1 ตอน ฉาย
โดย dnim
"เสียใจด้วยครับพี่"
เสียงแหบพร่าดังขึ้นเรียกสติให้ เลิศ หันกลับไปสนใจแขกร่วมงานที่กำลังยื่นซองสีขาวให้ ดวงตาปูดบวมกะพริบถี่ นี่นับเป็นคืนที่สามแล้วที่ชายหนุ่มนอนหลับได้ไม่สนิทนัก เขาใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งเพ่งพินิจว่าผู้ชายรูปร่างท้วมตรงหน้าเป็นใคร เมื่อพบว่าเป็นรุ่นน้องของ ฉาย ชายหนุ่มก็ร้องตอบในลำคอ
"อืม"
เลิศเลื่อนซองที่ได้รับมาให้กับหลานสาวที่นั่งอยู่ด้านข้างก่อนจะหยิบด้ายสีแดงเส้นหนึ่งส่งให้แขกของวันนี้
"อาเลิศพักก่อนก็ได้นะคะ เรื่องรับแขกฟ้าจะดูแลเอง"
หญิงสาวที่หน้าตาดูละม้ายคล้ายกับ ฉาย ขันอาสา วันนี้เธอเห็นอาเขยของเธอวิ่งวุ่นกับการจัดการงานศพทั้งวัน ต่อให้จะเป็นคุณยายหรือคุณป้าเรียกให้ไปทานข้าวทานปลาเขาก็ไม่ยอมฟัง ปราการสุดท้ายคงจะหนีไม่พ้นหลานสาวอย่างเธอ
"ไม่เป็นไร"
เลิศตอบอย่างเลื่อนลอย วันนี้มีคนมากหน้าหลายตาเข้ามาพูดหว่านล้อมให้เขางีบบ้าง ทานข้าวบ้าง จนคนฟังรู้สึกหนวกหู โดยปกติแล้วจะมีเพียงแค่ฉายเท่านั้นที่ใส่ใจกับมื้ออาหารของเขา พอมาวันนี้กลับมีแต่เสียงของคนอื่นเลิศจึงยิ่งทุกข์ใจ
"แต่ฟ้ายังไม่เห็นอาเลิศทานอะไรเลยนะคะ คุณยายก็เป็นห่วง คุณป้าก็เป็นห่วงอาเลิศกันทั้งนั้นเลยค่ะ"
"อาไม่หิวจริงๆ "
ชายหนุ่มปฏิเสธความเป็นห่วงเป็นใยและพยายามที่จะฉีกยิ้มให้หลานสาวคลายกังวล แต่กลับกลายเป็นว่าแม้แต่มุมปากจะยกยิ้มก็ทำได้อย่างยากลำบาก
“พอเป็นคืนสุดท้ายแล้วอากาศเย็นจังเลยนะคะ”
ฟ้าพูดขึ้นพร้อมยกมือลูบไล้ไปตามต้นแขน
บรรยากาศด้านนอกศาลานั้นมืดสนิท มองเห็นเพียงแสงไฟสลัวจากกุฏิพระสงฆ์เท่านั้น หากไม่มีเหตุจำเป็นให้จับจ้องสิ่งใดเธอจะไม่มองออกไปไกลกว่าใต้ศาลานี้เป็นเด็ดขาด เพราะเธอกลัวเหลือเกินว่าสิ่งที่จะพัดผ่านมาพร้อมกับลมเอื่อยๆ นั้นอาจไม่ใช่คน
คนเป็นอานิ่งเงียบ ชายหนุ่มเองก็มีความเห็นไม่ต่างกันว่าคืนนี้อากาศเย็นกว่าคืนไหนๆ แต่เขากลับไม่หวาดกลัวต่อสิ่งเหนือธรรมชาติใด คิดเพียงว่า ดีเสียอีก ฉายจะได้มาหา เลิศคิดถึงเสียงของฉาย คิดถึงเวลาที่เสียงเจื้อยแจ้วนั้นคอยปลอบโยน และนับจากนี้ต่อไปเขาจะไม่ได้ยินมันแล้ว
อีกไม่กี่นาทีพระประจำวัดทั้งสี่รูปจะเริ่มสวดอภิธรรม แต่เจ้าภาพอย่างเลิศกลับยังคงนั่งเหม่อลอยถึงวันวานที่เขามีภรรยาเป็นคู่ใจจนอดีตแม่ยายต้องเข้ามาสะกิดเข้าที่แขน
“พระมาแล้ว รีบไปจุดธูปเทียนเร็ว”
ชายหนุ่มขยับตามคำสั่ง เขาเลื่อนเก้าอี้พลาสติกออกจากตัว เดินดุ่มๆ เข้าไปนั่งด้านในศาลาพร้อมกับดึงธูปเจ็ดดอกออกมาจุด สามดอกแรกเขาส่งให้คุณพ่อ อีกสามดอกเขาส่งให้คุณยาย ส่วนดอกสุดท้ายเป็นของเขา
เลิศยกสองมือขึ้นประนม เงยหน้ามองรูปสองสีที่ตั้งอยู่ด้านหน้าโลงสีขาวทองที่ประดับประดาไปด้วยดอกไม้
ฉาย
ชายหนุ่มพูดในใจ
พระมาแล้วนะ
เขาพูดกับรูปแทนของภรรยาเพียงแค่ห้าพยางค์ก่อนจะรีบปักธูปลงบนกระถาง จากนั้นก็คลานถอยกรูดกลับไปชิดริมขอบประตู ราวกับกลัวว่าผู้หญิงในรูปจะเห็นน้ำตาที่กำลังคลอหน่วยเข้า เลิศนั่งนิ่งเป็นรูปปั้นอยู่นานสองนาน ปริปากพูดบ้างหากมีใครผ่านมาทักถาม
ฉายโชคร้ายจัง
แล้วใครรับผิดชอบเนี่ย?
เลิศได้ยินคำห่วงใยมานับไม่ถ้วน
ในโลกของเลิศ ภรรยาคนสวยของเขายังคงกำลังเดินทางกลับลพบุรี ฉายยังไปได้ไกลไม่ถึงไหนเพราะครั้งสุดท้ายที่คุยกันผ่านทางโทรศัพท์ เธอบอกว่า รถทัวร์จอดแวะปั๊ม และจากนั้นต่อมาตำรวจก็ใช้โทรศัพท์ของฉายโทรเข้ามาหา เลิศไม่ได้ยินเสียงของฉายอีกต่อไปแล้ว มีเพียงเสียงของนายตำรวจคนนั้นพูดกรอกหูเขาว่า รถบัสประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำ เสียชีวิตยกคัน เขาเพิ่งมาคิดได้ว่า ฉายจะไม่มีวันกลับมา ในวันที่มีควันไฟสีดำลอยสูงออกจากปล่อง และวันนั้นเป็นวันแรกที่ชายหนุ่มร้องไห้ออกมาเหมือนกลับกลายเป็นเด็กทารก
“เห็นรึยังคนสวนที่มาใหม่ หล่อเนอะ ไม่รู้ว่าอายุเท่าไหร่”
เสียงเซ็งแซ่ดังลอดออกมาจากในห้องครัวจน คุณคนเล็ก ของบ้านที่กำลังเดินผ่านมาอดไม่ได้ที่จะแนบหูเข้าไปฟัง
“ตัวก็สู๊งสูง หน้าตาก็ล้อหล่ออย่างกับดาราเลย”
สาวใช้ที่เขาจำชื่อไม่ได้ยกมือข้างหนึ่งขึ้นจับแก้มพร้อมบิดตัวไปมาอย่างเขินอาย
“มีเมียรึยังก็ไม่รู้” หมาย คนขับรถรีบขัด
“โอ๊ย พี่หมายนี่ล่ะก็ ไม่ขัดฉันซักวันจะตายมั้ย”
“ก็ข้าพูดจริงนี่หว่า หรือเอ็งอยากไปเป็นเมียน้อยเขาล่ะ”
คนฟังลุกขึ้นตบเข้าที่โต๊ะหนึ่งฉาดก่อนจะโก่งคอเตรียมจะเปิดศึกน้ำลาย แต่ทันใดนั้นปลายตากลับสังเกตเห็นรองเท้าสลิปเปอร์สีน้ำเงินเข้มที่เธอจำได้ขึ้นใจว่ามีเพียงเจ้านายอย่าง มนพัทธ์ เท่านั้นที่ใส่โผล่ออกมาจากขั้นบันได หญิงสาวจึงสงบลง
“อุ๊ย คุณมน”
คนสามคนที่อยู่ในห้องครัวพากันแตกตื่น รีบซุกขนมขบเคี้ยวราคาแพงไว้ด้านหลัง
“หิวเหรอคะ อยากทานอะไรเป็นพิเศษมั้ยคะ”
คนถูกถามยิ้มเจื่อน เขาไม่ได้วางแผนสำหรับการถูกจับได้ เด็กหนุ่มยกนิ้วชี้ขึ้นเกาปลายคิ้วแก้เขินก่อนจะตอบออกไปว่า ไก่ทอด เพื่อให้เหล่าลูกจ้างสบายใจว่าจะไม่ถูกตำหนิเรื่องที่กำลังพูดคุยกันอยู่
“เมื่อกี้พูดถึงใครอยู่เหรอ” มนพัทธ์ถาม
“คนสวนคนใหม่ค่ะ ลุงใหญ่แกลาออกกลับไปทำสวนมะม่วงที่บ้านแกต่อ กว่าคุณท่านจะหาคนมาแทนได้นี่เล่นเอาเหนื่อยเลยนะคะ”
“ขนาดนั้นเลย”
“แหม ก็บ้านคุณมนทั้งใหญ่ทั้งกว้างแบบนี้ เป็นแตง แตงก็ไม่อยากทำหรอกค่ะ”
“อีแตง!” หญิงวัยกลางคนอีกคนรีบปราม
เด็กหนุ่มแสร้งฉีกยิ้มให้อีกหน เขากล่าวเพียงว่า ศาลากลางแจ้งนะ พร้อมเดินลากรองเท้าใส่ในบ้านคู่โปรดไปกับกระเบื้องหินอ่อน หลังจากกลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านของตัวเองได้เพียงสามเดือนมนพัทธ์ก็พอจะเข้าใจว่าทำไมการมีลูกจ้างเข้ามาทำงานใหม่ถึงได้เป็นเรื่องตื่นอกตื่นใจของเหล่าสาวใช้นัก
เหตุก็คงเพราะเงื่อนไขในการสมัครงานระบุชัดเจนว่าลูกจ้างทุกคนจะต้องใช้ชีวิตกินอยู่หลับนอนในบ้านหลังโตแห่งนี้ไปจนกว่าจะหมดสัญญาจ้าง และนั่นเป็นเหตุผลมากพอที่ทำให้สาวใช้อย่างแตงตื่นเต้น
ขณะกำลังเพลิดเพลินกับการจินตนาการหน้าตาของคนสวนคนใหม่ที่แตงย้ำนักย้ำหนาว่าหล่อเหลาเหมือนดารา สายตาของมนพัทธ์ก็สบเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่งที่เดินหายวับเข้าไปด้านหลังของสระว่ายน้ำ
“หือ” เด็กหนุ่มครางในลำคอ
มนพัทธ์มั่นใจว่าเขาพูดอย่างชัดเจนว่าต้องการทานไก่ทอดที่ศาลากลางแจ้ง แล้วทำไมหญิงสาวที่ใส่ท่อนบนสีขาวเหมือนกับเครื่องแบบของสาวใช้ถึงได้เดินหลบเลี่ยงไปอีกทิศ
“พี่แตง!” มนพัทธ์ตะโกน
เขารอให้มีเสียงตอบกลับอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ไร้วี่แวว เด็กหนุ่มจึงหย่อนขาลงจากม้านั่งก่อนจะเดินตามสาวใช้คนนั้นไปยังเส้นทางด้านหลังสระว่ายน้ำ โดยปกติแล้วมนพัทธ์มักจะใช้อีกเส้นทางหนึ่งเดินไปยัง โถงกระจก มากกว่าจะเดินผ่านทางแคบๆ ที่ปูด้วยหินก้อนยักษ์ที่เหลือจากการจัดส่วนอย่างเส้นทางนี้ เพราะมันถูกทำขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อสาวใช้และคนงานภายในบ้านหากต้องการเดินไปไหนต่อไหนโดยที่ไม่ต้องผ่าน คนอย่างเขา
บ่ายนี้มนพัทธ์หิวโซ เขาไม่ต้องการรอให้สาวใช้ยกจานอาหารไปมา หากเพื่อไก่ทอดรสโอชาแล้วเขาสามารถปรับเปลี่ยนสถานที่รับประทานได้เสมอ จะเป็นที่โถงกระจกหรือศาลากลางแจ้งเขาก็ทานได้ทั้งนั้น แต่การเดินหาสาวใช้คนที่ว่ากลับทำได้ยากอย่างเหลือเชื่อ เด็กหนุ่มตะโกนอยู่นานสองนานจนลำคอแห้งผากแต่ก็ไม่มีสาวใช้คนใดได้ยินเสียงของเขา
“พี่แตง มนหิวแล้วนะ เอาไก่ออกมาเถอะ”
คุณคนเล็กบ่นกระปอดกระแปดจนในที่สุดก็เจอหลังไวๆ ของหญิงสาวคนนั้นยืนอยู่ใต้ต้นลีลาวดี มนพัทธ์ทำท่าจะตะโกนชื่อของเธออีกหนแต่ก็ถูกขัดจังหวะด้วยคนตัวสูงชะลูดที่กำลังยืดตัวขึ้นจับก้านดอกของลีลาวดีเอาไว้
ใครน่ะ
เด็กหนุ่มคิดอยู่ในใจ ฉับพลันหญิงสาวที่มนพัทธ์เดินตามมาอย่างไร้จุดหมายก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ ชายหนุ่มคนนั้น และนั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่เธอใช้นิ้วมือสีซีดชี้มาที่เขา
“ทำไมมาอยู่ตรงนี้ล่ะลูก” มนพัทธ์สะดุ้ง
เขาหันกลับไปที่ต้นเสียงก็พบว่าเป็นมารดาของตัวเองจึงรีบเข้าไปสวมกอด
“เป็นอะไรจ๊ะ”
คนเป็นแม่ยกมือขึ้นลูบเรือนผมแก้วตาดวงใจอย่างงุนงง ลูกชายคนเล็กแสดงท่าทีลุกลี้ลุกลนมองสลับต้นลีลาวดีกับผู้ให้กำเนิดรวดเร็วจนคอแทบเคล็ด
“มนเห็นผี”
เด็กหนุ่มพูดเสียงสั่นเครือพร้อมขนอ่อนที่พากันลุกเกรียว
“ผีอะไรลูก กลางวันแสกๆ จะไปมีผีได้ยังไง”
ใบหน้าของมนพัทธ์ซีดเผือก ตัวสั่นงันงกคล้ายลูกนกที่ตกจากรัง
“มนเห็นผีจริงๆ มนเดินตามเขามา”
“ไปกันใหญ่แล้วมน แม่เห็นก็มีแค่หนูกับนายเลิศ”
“ใครนะครับ” มนพัทธ์ถามซ้ำ
“คนสวนใหม่บ้านเราจ้ะ ชื่อเลิศ”
Comments (0)