6 ตอน บัว
โดย dnim
มนพัทธ์จับสังเกตได้ว่ามือหยาบกร้านที่กำลังกางกระเป๋าสตางค์ใบเก่าของตนเองนั้นสั่นระริก ชายหนุ่มกลืนก้อนเหนียวที่จุกอยู่ตรงคอหอยลงคอก่อนยื่นรูปถ่ายหญิงสาวหน้าตาสะสวยให้คุณหนูคนเล็กพินิจ
"เธอเป็นภรรยาของผม" เลิศกล่าว
สิ้นคำนั้นขนอ่อนของเด็กหนุ่มพลันลุกเกลียว มนพัทธ์ก้มลงจ้องมองรูปใบเล็กจิ๋วของหญิงสาวหน้าตาสะสวยที่กำลังฉีกยิ้มกว้าง ผมเผ้าปล่อยสยาย มือทั้งสองข้างของเธอถูกนำมารองใต้คางคล้ายท่าพระอาทิตย์ที่พี่ชายของมนชอบเล่นกับหลานบ่อยๆ
"ใช่เธอมั้ย"
มนพัทธ์ส่ายหัว เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากรูปถ่ายแสนสำคัญพร้อมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคม
"ผมไม่รู้ ผมไม่ได้เห็น...อย่างนี้ เอ่อ ผมหมายถึงไม่ใช่ลักษณะนี้ ที่ผมเห็นเธอปล่อยผมรุงรัง เกือบเป็นสังกะตังไม่ใช่ดูนุ่มสลวยเหมือนภรรยาของคุณ"
มนพัทธ์ก้มลงเพ่งพินิจอีกครั้ง
"แต่ผมเห็นหน้าเธอไม่ชัด เธอมักจะยืนอยู่ที่ไกลๆ ผมเห็นแต่ตาขาวโพลน ชุดรุ่มร่ามสีขาว ไม่ได้เห็นเป็นภรรยาของคุณเลย และตอนนี้ผมไม่กล้าแม้แต่ที่จะมองด้านหลังของคุณด้วยซ้ำ"
"เธอยืนอยู่หรือ"
เลิศโพล่งพร้อมสะบัดหน้าไปทางด้านหลัง มนพัทธ์เห็นดังนั้นก็ตะโกน ว้าก ว้าก ลั่น
"อย่าหันไปสิ หลังคุณช่วยบังให้อยู่แท้ๆ เชียว"
เด็กหนุ่มหลับตาปี๋พร้อมยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาบดบังตา
"ไม่เห็นมีใครเลย"
มนพันธ์ขมวดคิ้ว เขากลัวเกินกว่าจะมองภาพตรงหน้าด้วยสองตาของตนเอง
"ตรงต้นพุทธรักษาไม่มีเหรอ"
เลิศย่นปาก เขาลุกขึ้นจากพื้นก่อนก้าวขาฉับๆ เข้าไปรื้อพุ่มไม้ดอกที่อยู่ไม่ไกลจนเกิดเสียงดัง แซ่ก แซ่ก ทำให้เด็กหนุ่มต้องแอบถ่างนิ้วดู
"ลืมตาได้แล้ว คงไปแล้ว"
มนพัทธ์หัวใจเต้นระรัว ใจกลัวสิ่งเร้นลับโผล่พรวดขึ้นตรงหน้า
"แล้วถ้ายังไม่ไปล่ะ ถ้าผมเห็นล่ะ คุณจะรับผิดชอบยังไง"
เลิศถอดทอนใจ หากเด็กหนุ่มคนนี้เป็นน้องชายที่คลานตามกันมาชายหนุ่มคงลุดไปกระชากท่อนแขนเรียวเล็กนั่นแล้วลากมายืนอยู่หน้าพุ่มพุทธรักษาให้รู้แล้วรู้รอดกันไป แต่มนพัทธ์ไม่ใช่น้องชายของเขาเลิศจึงได้แต่ยืนรอให้ความกล้าหาญของคุณหนูคนเล็กบังเกิด
"ผมมันคนจนจะไปมีอะไรไปรับผิดชอบคุณล่ะครับ คุณหนู"
เลิศจงใจเน้นคำท้ายหวังยียวนกวนประสาท แต่ คุณหนู คนที่ว่ากลับทิ้งมือที่เกาะกุมใบหน้าอยู่ลงข้างลำตัว
"ไม่เห็นต้องพูดแบบนั้นเลย" มนพัทธ์กล่าวอย่างเรียบง่าย
เขาจ้องมองลึกเข้าในดวงตาของชายฉกรรจ์ที่สูงเลยหัวของเขาไปหลายสิบเซนติเมตร จากนั้นก็ชันตัวขึ้นจากพื้น ปัดเศษดินที่เปื้อนอยู่ทั่วมือ ก่อนชะเง้อชะแง้ที่พุ่มต้นพุทธรักษาอยู่เกือบนาที พอแน่ใจแล้วว่าปราศจากสิ่งเร้นลับใดมนพัทธ์จึงกึ่งเดินกึ่งเขย่งกลับเข้าไปในตัวบ้าน ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมเย็นจางๆ ที่เลิศยากจะบรรยายว่ามันคล้ายกับดอกไม้ชนิดใด
ค่ำนั้นมนพัทธ์รีบทานอาหารและตรงแน่วขึ้นไปบนห้องนอนที่อยู่ชั้นสอง เขาถอดเสื้อผ้าที่เปอะเปื้อนดินลงตะกร้าและแช่ตัวอยู่ในอ่างอาบน้ำเพื่อคิดทบทวนเรื่องเมื่อบ่ายคล้อยที่มีพุ่มพุทธรักษา วิญญาณ และภาพของผู้หญิงปริศนาที่นายเลิศเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีในกระเป๋าสตางค์
เธอเป็นภรรยาของผม
"ภรรยา..." มนพัทธ์ย้อนคำของเลิศ
ทว่าไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะได้คิดเรื่องราวต่อโทรศัพท์มือถือที่อยู่ข้างหัวนอนกลับส่งเสียงเรียกร้องความสนใจขึ้นมาเสียก่อน
"ใครวะ"
เจ้าของห้องคว้าเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาดูชื่อของปลายสาย เมื่อเห็นว่าชื่อที่ปรากฎบนหน้าจอเป็น จ๋าย มนพัทธ์กลับยิ่งขมวดคิ้วแน่น เพราะเพื่อนร่วมห้องสมัยมัธยมคนนี้กำลังง่วนอยู่กับการสืบทอดกิจการของครอบครัวจนห่างหายจากกันไปร่วมครึ่งปี ไม่ว่าจะเที่ยวไปถามเพื่อนคนไหนเกี่ยวกับจ๋าย มนก็จะได้รับคำตอบกลับมาเพียงว่า ไม่รู้เหมือนกันว่ะ จนเด็กหนุ่มนึกหวั่นใจที่เห็นสายเรียกเข้าในวันนี้
"ฮะ ฮัลโหล"
(ฮัลโหล มึง เป็นไงบ้างวะ)
"หา"
(กูถามว่าเป็นไงบ้าง)
"กูต่างหากที่ต้องถาม มึงนั่นแหละเป็นไงบ้าง หายหน้าหายตาไปเลยนะ กูนึกว่าตายโหงตายห่าไปแล้ว"
(กูอะยังไม่ตาย แต่ย่ากูซี้ไปและ กูจะโทรมาบอกมึงนี่แหละว่าว่างมางานศพมั้ย จัด 3 วันวัดแถวบ้าน พ่อบอกให้กูบวชให้ย่าด้วย กำลังกลุ้มเลยอุตส่าห์กัดสีมาตั้งหลายพัน)
"ถ้าช่วงนี้อะว่าง มึงปักโลวัดมาดิ"
(ได้ๆ นี่ย่ากูแบบอินไวท์มึงแบบส่วนตัวเลยนะ แสดงว่าจำน้องมนได้)
มนพัทธ์สะดุดลมหายใจของตนเอง
"มึงว่าไงนะ"
(กูฝัน เห็นย่า แล้วย่าบอกว่าให้กูโทรหามึง)
"หา" มนพัทธ์ร้องเสียงหลง
(หูกูจะแตก เบาๆ ดิวะ)
"ฝันเหี้ยอะไรเนี่ย กูกลัวนะเว้ย"
นิ้วเรียวเลิกผ้านวมผืนหนาขึ้นคลุมโปงจนมิดหัว หากเรื่องที่จ๋ายเล่าเป็นความจริงเขาก็ไม่อยากเห็นแม้แต่เงาสะท้อนของห้องจากกระจกเงา
(กลัวอะไรวะ นั่นย่ากูนะ ย่ากูที่ขับรถไปรับมึงกับกูจากโรงเรียนอะ)
"กูกลัวหมดนั่นแหละ ไอ้เหี้ย มึงไม่รู้หรอกว่าช่วงนี้กูเจออะไรมาบ้าง"
(ก็เล่ามาดิ ไม่เล่าแล้วกูจะตรัสรู้มั้ย)
"ไว้เล่าวันงานได้ปะ กูกลัวจริงๆ กูเห็นเขาอยู่ทั่วบ้านเลย กูไม่รู้ว่าเขาอยู่ในห้องกูรึเปล่าด้วยซ้ำ"
(อะไร มึงพูดถึงผีปะ นี่มึงเห็นย่ากูเหรอ เฮ้ย หรือคนอื่น)
"คนอื่นๆ"
(เห็นได้ไง ปกติมึงไม่เคยเห็นนี่ หรือดวงตก ที่มึงเห็นคือเป็นแบบไหนแบบชัดๆ จะๆ จังๆ เลยปะ)
"ไม่ชัด กะ กูเห็นแบบ เฮ้อ กูพิมพ์ได้มั้ยอะ กูกลัวจริงๆ นะ"
จ๋ายเงียบไปราวอึดใจ
(เอางี้ ถ้ามึงกลัวมากตอบแค่เยส โน หนึ่ง สอง สาม สี่พอ เดี๋ยวกูจะสรุปด้วยตัวเองแบบนี้โอเคมั้ย)
"เอาแบบนั้นก็ได้"
(เละหนึ่ง สวยสอง หน้าขาวสาม)
"สาม"
(ชุดขาวด้วยปะ)
มนพัทธ์นึกย้อนเหตุการณ์ขนอ่อนก็พากันลุกซู่
"อืม"
(เจ้าที่มั้ง ตอบแบบตามความเชื่ออะนะ ช่วงปีสองปีเนี้ยกูคุยกับคนเห็นผีมาเยอะ ถ้าพวกเซนส์โหดๆ หน่อยก็เห็นแบบเป็นคนปกติเลยอะ หรือบางทีก็เละมา แต่มึงเซนส์ไม่แรงผีมันก็โหลดได้แค่นั้นแหละ)
"แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริงเขาก็ไม่น่ามาในลักษณะนี้มั้ย ที่บ้านก็ไหว้กับความสะอาดศาลพระภูมิให้อย่างดีตลอดนะ อีกอย่างคนในบ้านก็มีเป็นสิบแต่ทำไมกูเห็นคนเดียววะ"
(ตอบยากว่ะ เราคุยกับเขาไม่รู้เรื่องซะด้วยสิ...แต่มึงลองแบบนี้มั้ยล่ะ ลองไปทำบุญให้เขาดู ตอนกรวดน้ำก็ท่องว่าขออุทิศส่วนกุศลให้บลาๆ เอาให้ครอบจักรวาลอะเผื่อเขาจะไม่มาให้เห็น)
"เดจาวูสัดๆ หลายวันก่อนกูเพิ่งปากดีแนะนำให้คนสวนที่บ้านไปทำบุญเพราะคิดว่าเขาโดนตาม ที่ไหนได้เป็นกูเฉยเลยว่ะ"
(ตาลุงอะไรนั่นน่ะนะ)
"เปล่า คนใหม่ เพิ่งย้ายมา จบปริญญาด้วยนะแต่มาทำงานเป็นคนสวน หน้าตาก็ดี พิลึกคนแท้ๆ"
(แปลก)
"ตอนแรกกูคิดว่าเขาฆ่าคนหมกป่าแล้วอำพรางคดีมาทำงานบ้านกูด้วย แต่ก็เปล่าอีก เมียเขาเพิ่งตายแล้วยังไงก็ไม่รู้แหละเลยมาเป็นคนสวน"
(เมียตายจริงเหรอ เป็นอะไรตาย)
"ใครจะไปกล้าถามวะ ดุอย่างกับหมา"
(ขนาดนั้นเชียว)
"มึงต้องลองมาเจอเอง"
(ฮ่าฮ่าฮ่า ไว้สึกก่อนแล้วกัน เอ้า ป่านนี้แล้ว กูต้องวางสายแล้วว่ะ เดี๋ยวส่งพิกัดวัดไปให้นะจ๊ะเพื่อนมน ฝันดีจ้า)
"เค ฝันดีเว้ย"
มนพัทธ์ยกโทรศัพท์ออกจากหู เขาลุกออกจากที่นอนไปเคาะประตูห้องของผู้เป็นมารดา เด็กหนุ่มวัยยี่สิบปียืนกระมิดกระเมี้ยนอยู่ด้านหลังบานไม้ขนาดใหญ่อยู่นานสองนานจนกระทั่งรัศมีปลดล็อกกลอนให้
"อะไรลูก ปวดท้องเหรอ แม่ก็บอกแล้วว่าอย่ากินเร็วนัก"
มนพัทธ์อ้าปากสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
"พรุ่งนี้มนขอใส่บาตรด้วยคนได้มั้ย"
หญิงวัยกลางคนกะพริบตาถี่ ใจไม่เชื่อสิ่งที่หูกำลังได้ยิน
"หนูจะ...ใส่บาตรเหรอ"
มนพัทธ์พยักหน้า
"หกโมงเช้านะ ตื่นไหวเหรอ"
"คิดว่าไหว มนจะตั้งนาฬิกาปลุกเอา"
"ถ้าตื่นสายพระไม่รอน้า"
"อื้ม คิดว่าไม่สาย"
รัศมีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นึกประหลาดใจกับท่าทีมุ่งมั่นของลูกชายคนเล็กที่นานทีปีหนจะแสดงออกมาให้ได้เห็น
"ได้จ้ะ เดี๋ยวแม่บอกป้าแก้วเอาไว้ให้ ในครัวเขาจะได้จัดของเพิ่มอีกทีนึง"
มนพัทธ์พยักหน้าและหมุนตัวกลับเข้าห้องจองตนเองไป คืนนั้นกว่าเจ้านายตัวน้อยจะข่มตาหลับเวลาก็ผ่านไปราวตีสาม เมื่อรุ่งเช้ามาถึงโทรศัพท์มือถือที่ทำหน้าที่เป็นนาฬิกาปลุกก็ร้องแรกแหกกระเชอจนเจ้าของห้องสะดุ้งขึ้นมานั่ง ดวงตากลมโตเป็นสีแดงก่ำ อีกทั้งเปลือกตาก็บวมเป่งราวกับถูกผึ้งต่อย สร้างความอับอายให้เจ้าของร่างกายที่ต้องลากสังขารมาหยุดยืนอยู่หน้ารั้วบ้านเพื่อรอใส่บาตรพระตามนัดหมาย
"อุ๊บ"
ทันทีที่นายเลิศเห็นหน้ามนพัทธ์เขาก็หลุดหัวเราะจนตัวสั่น โดยไม่สนว่าโถข้าวที่อุ้มอยู่ที่มือทั้งสองข้างจะร่วงหล่น ส่วนคุณหนูคนเล็กที่เดินผ่านหน้าไปกลับแยกเขี้ยวใส่ทันทีทันควัน
"ว้ายตายแล้ว ทำไมตาเป็นแบบนั้นล่ะคะคุณมน"
ป้าแก้วส่งเสียงดังกว่าใคร เธอรีบวางถาดดอกบัวสำหรับไหว้พระลงกับโต๊ะพับและรีบลุดไปดูตาปูดโปนของเด็กหนุ่ม
"เอ่อ มน มนนอนดึกไปหน่อยน่ะครับ...ก็เลย"
"ว้าย มน ลูก"
รัศมีที่ตามมาสมทบชะโงกหน้าข้ามไหล่ของแก้วเพื่อดูหน้าตาของลูกชายให้ถนัด จากนั้นเธอก็หวีดเสียงแหลมและป้องปากหัวเราะลูกชายคนเล็กที่สภาพไม่ต่างอะไรจากคนโดนผึ้งต่อย
"โธ่ แม่ก็หัวเราะมนด้วยอีกคนนึงเหรอ"
รัศมีกัดปาก ห้ามเสียง คึคึคึ ในคอของตัวเองพลางตีแขนของมนพัทธ์เบาๆ
"โอ๊ย ก็มันน่าขำนี่นา ปกติหนูตื่นก็บ่ายคล้อยเข้าไปแล้ว นึกยังไงอยากจะมาใส่บาตรพร้อมกับพวกแม่ๆ กัน"
เลิศเลิกคิ้ว นึกแปลกใจที่เขากลายเป็นคนเดียวในบ้านที่รับรู้ปัญหากวนใจลูกชายของรัศมี
"มน...มนแค่"
มนพัทธ์เตรียมจะแก้ตัวแต่เลิศกลับขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน
"พระมาแล้วครับ"
รัศมีจูงแขนลูกชายให้มายืนหลบอยู่ด้านข้างเพราะเกรงว่าเด็กหนุ่มที่ไม่ยักรู้จักโตคนนี้จะขวางทางตอนเธอจะเริ่มอธิษฐาน
"ดูแม่ๆ กับพี่ๆ เขานะ ถ้ามนจะใส่บาตรให้มนรอโถข้าวต่อจากพี่เลิศ ถ้าพี่เลิศใส่บาตรเสร็จหนูค่อยยกโถข้าวขึ้นอธิษฐาน แล้วใช้ทัพพีใส่ลงไปในบาตรพระ ห้ามชนบาตร"
"ทำไมมนต้องรอต่อจากมะ...นายเลิศด้วย" มนพัทธ์แหว
"แม่ให้ใส่ตามลำดับอาวุโสจ้ะ"
รัศมีพูดค้างคาเพราะพระประจำวัดที่อยู่ไกลออกไปไม่กี่กิโลกำลังเยื้องย่างเข้ามาใกล้ ป้าแก้วและเลิศจึงพากันเคลื่อนย้ายตนเองตามลำดับที่คนเป็นเจ้านายได้แจ้งเอาไว้ ส่วนมนพัทธ์กลับเงอะงะชะเง้อชะแง้มองคนเป็นแม่ที่กำลังนิมนต์พระทั้งสามรูป
"ดอกไม้"
เลิศโพล่งพร้อมยื่นมัดดอกบัวตูมให้
"หา"
"ถ้าใส่บาตรเสร็จแล้วให้เอาถวายพระ"
มนร้อง อ่อ และพยักหน้าเป็นจังหวะ เขายืนโยกตัวไปมาคล้ายกับเด็กตัวเล็กๆ และเสมองไปทางด้านตรงข้ามของตัวบ้านที่ปกติแล้วไม่ได้สนอกสนใจมันนัก มนพัทธ์เพิ่งสังเกตเห็นว่ามันเป็นลานโล่งมีหญ้าป่ากอใหญ่สูงท่วมหัว ลำต้นและใบของหญ้าพวกนั้นใหญ่เหมือนต้นอ้อย และมีกลิ่นฝนและดินลอยตามลมจางๆ แต่ก่อนที่จะได้จินตนาการไปไกลนายเลิศที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ยื่นโถข้าวมาให้ และก้มลงมากระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู
"อธิษฐานให้เทวดาประจำตัว ให้ผีไม่มีญาติ เจ้าที่เจ้าทาง เจ้ากรรมนายเวร"
มนรับโถข้าวและทัพพีมาไว้ในมือ เขายกมันขึ้นจรดหน้าผาก อธิษฐานตามที่เลิศและจ๋ายได้บอกเอาไว้ จากนั้นก็ใส่ข้าวที่เหลืออยู่ก้นโถจนเต็มบาตรและพระภิกษุเลื่อนฝาสีทองอร่ามขึ้นมาปิด
"ดอกไม้"
เลิศแตะที่ศอกของคุณคนเล็กเบาๆ เพื่อเตือนสติให้มนพัทธ์วางมัดดอกบัวลงบนบาตร ไม่กี่อึดใจบทสวดให้พรก็กังวานไปทั่วบริเวณ มนประนมมือ ใจที่เคยร้อนรุ่มคล้ายโดนน้ำเย็นสาด
"อยู่ต่อก่อนนะ แม่จะกรวดน้ำด้วย"
รัศมีชะโงกหน้าจากหัวแถวมาดูพฤติกรรมของลูกชายพลางกดปากขวดน้ำแร่จนน้ำใสไหลรินลงบนถ้วย
"แตะศอก"
เลิศดุคุณหนูคนเล็กเมื่อเห็นว่าสายบุญขาดช่วง
"หา"
"แตะศอก"
มนลุกลี้ลุกลนจนคว้าเข้าที่ชายเสื้อเชิ้ตแสนรุ่มร่ามของนายเลิศก่อนเงยหน้าขึ้นสบตาหมาบ้าข้างกายที่ขู่เขาไม่เว้นวัน
"ไอ้เลิศ"
มนพัทธ์กัดฟันกรอดกับเจ้าของสัมผัสร้อนที่ปลายนิ้ว เขาอดรนทนรอจนรัศมีสวดบทกรวดน้ำแบบสั้นเสร็จก็เดินปึงปังเข้าไปในตัวบ้าน ไม่สนว่าผู้เป็นมารดาจะร้องเรียกชื่อของตนเองดังแค่ไหน มนเหม็นขี้หน้านายเลิศ เหม็นขี้หน้าคนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าแต่กลับกลายเป็นคนออกคำสั่งราวกับเป็นพี่ชาย
"มนพัทธ์"
เด็กหนุ่มชะลอฝีเท้า เขาหันกลับไปด้านหลัง เอียงคอเล็กน้อยคล้ายลูกสุนัขที่งุนงงว่าใครขานชื่อของมัน
"มนพัทธ์"
เจ้าของบ้านตัวน้อยขนลุกซู่ เสียงแหลมแสนเย็นยะเยือกที่เขาไม่คุ้นหูดังลอดออกมาจากประตูด้านข้างที่เชื่อมติดกับห้องครัว ทางเดินตรงนั้นมืดสนิทเด็กหนุ่มกลืนน้ำลาย ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น ขาแข้งที่เริ่มสั่นเทาค่อยๆ ก้าวลงจากบันไดหมายจะกลับไปรวมกลุ่มกับก๊วนนักบุญ แต่ทันใดนั้นพลันมีเรี่ยวแรงมากมายมหาศาลชนเข้าที่ด้านหลัง มันผลักมนพัทธ์ลงจากขั้นบันไดชั้นบนสุดจนร่างเล็กลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้น
Comments (0)