่อยเหรอ คุณไล่เขาออกจากบ้าน คุณไล่ลูกตัวเองออกจากบ้าน!” เสียงเธอแผดลั่นขึ้นฟ้ากลางคืน “จะมาพากลับบ้านอะไร ขอโทษเด็กมันรึยัง ขอโทษลูกคุณหรือยัง”
“ขอโทษอะไร มันต่างหากที่ต้องขอโทษ ฉันยังไม่พูดอะไรสักคำ”
“พ่อพูดไปตั้งเยอะ!”
ลำคอเขาแสบไปหมด
“มันก็แค่หนังสือเล่มเดียว!”
“มันไม่ใช่แค่หนังสือเล่มเดียว!” นิ้วของพ่อชี้หน้าเขา “มันไม่ใช่แค่นั้น แกก็รู้ดี แก -- แกยั่วโมโหฉันไม่หยุด แกหาเรื่องจะทะเลาะกับฉันไม่หยุด แกโทษฉันเรื่องแม่แก แล้วก็เลยมาทำตัวทุเรศประชดฉัน! เออ ฉันโมโห ฉันผิดเองที่ทำให้แม่แกหนีไป พอใจหรือยัง แกจะหนีไปอีกคนเลยไหมล่ะ!”
“ก็ไปน่ะสิ!!” ไฟตามบ้านเรือนรอบด้านจุดสว่างวาบทีละจุดตามเสียงดังก้อง เด่นปองเกาะมือสองหญิงสาวแน่น “ผมจะไปกับพี่ปุย พี่น้ำ พวกพี่เขาออกเงินค่าเทอมให้ ออกค่าขนมให้ผมตลอดเกือบสองปี ผมจะไปช่วยงานเพื่อใช้หนี้พี่ๆ เขา”
“อีสองคนนี้เนี่ยนะ มันคือสองคนนั้นที่พวกอ้นเล่าให้ฟังใช่ไหม นี่แกไปเข้ากลุ่มวิตถารกับพวกมันเต็มตัวแล้วเหรอ”
น้ำปล่อยมือเด็กหนุ่มเพื่อเข้าไปรั้งเอวภรรยาก่อนเจ้าหล่อนจะวิวาทกับชายเสียงเกรี้ยวกราดตรงหน้า
“มีปัญหาอะไรกับพวกกู ห้ะ!”
“มีสิ อีพวกโรคจิต จะเอาก็ไปเอากันไกลๆ อย่ามายุ่งกับลูกกู อีวิตถาร หน้าตาก็ดี เสือกตีฉิ่งไม่พอยังทำเด็กเสียคนไปด้วย”
เพียงกะพริบตา พี่น้ำก็หายไป เด่นปองพลัดหล่นเข้าไปในภวังค์ชั่วครู่หนึ่งตอนคำผรุสวาทพวกนั้นถล่มทลายลงมาบนถนนปนกับข้าวของ ยากจะบอกมีชิ้นไหนเสียหายบ้างไหม เสียงของบิดาหยาบคาย ทว่าเขากะพริบตาอีกครั้งแล้วเพิ่งเข้าใจว่าหญิงสาวน้ำเสียงนุ่มหวานผู้ห้ามภรรยาเอาไว้ในตอนแรก บัดนี้นั่งคร่อมชายตัวใหญ่ไว้กับพื้น แล้วทุบตีลงไปบนใบหน้าระบายสีหน้าเดือดดาลดั่งจะฉาบไว้ถาวรนั่นด้วยกระเป๋าหนังสือเรียนหนังดำ
เขาคิดว่ามีเลือดกระเด็นติดเหล็กขลิบมุมกระเป๋า เด่นปองถลาเข้าไป แย่งกระเป๋ามาจากหญิงสาว ส่วนคู่ชีวิตของหล่อนเองกำลังกลายเป็นฝ่ายห้ามบ้าง หน้าผากพ่อเขามีเลือดซึมกับรอยมุมสามเหลี่ยม พี่น้ำโกรธเสียจนเท้าลอยจะถีบไม่ให้เจ้าของถ้อยคำหยาบคายพวกนั้นลุกขึ้นมาใหม่ พ่อของเขากุมแผล
“อีระยำ! กูจะแจ้งตำรวจ”
“ถ้ามึงไม่ตายคาตีนกูก่อนน่ะนะ”
“หนะ -- น้ำคะ”
เขาอยากให้นี่เป็นสถานการณ์อื่น สถานการณ์ที่บรรยากาศน่าขบขันว่าปุยเกิดพูดเสียงหวานเรียกภรรยาขึ้นมาได้เสียงั้น ทั้งที่ปกติเด่นปองเคยได้ยินแต่หล่อนเรียกภรรยาว่าน้ำ น้ำ หรือแม่คุณประรุณช่องอย่างหยอกเย้า
เขาไม่รู้จักพวกเธอจนถึงเมื่อหนึ่งปีก่อน น้ำและปุย ช่างภาพกับนักเขียนบทความสารคดีกลับบ้านมาพบเด็กแปลกหน้าตัวฟกช้ำ นั่งร้องไห้อยู่แถวประตูรั้วบ้านเช่าของพวกเธอสองคน
พวกเธอย้ายเข้ามาในซอยเดียวกับญาติของเด่นปอง จากนั้นก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาไปทั่ว ว่าคนเห็นพวกเธอจูบกัน ว่าพวกเธอไม่มีคนรัก ไม่มีสามี พวกผู้ใหญ่คุยกันว่าพวกเธอเลียนแบบฝรั่ง บ้ายา บ้าเซ็กส์ ไม่มีทางได้แต่งงานหรือมีลูก ซึ่งเขาสงสัย เขาฟังทั้งหมดนั่นแล้วสงสัยจนต้องถามออกไป เพราะเขาจำได้ว่าแม่ตรงข้ามกับคำด่าพวกนั้นทุกอย่าง แม่แต่งงานกับพ่อ มีลูก เขาเอง “แต่แม่ก็ทิ้งบ้านนี้ไปอยู่ดี” เด็กหนุ่มพูดว่าบ้าน เพราะแม่บอกบุตรชายของเธอก่อนย้ายของกลับต่างจังหวัดเองว่าไม่ได้ทิ้งเขา ทว่าหล่อนทนอยู่กับสามีต่อไปอีกไม่ได้ ทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้องแต่มองมาล้วนไม่อยากให้หย่าร้าง แม่เองก็เหนื่อยเกิน จึงเพียงย้ายกลับไปอยู่กับพ่อแม่ตัวเอง บ้านหลังเล็กซึ่งมีคนอาศัยอยู่เต็มไปหมด ไม่ดีพอจะเอาลูกชายกำลังโตไปด้วยอีกคน “ไม่ต้องกลัวหรอก พ่อเขารักหนูนะ เขาจะดีกับหนู แม่แค่ -- กับแม่มันไม่เหมือนกัน แม่ไม่เก่งแล้วก็เข้ากับพ่อเขาได้แบบปอง”
ไม่กี่วันหลังเขารู้เกี่ยวกับน้ำและปุยในฐานะผู้หญิงประหลาดสองคน พ่อตบเขาเป็นครั้งแรก แล้วเด่นปองเริ่มเข้าใจว่าเสียงโวยวายของตากับยายเมื่อสมัยตนยังเด็ก คำขู่ว่าจะยิงพ่อของเขาเข้าสักวันคือเรื่องอะไรกันแน่ถ้ายังไม่เปลี่ยนนิสัย (สันดาน -- ยายใช้คำว่าสันดาน) ตลอดหลายสัปดาห์ข้ามเป็นเดือน พ่อเอาแต่จับผิด ส่วนเด่นปองก็เอาแต่ระแวงตัวเอง ถ้าผู้หญิงจูบกันได้ แล้วผู้ชายกับผู้ชายเล่า เขามองเข้าไปในห้องเรียน มองเพื่อนผู้หญิง มองเพื่อนผู้ชาย
มีเพียงคนเดียวที่เขาอยากเข้าไปใกล้มากกว่าที่ใกล้ แล้วคนนั้นเป็นเด็กผู้ชายเหมือนเขา
พ่อชี้คนจัดรายการวิทยุ แล้วบอกว่าเป็นผู้หญิงไม่มีสำนึก เรียกร้องความสนใจ ถึงได้หั่นผมสั้น แต่งตัวเหมือนผู้ชาย ชอบผู้หญิงเลียนแบบผู้ชาย
เขาแอบขโมยหนังสือมีรูปผู้ชายโป๊จากใต้แผงร้านขายของชำ วันนั้นถุงขนมกับน้ำอัดลมซุกเต็มใต้เตียงเพราะซื้อด้วยความรู้สึกผิด ร่างกายผู้ชายวัยผู้ใหญ่ดูน่ากลัว ทว่าถ้าเขาไม่กลัว บางทีเขาอาจจะอยากสัมผัสมืออย่างภาพพระนางกุมมือหรือบีบต้นแขน ดึงเข้าไปในอ้อมกอดแบบในละครโทรทัศน์ก็ได้
คนงานคนหนึ่งสะกิดเขาตอนเย็นที่พ่อยังไม่กลับบ้าน แล้วถามว่าเด่นปองโดนใครแกล้งหรือเปล่า เขางุนงง จนกระทั่งอีกฝ่ายอธิบายว่าเจ้าของร้านจับได้ว่าเขาขโมยนิตยสารผู้ใหญ่ พี่คนนั้นซึ่งแก่กว่าเขาปีเดียวอยู่ใกล้ๆ ร้าน จึงอาสาจ่ายเงินให้แทน พอรู้ว่าเขาขโมยอะไรมา คนที่รู้ได้แต่เดาว่าเขาโดนเพื่อนสั่งเพื่อแกล้งกัน น้ำเสียงตอนฝ่ายนั้นบอกเขาว่าอย่ากลัว เด่นปองจึงบอกออกไปตามตรง
เขาได้ลองกุมมือผู้ชายแบบที่ไม่เคยจับมาก่อน ไม่ใช่การจูงมือลากข้ามถนนวิ่งให้พ้นสายตาครูที่กำลังปั่นจักรยานตรวจตรารอบโรงเรียน หรือฉุดลากกันขึ้นลิฟต์ก่อนประตูปิด ลองสอดนิ้วประสานระหว่างกัน กุมไว้แบบนั้น
พ่อเห็น คนงานคนนั้นโดนไล่ออกจากงาน เด่นปองโดนพ่อต่อย อีกครั้ง อีกครั้ง อีกครั้ง
เขาประกาศกร้าวจะไปอยู่กับแม่ แต่พอพ่อบอกว่าถ้าเขาออกไปไม่ต้องกลับมาอีก ถ้าเขาคิดจะไปให้เอาของทุกอย่างไป และตอนเขาออกไป แม่ไม่มีทางอยากให้ลูกแบบเขาไปอยู่ด้วย เด่นปองได้แต่ขนของออก นั่งรถเมล์ไปถึงปากซอยของบ้านญาติเพื่อขอความช่วยเหลือติดต่อกับแม่
พอติดต่อแม่ไม่ได้สักทาง เขาเริ่มกลัวว่าพ่อพูดจริง และไม่กล้ากลับบ้าน ญาติมองเหมือนไม่อยากให้เขาอยู่ที่นี่ เขาจึงวิ่งไปจนถึงหน้าบ้านท้ายซอยที่ทุกคนพูดถึง เธอสองคนนั้นเดินกลับบ้านมาด้วยกัน สีหน้าเปี่ยมสุขราวกับคนแปลกหน้ารอบตัวไม่มีความหมาย กระทั่งเด็กหนุ่มแปลกหน้ายืนตวาดถามพวกเธอทั้งน้ำตาก็ทำลายทั้งสองไม่ได้ ไม่ใช่คำถามประเภทว่าเขาทำผิดตรงไหน พวกเธอมองแบบคนที่ไม่มีทางสะเทือนเพราะเรื่องพวกนี้อีกเป็นครั้งที่สอง
สอง หรือครั้งที่ล้าน เด่นปองไม่รู้ พวกเธอไม่บอก แค่สัญญาว่าจะช่วย
“แหกตาดูลูกมึงนะ! ดู! แล้วถามกะโหลกตัวเองเถอะว่าวันนั้นเมื่อปีที่แล้ว ใครทำเขาหน้าช้ำเขียวมาถึงซอยนี้ เพราะตั้งแต่ปองย้ายมา เขาไม่เคยเจ็บตัว งั้นใคร ใครมันทุบตีลูกตัวเองได้ลง!”
“หุบปาก!”
“มึงนั่นแหละ หุบปาก!” เขาไม่เคยได้ยินน้ำพูดจาแบบนี้มาก่อน
ไม่เคยเห็นน้ำโกรธ
“ไอ้พ่อไอ้แม่อย่างมึงนั่นแหละ ที่ทำลูกเสียหาย ที่ทำให้ลูกกลัวไปหมดทุกอย่าง มึงควรจะทำให้เขารู้ว่าอะไรน่ากลัวแค่ไหน เขาก็มีคนอยู่ด้วย!”
ไม่เคยเห็นพ่อทำหน้าแบบนั้นตั้งแต่แม่หนีไป
(“อรัณ นี่ใครน่ะ คนละโรงเรียนนี่”
พ่อเปิดหน้าจอเว็บไซต์ขึ้นมา แล้วกดดูบัญชีของอรุโณทัย
“เพื่อนที่ได้รู้จักกันวันนี้น่ะครับ” อรัณตอบเสียงแผ่วเบา มือกำโทรศัพท์เอาไว้ในกระเป๋ากางเกง เตือนว่าตนให้รหัสกับบิดาไปเอง ย่อมมีอะไรเช่นนี้เกิดขึ้น
แต่เขาไม่อยากรู้สึกว่าพ่อคอยดูการใช้งานเขาทุกวัน
“เหรอ ไปรู้จักกันได้ยังไง”
“ผม --”
บางอย่างหยุดเขาไว้ ทั้งที่เมื่อกลางวันยังคิดว่าสนุกอยู่เลย พวกเขาคุยกันเรื่องเพลงที่เต้นต่อระหว่างกินก๋วยเตี๋ยวด้วยกัน อรุโณทัยขยับมือแสดงท่าเต้นเพลงอื่นให้ดูอีกตั้งเยอะแยะ แถมยังเอารูปนักร้องนักแสดงต่างชาติทั้งชายแลหญิงมาแนะนำเต็มไปหมด ก็เหมือนที่แม่เขาพูดถึงนักแสดงคนโปรดของแม่
แต่ถ้าเขาบอกว่าเขาเต้นหน้าห้องสัมภาษณ์ ขณะคนอื่นกำลังสอบ…
“ผมหลงทาง แล้วเขามาชวนเดินไปคณะด้วยกัน แล้วคุยกันถูกคอ”
“อ้าว ดีนี่นา” แม่เขาพูด ตื่นเต้นน่าดูที่เขามีเพื่อนใหม่ แถมยังดูสนิทกว่ากับเพื่อนในโรงเรียนหลายเท่าตัว
พ่อย่นหน้าใส่จอคอมพิวเตอร์ซึ่งยังเปิดบัญชีของอรุโณทัยเอาไว้ เขาเลื่อนเม้าส์ดูรูปภาพในนั้น “เป็นผู้ชายรึเปล่าเนี่ย”
“เอ๋” อรัณกับนภาไกลเลิกคิ้ว
เม้าส์ชี้บนรูปอรุโณทัยหยุดอยู่ในท่าเต้นที่อรัณไม่รู้จัก แต่บรรยากาศภาพให้ความรู้สึกน่ารักแบบท่าเต้นของนักร้องหญิงต่างแดน “ดูสิ รูปแบบนี้เต็มไปหมดเลย”
“แหม พ่อก็ คิดมากน่า”
“จะไม่คิดมากได้ไง ผมสอนลูกมาตั้งเท่าไร ต้องให้เกียรติผู้หญิง ต้องเป็นคนสุภาพ ต้องไม่หมกมุ่นเรื่องไม่เข้าท่าลามก แล้วเกิดเข้ามหาลัยไปคบเพื่อนประเภทนี้ขึ้นมาล่ะ เด็กแบบนี้นะ เผลอๆ ไปไหนถึงไหนตั้งแต่ม.ต้น มันแรงกันทั้งนั้นไง”
“โณเป็นผู้ชายครับ -- เป็นผู้ชาย”
“ผู้ชายแบบไหน พูดจาทะลึ่งทะเล้นหรือเล่นมุกสองแง่สองง่ามอะไรรึเปล่า ลูกอย่าไปเอาตามเชียวนะ”
“โอ๊ย พ่อ ระแวงเกินไปแล้ว ดูในรูปสิ เพื่อนผู้หญิงตั้งเยอะ เขาทำเอาใจสาวรึเปล่า”
“แบบนั้นก็ไม่ได้ วัยแค่นี้มากะลิ้มกะเหลี่ยอะไรกับเพื่อนในห้อง”
ทั้งที่อยากเล่าให้แม่ฟังว่าสัมภาษณ์วันนี้กลายเป็นความสนุก คิดว่าอาจโดนเอ็ดนิดหน่อยฐานไปก่อกวนอาจารย์
อย่าดีกว่า)
“คนอย่างมึงที่ทำให้เขาต้องมาเสี่ยงโชคขอน้ำใจจากคนแปลกหน้า เพราะพ่อแม่แบบมึงมันเชื่อใจไม่ได้”
“พี่น้ำ --”
“น้ำ พอเถอะ กลับกันเถอะ”
หญิงช่างกล้องพยายามยุติเรื่องทุกอย่าง เด่นปองเห็นด้วย
เขาไม่อยากมองพ่ออีกต่อไป
“ไม่!”
เสียงที่น้ำกรีดออกมาตรึงทุกคนไว้กับที่ ย้อนแสงไฟจากมอเตอร์ไซค์ เธอสะบัดหน้ากลับไปมองชายแปลกหน้าที่ไม่ได้แนะนำตัวอะไรเลยนอกจากคำหยาบคายกับโทสะ
“คนอย่างพวกเราต้องเป็นฝ่ายเดินออกไปจากคนอย่างมันกี่ครั้งแล้ว”
คนบางบ้านปิดไฟ เลิกสนใจ
บางบ้านออกมาดูมากขึ้น
“คนอย่างพวกเรา ทั้งคนที่อยู่มาก่อนพวกเรา ทั้งคนอื่นนับจากนี้ไป --”
( “อ้าว สนล่ะ”
“ขังตัวเองอยู่ในห้องน่ะสิ ไม่อยากออกไปไหนจนกว่าผมจะยาว”
“อ้าว น้องสนตัดผมเหรอ”
เสียงของแม่คุยกับเพื่อนของแม่ในสายวันหยุด แว่วขึ้นมาถึงชั้นสองของบ้าน
เด็กหญิงนอนขดตัวแน่นขึ้นบนเตียงนอน
“ตัดเองด้วยนะ เป็นอะไรของเขาก็ไม่รู้ กลับมาบ้านก็เจอยืนผมแหว่งร้องไห้แล้ว เมื่อวานนี้เอง งอแงบอกถ้าผมสั้น เพื่อนจะได้เลิกล้อ”
“เหย มีเรื่องอะไรที่โรงเรียน”
“บ้า ไม่ใช่อะไรแบบนั้น เพื่อนมันล้อสนกับเพื่อนเขา ที่ชื่อโณน่ะ ตอนสงกรานต์ เคยเจอกันแล้วไง เราก็งงนะ โณนี่ยังเด็กดีนะ เด็กผู้ชายวัยนี้ปกติคุยกับผู้ใหญ่ก็ไม่เก่ง ไม่ก็ชอบเล่นอะไรพิเรนทร์ แต่โณนี่น่ารักจะตาย ยังแอบคิดเลย ถ้าโตไปแล้วได้กันก็ดีสิ ฉันละกลัวยายสนจะเป็นทอม”
“ตัดผมยังร้องไห้จ้าขนาดนี้ ไม่ต้องห่วงหรอกมั้ง”
เสียงหัวเราะเบิกบานเหมาะกับเวลาสายวันเสาร์ สนกระชากผ้าห่มคลุมโปง ใช่สิ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรเสียหน่อย จะหัวเราะก็ไม่แปลก
คนที่ร้องไห้กับเรื่องเล็กน้อยแบบเธอต่างหาก ที่แปลก)
“-- แม่งจะต้องเจอคนอย่างมึง อีกกี่ครั้ง อีกกี่ครั้งก็ไม่รู้ --”
(“อ้าว อรัณ เปลี่ยนโทรศัพท์เหรอ”
“เปล่าหรอก -- แค่ -- นี่เครื่องที่ใช้อยู่แล้วน่ะ แต่สมาร์ทโฟนวันก่อน…แค่ยืมของแม่มาทดลองใช้น่ะ แต่ไม่ได้ใช้อะไรมาก เลยกลับมาใช้เครื่องนี้ดีกว่า”
“อ๋อ งั้นขอเบอร์เครื่องนี้ไว้หน่อย นายไม่ได้อยู่ในกลุ่มแชทของรุ่นใช่ไหม เขาจะนัดเจอกันก่อนเปิดเทอมแน่ะ ไว้เดี๋ยวฉันคอยส่งเรื่องนัดให้ ให้ฉันส่งเฟสนายเข้าไปในกลุ่มด้วยไหม”
“ไม่ต้องหรอก เราไม่ค่อยเล่นเฟส”)
“กูบอกเลยนะ คนอย่างมึงก็แค่ไอ้พวกผู้ใหญ่ต่ำช้า ดีแต่โทษทุกอย่างยกเว้นสิ่งที่ตัวเองทำ พวกมึงแม่งขี้ขลาด ไม่มีความรับผิดชอบ และกูหรือใครไม่สมควรเจอคนแบบมึงเลยสักนิดเดียว”
(“สน เป็นอะไร เดี๋ยวแม่พาไปร้านทำผม ช่างจะได้เล็มให้นะ เลิกร้องได้ยัง”
“แม่จะไม่รักหนูแล้วเหรอ”
“ถามอะไรน่ะ”
“ถ้าหนูเป็นทอม ถ้าหนูชอบผู้หญิง แม่จะไม่รักหนูแล้วเหรอ รักหนูเหมือนเดิมไม่ได้เลยเหรอ”)
“-- แล้วมึงอย่ามาเสนอหน้าทำเหมือนตัวเองถูกนักหนาหน่อยเลย ข่าวด่วนนะ ไอ้สัตว์ โลกนี้ไม่ได้มีแค่มึง --”
(“พ่อ ทำไมแม่โกรธศิ ศิไม่ได้หาเรื่องใครก่อนเลยนะ จู่ ๆ พวกนั้นก็เข้ามา ถามไนท์ก็ได้”
“ศิ…”
“ทำไมแม่ไม่ว่าพวกนั้นเลย”)
“-- มันจะมีคนที่มอง แล้วรู้ว่าคนตรงหน้าเขาสมควรรู้สึกปลอดภัย ว่าอะไรที่ผิดพลาดไป ว่าคนที่เขามองเห็นสมควรได้รับสิ่งดีๆ คนที่รู้ทันทีที่เห็น ว่าความผิดไม่ได้ตกอยู่ที่เด็กที่มาถามคำถามจากเขาเพราะกลัว --”
(“รักสิ แม่ต้องรักสนอยู่แล้ว”
“-- แล้วทำไมแม่กลัว”
แม่ของเด็กหญิงไว้เล็บยาว เลยต้องใช้ปลายนิ้วปาดน้ำตาให้อย่างระวัง ระวังกว่าที่เคยเป็นมา
“แม่ไม่กลัวแล้ว ไม่เห็นมีอะไรให้กลัวเลย ขอโทษนะ”)
(ทั้งตัวชายหนุ่มระบมไปหมด ใบหน้าเขาเหมือนมีรอยแตกร้าวทุกแห่งหน
“โณ หลบ ยายจะไปฟาดปากกับไอ้เลวนั่นสักป้าบ!”
“เดี๋ยว อย่า โณว่าอย่าไปเลย”
เปลือกตาเขาหนักอึ้ง ข้างในร่างกายเขาโหวงเหวงไปหมด
แต่อารมณ์โกรธที่แผ่มาจากข้างเตียงอุ่นราวกับอ้อมกอด
“เป็นเกย์แล้วมันไปหนักหัวใครรึไง แต่ไอ้ห่านี่สิ มันหนักอกอีนกยูงคนนี้มาก หลบ!”
“ยาย อรัณฟื้นแล้ว ดู ดูสิ”
ข้างนอกหน้าต่างมืดเชียว ส่วนไฟในห้องพักของโรงพยาบาลสว่างจ้า แสบตาบวมฉึ่ง ทำไมเขาต้องเศร้าใจขนาดนี้กันนะ ทั้งที่เครื่องปรับอากาศทำงานดี เพื่อนรักของเขาอยู่ใกล้ ๆ เช่นเดียวกับคุณยายของเพื่อน คนที่เขาเรียกว่าป้าได้อย่างถนัดปาก สนิทสนมด้วยประหนึ่งโตมากับหล่อน อรุโณทัยแนะนำให้เขารู้จักวันที่เด็กปีหนึ่งรุ่นพวกเขานัดกันเที่ยวแล้วอรัณไม่สนุกเท่าไร เพื่อนใหม่จึงชวนเขามากินข้าวที่บ้าน
นกยูงไม่เคยพูดคำหยาบให้อรัณได้ยินเลย จนกระทั่งวันนี้ เธอโกรธฮึดฮัด แต่พอเอาหลังมือแตผิวส่วนที่ไม่มีสีช้ำ ก็กลับไปนุ่มนวลเหมือนเวลาประคองแก้มเมื่อเขาไปหา ถามว่าอยากกินอะไร ถามว่าเขาอยากให้ซอยปลายผมให้ไหม
“คุณป้า”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ป้าอยู่นี่แล้ว โณก็อยู่ โกก็กำลังมา ไม่เป็นไร ร้องไห้กับป้านี่”)
“-- จะมีคนอีกมาก ที่พร้อมจะรักพวกเขา --”
(“น้าโก…โณชอบผู้ชาย”)
“-- ดังนั้นมึงอย่าสะเออะมาทำเหมือนพวกมึงถูกนักหนาเลย ที่มึงทำกับลูกของมึงไม่ใช่ความผิดพลาด ที่มึงทำกับลูกมึงคือเรื่องทุเรศๆ ที่คนอื่นอีกมากจะไม่ยอมไหลตามไปด้วย”
(“ไม่ใช่ว่าน้าไม่อยากคุยเรื่องโณชอบผู้ชาย หรือไม่อยากสน ไม่ต้องมาบอกอะไรแบบนี้หรอกนะ ถึงได้ตอบไปแบบนั้น แค่ไม่รู้ว่าควรตอบยังไงดีถึงจะบอกเราได้น่ะ ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาสุดๆ อยากคุยเมื่อไรก็ได้เลย”)
“-- โลกไม่รอคนอย่างพวกมึงหรอก แล้วตอนกว่ามึงจะรู้ตัวว่าตัวเองยืนอยู่ตรงไหน ก็ไม่มีใครต้องรอมึงแล้วเหมือนกัน อย่างน้อยกูจะทำให้แน่ใจ ว่าปองไม่ต้องรอมึง”
คำพูดนั้นเหมือนเชือกที่กระตุกตัวพ่อเขาให้ขยับ เด่นปองถลาตัวเข้าไปยืนคั่นกลางแทนที่พี่น้ำ กางแขนโดยไม่รู้ว่าเพื่อปกป้องหรือเพื่อทำให้ตัวเองดูใหญ่ที่สุดก่อนจะมองหน้าของผู้เป็นพ่อตรงๆ
น้ำตากลายเป็นลมหายใจร้อนระอุอยู่ข้างใน เขามองคนที่เป็นพ่อของเขาเพียงชั่วเสี้ยววินาทีที่ใช้ตลอดกาลกว่าพ่อจะเข้าใจว่ากำลังเห็นใครอยู่ เด่นปองบอกออกไป
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิดต่อคุณเลยสักอย่างเดียว”
เขาตามพวกเธอกลับไปที่บ้านตรงท้ายซอย หอบของเลอะฝุ่นถนนทั้งหมดเท่าที่จะทำได้ พี่น้ำไอโขลกพอปิดประตูบ้าน เสียงแหบพร่าจนพี่ปุยหลุดหัวเราะ
วันรุ่งขึ้นเขาเอาเครื่องเล่นเทปเพลงไปฝากไว้กับพี่ปราชญ์ ก่อนไปสนามบินด้วยกันกับสองสาว
เขาคิดถึงพ่อเรื่องแค่ที่ไม่มีอะไรตามมาจากนั้นอีก พ่อไม่ได้แจ้งความ
บางทีพ่อคงแค่ปล่อยมือจากเขา เด่นปองหวังว่ามือคู่นั้นไม่ต้องกำหมัดอีก
(“คุณแม่ของศินะใช่ไหมครับ ผมคนทาครับ เป็นอาจารย์ประจำชั้นของศินะ”
“ขอโทษด้วยนะคะสำหรับเรื่องวุ่นวาย”
“ไม่เลยครับ” ขาเก้าอี้ลากพื้นเมื่อโดนลากมานั่ง
อาจารย์ประจำชั้นหย่อนตัวลง ยืดหลังตรง มองเด็กนักเรียนบนโซฟา แล้วเลื่อนสายตากลับไปมองหญิงอายุมากกว่า
“ผมว่าคุณแม่ต้องขอโทษศินะมากกว่าครับ ตอนนี้เลย”)
ตัวเขาตอนวันเกิดครบสี่สิบปีได้เป่าเทียนรูปตัวเลข เนื่องจากคนในสตูดิโอไม่อยากรุมปักเทียนสี่สิบเล่มลงไปบนเค้ก
เด่นปองเป่าดวงไฟแล้วอวยพร คลอเสียงเพลงของนักร้องคนโปรด
อย่าได้เจ็บปวดกับตัวเองอีกเลย