4 ตอน รัญจวน
โดย dnim
คฤหาสน์ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่บนที่ดินเปล่าเนื้อที่ขนาดสี่ไร่มีสถานที่หนึ่งที่มนพัทธ์ไม่เคยย่างกรายเข้าไปมาก่อน และเด็กหนุ่มเรียกมันว่า ห้องนอนของลูกจ้าง เพราะเด็กหนุ่มไม่รู้จักคำสุภาพอื่นที่หมายรวมถึงห้องพักส่วนตัวสำหรับคนงานทั้งชายและหญิง
โดยปกติแล้วห้องนอนจะถูกจัดสรรให้กับลูกจ้างสองคนต่อหนึ่งห้อง ปราศจากเครื่องปรับอากาศแต่มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้ นอกนั้นมนพัทธ์จำรายละเอียดไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่นัก แต่ข้อมูลเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะแสร้งทำเป็นเรียกใช้นายเลิศเพื่อที่เขาจะได้ขอโทษคนสวนคนใหม่ต่อหน้าให้จบสิ้นคดีความกันไป
"จะเป็นอะไรมั้ยถ้าผมเดินไป เอ่อ...ทางนั้น"
เด็กหนุ่มยกมือหนึ่งขึ้นขยี้จมูกส่วนอีกมือชี้ไปที่ทางเดินคับแคบขนาดสองคนเดิน
"ทางห้องพักพวกเราหรือคะ"
แตงร้องเสียงหลง
"คือผมมีเรื่องต้องคุยกับเขา"
สาวใช้ทั้งสองหันมองหน้ากัน แม้พวกเธอจะไม่มีเรื่องให้ต้องปิดบังแต่การที่คุณหนูคนเล็กที่ไม่เคยสนใจใยดีความเป็นอยู่ของใครกลับยืนยันว่าจะเข้าไปในส่วนที่เหมือนรังหนูของบ้านหลังนี้ให้ได้ นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกอยู่พอสมควร
"ดะ...ได้สิคะ ที่นี่เป็นบ้านของคุณมนนี่คะ"
แตงยังคงพูดต่อ
"ห้อง 106 ค่ะ"
มนพัทธ์พยักหน้ารับ เขาสาวเท้ายาวก้าวฉับๆ ไปยังหน้าห้องดังกล่าวพร้อมออกแรงเคาะประตูอยู่สองสามที จากนั้นไม่นานหน้าต่างบานเกล็ดที่ติดอยู่กับกำแพงก็ส่งเสียงดังครืดคราดเพราะมีใครกำลังหมุนกลไกให้มันเปิดออก
"ใคร"
เสียงแหบพร่าเอ่ยถามผ่านช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าอย่างไม่สบอารมณ์ ดูท่าว่ามนพัทธ์คงจะไปรบกวนการพักผ่อนของเจ้าของห้องเข้า
"มน" เจ้าของชื่อเอ่ยซ้ำ "มนพัทธ์"
หลังจากขานชื่อเสียงเรียงนามของตนผ้าม่านสีเขียวซีดก็ถูกแง้มออกพร้อมกับดวงตากลมโตของเจ้าของห้องหมายเลขหนึ่งศูนย์หก มนพัทธ์จำดวงตาคู่นี้ได้ขึ้นใจแม้จะสบไปเพียงไม่กี่ครั้ง เพราะมันเคยฉายแววโกรธเกรี้ยวและเวทนาเขาในคราวเดียวกัน
"ซักครู่"
คนสวนคนใหม่เอ่ยพร้อมปลดโซ่ที่คล้องกับประตูออก ไม่นานนักบานประตูก็ถูกผลักพร้อมกับชายรูปร่างสูงใหญ่ ผมเพ้ารุงรังยืนจ้องเขาเขม็งอยู่ด้านหลัง
"คุณต้องการอะไร" เลิศถามแกมหาเรื่อง
คนถูกถามคล้ายกับลิ้นจุกอยู่ในปาก เขาอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่เป็นนาทีเพราะกลัวว่าสาวใช้จะได้ยินความลับของตนเองเข้า
"อะไรล่ะ" เลิศรบเร้า
"ขะ...เข้าไปคุยกันด้านในได้มั้ย"
"หา"
เสียงอันดังลั่นเรียกความสนใจจากทั้งป้าแก้วและแตงได้ในทันที
"ชู่ว... เบาๆ สิ"
มนพัทธ์หันไปยิ้มแหยให้กับสาวใช้ทั้งสองเป็นสัญญาณว่าสถานการณ์เป็นปกติดี เลิศชะโงกหน้ามองตามผู้เป็นนาย เมื่อเห็นว่าสองสาวที่เตรียมจะเข้ามาจุ้นทำงานที่คั่งค้างต่อก็สะบัดหน้ากลับไปต่อความ
"ก็คุณพูดจาไม่รู้เรื่อง"
"ผมแค่อยากจะขอโทษคุณ"
"งั้นก็พูดตรงนี้"
"ไม่ได้" มนพัทธ์คัดค้าน
"งั้นก็เข้าไปไม่ได้เหมือนกัน"
คิ้วโก่งเลิกขึ้นสูง นึกไม่ชอบมาพากลในน้ำเสียงของคนสวนคนใหม่ขึ้นมาจับใจ
"แอบเสพยารึไง"
"สิ้นคิด"
"หา"
กลายเป็นมนพัทธ์เสียเองที่ร้องเสียงหลง มีคนหลายคนบนโลกใบนี้ที่กล้าต่อปากต่อคำกับ คุณมนพัทธ์ แต่คนหลายคนเหล่านั้นไม่ใช่ลูกจ้างของบ้านอย่างนายเลิศ
"ถ้าเสพจริงคนพวกนั้นก็ต้องรู้"
เลิศทำปากบุ้ยใบ้ไปที่โต๊ะสำหรับทานอาหารที่ตั้งไกลออกไปหลายเมตร
"แล้วทำไมถึงเข้าไปไม่ได้"
"เพราะมันเป็นห้องของผม"
"แต่ผมเป็นเจ้านาย"
"มันก็ยังเป็นห้องของผมอยู่ดี"
มนพัทธ์อ้าปากค้าง ที่เลิศพูดมานั้นล้วนเป็นเหตุเป็นผล
"งั้นผมก็จะพูดมันเสียตรงนี้" เลิศพยักหน้ารับ "เรื่องผีผู้หญิงที่ผมพูดถึงคราวนั้น"
กลายเป็นเลิศเสียเองที่ตาเบิกโพลง ขายาวเซถอยหลังไปเล็กน้อยก่อนจะออกแรงฉุดกระชากแขนของคนตัวเล็กที่กำลังเจื้อยแจ้วอยู่เข้าไปในห้อง
"โอ๊ย! เจ็บนะ" มนพัทธ์โอดโอย
มือคู่ใหญ่ที่กำลังกำรอบแขนออกแรงบีบมากขึ้น หากจู่ๆ มีเขี้ยวยาวงอกออกมาจากใบหน้าคมคายเด็กหนุ่มก็จะไม่แปลกใจ
"เลิกพูดเรื่องเธอ"
คุณหนูคนเล็กกลืนน้ำลาย อสูรกายตัวร้ายแทบจะหักแขนเขาเป็นสองท่อน
"ผมแค่อยากจะมาขอโทษ ผมเพิ่งจะได้รู้เรื่องภรรยาของคุณ"
ได้ฟังดังนั้นเลิศก็ค่อยๆ คลายพัทธะนาการ
"ผมไม่สมควรพูดแบบนั้น เธออาจจะเป็นภรรยาของคุณ และคุณอาจจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้วเลย..."
เลิศรีบแทรก "ผมไม่รู้" และยังคงพูดต่อ "ผมไม่เคยเห็นเธอ"
มนพัทธ์ขมวดคิ้ว หากเลิศไม่รู้จริงอย่างที่ปากว่าทำไมชายหนุ่มคนนี้ถึงได้ปองร้ายกระถางต้นไม้ของเขา
"แล้วทำไมคุณถึงอยากเอาพลั่วนั่นฟาดกระถางของผมนัก หากคุณไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเป็นเธอ"
มือหนาปล่อยต้นแขนผอมบางให้ตกตามแรงโน้มถ่วง เลิศเริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังก่อเรื่องมากเกินกว่าเหตุ
"เพราะผมอยากให้เป็นเธอ"
ดวงตาคมที่เคยคล้ายกับสัตว์ดุร้ายเปลี่ยนเป็นฉายแววเศร้าหมองขึ้นมากะทันหัน ฉับพลันก็กลับไปทำตาขวางเฉกเช่นเดิมจนลูกหนูตัวน้อยคล้อยตามไม่ทัน
"เท่านี้ใช่มั้ย" เลิศตัดบท
"อะ...อืม"
เจ้าของห้องพยักหน้ารับและรีบดันตัวของมนพัทธ์ให้กลับไปยืนอยู่ที่บริเวณทางเดิน
"เชิญ"
เสียงประตูบานใหญ่ปิดลงดังสนั่นเป็นสัญญาณไล่แขกที่ไม่พึงประสงค์ เด็กหนุ่มที่เพิ่งเคยถูกปฏิบัติตัวหยาบคายใส่ตะเบ็งเสียงใส่อีกรอบ
"นี่! ตกลงยกโทษให้ผมมั้ย"
ไม่มีเสียงตอบรับจากชายหนุ่มที่มนพัทธ์เรียก เขาจดๆ จ้องๆ อยู่หน้าห้องของนายเลิศอยู่นานสองนาน แต่สุดท้ายคนสวนคนใหม่ก็ไม่เอ่ยคำใดออกมาอีก เด็กหนุ่มจึงถอดใจและตั้งท่าเดินกลับไปยังห้องนอนของตัวเองหากไม่ประจวบเหมาะกับ หมาย คนขับรถที่วิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา พร้อมเนื้อตัวที่โชกด้วยเหงื่อ
"คุณมนครับ คุณมน"
ชายวัยกลางคนหยุดย่อตัวลงหอบหายใจ
"คุณณัฐมาหาครับ" หมายพยายามพูดต่อ
"คุณกวางเธอก็มาด้วย"
คนฟังตาเป็นประกาย นึกไม่ถึงว่าพี่ชายและหลานสาวจะแวะมาเยี่ยมเยียน
"จริงเหรอ อยู่ที่ไหน"
"ที่ศาลาครับ คุณกวางเธออยากได้ดอกเข็ม"
สิ้นประโยคนั้นบานประตูที่เคยปิดสนิทก็ถูกกระชากออกพร้อมคนสวนคนใหม่ที่เงียบหายไปชะโงกหน้าออกมาฟัง
"ดอกเข็มเหรอ"
"ไอ้เลิศอยู่แบบนี้ก็ดี ไปช่วยตัดให้เธอซักดอกที เธอจะเอาไปไหว้ครู"
คนสวนคนใหม่ถอนหายใจ ดอกเข็มที่มีอยู่ตอนนี้เสียหายหนักจากการโดนเพลี้ยแป้งเล่นงานจนใบแห้งกรอบ ร่วงแทบหมดต้น ดอกที่มีก็รูปร่างเสียงทรง ดูแทบไม่ออกว่าเป็นพุ่มดอกเข็ม
"ไม่มีดอกให้เก็บหรอก มันแห้งเกือบหมดแล้ว ผมเพิ่งเด็ดใบใส่ปุ๋ยให้ใหม่ ต้องรอให้ต้นฟื้นซักหน่อยถึงจะมาเก็บได้"
"วันไหว้ครูนี่วันไหนเหรอ" มนพัทธ์ถาม
"วันพรุ่งนี้ครับ" หมายตอบ
"แล้วกัน"
มนพัทธ์นึกสงสารหลานสาวตัวน้อย บ้านที่พี่ชายเขาเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่ใหม่มีเนื้อที่ไม่มาก บวกกับ พี่ณัฐ ชื่นชอบไม้พุ่มชนิดอื่น ต้นเข็มจึงไม่ถูกปลูกในรั้วบ้านของเด็กหญิงวัยประถม
"สมัยนี้มีให้ซื้อใช่มั้ยนะ" เด็กหนุ่มพูดกับตัวเองออกมาเป็นเสียง
"ไม่มีหรอก" เลิศชิงดับฝัน "ปลูกดาวเรืองยังจะได้ราคาดีเสียกว่า"
มนพัทธ์จิ๊จ๊ะในลำคอ นายเลิศคนนี้ขัดแข้งขัดขาเขาเก่งกว่าใคร
"เราไม่มีต้นเข็มต้นอื่นแล้วจริงๆ เหรอ ต้นที่ดอกยังสวย ดอกเล็กๆ ก็ได้ ยัยกวางไม่เรื่องมากหรอก"
เลิศปรายตามองเจ้านายคนเล็กที่ดูร้อนรนยิ่งกว่าตอนที่เห็นว่าเขาตีกระถางแตก
"หืม?" มนพัทธ์เลิกคิ้วสูงเมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกจ้อง
"คุณกวาง...เธอเรียนอยู่ชั้นไหน" เลิศถาม
"ปอสามหรือปอสี่นี่ล่ะ จำไม่ค่อยได้แล้ว คุณถามทำไม"
เลิศเคยเป็นเด็กประถมที่มีหัวใจอันเปราะบาง หนึ่งในความทรงจำที่ยังฝังแน่นในช่วงวัยนั้นล้วนเป็นความทรงจำที่เขาไม่สามารถมีอะไรบางอย่างเหมือนที่เพื่อนมีได้ มันเป็นความทรงจำที่เจ็บปวด แม้แต่ดอกเข็มในวันนี้ วันหนึ่งมันก็คงจะกลายเป็นความทรงจำที่เจ็บปวดของเด็กหญิงที่ชื่อกวาง
"เอาหนังยางมัดรวมพวกดอกเล็กดอกน้อยก็คงพอจะใช้ได้ใช่มั้ย"
"ได้ๆ เอ็งไปตัดมาเลย ข้าจะไปทำกรวย"
หมายขันอาสา พูดเร็วรวดและวิ่งแน่วไปทางต้นกล้วยที่อยู่ด้านหลัง
"ตกลงเรามีดอกเข็มแล้วเหรอ" มนพัทธ์ถามอย่างสงสัย
"มี"
"ดี งั้นผมจะไปบอกหลาน"
เลิศพยักหน้ารับอย่างเคย เด็กหนุ่มคล้ายกับชินชากับความไร้มารยาทของพ่อคนสวนคนใหม่จนไม่ถือโทษโกรธเคือง เขากึ่งเดินเดินกึ่งวิ่งกลับไปที่ศาลากลางแจ้ง หอมแก้มหลานสาวซ้ายทีขวาที ฟังเธอร้องเพลงที่เพิ่งจำมาจากการ์ตูนเรื่องโปรดอยู่นาน จนนายเลิศเดินเข้ามาหาเพื่อมอบกรวยใบตองที่มีดอกไม้มงคลตามตำราให้กับหลานสาวสุดที่รักของเขา
"ขอบคุณคุณลุงเขาสิกวาง"
ณัฐผู้เป็นพ่อจับมือลูกสาวของตนขึ้นประนม
"ขอบคุณค่ะ"
เด็กหญิงก้มหัวไหว้พร้อมถอนสายบัวเงอะงะให้อย่างน่าเอ็นดู คนเป็นอาหันกลับไปมองชายหนุ่มที่ตอนนี้มีศักดิ์เป็น คุณลุง กำมะลอที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างสนอกสนใจ
เพราะนายเลิศคนนั้นกำลังยิ้ม
เป็นรอยยิ้มสุดแสนธรรมดาที่มนพัทธ์ไม่นึกมาก่อนว่าคนสวนคนใหม่นี้จะทำได้
"ไม่เป็นไรครับ คุณกวาง"
เลิศนึกขันที่ต้องเรียกคุณแม้แต่กระทั่งเด็กตัวเล็กๆ โลกใบใหม่ที่เขาเลือกมาใช้ชีวิตหลังกำแพงราคาแพงนั้นแสนประหลาดเกินกว่าที่ฉายจะนึกฝัน
"ยิ้มเป็นด้วย"
มนพัทธ์พูดล้อเลียนหลังจากที่แน่ใจแล้วว่าพี่ชายและหลานสาวของเขาเดินพ้นไปจากบริเวณ
"ผมไม่นึกว่าคุณยิ้มเป็น"
"ผมเลือกคนที่ต้องยิ้มให้"
"อ่อ ไม่ใช่ผม"
ทั้งคู่แยกเขี้ยวยิงฟันใส่กันอยู่เกือบนาที ทั้งๆ ที่อายุอานามก็ห่างกันเกือบรอบแต่เลิศก็ไม่เคยยอมอ่อนข้อให้กับเจ้านายคนเล็กเลยสักครั้ง
"ตกลงคุณหายโกรธผมหรือยัง"
เลิศสะบัดหน้าหนีทันทีที่มนพัทธ์ชิงพูดเรื่องนี้ขึ้น
"ผมไม่มีสิทธิ์ไปโกรธอะไรคุณด้วยซ้ำ"
"มีสิทธิ์โกรธสิ และคุณก็โกรธอยู่"
"ผมไม่ได้โกรธเคืองอะไรคุณแล้ว"
มนพัทธ์ร้อง อ้าว ออกมาเสียงดัง หากนายเลิศไม่ได้โกรธแล้วทำไมถึงไม่ยอมคุยกับเขา ครั้นจะอ้าปากถามว่าทำไมถึงไม่ยอมพูดคุยกันบริเวณด้านหลังที่มีต้นพุทรักษาสูงเกือบเท่าคนก็ปรากฎกลุ่มก้อนสีขาวขึ้น แต่มันเลืองรางเสียจนเด็กหนุ่มมองไม่ออกว่ามันเป็นแค่แสงสะท้อนหรือเศษเสี้ยวหนึ่งของสิ่งลี้ลับ เด็กหนุ่มรีบทรุดตัวลงนั่งยองกับพื้น เขากลัวว่าภาพตรงหน้าจะแปรเปลี่ยนไปเป็นผู้หญิงคนเดิมจึงเอาแต่จ้องใบหญ้าที่ปุูอยู่บนผิวดิน
"คุณ!"
เลิศก้มตัวลงตาม ใจเขาหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเพราะนึกว่าเด็กหนุ่มคนที่เคยยืนอยู่ข้างๆ เกิดเป็นลมเป็นแล้ง
"คุณ ไหวมั้ยเนี่ย"
เลิศเตรียมจะช้อนร่างอรชรขึ้นพาดบ่าอยู่รอมร่อแต่ก็ถูกมือเล็กจับต้นแขนเอาไว้แน่น
"ผะ...ผมเห็น"
หนังหัวเลิศชายิบ เขาแทบไม่อยากได้ยินประโยคหลัง
"ผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว"
เลิศไม่มีทางรู้เลยว่าผู้หญิงคนที่มนพัทธ์เห็นกับ ฉาย ที่เขารู้จักใช่คนเดียวกันหรือไม่ หากเขาไม่เปิดรูปถ่ายของภรรยาคนสวยที่เก็บไว้อย่างดีในกระเป๋าสตางค์ให้มนพัทธ์ดู เมื่อคิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็รวบรวมแรงทั้งหมดล้วงหยิบประเป๋าใบจิ๋วที่น้ำหนักน้อยกว่าถุงปุ๋ยแต่สามารถทำให้มือของเขาสั่นได้ออกมากาง
"ที่คุณเห็น ใช่ผู้หญิงคนนี้มั้ย"
Comments (0)