6 ตอน ตอนที่ 6
โดย ชูเบล
เวลาผ่านไปชีวิตใบไผ่เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น เขาเริ่มชินกับชีวิตที่อยู่คนเดียวแล้ว ระหว่างนี้ก็มีคุณคิมแวะเวียนเข้ามาหาเขาบ่อยๆ จนสนิทกันระดับหนึ่งเลยก็ว่าได้
“พี่ไผ่!!” เสียงเรียกเขาดังขึ้นจนต้องละความสนใจจากงานที่ทำอยู่หันไปมอง เด็กหนุ่มเดินเข้ามาในร้านพร้อมกระดาษหนึ่งแผ่นที่เป็นตัวบอกผลชี้วัด
“พี่ดูสีผมผ่านทุกวิชาเลยนะ” เตพูดพลางยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้ใบไผ่
“เก่งนะเนี่ย”
มือเรียวพูดพลางลูบหัวอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู คนที่โดนลูบหัวเผยสีหน้าสดใสราวกับลูกหมาที่กำลังดีใจหายสะบัดไปมา
“เอาละ วันนี้ตกเย็นเราไปหาอะไรข้างนอกกินกัน”
“เย้ พี่จะเลี้ยงใช่มะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าเราต้องช่วยพี่ปิดร้านด้วยนะ”
“ได้เลยวันนี้ผมอยู่ได้ทั้งวันเลย” เตพูดพลางยิ้มตาหยีจนคนอายุเยอะกว่าเผลอยิ้มตามเพราะความสดใสของเด็กหนุ่ม
“วันนี้มีงานอะไรอีกบ้าง” ทันทีที่จัดการกองเอกสารที่พูนเต็มโต๊ะเกือบเสร็จเขาจึงเอ่ยถามลูกน้องที่กำลังนั่งเช็กงานอยู่
“ตอนบ่ายมีประชุมครับ”
“เลื่อนได้ปะ”
“ไม่ได้ครับมีแต่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ผมเกรงว่าพวกเขาจะไม่ชอบใจสักเท่าไหร่ถ้าคุณคิมไม่เข้าประชุม”
“เออ เข้าก็ได้” คิมเอ่ยด้วยความงอแงพลางก้มหน้าจัดการกับเอกสารของเขาต่อ
“งั้นหลังเสร็จประชุมพากูไปร้านดอกไม้หน่อย”
“ไปทำไมหรอครับ”
“อย่าถามมาก” ธันขานตอบรับและนำเอกสารบางส่วนจัดการต่อ
คุณคิมก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปเขาทำงานติดต่อกันมานานแล้วแทบจะไม่ได้หยุดพักเพราะแม่ของเขาขู่ว่าถ้าคิมไม่ตั้งใจทำงานจะยกบริษัทนี้ให้คนอื่น คิมเลยจำใจต้องตั้งใจทำงานเขาเองก็ไม่อยากเสียบริษัทนี้เหมือนกัน
ไม่นานเขาก็เคลียร์ตัวเองเสร็จ ช่วงนี้แม่ของเขาไม่ค่อยมายุ่งกับเขาแล้วด้วยเพราะถึงบังคับคิมยังไงคนหัวรั้นอย่างเขาน่ะไม่มีทางเชื่อฟังหรอก
เวลาล่วงเลยมาจนถึงตอนเย็นร่างสูงรีบเร่งมายังร้านใบไผ่ทันทีที่เสร็จงาน ดวงตาหมนสอดส่องเข้าไปในร้านแต่มีเพียงความมืดแถมชั้นบนที่เหมือนจะเป็นที่พักก็ปิดไฟสนิท
ราวกับไม่มีใครอยู่
“ปิดร้านแล้วหรอ” เขาพรึมพรำกับตัวเองแต่ก็ตัดสินใจลงจากรถเดินเข้าไปดูในร้าน
กริ๊งงงงง
“ประตูก็ไม่ได้ล็อกนิ..” คิมพูดทันทีที่เปิดประตูเข้ามา
“ใบไผ่...” เขาจำชื่อใบไผ่ได้ทันทีที่เดินเข้ามาในร้าน
“ไม่มีใครอยู่หรอ”
“คุณเองหรอ” ใบไผ่พูดขณะเดินออกมาจากหลังร้านเขาถือเทียนมาด้วยมันทำให้คิมหันต์ได้เห็นหน้าใบไผ่ชัดยิ่งขึ้น
“ถือดีๆ หน่อยจะเผาหน้าตัวเองละนั่น” ใบไผ่ยู่ปากทันทีที่ได้ยินแบบนั้นก่อนจะเดินเอาเทียนไปวางที่โต๊ะ
“คุณมีอะไรล่ะ หายหน้าหายตาไปตั้งนาน”
“คิดถึงผมหรอ” คนตัวสูงแอบหยอดมุกให้อีกฝ่าย
“ใครมันจะไปคิดถึงคุณก็จู่ๆ คุณดันโผล่มาตอนกลางคืน”
“ก็ผมเพิ่งว่างแล้วทำไมไม่เปิดไฟ”
“ไฟดับน่ะ” คิมหันต์ได้ยินแบบนั้นจึงหันไปมองบ้านข้างๆ ก็เห็นว่าไฟบ้านอื่นยังเปิดได้ปกติ แต่ทำไม...
คิดได้เขาก็เผลอพูดคำที่ใบไผ่ไม่อยากได้ออกมาเสียจนได้
“คุณไม่ได้จ่ายค่าไฟหรอ”
“....” ใบไผ่ชะงักทันทีที่ได้ยินแบบนั้น
“คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่า” คิมหันต์เอ่ย ใบไผ่กลอกตามาไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย
“ผมไม่ได้เดือดร้อนอะไร”
“แต่..”
“อย่าสงสารผมเลยมันยิ่งทำให้ผมไม่ชอบตัวเอง ผมดูแลตัวเองได้” ใบไผ่พูด
“แต่ถ้าคุณไม่มีจริงๆ”
“ต่อให้ผมไม่มีจริงๆ ผมก็ไม่ไปร้องขอคุณหรอกครับ ผมทำธุรกิจนะคุณขาดทุนบ้างมันก็เป็นธรรมดา คุณเองก็ทำนิ คุณน่าจะเข้าใจผมดี เดือนนี้ไม่มีเดือนหน้าอาจดีขึ้นก็ได้ อะไรๆ มันไม่แน่นอนหรอกครับ” ใบไผ่พูดขึ้นมาทำเอาคิมหันต์ไปต่อไม่เป็นเลย
“งั้นถ้าคุณลำบากอยากระบายกับใครสักคนใครนึกถึงผมเป็นคนแรกนะ”
“ครับ” คนตัวเล็กพูดพลางพยักหน้าหงึกหงักเป็นการตอบรับ
“ขอดอกไม้ให้ผมหนึ่งช่อสิ” คนตัวเล็กเผยสีหน้าสงสัยแต่ก็ยอมจัดช่อดอกไม้อย่างเรียบง่ายที่สุดให้
“ที่เคยบอกว่าอยากเป็นเพื่อนกับคุณผมพูดจริงๆ นะ”
“ผมว่าคุณอย่าเอาผมเข้าไปอยู่ในวังวนชีวิตคุณจะดีกว่า”
“นี่ก็ชอบปฏิเสธผมจังเลย” คนตัวเล็กหลุดขำออกมาเมื่อย้อนคิดเขาก็ปฏิเสธคุณคิมทุกประโยคจริงๆ
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะอยู่บนโลกใบนี้นานนักหรอกครับเพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากเจ็บปวดก็อย่ามาเป็นเพื่อนกับผม”
“ทำไมชอบใจร้ายกับตัวเองจังเลย มาถึงขนาดนี้แล้วจะกดดันตัวเองไปถึงไหน ใจดีกับตัวเองบ้างสิ”
“คุณรู้ไหมว่ายายผมเสียแล้ว”
“....”
“ผมไม่เหลือใครแล้วครับ” ใบไผ่พูด
“ผมไม่รู้เลย..เสียใจด้วยจริงๆ แต่ถึงยังไงคุณก็ต้องใช้ชีวิตของตัวเองต่อไป ผมบอกแล้วไงว่าผมจะเป็นเพื่อนของคุณเอง”
“แล้วจะเป็นไปตลอดรึเปล่า” คนตัวเล็กถาม
“อือ คอยดูสิ ผมจะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นไปอีกผมจะทำให้คุณมีความสุข”
กริ๊งงง
“คุณยังเปิดร้านนิ” ทันทีที่ประตูเปิดเผยให้เห็นร่างหนุ่มรูปงามที่แสนคุ้นเคย ทั้งสองคนต่างมองคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ด้วยไม่ละสายตา
“ซิง..”
“พี่คิม..คะคือ” ซิงกระอักกระอ่วนที่จะพูดแต่สุดท้ายก็พูดออกมา “ไหนๆ ก็เจอพี่แล้วผมขอคุยกับพี่หน่อยได้ไหม” คิมหันไปมองหน้าใบไผ่เชิงขออนุญาตทำไมเขารู้สึกผิดแบบนี้นะ คนตัวเล็กเผยยิ้มที่อ่อนโยนให้คิมหันต์จึงเดินออกไปนอกร้านโดยมีซิงเดินตามมาติดๆ
“มีอะไรจะพูดก็พูดมา”
“คือผมขอโทษ” อีกฝ่ายพูดขอโทษขณะกำลังหลุบตาต่ำไม่กล้าสบตา นั่นเพราะเขาได้ยินนมาแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรกับคิมหันต์บ้าง
“ช่วยพูดอะไรที่มันดีกว่าขอโทษได้ไหม”
“ผมรู้สึกผิดกับพี่ ผมรู้ว่าพี่พยายามฆ่าตัวตาย”
“มันผ่านมาแล้ว ฉันไม่ได้เจ็บปวดเพราะนายอีกแล้ว”
“งั้นหรอครับ ถ้าพี่เป็นอะไรไปผมคงให้อภัยตัวเองไม่ได้จริงๆ ขอโทษจริงๆ ครับ ผมคิดน้อยไป”
“วันนั้นอะพี่ลืมไปหมดแล้วเรื่องระหว่างเราก็ด้วย”
“ผม..”
“เลิกพูดขอโทษได้แล้ว” คิมหันต์แทรกขึ้นราวกับรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการพูดอะไร
“แล้วมีอะไรถึงมาที่นี่”
“อ๋อ ผมจะมาขอบคุณเขาที่ช่วยพี่เอาไว้ ผมได้ยินข่าวมาแบบนั้นน่ะ”
“อือ เข้าไปสิ ถ้าอยากขอบคุณก็อุดหนุนใบไผ่เขาสิ”
“ได้สิ พี่ไม่เข้าไปด้วยกันหรอ”
“พอดีมีธุระต้องไปเดี๋ยวนี้เลย ฝากบอกใบไผ่ด้วยแล้วกัน” คิมหันต์พูดจบก็เดินไปขึ้นรถตัวเองทันทีโดยที่ไม่หันหลังกลับมามองซิงเลยสักนิด
“พี่เกลียดผมขนาดนั้นเลยสินะ” ซิงพูดขณะมองตัวรถค่อยๆ เคลื่อนออกไปช้าๆ
“นายคิดมากอีกแล้วหรอครับ” ลูกน้องที่มองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างเขาเข้าใจดีว่าเกิดอะไรกับเจ้านายตัวเองเมื่อครู่
“.....”
“คิดอะไรอยู่หรอครับ สีหน้าคุณไม่ดีเท่าไหร่..”
“ก็คิด..” คิมพูดพลางมองออกไปนอกรถ
“ถ้าฉันไม่เคยรักเขาก็คงดี ฉันจะได้ไม่เจ็บ...” ธันถอนหายใจพลางขับรถไปเงียบๆ เพื่อให้เจ้านายได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง