คฤหาสน์ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่บนที่ดินเปล่าเนื้อที่ขนาดสี่ไร่มีสถานที่หนึ่งที่มนพัทธ์ไม่เคยย่างกรายเข้าไปมาก่อน และเด็กหนุ่มเรียกมันว่า ห้องนอนของลูกจ้าง เพราะเด็กหนุ่มไม่รู้จักคำสุภาพอื่นที่หมายรวมถึงห้องพักส่วนตัวสำหรับคนงานทั้งชายและหญิง

โดยปกติแล้วห้องนอนจะถูกจัดสรรให้กับลูกจ้างสองคนต่อหนึ่งห้อง ปราศจากเครื่องปรับอากาศแต่มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้ นอกนั้นมนพัทธ์จำรายละเอียดไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่นัก แต่ข้อมูลเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะแสร้งทำเป็นเรียกใช้นายเลิศเพื่อที่เขาจะได้ขอโทษคนสวนคนใหม่ต่อหน้าให้จบสิ้นคดีความกันไป

"จะเป็นอะไรมั้ยถ้าผมเดินไป เอ่อ...ทางนั้น"

เด็กหนุ่มยกมือหนึ่งขึ้นขยี้จมูกส่วนอีกมือชี้ไปที่ทางเดินคับแคบขนาดสองคนเดิน

"ทางห้องพักพวกเราหรือคะ"

แตงร้องเสียงหลง

"คือผมมีเรื่องต้องคุยกับเขา"

สาวใช้ทั้งสองหันมองหน้ากัน แม้พวกเธอจะไม่มีเรื่องให้ต้องปิดบังแต่การที่คุณหนูคนเล็กที่ไม่เคยสนใจใยดีความเป็นอยู่ของใครกลับยืนยันว่าจะเข้าไปในส่วนที่เหมือนรังหนูของบ้านหลังนี้ให้ได้ นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกอยู่พอสมควร

"ดะ...ได้สิคะ ที่นี่เป็นบ้านของคุณมนนี่คะ"

แตงยังคงพูดต่อ

"ห้อง 106 ค่ะ"

มนพัทธ์พยักหน้ารับ เขาสาวเท้ายาวก้าวฉับๆ ไปยังหน้าห้องดังกล่าวพร้อมออกแรงเคาะประตูอยู่สองสามที จากนั้นไม่นานหน้าต่างบานเกล็ดที่ติดอยู่กับกำแพงก็ส่งเสียงดังครืดคราดเพราะมีใครกำลังหมุนกลไกให้มันเปิดออก

"ใคร"

เสียงแหบพร่าเอ่ยถามผ่านช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าอย่างไม่สบอารมณ์ ดูท่าว่ามนพัทธ์คงจะไปรบกวนการพักผ่อนของเจ้าของห้องเข้า

"มน" เจ้าของชื่อเอ่ยซ้ำ "มนพัทธ์"

หลังจากขานชื่อเสียงเรียงนามของตนผ้าม่านสีเขียวซีดก็ถูกแง้มออกพร้อมกับดวงตากลมโตของเจ้าของห้องหมายเลขหนึ่งศูนย์หก มนพัทธ์จำดวงตาคู่นี้ได้ขึ้นใจแม้จะสบไปเพียงไม่กี่ครั้ง เพราะมันเคยฉายแววโกรธเกรี้ยวและเวทนาเขาในคราวเดียวกัน

"ซักครู่"

คนสวนคนใหม่เอ่ยพร้อมปลดโซ่ที่คล้องกับประตูออก ไม่นานนักบานประตูก็ถูกผลักพร้อมกับชายรูปร่างสูงใหญ่ ผมเพ้ารุงรังยืนจ้องเขาเขม็งอยู่ด้านหลัง

"คุณต้องการอะไร" เลิศถามแกมหาเรื่อง

คนถูกถามคล้ายกับลิ้นจุกอยู่ในปาก เขาอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่เป็นนาทีเพราะกลัวว่าสาวใช้จะได้ยินความลับของตนเองเข้า

"อะไรล่ะ" เลิศรบเร้า

"ขะ...เข้าไปคุยกันด้านในได้มั้ย"

"หา"

เสียงอันดังลั่นเรียกความสนใจจากทั้งป้าแก้วและแตงได้ในทันที

"ชู่ว... เบาๆ สิ"

มนพัทธ์หันไปยิ้มแหยให้กับสาวใช้ทั้งสองเป็นสัญญาณว่าสถานการณ์เป็นปกติดี เลิศชะโงกหน้ามองตามผู้เป็นนาย เมื่อเห็นว่าสองสาวที่เตรียมจะเข้ามาจุ้นทำงานที่คั่งค้างต่อก็สะบัดหน้ากลับไปต่อความ

"ก็คุณพูดจาไม่รู้เรื่อง"

"ผมแค่อยากจะขอโทษคุณ"

"งั้นก็พูดตรงนี้"

"ไม่ได้" มนพัทธ์คัดค้าน

"งั้นก็เข้าไปไม่ได้เหมือนกัน"

คิ้วโก่งเลิกขึ้นสูง นึกไม่ชอบมาพากลในน้ำเสียงของคนสวนคนใหม่ขึ้นมาจับใจ

"แอบเสพยารึไง"

"สิ้นคิด"

"หา"

กลายเป็นมนพัทธ์เสียเองที่ร้องเสียงหลง มีคนหลายคนบนโลกใบนี้ที่กล้าต่อปากต่อคำกับ คุณมนพัทธ์ แต่คนหลายคนเหล่านั้นไม่ใช่ลูกจ้างของบ้านอย่างนายเลิศ

"ถ้าเสพจริงคนพวกนั้นก็ต้องรู้"

เลิศทำปากบุ้ยใบ้ไปที่โต๊ะสำหรับทานอาหารที่ตั้งไกลออกไปหลายเมตร

"แล้วทำไมถึงเข้าไปไม่ได้"

"เพราะมันเป็นห้องของผม"

"แต่ผมเป็นเจ้านาย"

"มันก็ยังเป็นห้องของผมอยู่ดี"

มนพัทธ์อ้าปากค้าง ที่เลิศพูดมานั้นล้วนเป็นเหตุเป็นผล

"งั้นผมก็จะพูดมันเสียตรงนี้" เลิศพยักหน้ารับ "เรื่องผีผู้หญิงที่ผมพูดถึงคราวนั้น"

กลายเป็นเลิศเสียเองที่ตาเบิกโพลง ขายาวเซถอยหลังไปเล็กน้อยก่อนจะออกแรงฉุดกระชากแขนของคนตัวเล็กที่กำลังเจื้อยแจ้วอยู่เข้าไปในห้อง

"โอ๊ย! เจ็บนะ" มนพัทธ์โอดโอย

มือคู่ใหญ่ที่กำลังกำรอบแขนออกแรงบีบมากขึ้น หากจู่ๆ มีเขี้ยวยาวงอกออกมาจากใบหน้าคมคายเด็กหนุ่มก็จะไม่แปลกใจ

"เลิกพูดเรื่องเธอ"

คุณหนูคนเล็กกลืนน้ำลาย อสูรกายตัวร้ายแทบจะหักแขนเขาเป็นสองท่อน

"ผมแค่อยากจะมาขอโทษ ผมเพิ่งจะได้รู้เรื่องภรรยาของคุณ"

ได้ฟังดังนั้นเลิศก็ค่อยๆ คลายพัทธะนาการ

"ผมไม่สมควรพูดแบบนั้น เธออาจจะเป็นภรรยาของคุณ และคุณอาจจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้วเลย..."

เลิศรีบแทรก "ผมไม่รู้" และยังคงพูดต่อ "ผมไม่เคยเห็นเธอ"

มนพัทธ์ขมวดคิ้ว หากเลิศไม่รู้จริงอย่างที่ปากว่าทำไมชายหนุ่มคนนี้ถึงได้ปองร้ายกระถางต้นไม้ของเขา

"แล้วทำไมคุณถึงอยากเอาพลั่วนั่นฟาดกระถางของผมนัก หากคุณไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเป็นเธอ"

มือหนาปล่อยต้นแขนผอมบางให้ตกตามแรงโน้มถ่วง เลิศเริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังก่อเรื่องมากเกินกว่าเหตุ

"เพราะผมอยากให้เป็นเธอ"

ดวงตาคมที่เคยคล้ายกับสัตว์ดุร้ายเปลี่ยนเป็นฉายแววเศร้าหมองขึ้นมากะทันหัน ฉับพลันก็กลับไปทำตาขวางเฉกเช่นเดิมจนลูกหนูตัวน้อยคล้อยตามไม่ทัน

"เท่านี้ใช่มั้ย" เลิศตัดบท

"อะ...อืม"

เจ้าของห้องพยักหน้ารับและรีบดันตัวของมนพัทธ์ให้กลับไปยืนอยู่ที่บริเวณทางเดิน

"เชิญ"

เสียงประตูบานใหญ่ปิดลงดังสนั่นเป็นสัญญาณไล่แขกที่ไม่พึงประสงค์ เด็กหนุ่มที่เพิ่งเคยถูกปฏิบัติตัวหยาบคายใส่ตะเบ็งเสียงใส่อีกรอบ

"นี่! ตกลงยกโทษให้ผมมั้ย"

ไม่มีเสียงตอบรับจากชายหนุ่มที่มนพัทธ์เรียก เขาจดๆ จ้องๆ อยู่หน้าห้องของนายเลิศอยู่นานสองนาน แต่สุดท้ายคนสวนคนใหม่ก็ไม่เอ่ยคำใดออกมาอีก เด็กหนุ่มจึงถอดใจและตั้งท่าเดินกลับไปยังห้องนอนของตัวเองหากไม่ประจวบเหมาะกับ หมาย คนขับรถที่วิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา พร้อมเนื้อตัวที่โชกด้วยเหงื่อ

"คุณมนครับ คุณมน"

ชายวัยกลางคนหยุดย่อตัวลงหอบหายใจ

"คุณณัฐมาหาครับ" หมายพยายามพูดต่อ

"คุณกวางเธอก็มาด้วย"

คนฟังตาเป็นประกาย นึกไม่ถึงว่าพี่ชายและหลานสาวจะแวะมาเยี่ยมเยียน

"จริงเหรอ อยู่ที่ไหน"

"ที่ศาลาครับ คุณกวางเธออยากได้ดอกเข็ม"

สิ้นประโยคนั้นบานประตูที่เคยปิดสนิทก็ถูกกระชากออกพร้อมคนสวนคนใหม่ที่เงียบหายไปชะโงกหน้าออกมาฟัง

"ดอกเข็มเหรอ"

"ไอ้เลิศอยู่แบบนี้ก็ดี ไปช่วยตัดให้เธอซักดอกที เธอจะเอาไปไหว้ครู"

คนสวนคนใหม่ถอนหายใจ ดอกเข็มที่มีอยู่ตอนนี้เสียหายหนักจากการโดนเพลี้ยแป้งเล่นงานจนใบแห้งกรอบ ร่วงแทบหมดต้น ดอกที่มีก็รูปร่างเสียงทรง ดูแทบไม่ออกว่าเป็นพุ่มดอกเข็ม

"ไม่มีดอกให้เก็บหรอก มันแห้งเกือบหมดแล้ว ผมเพิ่งเด็ดใบใส่ปุ๋ยให้ใหม่ ต้องรอให้ต้นฟื้นซักหน่อยถึงจะมาเก็บได้"

"วันไหว้ครูนี่วันไหนเหรอ" มนพัทธ์ถาม

"วันพรุ่งนี้ครับ" หมายตอบ

"แล้วกัน"

มนพัทธ์นึกสงสารหลานสาวตัวน้อย บ้านที่พี่ชายเขาเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่ใหม่มีเนื้อที่ไม่มาก บวกกับ พี่ณัฐ ชื่นชอบไม้พุ่มชนิดอื่น ต้นเข็มจึงไม่ถูกปลูกในรั้วบ้านของเด็กหญิงวัยประถม

"สมัยนี้มีให้ซื้อใช่มั้ยนะ" เด็กหนุ่มพูดกับตัวเองออกมาเป็นเสียง

"ไม่มีหรอก" เลิศชิงดับฝัน "ปลูกดาวเรืองยังจะได้ราคาดีเสียกว่า"

มนพัทธ์จิ๊จ๊ะในลำคอ นายเลิศคนนี้ขัดแข้งขัดขาเขาเก่งกว่าใคร

"เราไม่มีต้นเข็มต้นอื่นแล้วจริงๆ เหรอ ต้นที่ดอกยังสวย ดอกเล็กๆ ก็ได้ ยัยกวางไม่เรื่องมากหรอก"

เลิศปรายตามองเจ้านายคนเล็กที่ดูร้อนรนยิ่งกว่าตอนที่เห็นว่าเขาตีกระถางแตก

"หืม?" มนพัทธ์เลิกคิ้วสูงเมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกจ้อง

"คุณกวาง...เธอเรียนอยู่ชั้นไหน" เลิศถาม

"ปอสามหรือปอสี่นี่ล่ะ จำไม่ค่อยได้แล้ว คุณถามทำไม"

เลิศเคยเป็นเด็กประถมที่มีหัวใจอันเปราะบาง หนึ่งในความทรงจำที่ยังฝังแน่นในช่วงวัยนั้นล้วนเป็นความทรงจำที่เขาไม่สามารถมีอะไรบางอย่างเหมือนที่เพื่อนมีได้ มันเป็นความทรงจำที่เจ็บปวด แม้แต่ดอกเข็มในวันนี้ วันหนึ่งมันก็คงจะกลายเป็นความทรงจำที่เจ็บปวดของเด็กหญิงที่ชื่อกวาง

"เอาหนังยางมัดรวมพวกดอกเล็กดอกน้อยก็คงพอจะใช้ได้ใช่มั้ย"

"ได้ๆ เอ็งไปตัดมาเลย ข้าจะไปทำกรวย"

หมายขันอาสา พูดเร็วรวดและวิ่งแน่วไปทางต้นกล้วยที่อยู่ด้านหลัง

"ตกลงเรามีดอกเข็มแล้วเหรอ" มนพัทธ์ถามอย่างสงสัย

"มี"

"ดี งั้นผมจะไปบอกหลาน"

เลิศพยักหน้ารับอย่างเคย เด็กหนุ่มคล้ายกับชินชากับความไร้มารยาทของพ่อคนสวนคนใหม่จนไม่ถือโทษโกรธเคือง เขากึ่งเดินเดินกึ่งวิ่งกลับไปที่ศาลากลางแจ้ง หอมแก้มหลานสาวซ้ายทีขวาที ฟังเธอร้องเพลงที่เพิ่งจำมาจากการ์ตูนเรื่องโปรดอยู่นาน จนนายเลิศเดินเข้ามาหาเพื่อมอบกรวยใบตองที่มีดอกไม้มงคลตามตำราให้กับหลานสาวสุดที่รักของเขา

"ขอบคุณคุณลุงเขาสิกวาง"

ณัฐผู้เป็นพ่อจับมือลูกสาวของตนขึ้นประนม

"ขอบคุณค่ะ"

เด็กหญิงก้มหัวไหว้พร้อมถอนสายบัวเงอะงะให้อย่างน่าเอ็นดู คนเป็นอาหันกลับไปมองชายหนุ่มที่ตอนนี้มีศักดิ์เป็น คุณลุง กำมะลอที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างสนอกสนใจ

เพราะนายเลิศคนนั้นกำลังยิ้ม

เป็นรอยยิ้มสุดแสนธรรมดาที่มนพัทธ์ไม่นึกมาก่อนว่าคนสวนคนใหม่นี้จะทำได้

"ไม่เป็นไรครับ คุณกวาง"

เลิศนึกขันที่ต้องเรียกคุณแม้แต่กระทั่งเด็กตัวเล็กๆ โลกใบใหม่ที่เขาเลือกมาใช้ชีวิตหลังกำแพงราคาแพงนั้นแสนประหลาดเกินกว่าที่ฉายจะนึกฝัน

"ยิ้มเป็นด้วย"

มนพัทธ์พูดล้อเลียนหลังจากที่แน่ใจแล้วว่าพี่ชายและหลานสาวของเขาเดินพ้นไปจากบริเวณ

"ผมไม่นึกว่าคุณยิ้มเป็น"

"ผมเลือกคนที่ต้องยิ้มให้"

"อ่อ ไม่ใช่ผม"

ทั้งคู่แยกเขี้ยวยิงฟันใส่กันอยู่เกือบนาที ทั้งๆ ที่อายุอานามก็ห่างกันเกือบรอบแต่เลิศก็ไม่เคยยอมอ่อนข้อให้กับเจ้านายคนเล็กเลยสักครั้ง

"ตกลงคุณหายโกรธผมหรือยัง"

เลิศสะบัดหน้าหนีทันทีที่มนพัทธ์ชิงพูดเรื่องนี้ขึ้น

"ผมไม่มีสิทธิ์ไปโกรธอะไรคุณด้วยซ้ำ"

"มีสิทธิ์โกรธสิ และคุณก็โกรธอยู่"

"ผมไม่ได้โกรธเคืองอะไรคุณแล้ว"

มนพัทธ์ร้อง อ้าว ออกมาเสียงดัง หากนายเลิศไม่ได้โกรธแล้วทำไมถึงไม่ยอมคุยกับเขา ครั้นจะอ้าปากถามว่าทำไมถึงไม่ยอมพูดคุยกันบริเวณด้านหลังที่มีต้นพุทรักษาสูงเกือบเท่าคนก็ปรากฎกลุ่มก้อนสีขาวขึ้น แต่มันเลืองรางเสียจนเด็กหนุ่มมองไม่ออกว่ามันเป็นแค่แสงสะท้อนหรือเศษเสี้ยวหนึ่งของสิ่งลี้ลับ เด็กหนุ่มรีบทรุดตัวลงนั่งยองกับพื้น เขากลัวว่าภาพตรงหน้าจะแปรเปลี่ยนไปเป็นผู้หญิงคนเดิมจึงเอาแต่จ้องใบหญ้าที่ปุูอยู่บนผิวดิน

"คุณ!"

เลิศก้มตัวลงตาม ใจเขาหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเพราะนึกว่าเด็กหนุ่มคนที่เคยยืนอยู่ข้างๆ เกิดเป็นลมเป็นแล้ง

"คุณ ไหวมั้ยเนี่ย"

เลิศเตรียมจะช้อนร่างอรชรขึ้นพาดบ่าอยู่รอมร่อแต่ก็ถูกมือเล็กจับต้นแขนเอาไว้แน่น

"ผะ...ผมเห็น"

หนังหัวเลิศชายิบ เขาแทบไม่อยากได้ยินประโยคหลัง

"ผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว"

เลิศไม่มีทางรู้เลยว่าผู้หญิงคนที่มนพัทธ์เห็นกับ ฉาย ที่เขารู้จักใช่คนเดียวกันหรือไม่ หากเขาไม่เปิดรูปถ่ายของภรรยาคนสวยที่เก็บไว้อย่างดีในกระเป๋าสตางค์ให้มนพัทธ์ดู เมื่อคิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็รวบรวมแรงทั้งหมดล้วงหยิบประเป๋าใบจิ๋วที่น้ำหนักน้อยกว่าถุงปุ๋ยแต่สามารถทำให้มือของเขาสั่นได้ออกมากาง

"ที่คุณเห็น ใช่ผู้หญิงคนนี้มั้ย"