10 ตอน 10
โดย pynox
ปราชญ์รู้ดีว่าตนเป็นคนหน้าตาน่ากลัว เรียกอย่างดีจากคนสนิทว่าหน้าดุหรือหน้าโหด รู้ดีว่าตนโดนพูดถึงในโรงเรียนเช่นไร ชอบทำประหนึ่งว่าเขาตัวสูงนักหนา พวกนักเรียนตัวเล็กๆ กระซิบกระซาบ เสียงคงลอยไม่สูงถึงหู ส่วนใหญ่มักโยงเขาเข้ากับยักษ์ ชนิดว่าเด็กมัธยมต้นที่เลือกเรียนวิชาร้อยมาลัยล้วนผงะพอเดินเข้าห้องมาเจอเขาเป็นคนสอน กระนั้นก็ยังมีทฤษฎีอธิบายว่าทางโรงเรียนคงรู้ทันว่าเด็กที่ลงวิชานี้คาดหวังวิชาง่าย ไม่ต้องเรียนทฤษฎี เล่นสนุกได้ทั้งคาบ เลยให้ยักษ์มาสอน ไม่มีใครสนว่าเขาสนิทกับอาจารย์ขี้เล่นแบบคนทา เพราะสมัยเรียน พวกเขาสนิทกันมาจากอาจารย์ทำกิจกรรมต่อเรือในโหลแก้ว แล้วมีแค่เขากับมันที่ไปทำกิจกรรมนั้นจนเสร็จ หรือที่เขาสนิทกับเจนธรรมถึงขั้นไปเดินซื้อไหมพรมสำหรับงานเย็บปักด้วยกันบ่อย ๆ เคยเดินสวนกับอาจารย์คนอื่นในห้างสรรพสินค้าระหว่างนั้นด้วยซ้ำ พวกนักเรียนดูจะไม่สังเกตเลยว่าเขาร้อยมาลัยได้ดีถึงสอนวิชานี้ ไม่เชื่อกันสักคนว่าเขาเป็นคนจัดพานพิธีสำคัญของโรงเรียนทั้งหมด ดูจะกลัวแต่ก็สนุกกับจินตนาการว่าเขาล้มหมีได้ด้วยมือเปล่า ซึ่งปกติ ปราชญ์เลิกสนใจ แต่ก็มีบางจังหวะที่เขานึกขอบคุณจินตนาการพวกนั้น
อย่างเช่นตอนนี้
ปราชญ์กระชากกระดาษบนกระดานหน้าห้องแล้วกระชากยาวรวดเดียว เสียงกระดาษขาดกวาดเอาพวกเสียงจอแจเฮฮาท่วมห้องรวมถึงความสนใจในโปสเตอร์ล้อเลียนที่ติดอยู่ทุกแห่งหนเทออกนอกหน้าต่าง ทุกคนเข้านั่งประจำที่
ทุกคนจริง แม้แต่คนที่เขาสงสัยเป็นอันดับหนึ่งด้วย
พนันได้ว่ารุ่นน้องเขาทำแบบนี้ไม่ได้หรอก ทว่าอาจารย์กันตพิชญ์ไม่ได้ภูมิใจโอ่อะไรนักหนา เพราะขนาดกลัวครูประจำชั้นขนาดนี้ยังมากล้าเล่นอะไรบ้าบอคอแตก
เขาค่อยๆ ขยำกระดาษส่วนที่ฉีกออกมา สัมผัสถึงเนื้อกระดาษต่างกันปนอยู่ระหว่างฝ่ามือแล้วเอาไปทิ้งถังขยะ เด็กทั้งห้องนั่งหลังตรง
“โตวัน”
นักเรียนชายคนที่ถ่ายรูปอัศวินจากห้องเจ้าโกถึงกับสะดุ้ง ปราชญ์เดินไปยืนข้างที่นั่งเขา
“ทำไมไม่อยู่ในแถว”
“…มาสายครับ”
“ทำไมมาสาย” ตำแหน่งเก้าอี้โตวันอยู่ริม ฝั่งตู้เหล็กใส่ของ เพียงปราชญ์หันหน้าไปนิดเดียวก็เห็นแถบโปสเตอร์
“ตื่นสาย…ครับ”
“วันนี้พ่อไม่ได้มาส่งเหรอ”
“เปล่าครับ…วันนี้พี่สาวมาส่ง”
ปราชญ์พยักหน้า แต่ไม่ยอมเดินไปไหน “มาถึงโรงเรียนกี่โมง”
“เมื่อกี้ -- เมื่อครู่นี้เลยครับ” เด็กหนุ่มเหลือบขึ้นมองนาฬิกาหน้าห้อง เข็มนาฬิกาเพิ่งเลยเลขแปดมาได้ไม่เท่าไร จวนหมดเวลาโฮมรูมเต็มที ทว่าปราชญ์ไม่สนใจถ้าอาจารย์วิชาภาษาไทยจะยืนรออยู่หน้าห้องแล้วหรือไม่ ถ้ามาแล้ว ปล่อยหล่อนจิบชาของหล่อนไปก่อน เขาต้องจัดการเรื่องนี้
“แปลว่าพี่สาวคุณส่งคุณหน้าประตู คุณสแกนบัตรตอนประมาณสักแปดโมง”
“วันนี้ผมลืมเอาบัตรมา…”
“เหรอ แปลว่าคุณหลบสายตาอาจารย์พวงทองตรงห้องปกครองมาขึ้นตึกได้ตอนพวกเขาปล่อยแถวพอดี”
“ใช่ครับ”
“แปลว่าพอครูวิ่งไปดูห้องศิลปะที่อาคารอเนกประสงค์ กระดาษอาร์ตตึกนั้นคงยังไม่หมดใช่ไหม จนคนพิมพ์โปสเตอร์นี่ต้องเปลี่ยนมาใช้เอสี่ธรรมดา”
“ผมก็…ไม่รู้สิครับ ก็ต้องเป็นงั้นสิ”
หน้าซีดเชียว ตอนวางแผนคิดว่าทำอะไรอยู่กันนะ ลบประวัติการพิมพ์ในเครื่องถ่ายเอกสารก็พอรึ
อาจารย์กันตพิชญ์ไม่สนใจ เขามีไม้ตาย
“แปลว่าพอไปเปิดกล้องวงจรปิดดู จะไม่เห็นคุณแอบพิมพ์โปสเตอร์พวกนี้เมื่อวานเย็น แล้วหอบมันมาติดท่วมชั้นระหว่างที่คนอื่นเข้าแถวใช่ไหม”
โตวันพยายามทำหน้างง “ก็ต้องงั้นเปล่าครับ” เขาดูพยายามหัวเราะ ทำเป็นว่าปราชญ์เพียงขู่
“ก็ดี เพราะกล้องวงจรปิดในโรงเรียนเราไม่เหมือนของที่ติดอยู่ข้างนอกหรอกนะ คุณไม่ต้องลุ้นหรอกอันไหนกล้องจริง อันไหนกล้องหลอก”
โกมองห้องพักครูไปมา แล้วรีบถลากลับออกไปข้างนอก เขาเกือบชนเข้ากับพี่ปราชญ์ มีนักเรียน คนเดิมจากเมื่อวาน เดินตามหลังต้อย ๆ ในสภาพคอตกอยู่ด้านหลัง กระนั้นนั่นยังดูปกติ เรื่องทั่วไป เด็กคนไหนโดนพี่ปราชญ์เรียกให้เดินมาด้วยกันทำคอตกเหมือนจะโดนเชือดทั้งนั้น แต่โปสเตอร์ท่วมกำแพงนั่นทำให้ทุกอย่างข้างนอกเหมือนเป็นละครเวทีประเภทเหนือจริง ถ้าทั้งเรื่องใช้ฉากนี้ฉากเดียว “โก พอดีเลย โตวัน --”
“พี่ เห็นศินะไหม”
“เป็นคนแปะ -- เหอ ศินะเหรอ? ไม่นะ”
อาจสิ้นคิดไปนิด แต่โกก็ยังวิ่งไปส่องในห้องของเจนธรรม เธอเองก็กำลังเปิดประตูออกมาพอดี “อ้าว เจอตัวคนทำแล้วเหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยทันทีที่เห็นนักเรียนห้องพี่ปราชญ์
“ใช่”
โกปัดมือเชิงว่าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนั้น “คุณเห็นศินะไหม”
“ลงไปข้างล่างนี่คะ ฉันมองออกมาตรงทางเดินพอดีตอนเห็นเขาลงบันได อาจารย์คนทาไม่ได้ให้เขาไปตามนักการมาช่วยจัดการกระดาษพวกนี้เหรอคะ”
“เปล่า ผมให้เขาไปรอที่ห้องพัก”
แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ บางทีอาจต้องสนเรื่องของนักเรียนจากห้องพี่ปราชญ์ด้วย
“อันนี้คุณทำเพื่อล้อศินะเหรอ”
อีกสองอาจารย์เกิดสีหน้างงงัน “หมายถึงอัศวินรึเปล่า” ปราชญ์ค่อย ๆ ทัก ไม่อยากขัดคอให้รุ่นน้องและเพื่อนหน้าแตกขณะจะตำหนิเด็กนักเรียน แต่เขาสับสนของจริงว่าศินะมาเกี่ยวอะไรด้วย รายนั้นแค่บังเอิญยืนอยู่ข้างหน้าอัศวินตอนโดนถ่ายรูปเท่านั้นเอง
“จริงด้วยค่ะ” เจนธรรมช่วยเสริมในแง่ว่าตนก็ไม่เข้าใจ
โกยกมือขอให้ทั้งสองรอ เขาก้าวเข้าไปยืนตรงหน้าโตวัน ชี้นิ้วไปยังตัวอย่างผลงานเล่นพิเรนทร์ซึ่งมีให้ใช้ทุกแห่งหน “ทำไมเว้นตู้เขาไว้ตู้เดียว” โกหันมองในรูปเพื่อย้ำกับตัวเอง ภาพซึ่งมองแวบแรกไม่ต่างอะไรกับที่พวกเขาเห็นเมื่อวาน รูปอัศวินแอบคุยกับเพื่อนระหว่างเข้าแถว
หน้าของศินะก็โผล่ชัดเช่นกัน เหมือนหน้ากนกพรในรูปที่โตวันลงในอินสตาแกรม
towanby9 555555 เรื่องมันเยอะ ในโรงเรียนรู้กันหมด พรุ่งนี้จะลงที่บางคนเขาว่าตัวจริงให้ดู
“พวกคุณเล่นอะไรของพวกคุณกันแน่น่ะ”
โกแสยะปากหัวเราะปลอบความงงงัน คิ้วขมวดแน่นไม่เข้าใจ เขาไม่ได้เป็นแค่อาจารย์ เขาเป็นนักเรียนมาก่อนด้วย ภาพคนค่อนห้องหรือค่อนชั้นสนอกสนใจกับชีวิตรักเพื่อนรุ่นเดียวกันเป็นเรื่องชินตาตั้งแต่ยังอยู่ประถมด้วยซ้ำ แต่เขาไม่เคยเห็นอะไรเลยเถิด เขาปล่อยให้ในห้องโห่ฮิ้วเฮฮา แซวกนกนพรกับอัศวินเพราะมันไม่มีพิษมีภัย เด็กสองคนนั้นสนิทกันดี และต้องยอมรับว่าคงเป็นคู่ที่น่ารักทีเดียว ถ้าทั้งสองชอบกันจริง แต่ถ้าไม่
มันก็แค่มุก
“อาจารย์ – ก็แค่ – เอาฮาไปงั้นเอง” โตวันยอมมองหน้าเขา คงดีกว่าให้มองสีหน้าพี่ปราชญ์ “ใครเขาก็รู้กันทั้งนั้น ว่าศินะมันชอบไนท์”
ไม่ เขาไม่เห็นรู้เรื่องนี้ด้วย
“รู้กันมาตั้งแต่ม.หนึ่งแล้ว ถึงศินะมันหายตุ้งติ้ง คนอื่นเขาก็ดูออก ไม่งั้นไนท์มันจะรังเกียจจนเลิกคบแล้วเอาเมย์มาเป็นโล่กันศินะเหรอ”
“โอ๊ย อีเหี้ย!”
สามคณาจารย์สะดุ้งโหยง หันไปมองตรงห้องเรียนที่โกประจำชั้น กนกพรย่างสามขุมมาทางพวกเขา หมัดกำแน่นข้างลำตัว เจนธรรมไวกว่าใครเพื่อน รีบเข้าไปดันเด็กสาวไว้ก่อนเธอจะทันง้าง เด็กนักเรียนคนอื่นเองพากันเกาะประตู มองผ่านบานกระจกใสบนตัวประตูออกมายังระเบียง สนอกสนใจกันน่าดู
“ไปนั่งที่ รออาจารย์มาสอน!” พี่ปราชญ์คำรามครั้งเดียว ประตูห้องเรียนทั้งสามห้องโล่งสะอาดตาทันใด “กนกพร กลับไปนั่งในห้อง”
กนกพรดูโกรธจนไม่มีอารมณ์จะกลัวอาจารย์กันตพิชญ์นัก แต่ก็ไม่โต้เถียงอะไร ซ้ำยังยกมือไหว้ แต่ตาแข็งกร้าวจ้องโตวันปานเป็นศัตรูกันมาแต่ชาติปางก่อนและจะเป็นตลอดไป เขาเพิ่งเคยเห็นเด็กวัยรุ่นในชีวิตจริงตัวเองชักสีหน้าน่ากลัวขนาดนั้น แม้จะยังไม่เข้าใจเท่าไรนัก แต่โกดีใจที่สองคนนี้เรียนคนละห้อง
“เดี๋ยวค่อยจัดการเรื่องนี้แล้วกัน ฉันจะลากโตวันไปดูกล้องวงจรปิดตึกอเนกประสงค์ด้วยกันก่อน อาจารย์เจนก็จะได้ไปสอน แกก็ –”
“ผมจะไปหาศินะ” โกเตรียมวิ่งลงบันได ไม่อยากรอลิฟต์ ทว่าต้องชะงักเมื่อไปถึงขั้นแรก เขาหันไปมองโตวันผู้เดินตามพี่ปราชญ์ไปรอลิฟต์ชั้นบน “คุณกับศินะไม่ใช่เพื่อนกันเหรอ ครูเห็นพวกคุณกินข้าวกลางวันด้วยกันบ่อย ๆ นี่”
โตวันทำหน้าปั้นยาก “ก็นั่น พ่อผมบอกให้ทำ”
“พ่อคุณ พ่อคุณมาเกี่ยวอะไร --” โกยกมือเชิงยอมแพ้ “ไว้ครูจะมาจัดการเรื่องนี้ต่อทีหลัง”
เท้าย่ำลงขั้นบันไดวนไปจนทุกอย่างสว่างขึ้นเมื่อไม่มีหลังคากับกำแพงทึบข้างใน เขาลองอ้อมไปหลังตึก แล้วเคาะประตูห้องพักพวกนักการ
“อาจารย์ มีอะไรเหรอคะ” คุณป้านักการเปิดประตูออกมาหา โกชะเง้อคอมองข้ามศีรษะเธอไปข้างใน มีนักการอีกสามถึงสี่คนนั่งกินขนมยามสายกันอยู่ข้างใน
“มีนักเรียนมาขอให้ขึ้นไปช่วยดูชั้นแปดไหมครับ พี่ตุ๊ก”
คุณป้านักการนามตุ๊กหันไปมองหน้ากันเองกับเพื่อนคนอื่น ทุกคนค่อย ๆ ส่ายหน้า เธอหันมายืนยันกับเขา “ไม่มีนะคะ พวกป้าเพิ่งเข้ามานั่งข้างในนี้ตอนปล่อยแถวพอดี ไม่มีใครมาหาเลย”
“ขอบคุณครับ แล้วช่วยขึ้นไปดูชั้นแปดตอนเย็นทีแล้วกันครับ มีเด็กเล่นพิเรนทร์นิดหน่อย -- ก็ไม่หน่อย”
พวกนักการพยักหน้า แม้จะถอนหายใจระอาให้น้อยที่สุดแต่ก็ยังทั้งเห็นทั้งได้ยิน บางทีพี่ปราชญ์อาจลงโทษให้โตวันช่วยทำความสะอาด บางทีเด็กคนนั้นอาจไม่ได้สาดกระดาษติดผนังคนเดียว
เวลาเขาไปตามศินะมาแก้งานก่อนหมดพักเที่ยง พวกเด็กหนุ่มนั่งกันอยู่ตั้งหลายคน โกนึกสงสัยว่าในนั้นมีใครเป็นเพื่อนศินะ และใครเป็นเพื่อนโตวันบ้างกันแน่ เท่าที่จำได้ นอกจากศินะแล้วก็ไม่มีเด็กห้องเขาสักคนเดียว
แรงสั่นในกระเป๋ากางเกงหยุดโกที่กำลังจะเดินไปดูแถวประตูโรงเรียน เขาหยิบออกมาดูหน้าจอก่อน
“น้าโก มีเรื่องที่โรงเรียนเหรอครับ”
กระทั่งได้ยินเสียงอรัณอยู่ข้างหู โกยังไม่อยากเชื่อว่ากำลังคุยกับชายหนุ่ม “กนกพรโทรไปบอกอีกแล้วเหรอ”
“น้องเขาส่งข้อความไปหาสนก่อนน่ะครับ พอดีเคยคุยกันเรื่องนี้” เสียงอรัณรายล้อมด้วยเสียงคนเคลื่อนไหว โกเดาว่าเจ้าตัวคงเข้าออฟฟิศไปส่งงานหรือประชุม “เห็นว่าน้าโกเรียกเพื่อนไปคุยด้วย จนเริ่มคาบแล้วยังไม่กลับมา เลยกังวลกันว่าเกิดอะไรขึ้น”
“น้าเรียกไปจริง แต่เขาหายตัวไปแล้ว ไม่ได้ไปรอน้าที่ห้องพัก” โกลากมือขยี้ผมแรงๆ “น้างงไปหมดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมมันวุ่นวายไปหมด นี่เขาหนีออกไปนอกโรงเรียนแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ไม่น่านะครับ เมย์บอกว่ากระเป๋าเงินกับมือถือเขายังอยู่ที่โต๊ะ เพราะสนบอกก็ทักไปแล้วเหมือนกันว่าเพื่อนโดดเรียนไปแล้วรึเปล่า เลยยังไม่กลับเข้าห้อง แล้วอย่างน้าโกก็น่าจะยอมปล่อย ถ้าเขาดูไม่พร้อมกลับไปเรียน”
เขาไม่อยากนึกเลยว่าเพื่อนหลานคุยอะไรเรื่องเขาบ้างให้นักเรียนในห้องฟัง โกข้ามประเด็นนั้นไปดั่งนักกีฬาข้ามเครื่องกีดขวาง “อรัณ ที่โทรมานี่มีอะไรหรือเปล่า” รู้อะไรรีบบอกมา -- เขาอยากพูดออกไปแบบนั้น แต่ดูพาลพาโลสิ้นดี ตัวเองอยู่ตรงนี้ทำอะไรไม่ได้ จะมาคาดคั้นอะไรจากคนนอกโรงเรียน
“พอสนเล่าให้ฟัง ผมเลยคิดว่าน้าโกคงกำลังจัดการเรื่องนี้อยู่ แต่ไม่รู้ว่าน้าโกรู้ทุกอย่างหรือยัง” อรัณกระซิบแผ่ว คงมีใครในออฟฟิศเดินผ่านพอดี “แต่เพื่อนของเมย์ คนที่โดนแกล้ง เขาน่าจะโดนแกล้งเพราะ…ชอบเพศเดียวกัน”
“แกล้ง -- แกล้งแบบ แกล้งเหรอ อรัณ นี่มันควรจะแค่เด็กล้อกันไปเรื่อยนะ”
“ล้อกันไปเรื่อยจะลงทุนขนาดนั้นเหรอครับ น้าโก”
โกหยุดเดินแล้วเพิ่งรู้ตัวว่าตนเดินสะเปะสะปะ พล่านไปทั่วโถงชั้นล่างตึกมัธยมปลายอันไร้ผู้คน ห้องเรียนทุกห้องกำลังเรียน ห้องที่เขาควรไปสอนคงเริ่มคุยกันเองแล้วว่าอาจารย์คนทาอยู่ไหน ถือเป็นคาบว่างได้หรือยัง
“แล้วอะไรทำให้ต้องลงทุนขนาดนี้”
“ได้รับอนุญาตให้เกลียดมั้งครับ” เขาได้ยินเสียงอรัณชัดขึ้น ตามด้วยเสียงน้ำไหล คงเป็นห้องน้ำตึก “เมย์พูดเหมือนเพื่อนคนนั้นต้องอยู่กับเด็กที่แกล้งเขาบ่อยๆ บอกว่าเวลาจับกลุ่มอยู่ด้วยกันแล้ว บรรยากาศดูแปลก ถ้าน้าโกรู้ว่าเป็นใครบ้าง ผมคิดว่าแยกพวกเขากันไว้ดีกว่า”
“เฮ้ย แต่น้าไม่เคยเห็นอะไรรุนแรงเลยนะ แล้วศินะ ปกติก็เห็นคุยกับพวกอัศวินบ้างหรอก แต่กลุ่มใหญ่ๆ ที่อยู่กับเขาก็มีกลุ่มเดียว แล้วกลุ่มนั้น เวลาน้าไปตามตัวศินะ มองยังไงก็เห็นแค่นั่งกินข้าวเที่ยงด้วยกัน”
อรัณเงียบไปครู่หนึ่ง “ศินะนี่ ใช่คนที่น้าโกบ่นว่าชอบก็อปวางจากวิกิทุกครั้งหรือเปล่าครับ”
“ก็ใช่ ทำไมเหรอ”
“แล้วทุกครั้ง น้าโกก็ตามเขาไปเขียนใหม่ แต่เขาก็ยังก็อปจากวิกิส่งต่อไปเรื่อยๆ น่ะเหรอครับ”
“ก็ใช่ เขาคงนึกกวนตีนน้าเล่นไปงั้นแหละ น้าก็ไม่ยอมปล่อยหรอกนะ ก็ตามตัวมา อย่างน้อยก็ให้แปลหน้าที่ก็อปมานั่นแหละ”
“ตอนไหนเหรอครับ”
โกเอาโทรศัพท์ออกจากหูเพื่อมองให้แน่ว่าสัญญาณยังเชื่อมอยู่ ค่อยพาเครื่องกลับมาแนบหูอีกที “อะไรนะ”
“น้าโกตามเขาไปแก้งานตอนไหนบ้างเหรอครับ”
“ก็ตามสะดวกน้ากับเขา ตอนเช้าบ้างถ้าน้าเพิ่งตรวจงานที่บ้าน แล้วเขามาถึงเช้า ไม่ก็ตอนพักเที่ยงกับหลังเลิกเรียน”
“แบบนั้นไม่ใช่ว่าเขาชอบอยู่กับน้าโกมากกว่าอยู่กับเพื่อนในรุ่นเหรอครับ”
“เฮะ ยังไงนะ”
“น้าโกลองนึกภาพถ้าโณโดนตามตัวกลางพักเที่ยงไปนั่งแก้งานสิครับ เป็นอย่างโณคงไม่อยากโดนอีกหรอก”
ทุกคนแซวกันว่าเพราะโกไม่ลงโทษหักคะแนนหรืออะไร แค่ให้นั่งทำใหม่ แถมนั่งในห้องพักครูเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ ไม่โดนปิดแอร์ช่วงพักเที่ยงแบบห้องเรียน
“ผมว่าเขาสบายใจได้อยู่ในห้องพักของน้าโกกว่านั่งกับเด็กพวกนั้น”
มีอะไรให้สบายใจ ในห้องอึดอัดคับแคบมีแต่ผู้ใหญ่ เป็นอาจารย์อีกต่างหากนั่งกันอยู่สามคน คนหนึ่งคืออาจารย์กันตพิชญ์ที่เด็กเกินครึ่งสถานศึกษากลัว ยิ่งพวกมัธยมต้นนี่เกร็งกันจนตัวสั่น ส่วนเขาแค่ครูขี้บ่น จ้ำจี้จ้ำไชให้แก้การบ้าน สมัยพวกเขาเรียน พักเที่ยงคือเวลาตื่นนอนเต็มตาหลังจากง่วงตั้งแต่คาบแรกยันคาบสี่ วิ่งลงไปจองที่นั่งกินข้าวกันทั้งกลุ่มรวมถึงพี่ปราชญ์ รีบพุ้ยอาหารกลางวันแล้วเล่นเกมอะไรที่ค้างไว้จากตอนเช้า ยกเว้นว่ามีใครต้องลอกการบ้าน
“แล้วทำไมตอนน้าเดินไป เขาไม่อยู่ในห้องนั้น ศินะไปไหน”
ทั้งชั้นมีโปสเตอร์ติดท่วมถล่มกำแพงประหนึ่งห่าฝนโดนแช่แข็ง ทุกภาพล้วนเอาช่วงเวลาเข้าแถวยามเช้า ตอนเจ้าตัวคุยกับเพื่อนเพื่อให้ผ่านความร้อนของแดดกับการยืนรอผู้อำนวยการพูดจบ ไม่รู้ตัวสักนิดว่าโดนแอบถ่ายรูป แล้ววิธีแต่งภาพพวกนั้น เอามาแปะหราต่อสายตาเพื่อนรุ่นเดียวกัน
เด็กนักเรียนชายตัวการบอกทุกคนรู้ รู้ตั้งแต่มัธยมต้น
เอาความรู้สึกมาล้อเลียนทุกหนทุกแห่งทั่วชั้นเหมือนไปทำอะไรให้นักหนา ทั้งชั้นเต็มไปด้วยภาพนั้น ยกเว้นข้างในห้องพักครู
“แล้วเขาอยู่ไหน”
เมื่อลงพ้นชั้นแปดมา ทุกอย่างดูสงบเรียบร้อยดีปานคนละโลก ข้างนอกตึกยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้าเขาเป็นศินะ คงโกยอ้าวออกนอกโรงเรียน ปล่อยตัวไปกับกระแสผู้คนนอกรั้วแล้วเพราะแถวนี้ไม่มีลำธารสะอาดให้โดดลงนอนลอยคอมองฟ้า รอให้รู้สึกทุกอย่างเข้าที่เข้าทางมากขึ้นค่อยเปลี่ยนฉาก
แต่เขาไม่ใช่ศินะ ศินะไม่ใช่เขา
“เขาดูเรียบร้อยไหมครับ”
ใช้เวลาหลายวินาทีกว่าโกจะเข้าใจว่าอรัณตอบกลับมาแล้ว “ห -- หา”
“เขาดูเป็นเด็กเรียนไหมครับ แบบที่พวกอาจารย์น่าจะไว้ใจกัน”
“ก็ -- ก็ใช่ ดูเนิร์ดๆ ใส่แว่น แต่งตัวเสื้อ กางเกง ถุงเท้าอะไรก็ไม่เคยโดนอาจารย์คนไหนดุเลยมั้ง”
“ลองไปดูห้องพยาบาลไหมครับ”
เขาไม่ใช่ศินะจริง ๆ นั่นแหละ
ห้องพยาบาลไม่เคยเป็นตัวเลือกอันดับแรกสำหรับโดดเรียนเลยในหัวโก เพราะเขาไม่ได้อยากนอนจริง เขาแค่ง่วงนอนเวลานั่งในห้องเรียน ฟังเสียงอาจารย์สาธยายเนื้อหาวิชา แถมอาจารย์ห้องพยาบาลยังดูจะคอยเล็งโหงวเฮ้งอีกว่าเด็กคนไหนดูทรงแล้วคงแกล้งป่วยเพื่อหนีวิชาน่าเบื่อ รึลืมทำการบ้านมา ซึ่งโกค่อนข้างมั่นใจว่าตนสมัยนั้นหน้าตาตรงตำราเอาการ นิสัยแต่งเครื่องแบบให้ดูเฮี้ยวเข้าไว้เองไม่ได้ช่วยเสริมออร่าน่าเชื่อถือเลย ถ้าไม่เดินหน้าซีด อิดโรย มีไข้ หรือดูทรมานมากจริงทางไหนสักทาง คงโดนไล่กลับห้องเรียน
“อ้าว อาจารย์คนทา เป็นอะไรมาเหรอคะ” อาจารย์พยาบาลคนปัจจุบันเป็นอาจารย์หญิงวัยประมาณเจนธรรม อาจจะเด็กกว่าหน่อย เพิ่งเข้ามาใหม่ หน้าตาสะสวยรวยเสน่ห์ แว่วมาว่าใจดี ใครมาขอนอนพักอะไร ถ้าเตียงไม่เต็ม เธอยินดีให้นอนหมด แต่เพราะครูหนุ่มๆ ชอบแวะเวียนเข้ามาเต๊าะเพื่อนร่วมงานหน้าใหม่ เด็กเลยไม่สะดวกใจจะโดดเรียนมานอนนี่เท่าไรอยู่ดี กลัวเจอคู่อาฆาตที่จับไต๋ได้ จะลงเอยไม่โสภาเอา
“ปวดท้องครับ อยากขอกระต่ายบินกับนั่งพักในนี้หน่อย พอดีของเจนธรรมที่เก็บไว้ในห้องพักหมดแล้ว”
สายตาโกมองทางเตียง ห้องพยาบาลโล่งโจ้ง ยกเว้นหนึ่งเตียง ซึ่งพอได้ยินเสียงอาจารย์ชุติมาทักเขา โกทันเห็นเด็กที่นอนอยู่รีบดึงผ้าห่มคลุมโปง
ศินะ
เขากระดกยาตามด้วยน้ำเปล่า แล้วเดินไปนั่งบนเตียงข้างกัน โกถอดรองเท้า ปีนขึ้นนั่งหลังพิงหัวเตียง
บนหมอนเตียงถัดไป ปลายผ้าห่มช่วงบนห่อรอบศีรษะแน่นจนปลายร่นขึ้น เห็นตั้งแต่หลังพื้นถุงเท้าไปจนถึงข้อเท้า โกยิ้มให้พื้นถุงเท้าดำซ่อนตัวแนบเนียน ถ้าสวมรองเท้าอยู่ ไม่มีทางจะเห็นหรอก ว่าไม่ใช่ถุงเท้าขาวล้วน
“ครูไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมใส่ถุงเท้าเป็นลายไม่ได้” โกพูดเบา ๆ ตาคอยสังเกตว่าชุติมาของห้องพยาบาลมัวสนใจอะไรก็ตามในคอมพิวเตอร์อยู่ “หรือให้ใส่แตะ จะได้ไม่ต้องใส่ถุงเท้า ตอนให้เด็กเข้าใหม่เรียนปรับพื้นฐานก่อนเปิดเทอม ยังให้ใส่ชุดไปรเวทได้เลย”
เขารอ
ไม่นานนัก ผ้าห่มก็เลิกออก เผยให้เห็นหน้าของศินะผู้พยายามสูดจมูก โกหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้เช็ดน้ำมูกวาวเหนือปาก ศินะรับไปโดยไม่พูดอะไรในทันที แต่นั่นเป็นสิ่งที่รอได้เช่นกัน
สัญญาณหมดคาบแรกดัง ศินะถึงลุกขึ้นนั่ง ทั้งสองออกจากห้องพยาบาลมาด้วยกัน โกมองเด็กหนุ่มผู้ดูพยายามหาทางเดินให้รูปร่างท้วมกลมของตัวเองดูเล็กที่สุด สีหน้าบ่งบอกว่าไม่มีเรี่ยวแรงจะยืดหลังผ่าเผยอะไรตอนนี้ทั้งนั้น
แต่ศินะกลับเอ่ยขึ้นมา “เรื่องวันนี้ ที่บ้านผมต้องมาไหม”
“ทำไมบ้านคุณต้องมาล่ะ คุณไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
“ผมโดดเรียน”
“ครูโดดสอน คิดว่าครูจะยอมให้เชิญแม่ครูมาเหรอ ไม่มีทาง” โกบอกเป็นจริงเป็นจัง ใครคิดฟ้องแม่เขาว่าลูกชายโดดสอน ต่อให้เป็นพี่ปราชญ์ก็จะวิ่งไปตะครุบตบปาก “ครูขอโทษนะ ศินะ ครูไม่รู้เรื่องเลย ไม่เคยสังเกตเลย”
ศินะส่ายหน้าไปมา “อาจารย์จะมารู้ได้ไง”
“ก็นะ ครูไม่เคยสนใจให้ดี คุณจะไม่คาดหวังก็ไม่แปลก”
“ผมไม่ได้ว่านะ แต่แค่ -- มันก็เรื่องปกติ” ศินะรีบบอก ในที่สุดก็เลิกก้มมองพื้น “ในห้องก็ล้อแค่ไนท์กับเมย์ด้วย ไม่ได้มีใครสนใจผมอยู่แล้ว”
“อัศวินเคยทำไม่ดีกับคุณด้วยหรือเปล่า”
เขาก้าวไปก่อนทันเห็นว่าศินะหยุดเดิน “ไนท์เนี่ยนะ”
“อาจารย์ปราชญ์เจอตัวคนติดโปสเตอร์แล้ว”
“อันนั้นผมรู้อยู่แล้วใครติด ก็มีแค่พวกวันเท่านั้นแหละที่จะทำอะไรขนาดนี้” สีหน้าศินะแปรจากประหลาดใจกลัมาอึมครึม ขยาด ไม่อยากไปไหน “แต่ไนท์ไม่เกี่ยว”
“เห็นเขาพูดเหมือนอัศวิน -- มีความเห็นไม่ดีเท่าไรกับเรื่องพวกนี้” เลิกคบคงเป็นเรื่องแต่ง ในเมื่อรูปเป็นตัวบอกชัดว่าทั้งสองยังคุยกันดีอยู่ แต่เขาไม่ค่อยเห็นอัศวินอยู่กับศินะบ่อยแบบที่อยู่กับกนกพรเช่นกัน ถ้าให้กรอกว่านักเรียนในห้อง ใครสนิทกับใคร โกไม่มีทางเขียนชื่อศินะกับอัศวินโยงเข้าด้วยกัน
ศินะรู้อะไรที่เขาไม่รู้เยอะนัก เด็กหนุ่มรีบปฏิเสธ “ไม่ใช่แบบนั้นเลย อาจารย์ ไนท์ -- ไนท์กับเมย์ สองคนนี้ดีที่สุดแล้ว แต่ก็อย่างอาจารย์เห็นนั่นแหละ เข้าใกล้กันหน่อย พวกวันก็ล้อแล้ว เมื่อวานที่เข้าห้องปกครองกับเมย์อีก”
“ครูไม่เข้าใจ ทำไมต้องอะไรขนาดนี้ด้วย”
“ผมชอบไนท์จริง”
เมื่อศินะบอกเขา ไม่มีอะไรตรงไหนเหมือนตอนอรุโณทัยบอกเขาเลยสักนิดเดียว ตอนนั้นอรุโณทัยดูกระอักกระอ่วน คาดหวังบางอย่าง ส่วนศินะเพียงพูดออกมา แล้วปล่อยเสียงเลือนหายไประหว่างพวกเขาสองคนขณะเดินต่อไปถึงตึกเรียน
“นั่นก็…ดี ใช่ไหม -- ครูหมายถึง -- พวกการชอบใครสักคน ได้รู้จักตัวเอง”
นี่เขาลืมทุกอย่างจากพวกสน อรัณ อรุโณทัย พี่ปราชญ์ อาจารย์เจนธรรมเกลี้ยงแล้วหรือไงกันนะ โกนึกอยากกัดลิ้นตัวเอง
“ผมไม่เห็นรู้อะไรเลย” ศินะหลบตา “รู้แค่ว่าชอบไนท์ แค่นั้น ตอนม.ต้น ผมชอบแอบซื้อพวกปากกาน่ารัก ๆ ด้วย แต่ก็แค่นั้นเอง แล้วทุกคนก็เข้ามาล้อ ก็เลย -- ไม่อยากชอบแล้ว ที่บ้านก็ชอบเอาของผมไปทิ้ง ผม -- ผมเหนื่อย”
ผ้าเช็ดหน้าของโกชุ่มโชก เขาทำได้เพียงเอื้อมมือไปแตะหลังศินะ พลางพาเด็กหนุ่มไปนั่งในห้องพักกันสองคน ในห้องนั้น โกยืมกล่องทิชชู่ยังมีกระดาษเต็มจากโต๊ะเจนธรรมมาวาง ปล่อยให้นักเรียนของตนร้องไห้จนลมหายใจไม่หนักเท่าตอนแรก จังหวะช้าลง ศินะสั่งน้ำมูก ขยำกระดาษทิ้งลงถังก้อนแล้วก้อนเล่า
“ตอนม.ต้น คุณคือคนที่โดนผลักจนล้มไปฟาดโต๊ะ นั่นคือคุณใช่ไหม”
“ผมเอง” ศินะยอมรับ “ไนท์กับผมคุยเพลินจนเปลี่ยนเสื้อไม่ทันคนอื่น พอถอดเสื้อกันแค่สองคน อยู่ ๆ พวกวันก็เข้ามาผลัก ทำเป็นช่วยไนท์”
“แล้วเรื่องมันเงียบขนาดนี้ แต่ทำไมพวกเขายังไม่เลิกยุ่งกับคุณอีก”
เลนส์แว่นตาของศินะมัวไปหมด เปื้อนคราบน้ำตา
“วันนั้น พวกวันกับผมโดนเชิญผู้ปกครองกันหมด แล้วพอพวกวันบอกว่าทำไมถึงมาผลักผม -- พ่อกับแม่ก็มาคาดคั้นต่อที่บ้าน ว่าผมชอบไนท์จริงไหม แล้ว…ผมโกรธที่โดนผลักจนปากแตกแล้วพวกเขายังถามแต่เรื่องนั้น เลยบอกไปว่าจริง -- หลังจากนั้น พ่อกับแม่ก็ -- พ่อยังไม่เท่าไร แต่แม่ -- แม่ไม่ยอมพูดกับผมเลย พ่อเลยบอกให้ผม -- บอกว่าถ้าผม ‘กลับไปเป็นลูกชาย’ เดี๋ยวแม่ก็หายโกรธเอง”
ทำไม
“น้าโกจำที่ผมโดนพ่อทำร้ายจนเข้าโรงพยาบาลได้ไหมครับ”
ทำไม
“ตอนนั้นแทบบ้านแตกแน่ะ ป้าบอกไม่น่าส่งฉันไปเรียนนอกเลย”
ทำไม
“แล้วแม่ก็เอาผมไปเล่าให้พวกเพื่อนฟัง แล้ว -- พ่อของวันเป็นลูกน้องของแม่ผม พ่อแม่ของเพื่อนวันคนอื่นด้วย พวกเขาตีกอล์ฟด้วยกัน แล้ว เหมือนพ่อของวันสัญญาพวกแบบ จะให้ลูกดูผมให้เวลาอยู่โรงเรียน ผมแอบได้ยินแม่ขอบคุณเขาใหญ่เลย วันก็ทำเหมือนเป็นหน้าที่ต้องดูไม่ให้ผมแบบ…กลับไปตุ้งติ้ง หรือชอบไนท์ หรือลืมว่าชอบไนท์แล้วผมจะแย่ยังไง แล้วพวกเพื่อนคนอื่นในกลุ่มก็สนุกไปด้วย ไนท์กับเมย์พยายามเลี่ยงเพราะเวลาเข้าใกล้ สองคนนั้นรู้ว่าพวกวันยิ่งล้อหนัก”
“ซึ่งพวกโตวันทำงี้มาตลอด ตั้งแต่ตอนเกิดเรื่องสมัยพวกคุณอยู่ม.สอง”
“...ตลอด”
“คุณถึงหาเรื่องให้ครูคอยเรียกคุณมาที่นี่ช่วงพักกลางวัน”
“นั่งกินข้าวกับพวกนั้นทำผมอยากร้องไห้ทุกวัน”
โกอยากชกตัวเองหรือใครสักคน ใครหลายคน
“D, your phone.”
เด่นปองชูนิ้วขอเวลาสักประเดี๋ยว เขาเล็งมุมกับตรวจแสงเงาผ่านเลนส์ให้พอใจค่อยผละจากกล้องไปยังโต๊ะข้างหลังเพื่อดูว่าใครโทรมาในยามดึก ระหว่างงานปิดทั้งเสียงและสั่น มีเพียงหน้าจอส่องสว่างขึ้นแจ้งสายเข้า ถ้าไม่ใช่เพราะงานถ่ายโฆษณาลากยาวมาถึงตีสี่ เขาคงไม่รู้ว่ามีสายเข้าถึงเช้า ทว่าเมื่อเห็นชื่อในแจ้งเตือนสายไม่ได้รับ ชายตากล้องพอเดาได้ว่าปลายทางคงลืมเรื่องไทม์โซนกระมัง มุมปากยกยิ้ม คิดถึงความเซ่อซ่าแม้จะประหลาดใจที่ทางนั้นโทรมา ในเมื่อพวกตนเพิ่งได้กลับมาคุยกันไม่นาน แล้วดูจากบรรยากาศ กว่าจะได้ยินเสียงน่าจะต้องรอโอกาสพิเศษกว่านี้ ไม่ใช่วันหนึ่งซึ่งเขาเผอิญอยู่โยงเฝ้าสตูดิโอจนใกล้รุ่ง ทั้งที่ร่างกายวัยจะแตะมิแตะสี่สิบรอมร่อประท้วงตั้งแต่ท้ายทอยยันน่องขา
เขากดโทรกลับไปทางเมสเซนเจอร์ “Hello, ดีนะกูยังไม่นอน --”
“กูขอโทษ”
สมัยวัยรุ่น ไม่มีทางไม่เคยเห็นหรือได้ยินเพื่อนร้องไห้ ขนาดรุ่นพี่คนโหดหินยังร้องวันปัจฉิมแบบกลั้นสุดชีวิตก็กลั้นไม่อยู่ และแค่เผลอโทรมาตอนจวนย่ำรุ่งไม่มีทางทำเพื่อนคนนี้เป็นเช่นนี้หรอก
“โก what’s wrong?” เขาเห็นคนอื่นในสตูดิโอหันมา เด่นปองส่ายหน้าแล้วเดินออกไปข้างนอก ทางเดินส่วนอื่นดับไฟ มีแค่แสงสลัวผ่านหน้าต่างเข้ามานำทางให้เขาเดินไปไกลหูคนอื่น
ความเงียบขับเน้นเสียงสะอื้น
“กูขอโทษ -- กูขอโทษจริงๆ กูไม่เคยรู้ กูไม่เคยรู้อะไรเลย กูขอโทษ”
“โก มึงใจเย็นๆ” เด่นปองละล่ำละลักขอร้อง “เกิดอะไรขึ้น whatever, just breathe now, dude, breathe for me”
เขาหลับตาลงฟังเสียงหายใจผ่านก้อนสะอื้นสำลัก
“เป็นยังไงบ้าง”
“ทำไมเรียนจบมึงไปอเมริกาเลย”
เด่นปองลืมตาขึ้น บางอย่างระหว่างเสียงน้ำตากับคำถามเชื่อมต่อเด่นปองให้เริ่มเข้าใจ
“เพราะมีทุนไง แล้วกูมีคนรู้จักให้กูอยู่กับเขาได้”
“แล้วทำไมมึงไม่บอกกูก่อนพวกเราเรียนจบ”
เขาไถลตัวกับผนังลงนั่งบนพื้น
“เพราะถ้ามีเวลาบอกมึงเยอะ กูกลัวเผลอเล่าทั้งหมดให้มึงฟังไง”
“ว่า”
“ว่ากูโดนไล่ออกจากบ้าน เพราะกูเป็นเกย์ ตั้งแต่กูอยู่ม.ห้าแล้วมั้ง ช่วงนั้นกูต้องไปอยู่บ้านญาติแทน”
“กูขอโทษ”
“มันไม่ใช่เรื่องอะไรมึงต้องขอโทษหรอก ไมใช่แค่เพราะ it’s not about you ซะทีเดียวน่ะนะ แต่ตอนนั้นกูไม่ได้อยากบอกเรื่องนี้กับใครเลย กูไม่ได้อยากบอกตัวเองด้วยซ้ำ” เด่นปองแค่นหัวเราะ ทว่าได้แค่ทำเสียงหัวเราะสั้นๆ เปราะบางที่เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เป็นเช่นนี้ทุกครั้งเวลาเขานึกถึงตัวเองสมัยวัยรุ่น “กระทั่งตอนที่รู้แล้ว ตอนแรกกูยังไม่คิดจะบอกตัวเองเลย จนออกมาจากตรงนั้นแล้ว กูก็ยังไม่ได้บอกตัวเอง จนมาวันหนึ่งกูมีเรื่องให้ต้องตะโกนออกไปดังๆ แล้วตัวกูเองก็ได้ยินไปด้วย”
“ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะ”
“I have no idea.” เด่นปองยิ้มให้คำถาม “เปิดกล้องที กูมีอะไรจะอวด” สายตามองยังแหวนบนนิ้วนาง เขาไม่รู้ว่าโกย้อนดูภาพที่เขาลงไว้บ้างไหม แต่อยากให้อีกฝ่ายเห็นว่าตนมีความสุขดี -- “Wow” ไม่คิดว่าตนจะได้ตกใจก่อนเอง
“อะไร”
หน้าแดงก่ำ ตาบวมของโก (อยู่ใกล้เพียงปลายนิ้ว) ล้อมด้วยกรอบจอโทรศัพท์ดูงุนงง มองลงมาเล็กน้อย คงวางมือถือพิงอะไรเอาไว้บนโต๊ะ เด่นปองเดา เขาไม่สนเรื่องนั้นเท่าไร เขาสนที่มือโกข้างหนึ่งกำขวดน้ำไว้ ทางนี้จึงเห็นหลังมือช้ำจ้ำแดงเข้มขนาดใหญ่คลุมตั้งแต่ข้อนิ้วตรงกลางไปถึงทั้งโคนนิ้วทั้งสี่ จ้ำแดงตรงนิ้วชี้เหมือนหยดน้ำแตกกระจายอยู่ข้างใต้ผิวหนัง
“โก มึงไปต่อยใครมา”