9 ตอน คำถามที่ 8 ; ถ้าเธอต้องเขียนหนังสือออกมาหนึ่งเล่ม เธอคิดว่าจะเขียนอะไรงั้นเหรอ
โดย ณาลิ
คำถามที่ 8
ถ้าเธอต้องเขียนหนังสือออกมาหนึ่งเล่ม เธอคิดว่าจะเขียนอะไรงั้นเหรอ
-
-เธอ-
ถึงจะเป็นคนที่ตั้งคำถามเอาเองก็เถอะ แต่ว่าถ้าจะต้องเขียนหนังสืออะไรสักอย่างด้วยตัวเอง
ฉันเองก็ไปต่อไม่ถูกอยู่เหมือนกัน
ฉันไม่แน่ใจว่า ฉันจะอยากเขียนอะไร ฉันชอบหนังสือนะ พวกนิยายน่ะ แต่พอคิดว่าต้องเขียนขึ้นมาจริง ๆ ก็มีหลายอย่างที่ต้องคิดแล้วก็กังวลขึ้นมาล่ะ
มันจะดำเนินเรื่องแบบไหนกันนะ มีใครเป็นตัวละครหลัก มีวายร้ายเป็นใครกัน มีใจความที่อยากจะพูดเป็นอะไรกันนะ ฉันคิดว่าเรื่องพวกนี้มันเยอะแยะ แล้วก็ยากเอาการเลยล่ะ แต่ว่าของพวกนั้นมันจำเป็นสำหรับเรื่องที่สนุกใช่ไหมล่ะ
เพราะฉะนั้น ถ้าจะไม่คิดถึงเลยก็คงไม่ได้
มันดูเหนื่อยจนฉันคิดว่า ถ้าเปลี่ยนเป็นเรื่องเล่าของตัวฉันแทนล่ะ หนังสือแบบนั้นจะเป็นหนังสือแบบไหนกันนะ
ฉันไม่เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับชีวิตของคนที่ประสบความสำเร็จพวกนั้นหรอก ฉันไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นเท่าไร พวกเรายังเด็กเกินกว่าจะคิดเรื่องทำยังไงถึงจะร่ำรวยกันนะ ฉันก็เลยไม่เคยคิดจะสนใจ
พอคิดแบบนั้นแล้วก็สงสัยขึ้นมาว่า อ๊ะ ถ้าอย่างนั้น ถ้าฉันจะต้องเป็นคนที่เขียนหนังสือของตัวเอง เขียนเรื่องเกี่ยวกับตัวเองขึ้นมาบ้าง หนังสือแบบนี้จะต้องพูดถึงอะไรบ้างล่ะ
ฉันไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากมาย
หมายถึง ฉันเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เรื่องน่าตื่นเต้นที่สุดที่เคยผ่านมาอาจเป็นการที่ได้เปลี่ยนจากการใช้ดินสอในการเขียนหนังสือไปเป็นปากกา หรือไม่ก็เรื่องที่ค่าขนมเพิ่มจากสามสิบบาทกลายเป็นสี่สิบแล้ว แต่ว่าพวกเราที่ไม่ต้องซื้อข้าวกลางวันเอง มันก็เลยเป็นเงินที่มีไว้ซื้อไอติมโดยเฉพาะยังไงล่ะ
ดังนั้น (ฉันยังไม่หลุดประเด็นหรอกนะ) ฉันไม่คิดว่าเรื่องพรรค์นี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ หมายถึง อาจจะไม่มีใครสนใจจะซื้อหนังสือพวกนี้ไปอ่าน แม้แต่ฉันเองก็อาจจะไม่เหมือนกัน
ฉันไม่คิดว่าคนเราจะชอบเรื่องธรรมดา ๆ สักเท่าไร พวกคนส่วนใหญ่น่ะนะ เทียบกันแล้ว พวกเรื่องการล้มลุกคลุกคลานกว่าจะประสบความสำเร็จคงสนุกมากกว่าเด็กที่นั่งหน้าชั้นแล้วก็ตั้งใจเรียนจนทำได้ตามที่ควรจะทำ
เรื่องพวกนี้มันไม่สนุกสักนิดหรอก เหมือนกับว่าคนพวกนี้จะพยายามน้อยกว่า แล้วก็ประสบความสำเร็จได้ง่าย ๆ ในความคิดของพวกเขา
แต่ฉันรู้ว่ามันไม่จริงหรอก
หมายถึง คิดว่าน่ะนะ
ถึงฉันจะทำคะแนนสอบได้ค่อนข้างโอเคมาตลอด (ฉันจะไม่ใช่คำว่าดี มันฟังดูขี้อวดไปหน่อย) แต่มันไม่ได้หมายความว่าฉันไม่พยายาม ไม่ได้หมายความว่าเส้นไหมที่เป็นที่หนึ่งของชั้นเรียนไม่ต้องพยายามตั้งใจเรียน แต่ผู้คนส่วนใหญ่คงไม่เข้าใจเรื่องพวกนั้นนักหรอก
พอทำได้ดีมาตลอด มันก็ดูเหมือนง่ายที่จะทำได้ดีอีกใช่ไหมล่ะ แต่ความจริงน่ะ มันยากมาตั้งแต่แรก แล้วก็ยากมาตลอด เพราะสิ่งที่เราต้องต่อสู้ด้วย มันไม่ได้มีแค่เราเอง แต่ยังเป็นความคาดหวังของคนอื่นด้วย
อะไรแบบนั้นมันออกจะเหนื่อยไปหน่อยนะ เธอไม่คิดแบบนั้นเหรอ
อ๋า ฉันว่าฉันหลงประเด็นซะแล้วสิ ยากชะมัด
เอาล่ะ กลับเข้าเรื่อง
อย่างที่ว่า ผู้คนคิดว่าสิ่งที่ฉันทำเป็นปกติ ที่เธอทำทุกวัน ที่เส้นไหมทำจนเป็นนิสัย อะไรพวกนั้นเป็นเรื่องง่าย ๆ แล้วก็มองข้ามไปว่ามันไม่ใช่เรื่องตื่นเต้นอะไร พวกเราก็คงเป็นแค่เรื่องราวทั่วไปที่เอาไปพิมพ์เป็นหนังสือไม่ได้ล่ะนะ ฉันคิดอย่างนั้น
แต่ว่า คำถามของฉันก็ไม่ได้บอกว่าเราต้องหนังสือที่ขายได้นี่นา
พอคิดอย่างนั้นแล้ว มันก็อาจจะไม่ใช่หนังสือที่แย่ก็ได้นะ แต่ว่าฉันก็ยังไม่ได้คิดอยากจะเปิดอกเล่าเรื่องของตัวเองให้ใครฟังมากมายอย่างที่เรากำลังทำอยู่ตอนนี้หรอก
อ๊ะ มาคิดอีกที ตัวฉันที่เปิดหนังสือเล่มนี้อ่านก็คงจะนับเป็นคนอื่นได้หรือเปล่านะ เธอในวันนั้นก็คงไม่ใช่เด็กน้อยที่เอาแต่เขียนอะไรยาวยืดน่าเบื่อแบบนี้แล้วก็ได้
พวกเธอ ทั้งฉันในวันพรุ่งนี้ แล้วก็เธอในอนาคตด้วย เป็นคนกลุ่มพิเศษเลยนะที่ได้อ่าน เจ้าพวกนี้น่ะ แล้วก็หวังว่าจะไม่หัวเราะใส่ความ- น่าอายของมันนะ เพราะมันก็คงน่าเขินอยู่หรอก
โอเค กลับมาพูดเรื่องหนังสืออีกที
ถึงจะพูดอย่างอื่นไปยืดยาว แต่สุดท้ายฉันคิดว่าอาจจะเขียนนิยายก็ได้นะ ถ้าจำเป็นต้องเขียนอะไรจริง ๆ
หรือถึงจะไม่จำเป็น ก็อาจจะเขียนก็ได้
ฉันไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะความชอบหรือเปล่านะ มันก็แค่มีความคิดหนึ่งในหัวกำลังบอกว่าเขียนดูสิ เขียนออกมาสิ เขียนออกมาเลย เรื่องเพ้อ-เจ้อที่อยู่ในหัวพวกนั้นน่ะ ฉันก็เลยรู้สึกว่า ถ้าจะต้องเขียนอะไรสักอย่างละก็ มันคงจะเป็นนิยาย ถึงจะมีหลายอย่างให้ต้องคิดจนน่าเหนื่อยหน่าย แต่ฉันก็อาจจะชอบทำมันมากกว่าที่คิดล่ะมั้ง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวละครเอกที่เท่สุด ๆ จืดสุด ๆ สวยแล้วก็น่ารักที่สุด จะแบบไหนก็คงไม่รู้ในตอนนี้หรอก แต่มันก็คงจะเป็นนิยายอยู่ดีนั่นแหละที่ฉันจะเขียนออกมา
ไม่คิดว่ามันจะออกมาดีหรอก แต่มันก็แค่หนังสือที่อยากจะเขียนใช่ไหมล่ะ
ตราบใดที่ยังอยากเขียนอยู่ เท่านั้นก็คงจะพอแล้วล่ะ สำหรับตอนนี้น่ะนะ
คำตอบของฉันในเรื่องนี้คงเป็นเจ้านี่ล่ะมั้ง
ที่ว่าฉันคงเขียนนิยาย ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรก็ตาม แต่ฉันก็หวังว่าตัวฉันตอนที่เขียนจะรู้สึกอยากพูดอะไรสักอย่างถึงมันจริง ๆ เท่านั้นก็พอแล้วล่ะ
ฟังดูเข้าใจยากจังนะ แต่เธอที่อ่านอยู่อาจจะเข้าใจมันมากขึ้นกว่าที่ฉันกำลังคิดในตอนนี้ก็ได้มั้ง
เอาเป็นว่าไว้เจอกันใหม่แล้วกันนะ
-ฉัน-
ฉันไม่ใช่คนที่ชอบอ่านหนังสือเท่าไร เธอรู้เรื่องพวกนี้ดีอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ แล้วก็ยังจะถามคำถามแบบนี้อีก อะไรแบบนี้ เขาเรียกกันว่าจงใจนี่นา
ใช่ นี่มันจงใจชัด ๆ เลย
แต่ว่านะ ฉันไม่คิดจะยอมแพ้แค่เพราะรู้จักหนังสือน้อยกว่าหรอก ถึงจะเป็นคนที่ไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไร แต่ถ้าพยายามแล้วละก็ ฉันเชื่อว่าฉันจะทำมันจนได้อยู่ดีแหละ ถึงจะไม่ดีเท่ากับเธอก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะฉันทำเต็มที่ที่สุดของฉันแล้ว อะไรแบบนั้นแหละ
แต่คำถามของเธอก็คือจะเขียนอะไรใช่ไหมล่ะ นั่นมันตอบยากสุด ๆ ไปเลยนี่นา!!
ในหัวของฉันนึกถึงหนังสือนิทาน นึกถึงหนังสือการ์ตูน นึกถึงหนังสือเรียน หรือไม่ก็หนังสือที่เต็มไปด้วยคำพูดเท่ ๆ แบบที่เห็นในร้านหนังสือบ่อย ๆ หรือไม่ก็นิยายที่เธอชอบนั่งอ่านอยู่ข้าง ๆ กันตอนที่เรากำลังเล่นสนุกช่วงพักกลางวัน
แต่ว่าฉันไม่ค่อยได้อ่านมันเท่าไร ส่วนใหญ่ที่อ่านก็เพราะว่าเธอให้ยืมมาลองดูทั้งนั้นเลย
เทียบกันแล้ว…
พอมานึกแบบนี้แล้ว
ก็สงสัยขึ้นมาเลยล่ะว่า นี่ปกติฉันใช้เวลาในแต่ละวันไปกับอะไรกันนะ
เวลาที่เธอกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ ฉันกำลังทำอะไรกันนะ แต่จะคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก หรือเพราะว่าไม่ได้ทำอะไรเลยงั้นเหรอ
ฉันคิดว่ามันอาจเป็นตอนที่ฉันวิ่งเล่น ไม่ก็อาจจะเป็นเวลาเดียวกับที่เล่นตั้งเต หรือไม่ก็ตอนที่ฉันช่วยครูเก็บลูกหมาที่ออกมาเดินเล่นหลังจากกินข้าว คงจะเป็นอะไรพวกนั้นล่ะมั้ง ฉันเองก็ไม่แน่ใจเท่าไรเหมือนกัน
มันจะกลายเป็นเวลาที่ผ่านไปอย่างสูญเปล่าหรือเปล่านะ จู่ ๆ คำถามนี้ก็กระโดดเข้ามาในหัวเลยล่ะ
แต่ว่านะ พอได้ลองนั่งคิดกับตัวเองสักพักหนึ่งก็คิดว่าคงไม่หรอก ไม่ได้สูญเปล่าสักหน่อยนะ ขึ้นมา เพราะว่าที่จู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามันอาจจะสูญเปล่าขึ้นมาก็มาจากที่ฉันกำลังคิดจะทำแบบที่เธอกำลังจะทำนี่นา เขียนหนังสือน่ะ
แต่ถ้าพูดจริง ๆ แล้ว ถ้าไม่ต้องคิดเพราะโดนถาม การเขียนหนังสือไม่ใช่อะไรที่อยู่ในหัวของฉันตอนนี้เลย ก็เลยคิดว่า อ๊า ฉันใช้เวลาอย่างเปล่าประโยชน์ นั่นน่ะ เป็นแค่ภาพลวงตาที่ฉันคิดขึ้นมาเองนี่นา
ฉันไม่ได้กำลังใช้เวลาอย่างเปล่าประโยชน์หรอก มันแค่ไม่ใช่การใช้เวลาแบบที่ช่วยให้ทำสิ่งที่ต้องทำได้ แบบเธอเท่านั้นเอง
พอพูดแบบนี้ก็ไม่แน่ใจว่าจะเข้าใจไหมขึ้นมาเลยแฮะ
แบบว่า เพราะตอนนี้เราต้องเขียนหนังสือ ฉันก็เลยคิดเอาเองว่า ถ้าใช้เวลาว่างอ่านนิยายแบบที่เธอชอบทำละก็ อะไรแบบนั้นก็คงจะมีประโยชน์มากกว่าใช่ไหมล่ะ แต่ว่าไอ้การเขียนหนังสือน่ะ มันเป็นสิ่งที่ฉันต้องทำ ไม่ใช่สิ่งที่ฉันชอบทำนี่นา
การจะตัดสินใจว่าเรากำลังเสียเวลาไปเปล่า ๆ
หรือเปล่าจากสิ่งที่ต้องทำ ไม่ใช่เพราะชอบทำมันน่าเสียดายนะ สำหรับฉันน่ะ
เหมือนกันกับการอ่านหนังสือสอบนั่นแหละ มันจะมีเวลาที่เราคิดขึ้นมาว่า ถ้าเอาตอนนี้ไปอ่านหนังสือสอบก็คงจะดีหรอกนะ แต่ว่าเราต้องทำคะแนนสอบให้ดีตามที่พวกผู้ใหญ่ชอบบอก ไม่ใช่อยากจะทำคะแนนสอบให้ดีด้วยตัวเองจริง ๆ นี่นา
ฉันคิดว่ามันอาจจะเป็นความรู้สึกอย่างนั้น เพราะฉะนั้นฉันเลยคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรอก แล้วก็ต่อให้สิ่งที่จำเป็นจะต้องทำในตอนนี้คือการเขียนหนังสือ ฉันก็ไม่อยากจะคิดว่า การช่วยคุณครูพาน้องหมาเข้ากรงเป็นเรื่องที่เสียเวลาอยู่ดี (แต่มันเหนื่อยสุด ๆ ไปเลยล่ะ เจ้าพวกตัวเล็กนั่น วิ่งกันเก่งสุด ๆ เลย)
ดังนั้น!! (เธอคิดว่า ฉันพูดนอกเรื่องไปเรื่อยล่ะสิ แต่ไม่ใช่หรอกนะ) ฉันคิดว่า ถ้าจะต้องเขียนอะไรละก็ มันจะเป็นเรื่องของฉันเองนั่นแหละ
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเราจะเรียกสิ่งนั้นว่านิยายงั้นเหรอ หรือว่าไดอารี่กันล่ะ ฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นหนังสืออัตชีวประวัติของมนุษย์สุดเท่หรืออะไรหรอกนะ (ฉันถามวิธีสะกดคำนี้จากพี่ชายแหละ) ก็แค่เป็นเรื่องของฉัน จากฉัน เพื่อใครสักคนที่อาจจะมองว่ามันน่าสนใจดี
ฉันคงเขียนเล่าเรื่องไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร บางทีมันอาจจะคล้าย ๆ กับสิ่งที่เราทำอยู่ก็ได้ ฉันชอบที่จะได้เขียนความคิดของพวกเราลงไปแบบนี้ มันอาจจะเข้าท่าบ้าง แปลก ๆ บ้าง แต่ฉันก็ยังคิดว่ามันเป็นเรื่องที่สนุกดี แล้วก็ชอบมันสุด ๆ ไปเลย
ถ้ามันเป็นหนังสือแบบนั้น เธอคิดว่าเราควรจะเรียกมันว่าอะไรเหรอ
หมายถึง เจ้านี่ที่เราเขียนแล้วก็อ่านกันอยู่นะ ถึงเราจะเรียกมันว่าบันทึก แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่าการตอบคำถามพวกนี้มันเป็นเรื่องอะไรที่ใช้คำว่า “บันทึก” ได้ไหม
มันอาจจะเป็นสมุดรวมคำตอบ แต่พอเรียกอย่างนี้แล้ว มันเหมือนหนังสือติวสอบเลยแฮะ
ตลกดีนะ แต่ฉันนึกชื่ออื่นให้มันไม่ออกจริง ๆ ล่ะน้า เพราะฉะนั้นเราคงต้องถือว่าเจ้านี่เป็นบันทึกไปก่อนแหละ
ใช่ ๆ
บันทึกของฉันกับเธอยังไงล่ะ
ฉันว่ามันจะเป็นหนังสือที่ดีนะ คำถามที่เธอถามน่ะ มันเหมือนว่าเรากำลังทำมันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ เขียนหนังสือสักเล่มที่เป็นของเราน่ะ
อืมมมม ฉันคิดว่าเจ้านี่พอจะนับเป็นคำตอบได้แล้วแหละ ได้สิ ได้แน่นอน
เพราะฉะนั้นฉันจะจบเอาไว้ตรงนี้!
คุณแม่เรียกไปกินข้าวแล้วแหละ แม่บอกว่าวันนี้มีพะโล้ ฉันต้องรีบไปก่อนที่ไข่ต้มจะหมด พี่ชายชอบแอบกินสามฟองทุกทีเลย เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รีบไปตักมาก่อน ต้องอดกินแน่ ๆ
ดังนั้น วันนี้ฉันจะจบไว้เท่านี้แหละ
บ๊ายบายนะ
-
โอเค!
คำถามรอบนี้ก็ตาฉันแล้ว
อืม ๆ เราถามอะไรที่มันยาก ๆ มาเยอะแล้ว ฉันคิดว่ารอบนี้คงจะต้องเป็นอะไรง่าย ๆ บ้างแหละ อะไรง่าย ๆ อย่าง...
เจ้านี่แล้วกัน
เธอคิดว่า ถ้าจะต้องบอกว่าตัวเองเหมือนกับสีสีหนึ่ง เธอคิดว่าสีนั้นจะเป็นอะไรเหรอ
ไม่ยากใช่ไหมล่ะ ฉันจะรออ่านนะ!
#ถ้าวันนึงเธอหยิบมันมาอ่านอีกทีคงดีนะ
Comments (0)