เวลาผ่านไปชีวิตใบไผ่เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น เขาเริ่มชินกับชีวิตที่อยู่คนเดียวแล้ว ระหว่างนี้ก็มีคุณคิมแวะเวียนเข้ามาหาเขาบ่อยๆ จนสนิทกันระดับหนึ่งเลยก็ว่าได้

“พี่ไผ่!!” เสียงเรียกเขาดังขึ้นจนต้องละความสนใจจากงานที่ทำอยู่หันไปมอง เด็กหนุ่มเดินเข้ามาในร้านพร้อมกระดาษหนึ่งแผ่นที่เป็นตัวบอกผลชี้วัด

“พี่ดูสีผมผ่านทุกวิชาเลยนะ” เตพูดพลางยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้ใบไผ่

“เก่งนะเนี่ย”

มือเรียวพูดพลางลูบหัวอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู คนที่โดนลูบหัวเผยสีหน้าสดใสราวกับลูกหมาที่กำลังดีใจหายสะบัดไปมา

“เอาละ วันนี้ตกเย็นเราไปหาอะไรข้างนอกกินกัน”

“เย้ พี่จะเลี้ยงใช่มะ”

“แน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าเราต้องช่วยพี่ปิดร้านด้วยนะ”

“ได้เลยวันนี้ผมอยู่ได้ทั้งวันเลย” เตพูดพลางยิ้มตาหยีจนคนอายุเยอะกว่าเผลอยิ้มตามเพราะความสดใสของเด็กหนุ่ม

 

 

“วันนี้มีงานอะไรอีกบ้าง” ทันทีที่จัดการกองเอกสารที่พูนเต็มโต๊ะเกือบเสร็จเขาจึงเอ่ยถามลูกน้องที่กำลังนั่งเช็กงานอยู่

“ตอนบ่ายมีประชุมครับ”

“เลื่อนได้ปะ”

“ไม่ได้ครับมีแต่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ผมเกรงว่าพวกเขาจะไม่ชอบใจสักเท่าไหร่ถ้าคุณคิมไม่เข้าประชุม”

“เออ เข้าก็ได้” คิมเอ่ยด้วยความงอแงพลางก้มหน้าจัดการกับเอกสารของเขาต่อ

“งั้นหลังเสร็จประชุมพากูไปร้านดอกไม้หน่อย”

“ไปทำไมหรอครับ”

“อย่าถามมาก” ธันขานตอบรับและนำเอกสารบางส่วนจัดการต่อ

คุณคิมก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปเขาทำงานติดต่อกันมานานแล้วแทบจะไม่ได้หยุดพักเพราะแม่ของเขาขู่ว่าถ้าคิมไม่ตั้งใจทำงานจะยกบริษัทนี้ให้คนอื่น คิมเลยจำใจต้องตั้งใจทำงานเขาเองก็ไม่อยากเสียบริษัทนี้เหมือนกัน

ไม่นานเขาก็เคลียร์ตัวเองเสร็จ ช่วงนี้แม่ของเขาไม่ค่อยมายุ่งกับเขาแล้วด้วยเพราะถึงบังคับคิมยังไงคนหัวรั้นอย่างเขาน่ะไม่มีทางเชื่อฟังหรอก

 

 

เวลาล่วงเลยมาจนถึงตอนเย็นร่างสูงรีบเร่งมายังร้านใบไผ่ทันทีที่เสร็จงาน ดวงตาหมนสอดส่องเข้าไปในร้านแต่มีเพียงความมืดแถมชั้นบนที่เหมือนจะเป็นที่พักก็ปิดไฟสนิท

ราวกับไม่มีใครอยู่

“ปิดร้านแล้วหรอ” เขาพรึมพรำกับตัวเองแต่ก็ตัดสินใจลงจากรถเดินเข้าไปดูในร้าน

กริ๊งงงงง

“ประตูก็ไม่ได้ล็อกนิ..” คิมพูดทันทีที่เปิดประตูเข้ามา

“ใบไผ่...” เขาจำชื่อใบไผ่ได้ทันทีที่เดินเข้ามาในร้าน

“ไม่มีใครอยู่หรอ”

“คุณเองหรอ” ใบไผ่พูดขณะเดินออกมาจากหลังร้านเขาถือเทียนมาด้วยมันทำให้คิมหันต์ได้เห็นหน้าใบไผ่ชัดยิ่งขึ้น

“ถือดีๆ หน่อยจะเผาหน้าตัวเองละนั่น” ใบไผ่ยู่ปากทันทีที่ได้ยินแบบนั้นก่อนจะเดินเอาเทียนไปวางที่โต๊ะ

“คุณมีอะไรล่ะ หายหน้าหายตาไปตั้งนาน”

“คิดถึงผมหรอ” คนตัวสูงแอบหยอดมุกให้อีกฝ่าย

“ใครมันจะไปคิดถึงคุณก็จู่ๆ คุณดันโผล่มาตอนกลางคืน”

“ก็ผมเพิ่งว่างแล้วทำไมไม่เปิดไฟ”

“ไฟดับน่ะ” คิมหันต์ได้ยินแบบนั้นจึงหันไปมองบ้านข้างๆ ก็เห็นว่าไฟบ้านอื่นยังเปิดได้ปกติ แต่ทำไม...

คิดได้เขาก็เผลอพูดคำที่ใบไผ่ไม่อยากได้ออกมาเสียจนได้

“คุณไม่ได้จ่ายค่าไฟหรอ”

“....” ใบไผ่ชะงักทันทีที่ได้ยินแบบนั้น

“คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่า” คิมหันต์เอ่ย ใบไผ่กลอกตามาไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย

“ผมไม่ได้เดือดร้อนอะไร”

“แต่..”

“อย่าสงสารผมเลยมันยิ่งทำให้ผมไม่ชอบตัวเอง ผมดูแลตัวเองได้” ใบไผ่พูด

“แต่ถ้าคุณไม่มีจริงๆ”

“ต่อให้ผมไม่มีจริงๆ ผมก็ไม่ไปร้องขอคุณหรอกครับ ผมทำธุรกิจนะคุณขาดทุนบ้างมันก็เป็นธรรมดา คุณเองก็ทำนิ คุณน่าจะเข้าใจผมดี เดือนนี้ไม่มีเดือนหน้าอาจดีขึ้นก็ได้ อะไรๆ มันไม่แน่นอนหรอกครับ” ใบไผ่พูดขึ้นมาทำเอาคิมหันต์ไปต่อไม่เป็นเลย

“งั้นถ้าคุณลำบากอยากระบายกับใครสักคนใครนึกถึงผมเป็นคนแรกนะ”

“ครับ” คนตัวเล็กพูดพลางพยักหน้าหงึกหงักเป็นการตอบรับ

“ขอดอกไม้ให้ผมหนึ่งช่อสิ” คนตัวเล็กเผยสีหน้าสงสัยแต่ก็ยอมจัดช่อดอกไม้อย่างเรียบง่ายที่สุดให้

“ที่เคยบอกว่าอยากเป็นเพื่อนกับคุณผมพูดจริงๆ นะ”

“ผมว่าคุณอย่าเอาผมเข้าไปอยู่ในวังวนชีวิตคุณจะดีกว่า”

“นี่ก็ชอบปฏิเสธผมจังเลย” คนตัวเล็กหลุดขำออกมาเมื่อย้อนคิดเขาก็ปฏิเสธคุณคิมทุกประโยคจริงๆ

“ผมไม่ได้ตั้งใจจะอยู่บนโลกใบนี้นานนักหรอกครับเพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากเจ็บปวดก็อย่ามาเป็นเพื่อนกับผม”

“ทำไมชอบใจร้ายกับตัวเองจังเลย มาถึงขนาดนี้แล้วจะกดดันตัวเองไปถึงไหน ใจดีกับตัวเองบ้างสิ”

“คุณรู้ไหมว่ายายผมเสียแล้ว”

“....”

“ผมไม่เหลือใครแล้วครับ” ใบไผ่พูด

“ผมไม่รู้เลย..เสียใจด้วยจริงๆ แต่ถึงยังไงคุณก็ต้องใช้ชีวิตของตัวเองต่อไป ผมบอกแล้วไงว่าผมจะเป็นเพื่อนของคุณเอง”

“แล้วจะเป็นไปตลอดรึเปล่า” คนตัวเล็กถาม

“อือ คอยดูสิ ผมจะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นไปอีกผมจะทำให้คุณมีความสุข”

กริ๊งงง

“คุณยังเปิดร้านนิ” ทันทีที่ประตูเปิดเผยให้เห็นร่างหนุ่มรูปงามที่แสนคุ้นเคย ทั้งสองคนต่างมองคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ด้วยไม่ละสายตา

“ซิง..”

“พี่คิม..คะคือ” ซิงกระอักกระอ่วนที่จะพูดแต่สุดท้ายก็พูดออกมา “ไหนๆ ก็เจอพี่แล้วผมขอคุยกับพี่หน่อยได้ไหม” คิมหันไปมองหน้าใบไผ่เชิงขออนุญาตทำไมเขารู้สึกผิดแบบนี้นะ คนตัวเล็กเผยยิ้มที่อ่อนโยนให้คิมหันต์จึงเดินออกไปนอกร้านโดยมีซิงเดินตามมาติดๆ

 

“มีอะไรจะพูดก็พูดมา”

“คือผมขอโทษ” อีกฝ่ายพูดขอโทษขณะกำลังหลุบตาต่ำไม่กล้าสบตา นั่นเพราะเขาได้ยินนมาแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรกับคิมหันต์บ้าง

“ช่วยพูดอะไรที่มันดีกว่าขอโทษได้ไหม”

“ผมรู้สึกผิดกับพี่ ผมรู้ว่าพี่พยายามฆ่าตัวตาย”

“มันผ่านมาแล้ว ฉันไม่ได้เจ็บปวดเพราะนายอีกแล้ว”

“งั้นหรอครับ ถ้าพี่เป็นอะไรไปผมคงให้อภัยตัวเองไม่ได้จริงๆ ขอโทษจริงๆ ครับ ผมคิดน้อยไป”

“วันนั้นอะพี่ลืมไปหมดแล้วเรื่องระหว่างเราก็ด้วย”

“ผม..”

“เลิกพูดขอโทษได้แล้ว” คิมหันต์แทรกขึ้นราวกับรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการพูดอะไร

“แล้วมีอะไรถึงมาที่นี่”

“อ๋อ ผมจะมาขอบคุณเขาที่ช่วยพี่เอาไว้ ผมได้ยินข่าวมาแบบนั้นน่ะ”

“อือ เข้าไปสิ ถ้าอยากขอบคุณก็อุดหนุนใบไผ่เขาสิ”

“ได้สิ พี่ไม่เข้าไปด้วยกันหรอ”

“พอดีมีธุระต้องไปเดี๋ยวนี้เลย ฝากบอกใบไผ่ด้วยแล้วกัน” คิมหันต์พูดจบก็เดินไปขึ้นรถตัวเองทันทีโดยที่ไม่หันหลังกลับมามองซิงเลยสักนิด

“พี่เกลียดผมขนาดนั้นเลยสินะ” ซิงพูดขณะมองตัวรถค่อยๆ เคลื่อนออกไปช้าๆ

 

 

 

“นายคิดมากอีกแล้วหรอครับ” ลูกน้องที่มองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างเขาเข้าใจดีว่าเกิดอะไรกับเจ้านายตัวเองเมื่อครู่

“.....”

“คิดอะไรอยู่หรอครับ สีหน้าคุณไม่ดีเท่าไหร่..”

“ก็คิด..” คิมพูดพลางมองออกไปนอกรถ

“ถ้าฉันไม่เคยรักเขาก็คงดี ฉันจะได้ไม่เจ็บ...” ธันถอนหายใจพลางขับรถไปเงียบๆ เพื่อให้เจ้านายได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง