ขากลับจากส่งมนพัทธ์ที่บาร์ในตรอกเล็กๆ ของชุมชนเลิศก็ได้รับโทรศัพท์จากบิดา ชายชราถามเขาว่า 'สบายดีไหม' ราวกับเป็นคนอื่นคนไกล ทั้งคู่ไม่ได้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันมาร่วมปีตั้งแต่วันฌาปนกิจสะใภ้คนสวย เลิศจึงชั่งใจอยู่นานกว่าจะรับสายผู้เป็นบิดา

"สบายดีครับ เจ้านายก็เอ็นดูอยู่"

เลิศพูดพลางเงยหน้าจ้องเพดานสีขาวที่กั้นระหว่างห้องมนพัทธ์กับเขาเอาไว้

(สตางค์ล่ะ มีพอใช้มั้ย)

คนเป็นลูกลอบถอนใจ หลังจากย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์ขนาดสี่ไร่เขาก็ไม่ได้ใช้เงินเดือนแม้แต่บาทเดียว ขณะนี้ชายหนุ่มจึงมีเงินเหลือเก็บมากกว่าช่วงที่ยังทำงานเป็นฝ่ายขายเกือบเท่าตัว

"พอครับ ไม่ได้ขัดสนอะไร"

(...ดี)

ชายชราพูดต่อ

(แล้วตัดใจได้บ้างรึยัง)

คนเป็นลูกกลืนก้อนหนืดในลำคอ เขาเลื่อนสายตาจากบนฝ้าลงมายังกำแพงปูนฉาบผิวขรุขระ สะท้อนแสงเขียวอ่อนจากผ้าม่าน เฉดเดียวกับรูปวาดเส้นดินสอของเขาที่ปะติดอยู่บนระนาบเดียวกัน

ฉาย

เลิศวาดรูปภรรยาสุดที่รักจากความทรงจำที่แสนสุขลงบนกระดาษ เขาปิดเทปกาวและตรึงมันไว้กับผนังร่วมสองเดือนแล้ว ณ ช่วงเวลานั้นพอคิดถึงภรรยาที่ลาลับสองมือหนาก็ควานหากระดาษ หาดินสอขึ้นมาร่างรูปดวงตาดำขลับ ริมฝีปากแยกยิ้มโชว์ฟันขาวที่หญิงสาวติดเป็นนิสัย รู้สึกตัวอีกทีบนผนังห้องของคนสวนคนใหม่ก็เต็มไปด้วยรูปวาดของฉายซ้อนทับกันนับสิบรูป

ฉายตายแล้ว

เลิศพร่ำบอกตนเองเป็นรอบที่พัน เขาเคยขยำรูปบนฝาผนังเหล่านั้นเอาไปเผาทำเชื้อไฟสำหรับกำจัดใบไม้แห้งที่โกยจากรอบคฤหาสน์มาได้เป็นกองภูเขา แต่พอพ้นไปได้สักสองวันก็เริ่มวาดอีก ต้องขอบคุณมนพัทธ์ที่บงการชีวิตเขาสารพัดจนเลิศไม่มีเวลานึกถึงภรรยาคนสวย ชายหนุ่มจึงได้แต่อมพะนำ ไม่ยอมพูดออกมาให้ชัดถ้อยชัดคำว่าสภาพจิตใจของตนเองในตอนนี้นั้นเป็นเช่นไร

(ดูท่า...มึงคงทำใจลำบาก)

ชายชราและคนเป็นลูกเงียบอยู่นานแต่แล้วคนที่อายุมากที่สุดก็กล่าวเสียงยานคาง

(มันคงไม่มีวันลืมหรอก)

เลิศก็คิดเช่นนั้น เขาไม่มีวันลืมเรื่องของฉาย

(แต่เดี๋ยวซักวันมึงจะทำใจได้ ซักวันมึงคงตัดได้ และซักวันมึงคงเข้าใจว่าต้องใช้ชีวิตต่อจากนี้ให้ได้ ไม่มีเมียมึงอยู่ในโลกใบนี้แล้วนะไอ้เลิศเอ้ย โศกเศร้าไปอีฉายมันก็ไม่ฟื้นขึ้นมาหรอก)

"ไม่ได้...เศร้าขนาดนั้นแล้วครับ"

ชายหนุ่มสูดจมูกฟึดฟัด เขาเลิกร้องไห้หรือรู้สึกเสียใจเรื่องที่ภรรยาเก่าได้หายตัวไปจากโลกใบนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

"แค่คิดถึงเท่านั้นเอง แค่คิดถึงก็ไม่ได้เหรอครับ"

เลิศคิดถึงเธอ แค่คิดถึงเพียงเท่านั้น เพราะเรื่องราวของฉายสะท้อนความสุขสันต์ในวัยเยาว์ ยามที่เลิศได้มีรัก มีความฝัน ก่อนมันจะหายไป หายไปพร้อมๆ กับชีวิตของฉาย ด้านคนฟังที่เงียบอยู่นานเคาะนิ้วกับโต๊ะไม้ที่อยู่ใกล้ตัวก่อนเปล่งเสียงแข่งกับเสียงจักจั่นที่ร้องอยู่ไกลๆ

(ปล่อยอีฉายมันไปเถอะ เก็บมันไว้ในใจ ไว้ในหัวคนที่ทุกข์ก็มีแต่มึง)

เลิศไม่รับคำ เขาไม่แน่ใจว่าจะทำตามคำสั่งสอนได้ดั่งใจของผู้เป็นบิดาหรือไม่

(กูเชื่ออย่างนึงล่ะ...ว่าอีฉายมันก็คงอยากเห็นมึงมีความสุขเหมือนกันนั่นแหละว้า ทำให้มันเห็นหน่อย มันจะได้หมดห่วง ไม่ต้องมากังวลเรื่องผัว มันจะได้ไปที่ที่มันชอบ)

"เขาคงไปถึงแล้วมั้งครับ"

(หือ)

"ที่ที่เขาชอบ คงไปถึงแล้ว เพราะเขาไม่เคยมาหาเลย"

(...งั้นเหรอ)

ชายชรากล่าวเชื่องช้า

ชายหนุ่มจึงได้แต่เงียบและรอให้ผู้เป็นพ่อเป็นฝ่ายตัดสายจากเขาไปเสียเอง จากนั้นชายหนุ่มก็รีบเดินดุ่มๆ มุ่งหน้าไปยังห้องพัก เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าผลัดผ้าขนหนูครึ่งตัว โดยไม่ลืมคว้าเอากล่องสบู่ก้อนสำหรับถูตัวและชุดแปรงสีฟันติดมือไปยังห้องอาบน้ำที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

การเป็นคนรับใช้ภายในรั้วคฤหาสน์ขนาดสี่ไร่นั้นสุขสบายเกินกว่าที่พ่อของเขาจะจินตนาการ เลิศไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านรายเดือนแสนแพง เขาได้ห้องส่วนตัว มีอาหารคาวหวานให้กินครบสามมื้อ แถมค่าน้ำประปากับค่าไฟก็ไม่ต้องเสียเลยสักแดง ติดอยู่ตรงที่มีเจ้านายแสนจุ้นจ้านกับห้องน้ำห้องท่าที่ต้องแบ่งปันกับผู้หญิงที่ไม่ใช่คนในคนครอบครัว

ชายหนุ่มผลักประตูห้องน้ำเข้าไปอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่เขาเห็นหลังบานประตูกลับเป็นสาวใช้ที่นุ่งเพียงกระโจมอก

"อุ๊ย" แตงร้อง

เลิศสะดุ้งตัวโยนและรีบปิดประตูกลับเข้าบานดังเดิม

"พะ พี่เลิศเหรอจ๊ะ"

เจ้าของชื่อถอนใจ เขาไม่ตอบคำถามของแตง เลิศหมุนตัวเข้าไปในห้องพักดังเดิมและนั่งรอจนกว่าจะได้ยินเสียงแตงเดินออกมาจากห้องน้ำ หมู่นี้หญิงสาวทำตัวแปลกประหลาด เธอเข้ามาทำลายตารางเวลาอาบน้ำของเขาจนยับเยิน

ด้วยความที่เลิศเป็นผู้เข้ามาอยู่อาศัยใหม่ ก่อนจะใช้ห้องอาบน้ำเขาจะประวิงเวลาไปกับการทำเรื่องไร้สาระอยู่สักพัก เขารอจนกว่าจะนับคนใช้ห้องอาบน้ำจนครบสามคนเพื่อให้ตนเองได้ใช้ห้องอาบน้ำเป็นคนสุดท้าย มันเป็นเช่นนั้นมาตลอดสามเดือนจนกระทั่งสัปดาห์ก่อนที่แตงเข้ามายืนสางผมอยู่หน้าอ่างล้างมือ เธอนุ่งเพียงผ้าถุงสีพื้น เนื้อตัวแห้งปราศจากน้ำบนผิวกาย ในหนแรกเลิศคิดเพียงว่ามันคงเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แต่เหตุการณ์ในวันนี้มันทำให้ชายหนุ่มคิดไปว่า หรือบางทีแตงอาจมาดักรอ

"พะ พี่เลิศ ฉันเสร็จแล้วนะ อาบต่อได้เลยพี่"

เสียงใสตะโกนลั่นทางเดิน ตามด้วยเสียงฝีเท้าหนักดังตึงติดต่อกันสามครั้ง เมื่อเลิศแน่ใจว่าประตูห้องของแตงลงกลอนเรียบร้อยแล้วเขาถึงเข้าไปชำระเหงื่อไคลในห้องน้ำ

เหนื่อยฉิบ

ชายหนุ่มสบถในใจ เขาก้มหัวลง ปล่อยให้ฝักบัวเก่าที่เหลืองจนกรอบพ่นน้ำใส่กลุ่มเส้นผมที่มันเป็นเงา และทบทวนเรื่องที่ผู้เป็นพ่อได้กล่าวเอาไว้

'อีฉายมันก็คงอยากเห็นมึงมีความสุขเหมือนกันนั่นแหละว้า'

เลิศได้แต่นึกขัน เหตุเพราะชายหนุ่มนึกวันที่พูดได้อย่างเต็มปากว่ามีความสุขไม่ออกเสียแล้ว เลิศปิดฝักบัว ก้าวขายาวฉับๆ ออกมาจากห้องอาบน้ำ ยกผ้าขนหนูผืนสะอาดที่พาดอยู่บนราวเหล็กมาเช็ดหน้า ลำดับต่อมาก็สีฟันจนสะอาดจากนั้นจึงเดินใจลอยกลับเข้าไปในห้องนอนของตนเอง

♪~

ขณะกำลังสวมชุดนอนโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่าเก็บที่วางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือขนาดกะทัดรัดก็สั่นเป็นเจ้าเข้า ชายหนุ่มดึงชายเสื้อตัวโคร่งลงจนพอดีตัว เสร็จแล้วก็ชะโงกไปดูชื่อของปลายสายที่โทรเข้ามายามวิกาล

'มนพัทธ์'

ที่แท้ก็เป็นเจ้านายจอมบงการของเขา

"ครับ"

ปลายสายส่งเสียงกุกๆ กักๆ คล้ายเป็นเสียงครูดของแข็ง แต่เลิศชี้ชัดไม่ได้ว่านั่นคือเสียงอะไร

"ฮัลโหล"

ชายหนุ่มเปล่งเสียง เขาแทบจะกล่าวซ้ำด้วยกลัวว่าเจ้าของเบอร์โทรศัพท์จะไม่ได้ยินเสียง

(เอ้อ คุณพ่อบ้านใช่มั้ย) เสียงไม่คุ้นหูตะโกนจากที่แสนไกล (เฮ้ย บ้านมันมีพ่อบ้านรึเปล่าวะ)

"นั่นใครครับ"

(ทศ เพื่อนไอ้มน อยู่หน้าบ้านอะครับ รั้วเปิดไม่ออก ผมไม่กล้ากดออดกลัวจะพากันตื่นทั้งบ้าน ฝากเปิดประตูให้ทีครับ ไอ้มนเมาแอ๋เลยนั่งยังแทบไม่ไหว ผมต้องรีบกลับบ้านด้วย จะให้ทิ้งไว้ก็ยังไงอยู่ รีบหน่อยก็ดีนะครับ)

คนสวนปะติดปะต่อเรื่องอยู่ในหัวว่าตอนนี้มนพัทธ์และผองเพื่อนนั่งกองกันอยู่ในรถที่หน้าบ้าน เพราะประตูรั้วรีโมตที่เจ้าคุณหนูคนเล็กเผอเรอไม่ยอมพกติดตัวไปด้วยใช่หรือไม่ เมื่อสรุปความได้ดังนั้นเลิศก็เดินฉับๆ ไปที่ประตู เขาผลักรั้วเหล็กบานเล็กก่อนชะโงกหน้าออกไปหารถหรูที่เปิดไฟสองดวงสาดใส่ตาของเขา

"ไอ้มนตื่น!"

ชายคนหนึ่งพูด เขาเขย่าตัวมนพัทธ์จนหัวโยกหัวคลอนแต่ก็ไร้เสียงตอบกลับ

"เฮ้อ มึงนี่นะ"

ชายผู้นั้นจนปัญญา เขาหันมายิ้มแหยให้เลิศและเพื่อนชายอีกคนก็เข้ามาช่วยกันหิ้วปีกไอ้หนุ่มพันเฝือกส่งต่อให้คนสวน

"ส่งเท่านี้นะครับ อย่าบอกคุณหมีนะครับ ไม่งั้นแม่ๆ เล่นพวกเราตายเลย ลาล่ะครับ สวัสดีครับพี่"

พูดจบนายที่เลิศคิดว่าน่าจะชื่อทศก็ทิ้งร่างปวกเปียกของมนพัทธ์และไม้ค้ำสีเงินหนึ่งคู่พิงไว้กับอกเลิศ ต่อมาก็ถอยกรูดกลับไปที่รถ พอผู้โดยสารที่ติดสอยห้อยตามมาด้วยประจำที่จนครบนายทศก็เร่งเครื่องยนต์ออกไปจากบริเวณคฤหาสน์

"อืม..."

คนตัวเล็กคราง มนพัทธ์ทรุดตัวลงนั่งกับทางเท้าก่อนเอนหัวพิงลำแข้งของเลิศไว้ คนสวนที่ทนดูสารรูปไม่ได้จึงรีบช้อนร่างของเจ้านายคนเล็กขึ้นอุ้ม

"หนัก...ฉิบ"

ท่อนแขนแกร่งเกร็งจนกล้ามเนื้อปูดขึ้นเป็นลูก ใจจริงเลิศมีความคิดที่จะไปลากเอารถสามล้อที่ใช้ขนกระสอบปุ๋ยมาเคลื่อนย้ายมนพัทธ์ แต่ใจหนึ่งกลัวรัศมีจะตื่นขึ้นมาเห็น เลิศจึงจำต้องอุ้มคุณหนูคนเก่งของใครๆ ไว้ด้วยสองมือ

"จูบหน่อยได้มั้ย"

มนพัทธ์พูดพล่อย เลิศที่ได้ยินคำร้องขอสัปดนเต็มสองรูหูรีบก้มลงมองร่างกายแน่นิ่ง เขาเห็นดวงตาที่เคยจ้องเขาตาเขม็งหรี่แคบไม่สู้แม้แต่แสงจันทร์

"คุณตื่นอยู่หรือ"

เลิศถาม เขาหวังให้มนพัทธ์ส่งเสียงโวยวายกลับมา ไม่ก็ดิ้นออกจากอ้อมแขนของเขาแทนหลับตาพริ้ม

"..."

ละเมอเหรอวะ

เลิศหยุดจ้องมองใบหน้าของคนดีของป้าแก้วอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อแน่ใจว่ามนพัทธ์อยู่ในห้วงนิทราชายหนุ่มจึงสาวเท้าต่อ เลิศเดินๆ หยุดๆ ไปพร้อมกับมีความคิดที่จะโยนร่างกายหนักอึ้งลงกับกระเบื้องหินอ่อนทุกๆ ห้านาที จนในที่สุดเขาก็พาเด็กหนุ่มผู้ไร้สติมายังห้องนอนบนชั้นที่สองของคฤหาสน์ได้อย่างปลอดภัย

ตึง ตึง

เลิศโยนมนพัทธ์ลงกับฝูกหนา แต่แล้วร่างของเด็กหนุ่มก็กระดอนขึ้นจากที่นอนและพลิกหน้าคว่ำไปอีกทาง

"เชี่ย" ชายหนุ่มอุทาน

เขารีบเข้าไปจัดแจงท่าทางคุดคู้ของมนพัทธ์ให้เป็นปกติ แต่แล้วมืออุ่นของคนที่เขาคิดว่าไร้สติก็คว้าหมับเข้าที่ข้อแขน ใจของเลิศร่วงไปถึงตาตุ่ม ชายหนุ่มเบิกตาโพลง ตื่นตระหนกกับเรี่ยวแรงของคนเมาที่ตอนนี้พยายามไล่จูบไปตามนิ้วยาวของตนเอง

จุ๊บ จุ๊บ

"...คุณ"

เลิศปราม เขาฝืนดึงมือกลับแต่กลายเป็นว่าเลิศได้ร่างกายของมนพัทธ์ตามติดเรี่ยวแรงนั้นมาแทน เด็กหนุ่มผู้เมามายสติสตังไม่ครบถ้วน แม้ศีรษะจะปวดหนึบแต่มนพัทธ์ก็ยังป่ายปีนหาไออุ่นจากริมฝีปากเจ้าปัญหา คนตัวเล็กคว้าไหล่กว้าง โถมน้ำหนักใส่ชายหนุ่มจนล้มลงไปนอนหงายอยู่ใต้ร่าง จากนั้นจมูกงุ้มก็ถือวิสาสะซุกไซ้ลำหอระหง เขาสูดดมกลิ่นสบู่ก้อนราคาถูกที่เกาะแน่นอยู่บนผิวกาย

หอมจัง

มนพัทธ์แลบลิ้นเลียเนื้ออุ่น เขาเริ่มจากหลุมลึกริมกระดูกไหปลาร้าไต่ระดับไปถึงสันกราม แม้ระหว่างทางลิ้นสากจะเจอตอหนวดแหลมทิ่มพ้นเนื้อแต่นั่นไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเด็กหนุ่มเลยสักนิด

จุ๊บ จุ๊บ

ริมฝีปากบางพรมจูบไปทั่ว ความชุ่มชื้นและเสียงเปียกแฉะทำหนังหัวเลิศชายิบ ชายหนุ่มไม่เคยนึกฝันถึงการถูกคนดีของป้าแก้วชิมรสราวกับร่างกายเขาเป็นขนมหวาน ครั้นจะผลักออกเด็กหนุ่มที่คิดว่าถูกพิษสุราเมามายก็เงยหน้าขึ้นจากอกมาส่งยิ้มให้ มนพัทธ์ไม่เคยมอบรอยยิ้มให้เลิศมาก่อน ไม่แม้แต่รอยยิ้มมุมปาก ช่วงเวลาที่เลิศได้เห็นฟันขาวแทบครบทุกซี่เลิศจึงคิดได้ว่า

แย่แล้ว

เด็กนี่ต้องคิดว่าเขาเป็นตัวแทนของใครสักคนเป็นแน่

"คุณมน" เลิศเรียกสติ

"อะไร"

เจ้าของชื่อขานตอบโดยที่มือยังคงง่วนอยู่กับการปลดกระดุมชุดนอนของคนสวนออก

"นี่ผมเลิศนะ นายเลิศ" ชายหนุ่มย้ำ

แต่คนที่กดทับอยู่ด้านบนเพียงแค่รับคำและส่งยิ้มชวนฉงนให้

"รู้น่า"

มนพัทธ์อ้าปากกว้าง จากนั้นก็ก้มลงไปครอบครองยอดถันสีเข้มที่อยู่ไม่ไกล

ฉิบหาย เลิศสบถ นี่เขากำลังถูกไอ้เด็กนี่ดูดหัวนมอยู่เหรอ!?

ชายหนุ่มรีบจับไอ้สัปดนพลิกลงใต้ร่างและเตรียมลุกหนีให้พ้นห้องอับแสงแสนอันตราย แต่มนพัทธ์ไม่ย่อท้อ เขายังลิ้มชิมรสคนสวนคนใหม่ได้ไม่หนำใจ ต่อให้ขาหักอีกข้างเขาก็จะไม่ยอมให้ชิ้นปลามันหลุดมือ เมื่อคิดได้ดังนั้นสองแขนก็ตวัดรัดรอบลำคอแกร่ง เลิศขืนพละกำลังมหาศาลที่ดึงเขาเข้าไปหาแต่ร่างกายของมนพัทธ์กลับตามติดมาอย่างเคย

จุ๊บ

เด็กหนุ่มฝังใบหน้าไว้กับซอกคอของคนสวน เขาจุมพิตเนื้ออุ่นอีกหลายหนจนแขนเลิศอ่อนยวบ

"จูบหน่อย" จอมบงการร้องขอ

"หา" เลิศพูดรวดเร็ว "คราวที่แล้วที่ผมจูบคุณ คุณตบหน้าผม"

มนพัทธ์ถอนหายใจ

"ก็นี่เป็นความฝัน..." เสียงของคนเมามายเริ่มแหบ "ถ้าเป็นความฝันเราก็จูบกันได้ พี่เลิศตัวจริงก็จะม่าย...รู้ คุณหมีก็ไม่มีทางรุ ม่าย...มีใครรุ"

ว่าจบมนพัทธ์ก็จูบที่ริมฝีปากของชายหนุ่มอีกหนึ่งที ราวกับปากบวมเจ่อของเลิศเป็นจมูกของตุ๊กตาหมีตัวโต

"จูบหน่อย" เด็กหนุ่มรบเร้า

เลิศชั่งใจ เขาก้มมองลูกลิงสติไม่ดีห้อยโตงเตงอยู่ตรงหน้าอกอย่างเวทนาก่อนจะยอมพลิกตัวเองลงไปนอนเป็นฐานอยู่ด้านล่าง เลิศไม่เคยนึกพิศวาสมนพัทธ์ในเชิงกามารมณ์ เหตุด้วยเจ้าตัวเป็นเจ้านาย หนำซ้ำยังเป็นผู้ป่วยที่เขาต้องช่วยอนุบาล ขณะนี้ชายหนุ่มจึงโมโหโทโสตนเองในวันวาน หากวันนั้นใช้มือของตนเองปิดปากพล่อยๆ นั่นเอาไว้แทนการจูบมนพัทธ์ เด็กเอาแต่ใจตรงหน้าคงไม่กลายเป็นไอ้สัปดนดั่งเช่นตอนนี้

"ฝันต่อไปเถอะ" เลิศพูดต่อ "ผมไม่ยอมจูบคุณอีกแน่"

"ทำไมเล่า" มนพัทธ์ทุบอกของเลิศสองสามทีจนคนถูกตีร้องโอดโอย

"สำหรับผมคุณแค่ห้าขวบ"

"ยี่สิบสามแล้วต่างหาก"

"ดูยังไงก็ห้าขวบ"

"หน็อย..."

มนพัทธ์จิ๊ปาก เขาไม่พอใจคำสบประมาทของชายหนุ่มที่บอกว่าเขาเหมือนเด็ก ครั้นจะอ้าปากเถียงวิสัยทัศน์ตรงหน้าก็เริ่มพร่ามัวคล้ายกับมีใครรูดผ้าม่านปิดฉากจบของละครเวที ไม่นานหัวกลมก็โคลงเคลง ดวงตาปิดพริ้มพร้อมโหนกแก้มของเด็กหนุ่มร่วงแปะลงบนอกเปลือยเปล่า

"คุณ..."

เลิศหยิกแก้มตุ้ยนุ้ยหวังให้คนเป็นนายเปิดปากขึ้นมาเถียง

"คุณ!"

เลิศขึ้นเสียงแต่เด็กหนุ่มกลับหลับใหลไม่ได้สติ ชายหนุ่มเขย่าร่างแน่นิ่งที่นอนทับเขาอยู่อีกหน

"...มน เฮ้อ มนพัทธ์"

เมื่อแน่ใจแล้วว่าภายในห้องมีเพียงแค่ตนเองที่ตื่นอยู่เลิศจึงค่อยๆ พลิกตัวของคุณหนูลงกับฟูกหนา แล้วยกผ้านวมที่อยู่ข้างใต้ขึ้นมาห่อร่างกายซีดเซียวไว้ให้เหมือนกับดักแด้ เลิศนึกสนุก เขาอยากเห็นปฏิกิริยาของมนพัทธ์ในตอนเช้า หากเด็กหนุ่มรู้เข้าว่าเรื่องในคืนนี้ไม่ได้เป็นเพียงความฝันมนพัทธ์จะนึกอายที่เรียกเขาว่า พี่เลิศ เหมือนที่หลุดปากออกมาหรือไม่