21 ตอน Chapter 20
โดย T.mines
Chapter 20
Number nine My Sun
หมายเลขเก้าของดวงตะวัน
#IXMYSUN
Trigger warning
เนื้อหามีฉากเกี่ยวกับการฆาตกรรม และการทำร้ายจิตใจเด็ก โปรดอ่านอย่างมีวิจารญาณ
ชายชรานอนอยู่บนเตียงนอนในห้องที่คุ้นเคย แสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่างยังคงตกกระทบในมุมเดิมในทุกๆ เช้า ต่างเพียงแต่ว่าเขากลายเป็นตาแก่ที่ลุกเดินเหินไปไหนมาไหนไม่สะดวกอย่างวันวาน เดินนิดหน่อยก็เหนื่อยหอบหมดแรง รถเข่นจึงกลายเป็นอวัยวะที่สามสิบสามที่เข้ามาเพิ่มสำหรับเขา
เรื่องราวศึกแกร่งแย่งอำนาจในบริษัท อาจจะบอกได้ว่ามันคือเรื่องในครอบครัวก็ได้ นั่นคือสิ่งที่เขากลัวมาตลอดชีวิต แต่มันก็เกิด หลังจากที่เขาตัดสินใจยกตำแหน่งประธานบริหารและหุ้นอีกสามสิบห้าเปอร์เซ็นต์ให้แก่หลานชายสุดที่รัก สร้างความไม่พอใจให้แก่น้าสาวอย่างเบญ ลูกสาวคนเล็กของเขาอย่างมาก ถึงจะมีท่าทีไม่เห็นชัดแต่มันดูคล้ายกับมีคลื่นใต้น้ำที่กำลังก่อตัวเป็นคลื่นระลอกใหญ่
ชายที่ผ่านฝนผ่านหนาวมาเจ็บสิบห้าครั้ง ผ่านเกมธุรกิจมานับไม่ถ้วน ไฉนเลยจะอ่านนิสัยใจคอคนไม่ออก ยิ่งเป็นลูกเป็นหลานด้วยแล้วยิ่งเข้าไป ไนน์หลานชายสุดที่รักเป็นคนที่ชอบใช้ชีวิตสนุกสนานไปเรื่อยๆ อยากทำในสิ่งที่ชอบ ไม่ชอบที่ต้องให้ใครมาบังคับหรือตั้งกฎเกณฑ์อะไร ไม่ชอบเอาอกเอาใจใครพบปะผู้คน แต่เขาบังคับให้มาทำมานั่งปั้นหน้าเอาใจใครต่อใครในธุรกิจของครอบครัว เขาเชื่อมั่นในตัวหลานว่าทำได้อย่างไม่มีที่ติ ก็เหมือนทุกๆ ครั้งที่ไม่เคยทำให้ผิดหวังสักครั้ง ส่วนเบญแท้ที่จริงแล้วเจ้าตัวคือลูกสาวของเขาที่เกิดจากความผิดพลาดอีกคน แต่เพราะหน้าตาทางสังคมและชื่อเสียงที่เพิ่งสร้างมาเขาจึงได้แต่ยกเด็กคนนี้ขึ้นมาได้แค่บุญสาวบุญธรรม เธอเป็นผู้หญิงที่เก่ง แข็งแกร่ง เด็ดเดี่ยว กล้าได้กล้าเสีย ทุ่มเทกับงานที่ทำอย่างมาก เป็นคนที่เขาพึ่งพามากที่สุดในจะคอยดูแลทั้งตัวเขาเองและงานในบริษัท เขาตั้งใจไว้ว่าถ้าหากเจ้าไนน์หลานรักไม่ยอมมาสืบทอดกิจการก็คงต้องยกให้ลูกสาวคนนี้ดูแลแทน แต่เมื่อเจ้าตัวยอมมาทำก็คงจะให้เบญคอยช่วยเหลือและร่วมดูแลไปด้วยกัน ถ้าหากไม่มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น เขาคงไม่รู้ว่าลูกสาวที่เลี้ยงมากับมืออีกคนกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ เขาทอดความคิดออกไปไกลราวกับว่าไม่อยากให้คลื่นลมภายในครอบครัวเกิดขึ้น
ก๊อกๆ เสียงเคาะประตู ชายชราหลุดกลับมาอยู่ที่เดิม
“เข้ามาได้” เขาขานรับคนเคาะ
“หนูจะเข้ามาดูว่าคุณพ่อตื่นหรือยังค่ะ” ลูกสาวเดินเข้ามายืนที่ข้างเตียง “คุณพ่อตื่นนานหรือยังค่ะ จะลุกไปเข้าห้องน้ำหรือเปล่า เดี๋ยวหนูพาค่ะ” เธอตลบผ้าห่มออกและพับไปกองที่ปลายเตียง
“อืมพาพ่อไปหน่อย”
หลังจากอาการทรุดลงจากการเข้าไปนอนโรงพยาบาลที่เจ้าไนน์โกรธ รอบนี้ไม่ต้องถึงนอนที่โรงพยาบาลแต่ด้วยการที่ทำงานหนักมาเกือบทั้งชีวิตบวกด้วยอายุที่มากขึ้นทุกวัน ไอ้อาการที่ตอนแรกหน้ามืดที่น้อยๆ เริ่มมากขึ้นจนเข้าเกือบล้มในห้องน้ำหลายครั้ง จึงเห็นทีส่งไม้ต่อสักที พวกลูกและหลานทั้งหมดเห็นด้วยหมด และตกลงจ้างพยาบาลพิเศษมาดูแล แต่จะมีแต่เจ้าเบญที่เมื่อก่อนไปกลับระหว่างบ้านกับคอนโดเหมือนคนอื่นที่จะสะดวกกับการทำงาน ย้ายกลับมาอยู่บ้านเพื่อดูแลคนป่วยอย่างเขา หลังจากเสร็จธุระส่วนตัว พยาบาลประจำตัวอย่างลูกสาวพยุงมาที่เตียง ยกหมอนไปรองที่หลังให้นั่งพิงหัวเตียง
“วันนี้ไม่ไปทำงานเหรอเรา?” เขาถามที่เห็นว่ามันสายแล้ว แต่คนที่ต้องไปทำงานยังแต่งตัวชุดอยู่บ้านอยู่เลย
“คุณพ่อค่ะ วันนี้วันหยุดค่ะ” เสียงสดใสที่ตอบมา “แล้วคุณพ่อจะทานข้าวเลยไหมคะ จะได้ไปสั่งให้เด็กๆ ยกมา”
“อีกสักพักก็ได้ลูก พ่อมีเรื่องอยากจะคุยกับเราหน่อย ไปปิดประตูที” เรื่องที่คุยกันอยากแค่ให้มันอยู่แค่ภายในห้องนี้ ไม่ต้องการคนอื่นรับรู้
“...” เธอได้แค่พยักหน้าตอบรับและเดินไปปิดประตูเงียบ
“พ่อจะคุยกับเราเรื่องไนน์”
เสียงถอนหายใจดังออกมา “หนูก็พอรู้อยู่ค่ะ ว่าคุณพ่อจะพูดเรื่องนี้กับหนูแค่รอเมื่อไหร่เท่านั้นเอง” น้ำเสียงสั่นด้วยกึ่งๆ เสียงปนหงุดหงิด สีหน้าที่เรียบเฉย
“ตอนนี้ไนน์กำลังรวบรวมหลักฐานเรื่องเราอยู่ เรื่องที่เราเกี่ยวข้องทั้งหมด รวมถึงเรื่อง...”
“คุณพ่อ! คุณพ่อรู้อะไรมา! รู้ได้ยังไง!” เสียงดังกร้าวด้วยความตกใจโพล่งออกมาอย่างตกใจ
ชายชราถอนหายใจ เขาเสียใจแต่ลึกๆ เขารู้สึกผิดหวังมากกว่า “สักพักแล้วแหละ แต่ก็พอรู้สึกระแคะระคายมานานแล้ว เพราะด้วยความที่คิดว่าเบญคือลูกของพ่อ พ่อไว้ใจเรามาตลอด เพราะเป็นแบบนี้ไงพ่อถึง...”
“พ่อถึงยกทุกอย่างให้กับไนน์เหรอคะ” เบญเป็นคนต่อประโยคสุดท้ายแทน
“เบญลูก... ไม่ใช่อย่างนั้น พ่อคิดว่าถ้าเจ้าไนน์ไม่ทำพ่อก็จะยกให้หนูดูแล” น้ำเสียงที่อ่อนโยนเขาหวังจะปลอบประโลมลูกได้
เบญแสยะยิ้มให้กับตัวเอง พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน “ทำไม ถ้าหลานรักของพ่อไม่ทำเลยจะยกให้หนูคุณ แต่พอดีมันเข้ามาทำแล้วจะให้หนูเล่นบทพี่เลี้ยงเหรอ พ่อบอกว่าไว้ใจหนูแล้วทำไมไม่ยกมันให้กับหนู แท้ที่จริงแล้วคุณพ่อไม่เคยคิดจะยกให้หนูตั้งแต่แรกต่างหาก พร่ำบอกว่ามันคือของพี่หงส์ คนที่ตายไปแล้วยังมีสิทธิครอบครองมันอยู่อีกเหรอ หนูที่คอยดูแล เอาใจใส่มัน ทำให้มันดีขึ้น ทุ่มเทชีวิตลงไปกับมันเท่าไหร่ แล้วสุดท้ายหนูได้อะไร”
“...” เขามองหน้าคนพูดด้วยแววตาเศร้าเสียใจ
“หนูต้องยกคืนให้แก่มัน ทั้งๆ ที่มันแทบไม่เคยทำอะไรเลย ไม่เคยคิดจะอยากทำด้วยซ้ำ มันที่เป็นหลาน เป็นลูกของคนที่ตายไปแล้ว คนที่ได้ใช้นามสกุลนี้ทั้งๆ ที่แม่ของมันให้ทิ้งไปตั้งแต่เกิดเหรอคะ” เสียงดังที่เกรี้ยวกราดสาดใส่ผู้เป็นพ่ออย่างต่อเนื่อง นามสกุลที่เธอมีสิทธิที่จะใช้แต่ไม่เคยได้ใช้แม้แต่นิดสิ่งที่ดังก้องอยู่ภายในใจ
“เบญฟังพ่อก่อน เบญใจเย็นก่อนลูก ฟังพ่อนะ”
“ฟัง ฟัง ฟังอะไรอีกค่ะ คุณพ่อจะพร่ำบอกอะไรหนูอีกค่ะ” เธอยกมือปาดน้ำตาที่ไหลออกมาจากคนเคียดแค้น ใจที่เต้นแรงไปด้วยความโกรธ
“พ่อว่าเรื่องนี้ เราทั้งสามมาช่วยหาทางออกกันไหม ไนน์ไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล เราแค่อธิบายทุกอย่างและยอมรับผิดชอบความผิดทุกอย่างมันก็จบ เราก็รู้ว่าไนน์เป็นคนแบบไหน ไนน์ยอมจบแน่ๆ” เขาเอื้อมมือหมายจะจับมือลูกสาว แต่เบญสะบัดมือหนีทันทีที่สัมผัส
“ถ้าไนน์ไม่ยอมจบละคะ คิดว่าคนอย่างมันจะยอมปล่อยหนูไปง่ายเหรอคะ คุณพ่อจะช่วยหนูยังไง แล้วหนูต้องเจอกับอะไร” เธอจ้องมองไปที่พ่ออย่างคาดคั้น
“พ่อจะบอกความจริงทั้งหมดและยอมรับผิดไว้เองนะลูกเห็นแก่พ่อเถอะ”
“...”
เขามองไปยังหน้าลูกสาวที่อยู่ตรงหน้า เพียงแต่เขาอ่านสีหน้าไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ และหวังว่าคำพูดนี้จะช่วยดึงความคิดของเธอกลับมา “เบญเชื่อพ่อสักครั้งนะ เรื่องนี้พ่อจะออกหน้าเอง ยังไงไนน์ต้องยอม”
หญิงสาวเม้มปากก่อนจะตอบออกไปว่า “ค่ะ”
ผู้เป็นพ่อใบหน้ามีรอยยิ้มน้ำตาที่คลอออกมาด้วยความสบายใจที่จะสงบศึกในบ้าน “ขอบคุณนะลูก”
“ค่ะ นี่สายมากแล้วเดี๋ยวหนูจะออกไปยกข้าวมาให้คุณพ่อทาน จะได้กินยาแล้วพักผ่อน เครียดมากไม่ดีต่อสุขภาพ ส่วนเรื่องนี้ค่อยนัดไนน์มาอีกทีก็ได้”
มือเหี่ยวกอบกุมมือลูกสาว “ขอบคุณมากนะลูก”
รอยยิ้มจางหายไปทันทีที่เธอหันหลังให้ผู้เป็นพ่อพร้อมกับประตูที่เปิดออกและปิดลง เธอเดินไปบอกแม้บ้านที่อยู่ในครัวช่วยเตรียมอาหารให้คุณพ่อและเธอจะเป็นคนยกเข้าไปให้เอง
หญิงสาวเดินขึ้นมาบนห้องนอนส่วนตัวที่ชั้นสาม ห้องที่สิบจากจำนวนหลานทั้งหมดเก้าคน ใช่เธออยู่ในชั้นเดียวกับหลาน แต่ธรรมดาคนที่เป็นลูกจะอยู่ที่ชั้นสองที่สร้างไว้แค่ห้าห้องเท่านั้น แต่เธอคือหนึ่งในลูกด้วยแต่ทำไมไม่มีของเธอ
เธอเกิดในบ้านหลังเล็กๆ ที่มีแค่สองห้องนอน ใช้อาศัยอยู่กับแม่ รับรู้เพียงแค่ว่าพ่ออยู่อีกบ้านหลังหนึ่ง พ่อที่เธอพบหน้าเพียงครั้งคราวเดือนละครั้งได้หรืออาจจะนานกว่านั้น เพียงแค่ซื้อของเล่นหรือซื้อขนมมาฝากและอยู่เล่นกับเธอเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็กลับไป จนเธออายุได้ห้าขวบผู้เป็นพ่อกลับมารับเธอไปอยู่ด้วย เพราะผู้เป็นแม่กำลังจะจากไปด้วยโรงมะเร็งตับระยะสุดท้าย
เธอเข้ามาอยู่ด้วยฐานะบุตรบุญธรรมตามที่พ่อบอกกับทุกคน เพราะไม่อยากให้มีปัญหากับพี่ๆ น้องรวมถึงกับแม่ใหญ่ด้วย ชื่อของภรรยาของพ่ออีกคนที่แม่ให้เธอเรียกแบบนั้น
“เบญลูกไปอยู่กับบ้านใหญ่กับพ่ออย่าดื้อ อย่าซน แม่ใหญ่บอกอะไรหนูต้องเชื่อฟังนะ ตั้งใจเรียนหนังสือนะลูก ต่อไปนี้หนูจะได้มีพ่อแม่และพี่ที่จะคอยดูแลและเล่นกับหนู จะได้ไม่เหงาอีกต่อไป แล้วถ้าแม่หายดีแล้วแม่จะหาหนูนะลูก”
นั่นคือคำพูดและอ้อมกอดสุดท้ายที่เธอได้อยู่กับแม่ที่แท้จริงของเธอ แม่เธอหายจริงๆ เพียงแต่หายไปจากชีวิตนับตั้งแต่นั้น ชีวิตเหมือนจะพังละลายของเด็กสาวตัวเล็ก บ้านที่ไม่คุ้นเคย คนไม่คุ้นเคย สิ่งแวดล้อมใหม่ คนแปลกหน้าเดินผ่านไปมาเอาแต่จ้องเธออย่างกับเป็นตัวประหลาด ด้วยความกลัวและกังวล เธอหนีไปยืนร้องไห้อยู่หลังมุมเสาข้างบ้าน ร้องอยู่นาน จนรู้สึกมีมือนุ่มๆ มาลูบบนหัว
“มาร้องไห้ตรงนี้ทำไมเหรอลูก ใครทำอะไรคะ” น้ำเสียงที่ปลอบโยนและมือที่ลูบอย่างแผ่นเบา
ด้วยความที่ไร้ที่พึ่งพิงเพียงแค่คำพูดและท่าทางที่ใจดี เธอโผเข้ากอดเข้าที่เอว มือที่ลูบหัวย้ายมาโอบลงที่ไหล่ยืน ลูบเบาๆ จนเสียงร้องไห้หยุดลง คนนั้นดันตัวเด็กน้อยออกและย่อลงไปนั่งมือเกาะที่ไหล่ทั้งสองข้าง
“ไม่ร้องแล้วนะคะ เข้าบ้านกับแม่นะ” รอยยิ้มที่แสนหวานและอบอุ่น
“...” เด็กน้อยที่ร้องไห้ยิ้มและพยักหน้าเดินจูงมือเข้าไปข้างในบ้าน
นี่ใช่ไหมคะแม่สิ่งที่แม่บอกไว้ ‘ต่อไปนี้หนูจะได้มีพ่อแม่และพี่ที่จะคอยดูแลและเล่นกับหนู จะได้ไม่เหงาอีกต่อไป ไม่ต้องห่วงหนูแล้วนะคะแม่’
ชีวิตดังเทพนิยายจากเด็กที่ไม่มีพ่อที่โดยล้อ ไม่มีอะไรเลย กลับกลายมาเป็นเจ้าหญิงอยู่ในบ้านหลังใหญ่ ห้องนอนที่ใหญ่เกือบเท่าบ้านหลังเดิม มีคนคอยรับใช้ ไม่ต้องหยิบจับอะไร คอยหาข้าวให้กิน เข้าเรียนที่โรงเรียนที่แพงทุกคนแต่งตัวสวยๆ มีคนขับรถไปรับส่งไม่ต้องนั่งรถเมล์หรือวินมอไซด์ดังเดิม อยากกินอะไรแค่บอกก็ได้กินถ้าไม่มีจะได้กินในวันถัดไป แม่ใหญ่และพี่คอยดูแลเอาใจใส่ คอยปกป้องไม่ยอมให้ใครมารังแก โดยเฉพาะพี่สาวคนเดียวของบ้านที่คอยสอนการบ้านและอยู่เล่นเป็นเพื่อนเธอเสมอ
อย่างที่บอกกันไว้ว่าคนสุขมักจะอยู่กับเราได้ไม่นาน มันคือเรื่องจริงสำหรับเด็กน้อยคนนี้ เบญในวัยสิบขวบกลับมาจากโรงเรียนด้วยความดีใจอย่างมาก วันนี้เธอชนะการประกวดเรียงความเรื่องครอบครัวของฉัน คุณครูกล่าวชอบเธอว่าเขียนได้ดีมาก อ่านแล้วรู้สึกอิจฉาอยากมีครอบครัวแบบเธอบ้าง เธอวิ่งหน้าตั้งหวังจะให้พ่อและแม่ใหญ่ชื่นชมและอ่านเรียงความของเธอ พร้อมกับอยากได้รับคำชมจากคนที่เธอรัก
“คุณเป็นอะไร ทำหน้าแบบนี้ไม่สวยเลยนะคะ” เสียงหยอกเย้าภรรยา
“ยังจะมาพูดอีก ก็เรื่องเจ้าเบญนั่นแหละ” เสียงบ่นเหมือนคล้ายจะงอนสามี
“ทำไมค่ะ หื้อ...”
“ฉันอยากจะรักแกและกอดแกอย่างสนิทใจค่ะคุณ ฉันรู้ค่ะว่ามันไม่ใช่ความผิดของเจ้าเบญ ใจหนึ่งก็รักอีกใจหนึ่งก็เกลียด เพราะเจ้าคุณเธอยิ่งโตหน้ายิ่งเหมือนหน้าเหมือนแม่แกมาก” ภรรยายกมือขึ้นกอดอก
“คุณ เรื่องนี้จะให้ผมขอโทษคุณอีกพันครั้งหรือตลอดชีวิตผมก็ยอม ขอเพียงแต่คุณอย่างพาเด็กๆ หายไปอีกนะครับ ผมจะขาดใจตาย ถ้าชีวิตนี้ไม่มีคุณผมจะอยู่ยังไง” สามีรีบเดินมาคุกเข่าตรงหน้า ใช้แขนหนาโอบเข้าที่เอวและซุกหน้าลงบนตักภรรยา
ภรรยาประคองหน้าสามีให้เงยขึ้นมาฟัง “มันก็ไม่ใช่ความผิดของคุณคนเดียวทั้งหมด ถ้าแม่นั่นไม่เข้าหาตอนที่คุณกำลังเมาและเราสองคนทะเลาะกัน เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น”
“ผมก็จัดการไล่แม่นั้นออกไปจากชีวิตเราสองคนพร้อมกับเงินก้อนโตที่จะปิดปากให้อยู่เงียบๆ ไป ไม่มาให้รกสายตาคุณไงคะ”
“แต่ดันท้องลูกของคุณขึ้นมา” นิ้วจิ้มไปที่หน้าผากสามี
“แล้วภรรยาผู้แสนดีของผมเลยสั่งให้ผมกลับไปรับผิดชอบไงครับ แต่หลังจากนั้นผมก็ไปทำหมันให้เพื่อให้คุณสบายใจว่าจะไม่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกนะครับเราจะมีกันแค่เจ็ดคนพ่อแม่ลูก ตั้งแต่นั้นมาสามีคนนี้ระวังตัวที่สุดเลยนะที่รัก” สามีทำเสียงออดอ้อนภรรยา
“ค่ะฉันทราบแล้ว แต่ยังไม่ฉันก็ไม่ชอบผู้หญิงทุกคนที่พยายามเข้าหาคุณนิค่ะ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าคุณมีภรรยายังจะอยากได้กันอีก”
“ก็สามีคุณหล่อไงครับ” น้ำเสียงมั่นใจ
“ยังจะมาเล่นอีกคุณเนี่ย หรือว่าช่วงนี้มีใครมาเกาะแกะค่ะ” ภรรยาขาจ้องตาเขม็งใส่สามี
“ไม่มีค่ะ ถึงมีผมก็ไม่สนอยู่แล้ว เมียผมทั้งสวย ทั้งน่ารักและเซ็กซี่ รวมถึงเร่าร้อนเวลาอยู่บนเตียง ผมทั้งรักทั้งหลงจะให้ผมไปไหนรอดครับคุณเมียคนสวย”
“อย่าค่ะคุณเดี๋ยวเด็กๆ กลับมาเห็นเข้า” ภรรยาดันหน้าสามีที่จะเข้ามางับปาก
“นะครับที่รัก”
“อื้อ...”
เธอปิดประตูที่เปิดไม่สนิทตั้งแต่แรกอย่างเบาๆ พร้อมกับเสียงจูบที่ดังภายในห้อง เด็กน้อยในวัยสิบขวบสามารถเข้าใจเรื่องราวที่ผู้ใหญ่พูดคุยกันได้ เธอรับรู้และเข้าใจคำว่ารักและคำว่าเกลียดได้ แม่ใหญ่ที่เธอคิดว่ารักแต่กลับกลายว่าเกลียดเพราะแค่ว่าหน้าเหมือนมารดาที่เข้ามาแย่งชิงสามีของเธอ และยิ่งตอกย้ำว่าเธอคือส่วนเกินของที่บ้านด้วยคำว่า ‘เราจะมีกันแค่เจ็ดคนพ่อแม่ลูก’ ตลอดเวลาที่เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้มันมีความหมายสำหรับเธอมาก เพราะคิดว่าตัวเองคือส่วนหนึ่งแต่แล้วมันไม่ใช่ พี่ๆ ที่เธอรักยังจะรักน้องคนนี้อยู่ไหม ขนาดแม่ใหญ่ที่คิดว่ารักยังเกลียดหนูเลย
เด็กตัวน้อยเดินตรงกลับไปยังห้องที่อยู่ชั้นสาม ชั้นที่มีเพียงแค่ผู้อาศัยเพียงหนึ่งเดียวด้วยสภาพจิตใจที่แหลกสลาย กระดาษเรียงความที่กำแน่นจนยับยู้ยี้ น้ำตาที่ไหลพรากจนไม่อาจกั้น เด็กน้อยทิ้งตัวลงบนที่นอนและร้องจนหลับไปพร้อมกับสิ่งที่ได้พรากออกไปพร้อมกับน้ำตาในค่ำคืนนั้นคือความรักแก่คนทั้งบ้านนี้
เธอพูดกับตัวเองระหว่างที่อยู่ในห้อง มือลูบลงไปกรอบรูปที่มีกระดาษเรียงความเมื่อหลายปีก่อน ใบที่มันเปอะเปื้อนคราบน้ำตาในวันนั้น ‘เชื่อพ่อสักครั้งเถอะ’ คำพูดของพ่อหนูเชื่อได้เหรอคะ คนที่ไม่เคยแม้แต่จะรักหนูจะให้หนูเชื่อยังไงคะ หนูเลิกเชื่อพ่อตั้งแต่หนูสิบขวบ หนูเชื่อแต่ตัวเองเท่านั้น สิ่งที่หนูอยากได้ต้องไขว่คว้าเอาเอง สิ่งนั้นจะเป็นของเรา เธอเดินกลับลงมาพร้อมกับสิ่งของบางอย่าง
“คุณพ่อค่ะ ข้าวต้มปลาร้อนๆ มาแล้วค่ะ”
เธอวางเรียสกูดส์บนที่นอนให้คุณพ่อตักกินอย่างง่าย ปล่อยให้รับประทานไป ส่วนเจ้าตัวหยิบไอแพดเข้าไปอ่านเมลและอ่านสรุปรายงานการประชุมของสัปดาห์นี้ให้ฟังอย่างที่ทำกันเป็นประจำนับครั้งไม่ถ้วน หลังจากที่ชายชรากลับมาพักรักษาตัวอยู่บ้านอย่างถาวรเปลี่ยนมาอ่านให้ฟังที่บ้านแทน ทั้งสองกลับไปพูดคุยกันเหมือนเดิมราวกับไม่เคยมีเรื่องที่ทะเลาะกันมาก่อนหน้านี้
“เบญพ่ออิ่มแล้ว” ชายชราวางช้อนที่ใช้ตักข้าวต้มลงในชาม ยกน้ำมาจิบดื่มและล้างปาก และหยิบทิชชูมาเช็ดทำความสะอาดปาก
“ค่ะ เดี๋ยวหนูยกไปเก็บก่อนนะแล้วค่อยมาทานยาหลังอาหาร”
เธอยกเรียสกูดส์พร้อมกับจานข้าวต้มออกไปให้คนรับใช้ที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ด้านหน้าห้อง และไล่ให้ไปทำงานอย่างอื่นบอกว่าเดี๋ยวคุณพ่อจะพักผ่อนแล้ว ไม่อยากให้มาวุ่นวาย พยาบาลที่จ้างมาดูแลเธอสั่งว่าให้ทำตัวตามสบายวันนี้เธอจะดูแลคุณพ่อแทน ค่อยไปดูช่วงใกล้ก่อนรับประทานอาหารช่วงเที่ยงก็ได้
“คุณพ่อค่ะทานยาค่ะ”
เม็ดยาขนาดเล็กสองเม็ดยื่นมาให้แก่คนที่พิงอยู่บนเตียง เขารับและกรอกมันเข้าไปในปาก ตามด้วยน้ำ “ขอบใจลูก” เบญช่วยพ่อของเธอขยับตัวลงไปนอนราบกับเตียง
“ค่ะ”
เพียงไม่นานหลังจากกินยาไปชายชรารู้สึกเย็นที่มือ เหงื่อเริ่มผุดที่ใบหน้า อาการเวียนหัวและเริ่มปวดขึ้นเรื่อยๆ ใจที่เต้นราบเรียบก่อนหน้ากลับมาเต้นเร็วและรัวอย่างรุนแรง
“เบญ พ พ่อรู รู้สึก มะ ไม่ค่อย ดีเลย” เสียงบอกตะกุกตะกักปนเสียงที่เหนื่อยหอบมือขยุ้มที่หน้าอก
“คุณพ่อคงเครียดมั่งค่ะ พักผ่อนเถอะค่ะจะได้หายนะคะ” เธอหยิบผ้าขึ้นมาห่มให้แก่บิดารอยยิ้มที่แสนหวาน แววตาที่ดูคล้ายจะเป็นไม่กังวลใดๆในอาการของเขา
“เบญ ระ เรา ทำ อะ ไร พ่อ” เสียงถามที่หอบหนักและจุกแน่นที่หน้าอก
“หนูเหรอ หนูแค่อยากให้พ่อพักผ่อนเท่านั้น” หญิงสาวตอบพร้อมกับขมวดคิ้ว
“แฮ่ก ๆ” บิดาของเธอยกมือมากุมที่หน้าอก
เธอแสยะยิ้มให้แก่บิดาที่นอนฟังและพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “ถ้าพ่อปล่อยให้หนูจัดการไนน์ไปอย่างเงียบๆ คุณพ่อคงไม่ต้องอยู่สภาพนี้หรอกค่ะ เรื่องวันนี้คุณพ่อก็ไม่น่าเอามาพูดเลย ยิ่งทำให้หนูเกลียดคนบ้านนี้ยิ่งขึ้น และคนที่หนูเกลียดที่สุดคือใครรู้ไหมคะ หลานรักของพ่อไง หลานรักของบ้าน น้องชายสุดที่รักของทุกคน ไนน์คือความรักของบ้านนี้ ส่วนหนูคืออะไร ส่วนเกิน หนูได้แต่ความรักแค่เปลือกไม่มีใครรักหนูจากใจจริงสักคน หนูผิดเหรอที่เกิดมา หนูผิดเหรอที่หน้าเหมือนแม่คนที่เข้าหาคุณพ่อไงคะ”
“...”
“แต่ต่อไปนี้คุณพ่อไม่ห่วงไม่ต้องกังวลแล้วนะ หลังจากนี้คุณพ่อจะได้พักจริงเสียที”
ชายชรารับรู้ถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต เขาต้องจากโลกนี้ไปด้วยน้ำมือของบุตรสาวที่ตัวเองรัก ถามว่ารักไหม รักสิลูกทั้งคนจะไม่รักได้ไง แต่คงอาจจะไม่รักเท่าเจ้าพวกนั้นแต่ก็ยังรักอยู่ดี เขาแค่คิดเสมอตามคำพูดของคนอื่นที่บอกว่ายังไงพ่อแม่ก็รักลูกทุกคนเท่ากัน ตั้งแต่มีเบญเข้ามาในชีวิตคำพูดนั้นเขาสามารถตอบได้เต็มปากเลย ไม่มีมนุษย์พ่อและแม่คนไหนรักลูกเท่ากัน เพียงแค่รักทุกคนเท่านั้น เพราะเขาเนี่ยรักเจ้าหงส์ที่สุด ด้วยความที่ขี้อ้อน ส่วนคนที่เหลือก็รัก แต่ถ้ารักน้อยที่สุดก็คงเป็นคนนี้แหละ แม่เด็กคนนี้เกือบทำให้ครอบครัวเขาพัง กรรมมันเลยไปตกที่เด็กตัวเล็กๆ ที่ไม่มีความผิดอะไร คนเรามักจะเลือกโยนความผิดให้คนอื่นเสมอแทนที่ตัวเองจะแบกรับเอง
เด็กที่น่ารักสดใสในวันวานกลายเป็นคนที่โหมเหี้ยมอำมหิตแบบนี้ตั้งแต่ตอนไหน เด็กที่เรียบร้อย ยิ้มที่อ่อนหวาน ที่ภายในซุกซ่อนปีศาจเอาไว้หรือว่าเขาเป็นคนสร้างมันขึ้นมา เขาที่พยายามเลี้ยงดูให้ทัดเทียมพี่ๆ ไม่เคยให้ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย ภรรยาเขาก็ไม่เคยมีท่าทีรังเกียจกลับโอบอุ้มราวกับเป็นลูกอีกคน เด็กคนนี้เปลี่ยนไปตอนไหน ทำไมเรามองไม่เห็น ลูกเกลียดเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ เบญอยากให้พ่อตายตั้งแต่เมื่อไหร่ ถ้าเขารับรู้ถึงความเกลียดชังที่มันก่อตัวอยู่เขาจะชดเชยมันให้แก่เธอเอง มันอาจจะเรียกว่าเส้นผมบังภูเขาล่ะมั่ง ทำให้เขาละเลยลูกสาวคนนี้ไป
‘เบญพ่อขอโทษ อย่ายกโทษให้ตาแก่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ขอโทษที่ละเลยความรู้สึกของลูก ขอโทษที่ไม่ได้เป็นพ่อที่ดี แต่ยังไงพ่อก็รักหนูนะเบญชญาพ่อขอโทษ พ่อขอโทษ’ เขาแต่ร่ำร้องอยู่ภายในใจไม่สามารถออกเสียงใดๆ ออกมาได้ สติที่เลื่อนลางเต็มที น้ำตาไหลอาบมาที่แก้มตอบๆ จนลมหายใจสิ้นลง
ไร้เสียงตอบรับ ไร้เสียงพูดคุย ร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง เธอไม่รู้ว่าตอนนี้บิดาตนเองยังมีลมหายใจอยู่หรือไปไม่เพียงแค่รับรู้ว่านอนนิ่งเหมือนหลับไปเท่านั้น เธอเป็นคนหยิบยื่นสิ่งนั้นให้เอง ผงยาที่เธอได้มาจากนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานให้ห้องแล็บของโรงงานแห่งหนึ่ง ที่บังเอิญเจอกันในผับ เราทั้งคู่สามต่อความสัมพันธ์ในคืนนั้นและรู้ภายหลังว่าเป็นคนทดสอบยาที่นำเข้ามา เธอจึงฉวยโอกาสขอผงยาแลกกับเงินจำนวนหนึ่ง และยังช่วยคำนวณการใช้ยาในปริมาณที่ถูกต้องให้ด้วย ปริมาณเพียงแค่ไม่กี่มิลลิกรัมที่เพิ่มเข้าไปอาจจะทำให้คนที่ป่วยด้วยโรคนี้ถึงกับนอนนิ่งเป็นผัก ร้ายแรงที่สุดอาจถึงตายได้
หญิงสาวก้มลงจูบที่หน้าผากผู้เป็นบิดา ยกมือเช็กคราบน้ำตาที่ไหลออกมา “หนูรักพ่อนะคะ แต่ถึงจะเกลียดพ่อด้วยก็ตาม”
เธอนั่งลงตรงเก้าอี้ที่อยู่ข้างเตียงบรรจงประคองมือที่เหี่ยวย่นมากอบกุม ไออุ่นจากมือยังไม่จางหายไป และเธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดูราวกับมีความสุข “คุณพ่อรู้ไหมคะว่าทุกครั้งที่เบญต้องส่องกระจก คำพูดของแม่ใหญ่ที่บอกว่าเกลียดเบญที่หน้าเหมือนแม่มันลอยมาทุกครั้ง ยิ่งทำให้เบญอยากจะครอบครองทุกอย่างที่พวกมันทุกคนมี ยิ่งตอนที่พี่หงส์มันตายนะ ทุกคนนั่งร้องไห้เบญเนี่ยนั่งกลั้นหัวเราะตลอดเวลา ถ้าพวกมันตายไปให้หมดยิ่งดีมากเลย แต่สิ่งที่ทิ้งไว้คือหลานรักของพ่อไงคะ ทุกคนประคบประหงมมันสุดๆ ยิ่งโตทุกคนยิ่งรักและตามใจมัน ถ้ามีมันอยู่จะไม่มีใครเห็นหัวเบญเลย รวมทั้งไอ้พวกเด็กเปรตแปดคน ทุกคนยิ่งรักเบญยิ่งเกลียด”
เธอหลับตาและถอนหายใจมาอีกครั้งหนึ่งและพูดต่อ “เรื่องในบริษัทพ่อไม่ต้องห่วงนะคะ คนของเบญจะดูแลอย่างดีเลยค่ะ ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ตามหาหลักฐานไม่เจอหรอกค่ะ เพราะหนูซ่อนมันอย่างดี จริงๆ แล้วคุณพ่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหนูทำอะไร ถ้าไม่เลือกที่จะฟังความมาจากมัน คุณพ่อจะบอกว่าหลับหูหลับตามาตลอดอย่ามาโกหกเลย” เธอให้มือลูบที่แก้มตอบๆ ของคนที่นอนอยู่บนเตียง “เบญจะเอาศิริวัชรโชติกรุปมาครอบครองและเขี่ยมันออกไปให้พ้นทางทันที”
เธอก้าวเดินกลับขึ้นมายังห้องนอนส่วนตัวอีกครั้ง ห้องที่เพิ่งเดินจากมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน นั่งพิงหัวเตียงมองลอดออกไปดูวิวนอกหน้าตา ปล่อยให้จิตใจล่องลอยไปกับอากาศ พรรณนึกคิดถึงความหลังครั้นเมื่อย้ายเข้ามาอยู่บ้านลอยไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่านั่งอยู่นานเท่าไหร่ ต้องหยุดลงด้วยเสียงกรี๊ดที่ดังมาจากข้างล่าง และเสียงเคาะประตูที่ตามมาที่หลัง
“คุณเบญค่ะ! เจ้าสัวแย่แล้วค่ะ!” เสียงสาวใช้ที่ขึ้นมาเคาะประตูร้องตะโกนบอกเธอผ่านประตู
ประตูเปิดออก “จะมาตะโกนให้มันได้อะไร! เรียกรถพยาบาลพาคุณพ่อไปหาหมอสิ! แล้วพยาบาลล่ะทำอะไรกันอยู่!” เสียงกดต่ำตะโกนใส่สาวใช้ เธอรีบวิ่งลงมายังด้านล่างที่ห้องนอนของบิดาทันที ช่วยจัดแจงส่งบิดาไปยังโรงพยาบาลที่ดูแลบิดาเธอ พร้อมกับกดต่อสายไปแจ้งยังพี่ชายคนโตทันที
รถพยาบาลนำตัวผู้ป่วยส่งเข้าห้องไอซียู ทีมแพทย์พยายามช่วยกันยื้อวิญญาณชราที่นอนแน่นิ่งกันอย่างหนัก แต่ทว่าเขาได้หมดลมหายใจไปตั้งแต่ก่อนที่จะมาถึงแล้ว ถึงจะเป็นหมอที่เก่งกราดขนาดไหนก็ไม่สามารถช่วยชีวิตคนที่ตายไปแล้วให้ฟื้นกลับมาใหม่ได้ หัวหน้าทีมแพทย์พยักหน้าให้แก่คนที่เหลือ และหันไปมองดูที่นาฬิกาประจำห้องพร้อมทั้งขานเวลาตาย
ไนน์ที่รีบวิ่งมาพร้อมกับคนสนิทเขาเห็นเพียงน้าสาวที่กำลังยืนคุยอยู่กับหมอประจำตัวของปู่ ก่อนที่ค่อยๆ ทรุดตัวลงพร้อมกับร่างที่เริ่มสั่นเทา ใจเขาปวดหน่วงขึ้นมาทันที ไนน์เดินเข้าไปประคองน้าสาวให้ลุกขึ้นมาจากพื้น
“ไนน์ คุณพ่อ คุณพ่อไม่อยู่กับเราแล้ว” เสียงร้องไห้ที่สะอึกสะอื้นที่ค่อยบอกกล่าวกับหลานชายที่มาอยู่ด้วยเพียงคนเดียวในตอนนี้
“ครับ” เขาขานรับ มันเป็นเพียงประโยคเดียวที่เขาสามารถพูดออกมา
ทั้งสองมองไปยังประตูหน้าห้องที่ปิดสนิทไม่มีใครเข้าออก พวกเขาเพียงสองน้าหลาน ส่วนคนที่เหลือกำลังเร่งรีบมาให้เร็วที่สุด ลุงมังกรและป้าดาหลาบินตรงจากเชียงใหม่ด้วยเครื่องบินขนาดเล็กส่วนตัว ส่วนลุงและป้าคนอื่นที่บินไปเที่ยวและพบปะลูกค้าที่ต่างประเทศตีตั๋วด่วนมาทันที ส่วนหลานๆ ที่ตอนนี้อาศัยอยู่ที่นี่กำลังมาให้เร็วที่สุด
เมื่อลูกชายคนโตของประมุขแห่งตระกูลมาถึง ทุกคนยืนรอรับและพากันเข้าไปในห้องที่มีร่างชายชราผู้เป็นทั้งนักธุรกิจที่ทรงอิทธิพล เป็นทั้งบิดา เป็นทั้งคุณปู่ และรวมถึงคุณตา บรรดาคนในครอบครัวยืนห้อมล้อมที่เตียง ไนน์ที่ยืนอยู่ปลายเตียงทอดสายตามองตรงไป ปู่ของเขาเหมือนคนที่นอนหลับไป ใบหน้าที่ไร้เลือดฝาดขาวซีด การจากไปโดยไม่มีการลาของปู่สร้างบาดแผลที่หนักหน่วงอย่างมาก เขายกมือที่สั่นลงไปจับที่เท้าทั้งสองข้าง น้ำตาที่อดกลั้นมาไหลบ่าออกมาอย่างมากมาย แม้จะไม่ใช่บิดาที่สร้างชีวิตการที่ได้รับการเลี้ยงดูราวกับลูก ปู่ที่เป็นแค่คำเรียกขานแต่ภายในเขาคือบุตรที่รักจนสุดหัวใจของชายคนนี้และปู่คือพ่อคนเขารักของสุดหัวใจเช่นกัน
“อึก...” เสียงสะอึ้นไห้ ใบหน้าที่ก้มลงไปซุกที่ฝ่าเท้าที่เย็นเฉียบแล้ว
น้ำเสียงของหลานรัก น้องรักที่ร้องไห้ต่างเรียกสายตาให้ทุกคนหันไปมอง พร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลออกมาพร้อมกันอย่างไม่รู้ตัว สำหรับคนที่เป็นลูกวันที่ต้องสูญเสียพ่อและแม่ไป เขายังมีภรรยาและลูกที่คอยปลอบโยน ส่วนหลานที่สูญเสียปู่ยังมีบิดามารดาที่เขียนเคียงข้าง แต่สำหรับไนน์ที่วันหนึ่งสูญเสียพ่อกับแม่ไปแล้วครั้งหนึ่งถึงไม่จะจำความอะไรไม่ได้ แต่การที่ต้องสูญเสียคนที่เปรียบเสมือนบิดาไป ทุกคนต่างเข้าใจว่าครั้งนี้มันร้ายแรงสำหรับไนน์มาก พวกเขาปล่อยให้ไนน์ใช้เวลาอยู่กับปู่ได้เต็มที่
“ไนน์ลูก ถ้าไหวแล้วค่อยออกไปนะครับ ลุงและป้ากับพี่ๆเขาจะรอเราอยู่ข้างนอกนะ” ลุงมังกรลูบหัวหลานรักและบรรจงจูบที่กระหม่อมอย่างแผ่วเบาเป็นการปลอบโยน
หลังจากทุกคนออกไปกันจนหมด เขาลุกขึ้นปาดน้ำตาที่ไม่มีที่ท่าจะหยุดไหล พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ต่อสายถึงใครบางคนอย่างเร่งรีบและหลังจากพูดคุยกันอีกสองสามประโยคเพราะตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นมาจากฝ่าเท้าปู่เขาได้เห็นบางอย่าง
ร่างบางเดินออกไปจากห้องพร้อมกับใบหน้าที่เรียบนิ่งและพูดกับคนที่ยืนรอที่หน้าห้องด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย
“พวกเราไปส่งปู่กันเถอะครับ”
TBC…