13 ตอน อากังขา
โดย dnim
มนพัทธ์สะดุ้งตัวโยน เด็กหนุ่มสะบัดมือที่เกาะกุมนายคนสวนอยู่ให้หลุดพ้น เมื่อมองเห็นใบหน้ายกตั้งราวยักษ์ขมูขีของพี่ชายเดินตึงตังเข้ามาใกล้ ณัฐนนท์เดินเข้ามาแทรกระหว่างคนทั้งคู่ เขาใช้ศอกถองสีข้างนายเลิศที่ยืนเป็นเสาหลักอยู่จนถอยกระเด็น
"ทำอะไร" ณัฐนนท์พูดลอดไรฟัน
หน้าผากโหนกนูนจวนจะโขกกับศีรษะผู้เป็นน้องชาย มนพัทธ์ตัวสั่น เขาบังคับตนเองให้เงยสบดวงตาเบิกโพลงของพี่ชายคนโต
"มน..."
ลิ้นของเขาชา สมองตื้อไร้ทางออก เด็กหนุ่มเคยเห็นอากัปกิริยานี้ของณัฐนนท์มาก่อน มันเกิดขึ้นตอนมนพัทธ์อายุได้สิบห้าปี เกิดขึ้นใต้ชายคาบ้านหลังนี้ และมี ไอ้เติร์ก เพื่อนร่วมชั้นที่แอบหลงรักยืนแข็งเป็นรูปปั้นแทนที่เลิศ
เห็นเหรอ
คำถามไร้เสียงถูกส่งไปพร้อมนัยน์ตาดำสั่นระริก ริมฝีปากเล็กอ้าเตรียมบ่ายเบี่ยง แต่เรี่ยวแรงมหาศาลฉุดกระชากให้ร่างทั้งร่างพ้นจากฉากถ่ายรูป
"ไม่เกรงใจพ่อแม่เลยเหรอ"
มือหนาผลักที่หัวไหล่ข้างหนึ่งของมนพัทธ์จนเด็กหนุ่มเซถลา
"มนไม่ได้..."
"ไม่ได้อะไร พี่เห็นเต็มสองตาว่าจับมือถือแขนกัน"
ณัฐนนท์ทิ่มคางไปที่คนสวน
"กลางวันแสกๆ แขกไปใครมาก็ตั้งเยอะ อายบ้างสิ อายแทนพ่อแทนแม่บ้าง"
คนร้ายกาจพร่ำต่อ
"หรือพี่ต้องไล่มันออกถึงจะรู้สึกรู้สาว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ"
มนพัทธ์มองสลับเลิศกับพี่ชาย
"อะไร อย่า"
"ชอบผู้ชายก็อย่างนึง ริเอาคนสวนบ้านตัวเองทำผัวอีกนี่ไม่เห็นแก่หน้าพ่อแม่เลยใช่มั้ย ต้องรอให้มันไปเที่ยวโพนทะนาก่อนเหรอว่าเจ้านายบ้านนี้เอาไม่เลือก"
"นี่คุณ"
เลิศเหลืออด เขาขยับตัวเตรียมเข้ามาขัดขวางเวทีดูแคลน แต่ชายหนุ่มที่มีศักดิ์เป็นเจ้านายยืนจังก้าขวางเอาไว้
"ไปยืนไกลๆ น้องกู"
ณัฐนนท์จิ้มนิ้วชี้ไปที่หน้าผากนายคนสวน เขาออกแรงดันกะโหลกหนาปัญญานิ่มไปด้านหลังจนเลิศกัดฟันกรอด
"ฟังก่อน" มนพัทธ์อึกอัก "มนแค่...แค่รู้สึกไม่ดีพี่เขาเลยมาอยู่เป็นเพื่อน ทะ ที่แม่บอกไงว่ามนเคยวูบตรงบันไดครั้งนึง แล้วตอนที่พักฟื้นพี่เขาก็เป็นคนช่วยแม่ดูแลมน ระ เราเลยสนิทกัน แค่สนิทกันเฉยๆ ไม่เคยทำอะไรเกินเลยกว่านั้นเลย ชะ ใช่มั้ย"
มนพัทธ์ยักคิ้วหลิ่วตา ส่งสัญญาณให้เลิศเออออตาม
"...ครับ"
คนสวนคนใหม่ว่า เขาไม่อยากสร้างปัญหา อย่างน้อยก็ตอนไร้ซึ่งที่ซุกหัวนอน
"เราไม่สนิทกับคนใช้"
ณัฐนนท์ขมวดคิ้ว ตั้งท่าจะสอบสวนอีกหนแต่รัศมีที่ปลีกตัวจากหลานรักกระแทกส้นสูงตามหลังลูกชายทั้งสองไปยังมุมอับของห้องโถง เธอเข้ามาชะโงกหน้าร่วมมุงดูเหตุการณ์ สองพี่น้องฉีกยิ้มให้มารดา เขารวมหัวเสแสร้งว่าไม่เคยถูลู่ถูกังกันมาก่อน
"มาทำอะไรตรงนี้ลูก ตากล้องงงใหญ่แล้ว เขารอถ่ายรูปอยู่นะ"
มนพัทธ์ละล่ำละลัก ใจหวั่นกลัวพี่ชายจะประจานเรื่องรักใคร่
"แม่กับพ่อถ่ายไปก่อนเลยครับ เห็นน้องว่าน้องไม่สบาย"
"ไม่สบายตรงไหน ปวดหัวเหรอ หรือปวดขา เป็นอะไรจ๊ะ ไหนแม่ดูซิ"
เธอเดินฝ่าสายตาอาฆาตของณัฐนนท์เข้าไปสวมกอดลูกชายคนเล็ก เธอหอมแก้มหนูน้อยหน้าซีดซ้ายทีขวาทีอย่างรักใคร่
"ถ้ารู้สึกจะหน้ามืดอีกต้องรีบพักเลยนะจ๊ะ เอ้า นี่ไงนายเลิศอยู่ตรงนี้พอดี ช่วยพาน้องไปนั่งพักทีนะ ถ้ารู้สึกดีขึ้นแล้วค่อยกลับมาถ่ายรูปต่อก็ได้"
"แล้วทำไมมันอยู่ตรงนี้"
"ณัฐพูดไม่เพราะเลย พี่เขาโตกว่านะ อีกอย่างแม่เป็นคนเรียกใช้เอง ดูซิทั้งดอกไม้ทั้งกระถางเต็มเตไปหมด ได้คนแรงดีมาช่วยสตาฟเขาขนงานจะได้เสร็จไวๆ ไงลูก"
ณัฐนนท์ทำหูทวนลม เมื่อครั้งก่อนเขามัวกังวลกับดอกเข็มของลูกสาว ทำให้ลืมสังเกตคนสวนคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานไปเสียสนิท วันนี้สบโอกาสเขาจึงไล่สำรวจเลิศตั้งแต่หัวจรดเท้า ประเมินวัดค่าจากยูนิฟอร์มที่นายคนสวนสวมใส่
"แม่ไปเจอมันมาจากไหน"
คนในบทสนทนาเม้มปาก เขาไม่อยากถูกวิจารณ์ราวกับสิ่งของ แต่รัศมีกลับร่ายประวัติของเลิศยาวปราศจากความตะขิดตะขวงใจว่าเจ้าของเรื่องราวจะยินดีหรือไม่ ณัฐนนท์บันทึกข้อมูลของเลิศเอาไว้ในใจและขับไล่ไสส่งให้ชายหนุ่มกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง จากนั้นเจ้าบ้านในอนาคตก็เอามือไพล่หลัง เขาเอนตัวกระซิบเสียงแผ่วเบาข่มขู่เด็กใต้อาณัติ
"อย่าให้เห็นว่าอยู่ใกล้กันอีก"
ณัฐนนท์ยิ้มเหี้ยม พารองเท้าหนังขัดเงากลับไปยืนด้านหลังของภรรยา เขาเลิกคิ้วข้างที่มีรอยบากโดยมีนัยความเป็นการเตือนใจน้องชายว่า 'กล้าก็ลองดู' มนพัทธ์ยกฝ่ามือขาวขึ้นกุมปาก ลมหายใจหอบติดขัดลอยละล่องไม่ทั่วท้อง เขากลัวผู้เป็นพี่ชายคิดไล่ตะเพิดเลิศด้วยวิธีระยำตำบอนอย่างที่ตนเองเคยใช้ แต่ณัฐนนท์เลือดเย็นกว่าใครทุกคนในบ้าน เด็กหนุ่มเชื่อว่าเขาสามารถกุเรื่องราวส่งเดชเช่นลักขโมยมาทำให้เลิศเสียงาน เสียอนาคต เพียงเพราะคิดว่าตัวเองได้ปกป้องน้องชาย ได้ปกป้องครอบครัวอันเป็นที่รัก
มนพัทธ์ไม่มีทางเฉียดเข้าใกล้เลิศเป็นครั้งที่สอง หากไม่ถูกผู้หญิงตัวซีดเผือดคนนั้นจ้องปานจะกลืนกิน เขากลัวเธอ กลัวเสียยิ่งกว่าต้องบอกประยูรว่ารักใคร่ได้แค่ผู้ชาย เด็กหนุ่มจึงปลีกวิเวกอยู่สักพัก เขาใช้เวลาส่วนใหญ่เรียกสติที่กระเจิดกระเจิงก่อนกลับไปถ่ายรูปกับครอบครัวอีกหน
บรรยากาศภายในห้องโถงตึงเครียดน้อยลงมนพัทธ์จึงสบโอกาสแจ้งข่าวเท็จแก่สมาชิกในครอบครัวว่าเขามีนัดต้องไปพบ ลูกค้า ช่วงบ่ายนี้และคงพลาดมื้อกลางวันแสนวิเศษ รัศมีถึงยอมปล่อยนกน้อยออกมาจากกรงทอง
เด็กหนุ่มขับรถคันหรูมาที่ย่านการค้าตามลำพัง เขารอคอย เด็กเอ็นเตอร์เทน ที่จะมาทานข้าวด้วยกันอยู่หลายนาที จนเข้านาทีที่สิบชายขายบริการคนดังกล่าวก็โผล่หน้าเข้ามาในร้านอาหารพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ
หล่อฉิบหาย
มนพัทธ์หัวใจพองโต เด็กเอนเตอร์เทนที่ทศเป็นคนติดต่อให้หน้าตาหล่อเหลาตรงตามรูปถ่ายทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นฟันขาว ผิวสีน้ำผึ้ง ตาคม คิ้วและปากหนาที่เขาพึงใจ
ชอบแบบนี้จริงๆ นั่นแหละ
มนพัทธ์ตกอยู่ในภวังค์ เขามองทุกท่วงท่าที่เด็กหนุ่มคนนั้นขยับร่างกายด้วยดวงตาแพรวพราวเหมือนแมวเห็นชิ้นปลามัน
"สวัสดีครับ" เด็กคนนั้นทักทาย "พี่ เอ่อ...เป็นพี่รึเปล่าน้า ผมชื่อเตอร์ครับ พัตเตอร์ ปีนี้ 23 แล้ว"
"23 เหรอ งั้นก็อายุเท่ากันเลย เรียกว่ามนก็ได้ มนพัทธ์"
"ชื่อเพราะจังครับ"
"พระตั้งให้น่ะ"
พัตเตอร์หัวเราะ เขาคิดว่าลูกค้าคนสำคัญยิงมุกตลกแต่สิ่งที่มนพัทธ์พูดไปล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น ชายขายบริการจึงหยุดขบขันและหันไปสนใจรายการอาหารบนโต๊ะ คนดีของป้าแก้วไม่ถือสา เขาสั่งอาหารที่ชอบสองสามอย่างและคอยตอบคำถามดื่นดาษของนายพัตเตอร์ราวครึ่งชั่วโมง จากนั้นมนพัทธ์ก็ขออำลาโดยมีนายพัตเตอร์เป็นฝ่ายจูบส่งท้าย มันเป็นจูบที่ไม่รุ่มร้อน ไม่กระหาย คล้ายกับแนบเนื้อให้จบเรื่องจบราวกันไปเพียงเท่านั้น
ไม่เหมือน...
มนพัทธ์ครวญ เขานั่งถูริมฝีปากของตนเองมาตลอดทาง จนกระทั่งถึงวัดที่หมายจะแวะทำสังฆทาน อธิษฐานให้ผีไม่มีญาติ เจ้ากรรมนายเวรและสัมภเวสีเร่ร่อนที่อาจเป็นผู้หญิงชุดขาวคนนั้น จากนั้นเด็กหนุ่มก็มาจอดรถที่ร้านเช่าเสื้อโค้ทซึ่งเป็นธุรกิจที่รัศมีมอบให้ดูแล เด็กหนุ่มมีหน้าที่แสนสำคัญคือการยิ้มทักทายพนักงาน ตรวจสอบบัญชีรับจ่าย และเพิ่มเสื้อคลุมชุดใหม่ให้ทันสมัย
"คุณมนไม่ได้มาที่ร้านนานเลยนะคะ" พนักงานสาวทักทาย
มนพัทธ์จำชื่อเธอไม่ได้ รู้เพียงว่าเธอรักสะอาดและเพิ่งเข้ามาทำงานได้เพียงครึ่งปี
"พอดีผมต้องพักรักษาตัวครับ เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย"
"ไม่ทราบมาก่อนเลยค่ะ หายดีแล้วใช่มั้ยคะ"
"หายดีแล้วครับ"
มนพัทธ์ยิ้มหวานแล้วออกเดินสำรวจทุกซอกทุกมุมของร้านรวง พอเห็นว่าทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเด็กหนุ่มจึงบึ่งรถกลับไปยังคฤหาสน์หลังโต แตงเดินมาส่งข่าวว่า 'คุณณัฐกลับไปแล้ว' คนเป็นน้องจึงหายใจได้ทั่วท้อง เขาโผล่หน้าเข้าไปในครัว ไปขอขนมสูตรของป้าแก้วกับชุดชายามบ่ายอย่างเคย ระหว่างเจรจาสายตาเจ้ากรรมกลับสังเกตเห็นนายคนสวนผิวคล้ำแดดนั่งพิงกำแพงอยู่ลับตา ในมือใหญ่โตคล้ายไม้พายถือจานข้าวเอาไว้หนึ่งใบ
อย่าให้เห็นว่าอยู่ใกล้กันอีก
คำพูดของณัฐนนท์กังวานอยู่ในหัว มนพัทธ์จึงจำใจต้องเดินขึ้นชั้นสองหามุมแอบลอบมองนายเลิศจากที่ไกลๆ
"ไม่ร้อนหรือนั่น"
มนพัทธ์พูดเสียงดัง เขาไม่เห็นนายเลิศจะมีทีท่าว่าจะขยับตัวไปไหน เด็กหนุ่มจึงลุกยืน เขาย้ายตัวเองไปนั่งฝั่งที่จะเห็นว่านายคนสวนเพ่งพินิจสิ่งใด ทว่าแล้วคุณหนูคนเล็กก็ต้องตกใจเพราะสิ่งที่นายคนสวนจับจ้องปรากฏว่าเป็นศาลากลางแจ้งที่พวกเขาปะทะอารมณ์กันเป็นครั้งแรก
"คุณทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย!"
มนพัทธ์ผลักกระจกบานโตออกไปตะเบ็งคอ แต่เลิศที่นั่งปลีกวิเวกอยู่เพียงแค่แหงนขึ้นมองดอกฟ้าเท่านั้น
"รู้จักฮีทสโตรกมั้ย! ฮีทสโตรก นั่งตากแดดแบบนั้นเดี๋ยวก็ได้เป็นลมกันพอดี"
นายคนสวนส่ายหัว เขาคลุกน้ำแกงกับข้าวสวยในจาน ไม่สะทกสะท้านต่อเสียงแผดลั่นจากคนดีของใคร
พวกเขาไม่ควรอยู่ใกล้กัน เลิศรู้ และเขาจะขอเพิ่ม ไม่ควรเสวนา เป็นข้อถัดไป
"พี่เลิศเขาว่าจะย้ายต้นกุหลาบที่ศาลาลงดินค่าคุณมน"
แตงตะโกนแข่ง
"เห็นว่ามันเป็นอะไรน้า...มันเป็นอะไรนะพี่เลิศ" เธอช่วยจ่อโทรโข่งถาม
"มันเฉา"
"อะไรนะ!" มนพัทธ์ไม่ได้ยินเสียง
"มันเฉา!" เลิศตะโกนกลับ
"อ๋อ! ทีหลังก็พูดให้มันชัดๆ ซี่"
เด็กหนุ่มเท้าเอว เขาแกล้งทำปากยื่นปากยาว มันทำให้ชายหนุ่มที่นั่งนิ่งเป็นรูปปั้นกระตุกยิ้มเล็กน้อย ไม่นานเขาก็ค่อยๆ หยัดตัวขึ้น มนพัทธ์เห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งตึงตังลงไปที่ชั้นล่าง ลงไปหานายคนสวนที่ถือจานเปล่ามาล้างที่ห้องครัว
"พี่คุณบอกว่าอะไร"
เลิศย้ำเตือนเจ้านายตัวน้อยทันทีที่พบหน้า มนพัทธ์ยิ้มทะเล้นพร้อมแลบลิ้นปลิ้นตาล้อเลียนณัฐนนท์ผู้เป็นพี่ชาย
"มันไม่อยู่แล้วนี่"
"ไม่อยู่ก็ไม่กลัวว่างั้น"
"แน่สิ"
"เท่านี้หรือ"
มนพัทธ์อึกอัก เขาจ้องตาแตงที่คอยสอดรู้สอดเห็นแล้วสะบัดหน้าไล่ หญิงสาวยิ้มขืน เธอรีบยกแก้วน้ำและจานผลไม้ไปห้องอื่นโดยทันที
"ไม่ ผม...ผมแค่อยากมาขอโทษคุณ"
เลิศเลิกรองจานกับก๊อกน้ำไหลริน
"เรื่อง?"
เขาปิดก๊อกน้ำ เพื่อที่จะได้เงี่ยหูฟังเสียงอู้อี้ของเด็กหนุ่มได้ถนัด
"ที่เขาขู่คุณ"
"ไล่ออกน่ะหรือ ผมชินแล้ว" เลิศพูดต่อ "คุณก็เคยขู่ว่าจะไล่ผมออก"
คนฟังอ้าปากค้าง สมองฉายภาพวันวานย้อนกลับเป็นฉาก
"คุณก็ขู่ผมกลับเหมือนกันนั่นแหละ"
"นั่นเพราะคุณตบผม"
มนพัทธ์เดาะลิ้น นึกไม่พอใจที่นายคนสวนแสนเก่งเรื่องทับถม
"ผมควรกลัวเขา"
"แล้วคุณไม่กลัวผมหรือไง"
เลิศคว่ำจานที่ล้างจนสะอาดบนชั้น แล้วหันมาสบตาคุณหนูคนเล็กที่ตัวสูงเพียงแค่ใบหู
"คุณไม่ใช่คนประเภทที่ผมต้องกลัว"
คิ้วโก่งเลิกสูง เด็กหนุ่มไม่แน่ใจนักว่าคำพูดของเลิศถือเป็นคำชื่นชมหรือไม่
"เรื่อง...กุหลาบที่คุณว่ามันเฉา"
คนสวนหมุนตัวกลับมาฟัง
"ถ้าคุณเอามันไปที่อื่นที่ศาลาก็จะไม่มีดอกไม้เลยซักดอกน่ะสิ"
"ผมจะบอกคุณนายให้เธอสั่งต้นใหม่ แต่คงต้องเปลี่ยนฟาร์ม ต้นที่เคยซื้อมาฟาร์มคงเร่งฮอร์โมน ลำต้นมันเลยเล็กแต่ดอกใหญ่ เลี้ยงเองซักพักดอกมันก็ไม่ออกสวยเหมือนตอนอยู่ฟาร์มแล้ว ผมไม่รู้ว่าคนสวนเก่าเขาเลี้ยงยังไง แต่ขืนปล่อยเอาไว้ก็คงทำให้ศาลาไม่น่าดูเสียเปล่าๆ สู้ย้ายไปปลูกไว้ในที่ลับตาอย่างริมรั้ว หรือหลังห้องบางห้องน่าจะดีกว่า"
มนพัทธ์ร้อง อ้อ แม้จะนึกตกใจที่เลิศพูดยืดยาวกับเขาเป็นครั้งแรก
"แต่ดอกกุหลาบพวกผมเป็นคนซื้อมาเอง ไม่ใช่แม่หรอก หากคุณจะให้ซื้อแถมให้หาร้านใหม่อีกผมคงต้องขอเวลาศึกษาซักพัก ไม่ก็วอล์คอินไปดูต้นจริงวันพรุ่งนี้เลยเป็นไง คุณไปกับผม ถูกใจต้นไหนก็ยกกระถางกลับมาปลูกที่บ้าน"
"พรุ่งนี้หรือ"
เลิศได้ยินคำขู่ของณัฐนนท์เต็มสองรูหู ชายคนนั้นพูดเสียงดังฟังชัดว่าไม่ต้องการให้น้องชายและคนอย่างเขาใกล้ชิดกัน
"ใช่ ทำไม ไม่สะดวกเหรอ"
แต่ถ้าหากการเข้าใกล้ของพวกเขาไม่ใช่เรื่องรักใคร่ เลิศก็หวังเพียงว่าหากณัฐนนท์เกิดรู้เรื่องขึ้นมาคนสวนกระจอกๆ อย่างเขาคงจะหาทางหลุดพ้นความผิดได้
"...เปล่า"
"ดี"
มนพัทธ์ทิ้งท้าย เขาลอบมองใบหน้ากับริมฝีปากนายคนสวนอีกหน
"อะไร?"
เลิศฉงน พวกเขาคุยธุระตามประสานายจ้างลูกจ้างเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว ทว่ามนพัทธ์กลับยังไม่ยอมขยับไปไหน
"เปล่า"
คนดีของป้าแก้วว่า เขาทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็กลืนมันลงคอ จากนั้นก็เดินเอื่อยเฉื่อยหายเข้าวิมานเมฆของตัวเองไป ทิ้งให้ชายหนุ่มตกตะกอนเรื่องอลหม่านที่เกิดขึ้นตลอดวัน เขาไม่ได้รักมนพัทธ์ แต่หลายครั้งที่ต้องอยู่ใกล้ชิดกันเลิศคล้ายต้องมนตร์บางอย่าง มันสะกดให้ตกอยู่ในภวังค์ของเด็กหนุ่มผู้มีผิวขาวซีด หน้าตาจิ้มลิ้มและเครื่องหน้าเล็กไปเสียทุกอย่าง ยกเว้นดวงตา มันกลมโตและสะท้อนแต่ภาพของเขาทุกครั้งที่สบ เลิศไม่รู้ความหมายจนกระทั่งลองคิดเข้าข้างตนเองว่าอาจจะเป็นความรัก ตามประสาชายหนุ่มอายุย่างเข้าสามสิบสองปี ทว่าปฏิกิริยาที่เด็กหนุ่มตอบกลับกลายเป็นการปฏิเสธเสียงแข็ง
มนพัทธ์ไม่ได้รักเลิศ
เช่นเดียวกับที่เลิศไม่ได้รักมนพัทธ์
เช้าวันต่อมาเลิศเดินอาดมาหามนพัทธ์ตามนัดหมาย แต่คุณหนูตัวร้ายกลับสำรวจเสื้อผ้าหน้าผมของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มสวมเครื่องแบบของคนสวนเด็กหนุ่มก็แสดงความเห็นทันที
"ทำไมใส่ชุดนี้"
เลิศก้มมองเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแลคของตนเอง มันเป็นชุดยูนิฟอร์มที่รัศมีกำหนดว่าคนงานในบ้านจะต้องสวมใส่ทุกวัน
"เราไปข้างนอกกันนะ"
"คุณไม่ชอบใจเพียงเพราะผมใส่ชุดเครื่องแบบหรือ"
มนพัทธ์พยักหน้า
"แหงสิ ผมต้องโดนมองแปลกๆ แน่ ไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้เลย"
"แปลกๆ ยังไง"
"เขาก็ต้องมองว่าผมเอาคนใช้มาช่วยขนน่ะสิ"
"แต่ผมก็เป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ นี่"
มนพัทธ์ทำปากยื่น เขาสูดลมหายใจจนอกพองด้วยความไม่พอใจ
"ไม่รู้ล่ะ คุณต้องไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้เลย"
เลิศชั่งใจ เขาเกรงว่าในตู้เสื้อผ้าหลังน้อยจะไม่มีเสื้อผ้าที่มนพัทธ์ชอบพอ
"คุณจะให้ผมเปลี่ยนเป็นชุดไหน"
"แคชชวลสิ ผมหมายถึง...ลำลอง"
ชายหนุ่มถอนใจ เขาหมุนตัวกลับ มุ่งหน้าไปยังห้องนอนและเปลี่ยนไปใส่เสื้อยืดแขนสั้นสีดำกับยีนเก่าแบรนด์ดังที่เป็นของตกทอดจากพ่อ
"แบบนี้ได้มั้ย"
มนพัทธ์ละสายตาจากทีวีจอแบนแล้วหันมาตรวจสอบชุดลำลองที่ชายหนุ่มผลัดเปลี่ยนเพื่อเอาใจตนเอง
"ดูดีนี่ ดูมีชีวิตชีวาขึ้นเยอะเลย"
เลิศไม่เก็บคำชมนั้นมาใส่ใจ สำหรับพ่อหม้ายที่เมียเพิ่งตายอย่างเขาการมีชีวิตชีวาที่มนพัทธ์ว่าคือเครื่องหมายที่แสดงถึงความไร้หัวใจ
ระหว่างทางไปซื้อต้นกุหลาบมนพัทธ์ทำหน้าที่เป็นคนขับรถ โดยอ้างว่าตนเองจะปวดหัวกับคนต่างจังหวัดซึ่งไม่รู้ทางอย่างเลิศ ชายหนุ่มจึงปรับเอนเบาะที่นั่งข้างคนขับจนเกือบถึงพื้น และขอนอนพักเอาแรงจนกว่ามนพัทธ์จะถึงที่หมาย
ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงเลิศก็ถูกปลุกให้ตื่น เขางัวเงียเมาขี้ตาอยู่ชั่วครู่ก่อนจะก้าวออกจากรถมายืดเส้นยืดสาย เด็กหนุ่มพูดกับเขาว่า 'เลือกที่ชอบได้เลยนะ อีกสิบนาทีเจอกัน' และทิ้งให้เขายืนงงอยู่กลางหมู่ดอกไม้ที่ความสูงรวมกระถางเกือบร้อยหกสิบเซนติเมตร ครั้นจะเรียกผู้เป็นนายมาแถลงไขผู้เป็นนายก็เดินหายเข้าไปในเรือนเพาะชำหลังงาม
พอครบกำหนดมนพัทธ์ก็เดินมาหา เขามาพร้อมกับรถเข็นที่บรรทุกกระถางกุหลาบดอกสีม่วงต้นใหญ่สามกระถาง ส่วนเลิศหอบหิ้วเอาแต่ต้นกุหลาบขนาดเล็กสองกระถางมาเต็มสองมือ
"สีขาวเหรอ อืม... ก็ดูเข้ากับสีเหล็กดัดของศาลาดีนะ"
จากนั้นคุณหนูคนเล็กก็สั่งพนักงานของฟาร์มให้ช่วยขนกุหลาบพันธุ์เดียวกับที่เลิศคัดสรรนับสิบกระถางมาบรรทุกใส่ท้ายรถฟอร์จูนเนอร์
"จะใส่หมดหรือ"
เลิศกังขา เขาไม่คิดว่าจะเหลือที่ว่างมากพอ
"เราก็พับเบาะด้านหลังลงสิ แล้วก็เนี่ย ข้างหลังคนขับก็ยังว่าง ยัดๆ เข้าไปหน่อยก็ใส่ได้หมดแล้ว"
มนพัทธ์สาธิตให้เลิศดู เขาดันเบาะสำหรับหกที่นั่งด้านหลังลงกับพื้น จากนั้นก็ชี้นิ้วสั่งให้พนักงานที่ยืนมองกันหน้าสลอนขนกุหลาบทุกกระถางใส่ท้ายรถ
"เรียบร้อย" เด็กหนุ่มปัดมือที่เปื้อนดิน
เขาปิดประตูท้าย ก่อนเดินจ้ำๆ กลับไปสตาร์ทเครื่องยนต์ที่มีผู้โดยสารกำลังคาดเข็มคัดนิรภัย
"คุณหิวมั้ย" มนพัทธ์ถาม
"ไม่ค่อย"
"แต่ผมหิว"
เลิศร้อง อ้าว เขาโดนมนพัทธ์หยอกล้ออย่างไม่ทันตั้งตัว ส่วนต้นเรื่องก็เอาแต่หัวเราะคิกคักและพาผู้โดยสารไปที่ร้านอาหารติดแม่น้ำ ร้านโปรดเจ้าประจำของครอบครัว
พวกเขาทานอาหารจนท้องแน่น แน่นขนาดที่รับของหวานจากโต๊ะข้างๆ ที่ยื่นให้เนื่องในโอกาสฉลองวันเกิดอีกไม่ไหว ท้ายที่สุดทั้งคู่จึงตัดสินใจจ่ายเงินค่าอาหารและเดินอืดอาดออกมาจากร้าน
"วันเกิดเหรอ...ฉลองแบบนี้ก็ดีเหมือนกันแฮะ ทุกทีเคยจัดแต่ในบาร์ แต่ปิดร้านอาหารบรรยากาศดีๆ เลี้ยงแบบนี้ก็ไม่เลว"
เลิศปิดปากเงียบ หากเป็นเรื่องละลายเงินตราเขาจะกลายเป็นผู้ฟังที่ดีขึ้นมากะทันหัน
"คุณอายุเท่าไหร่นะ"
"สามสิบสอง"
เลิศตอบพร้อมเอนหัวพิงกับกระจกรถ
"ห่างกับผมเกือบสิบปีแน่ะ งั้นตอนคุณ 9 ขวบผมก็เพิ่งเกิดน่ะสิ หวา รู้สึกแปลกๆ แฮะ"
แปลกตรงไหนเนี่ย
เลิศเถียงในใจ
เขาไม่อยากคุยเรื่องความหลัง เรื่องอายุ โดยเฉพาะคำถามประเภทแต่งงานเมื่อไหร่ เจอกับภรรยาตอนไหนเขายิ่งไม่อยากได้ยิน
"คุณเกิดเมื่อไหร่"
"ปีขาล"
"ไม่ใช่สิ ผมหมายถึงวันเกิด ผมเคยอ่านประวัติคุณก็จริงอยู่นะแต่ว่าจำไม่ได้แล้วล่ะ"
เลิศเอนหัวกลับมาจ้องคนดีของป้าแก้ว
"ถามทำไม"
"ผมแค่อยากรู้ว่าห่างกับพี่ณัฐกี่เดือน ห่างพอจะให้เรียกพี่ได้รึเปล่า คุณรู้มั้ยตอนที่คุณหมีบอกว่าให้พี่ณัฐเรียกคุณว่าพี่มันโกรธพอๆ กับผมเลยนะ"
มนพัทธ์พูดไปหัวเราะไป แต่เลิศกลับไม่นึกขบขันด้วย
"ผมเกิดวันนี้"
ต่อมเอิ๊กอ๊ากของเด็กหนุ่มฟีบลงกะทันหัน เขางึมงำผ่านลำคอว่า จริงหรือ และพารถฟอร์จูนเนอร์ที่บรรทุกกุหลาบจนเต็มท้ายเลี้ยวจอดหน้าคาเฟ่ขนาดกะทัดรัด
มนพัทธ์ผลักประตูคนขับ เขากระโดดลงจากรถและวิ่งหน้าตั้งเข้าไปซื้อเค้กสตอเบอรี่สองชิ้นจากพนักงานสาว แล้วกุลีกุจอปีนกลับขึ้นรถพร้อมลมหายใจหอบ
เลิศไม่ทันสังเกตเห็นชนิดขนมในถุงกระดาษ เขาคิดเพียงว่าเด็กหนุ่มคงจะซื้อแต่ขนมปังเคลือบน้ำตาลไปฝากคนที่บ้านอย่างเคย แต่แล้วเลิศก็รู้ว่าตนเองคิดผิด เมื่อชายหนุ่มถูกปลุกให้ลุกขึ้นมาเป่าเทียนขณะรถกำลังจอดอยู่ริมสะพานที่มีไฟประดับระยิบระยับสุดลูกหูลูกตา
"แฮปปี้เบิร์ธเดย์"
มนพัทธ์ฉีกยิ้ม เขาพูดเสียงสั่นโดยที่ใบหน้ากำลังสะท้อนแสงสีส้มจากเทียนไข
"อะไรเล่า รีบเป่าเทียนสิ บนสะพานลมแรงจะตายเดี๋ยวไฟก็ได้ดับพอดีหรอก"
"คุณ..."
เลิศสอดส่ายสายตาไปทั่วบริเวณพร้อมปลดเข็มขัดนิรภัยออกเพื่อหยัดตัวขึ้นนั่ง
"ที่นี่ที่ไหน" เลิศถาม
"ไม่สำคัญ ผมไม่เอาคุณโยนทิ้งลงแม่น้ำหรอก อึ๋ย หนาว"
ขาเรียวเขย่งเป็นจังหวะ เขาแทบจะเปลี่ยนเป็นท่ากระโดดเหยงๆ หากขณะนี้ไม่ได้ถือเค้กกับเทียนอยู่
"อธิษฐานสิ"
มนพัทธ์ขยับประตูฝั่งข้างคนขับให้เข้ามาใกล้ ใจหวังจะใช้แผ่นเหล็กหนาเป็นที่กำบังลม
"คุณนี่มัน...จริงๆ เล้ย"
เลิศหมุนตัวออกจากรถ สองมือยกมือขึ้นพนมพร้อมเปลือกตาปิดสนิทแน่น
ขอให้มีความสุข
ขอให้สุขภาพแข็งแรง
ขอให้...
ชายหนุ่มเปิดเปลือกตา เตรียมสะสมลมหายใจให้เต็มปอด
ไม่กลัวที่จะมีรักอีกสักหน
"ฟู่ว"
เลิศพ่นลมหายใจทำให้ไฟดวงน้อยบนเทียนไขดับลง
"เย่ๆๆ" มนพัทธ์กระโดดโลดเต้น
"เป็นเด็กหรือไง"
"ผมเด็กกว่าคุณก็แล้วกัน"
เลิศใช้ฝ่ามือกุมไว้ที่หัวใจ ปีนี้เขาอายุเข้า 33 ปี นับว่าเป็น คนแก่ ตามฉบับมนพัทธ์
"นึกยังไงซื้อเค้กให้"
"ผมคิดว่าวันนี้คุณคงไม่มีโอกาสได้ออกไปซื้อเค้กแล้ว อีกอย่างกลับไปก็คงจะนอนเอาแรงเตรียมลงต้นไม้พรุ่งนี้เช้าเลยใช่มั้ยล่ะ ฟังดูน่าเศร้าออก วันเกิดทั้งทีเราต้องได้สนุกสิ"
"คนจนไม่มีเงินพอให้เล่นสนุกหรอก เรามีแต่งานครับคุณหนู"
เลิศเน้นคำท้าย มันทำให้มนพัทธ์เดือดดาลเฉกเช่นทุกที
"ออกมาข้างนอกทั้งทีก็เลิกยัดเยียดให้เป็นได้มั้ยไอ้คุณนงคุณหนูอะไรเนี่ย"
"ยัดเยียดที่ไหน คุณก็เป็นอย่างที่ผมว่าจริงๆ นี่"
"พี่เลิศ" มนพัทธ์งัดไม้ตาย
เขาเงยหน้าขึ้นสบดวงตาดุดันพร้อมเรียกคนโตกว่าด้วยเสียงหวาน ทำเอาหัวใจที่แข็งกระด้างของเลิศอ่อนยวบ
"กับมน" มนพัทธ์เว้นช่วง "เราเป็นแค่นี้เวลาอยู่ข้างนอกด้วยกันได้มั้ย"
ฝ่ามือร้อนเลื่อนขึ้นมาเกาะกุมนิ้วสากจากจอบเสียม จากนั้นก็ลูบไล้ราวกับเนื้อตายของคนสวนนั้นน่ารักใคร่ ด้านจมูกงุ้มแสนซุกซนเองก็ไม่อยู่เฉย มันเคลื่อนเข้ามาคลอเคลียพวงแก้มคล้ำแดด โดยไม่สนว่าริมฝีปากเข้มจะถือวิสาสะลากผ่านหรือไม่
"ไม่ได้เกิดรักพี่เพราะแค่จูบเดียวนั่นหรอกใช่มั้ย"
มนพัทธ์ส่ายหน้า ยิ่งเลิศใจอ่อนกับเขามากเท่าไหร่ ร่างกายขาวซีดก็ยิ่งเบียดเสียดเข้าไปหาไออุ่นมากขึ้นเท่านั้น
"บอกว่าไม่ได้รักไง"
เด็กหนุ่มกล่าวเลื่อนลอย ขณะจมูกโด่งของคนเป็นพี่แอบสูดดมข้างสันกราม
"แล้วยั่วทำไม"
คนฟังไม่ตอบ แต่ยกฝ่ามือที่เกาะกุมอยู่มารัดไว้ที่เอวคอดของตนเอง
"อยากให้เอาไม่ได้อยากให้รัก"
สิ้นคำนั้นริมฝีปากที่มนพัทธ์ถวิลหาก็เคลื่อนมาปิดฝีปากกล้า พร้อมพละกำลังมหาศาลจากท่อนแขนแกร่งที่ยกสะโพกแบนขึ้นไปนั่งทับไว้ที่หน้าตักของตนเอง
Comments (0)