[KNY FF] - In Time With You

Special Chapter 06 - Once in a Blue Moon (II)

 

TW/CW :

TW : Death | Violence

CW : Depression

 

ปล. เนื่องจากบทนี้ยาว เลยขออนุญาตแบ่งลง 2 ตอนนะคะ

 

1st Published : 02 JAN 2022

Rewrite : 04 JUN 2022

===========

เหตุการณ์ต่อเนื่องจาก Special Chapter 06.1 ค่ะ และหลัง Day 7 ค่ะ ช่วงย้อนอดีตอยู่ระหว่างตอนที่ 2 และ 3 นะคะ

 

คืนนั้นเป็นคืนจันทร์เพ็ญครั้งที่สองในรอบเดือน แม้จะมีเมฆหมอกปกคลุมทั่วบริเวณ แต่ก็ไม่อาจกลบแสงจันทร์ที่ส่องสว่างหากนุ่มนวลดุจเพลงดาบของทั้งคู่ได้

 

หากแสงอ่อนละมุนของดวงจันทร์ไม่อาจดับความรู้สึกร้อนรนที่เสาหลักวารี โทมิโอกะ กิยู แบกรับไว้มาเป็นระยะเวลานาน... นานนับตั้งแต่เด็กสาวคนนั้นสูญเสียพี่สาวไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ นานนับตั้งแต่เด็กสาวที่เขาเคยคุ้นละทิ้งตัวตนเดิมและเลือกจะสวมเปลือกของพี่สาวผู้จากไปไว้แทน

 

ความหงุดหงิดตัวเองที่ไม่อาจทำอะไรได้ ระคนกับความปวดร้าวที่ได้แต่มองคนที่คุ้นชินของตนแปรเปลี่ยนเป็นคนที่เขาไม่เคยรู้จัก ผสมกับความรู้สึกอะไรบางอย่างที่เขาไม่เคยเข้าใจ และคงไม่มีวันจะเข้าใจ แต่ทำให้เขาเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นอสูรพุ่งเป้าโจมตีเด็กสาวคนนั้น

 

“นี่คุณคงไม่อยากคุยกับฉันดี ๆ สินะคะ”

 

เสียงอ่อนหวานหากเต็มไปด้วยความเย้ยหยันจนบาดหูคนฟัง นี่ไม่ใช่ชิโนบุที่เขารู้จักมาเป็นเวลาช้านาน และนี่ก็ไม่ใช่หญิงสาวปริศนาที่เขาเฝ้าฝันถึงมาตลอด

 

“ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดกับเจ้า ยัยเด็กน้อย”

 

“ว้า เสียดายจังค่ะ ฉันอุตส่าห์อยากผูกมิตรกับคุณด้วยแท้ ๆ” รอยยิ้มนุ่มนวลปรากฏบนใบหน้างามงดของเธอ ก่อนกระชับดาบประจำตัวไว้ในอุ้งมือ ขณะเจ้าอสูรร้ายตนนั้นยังคงแสยะยิ้มเย็นยะเยือก “ถ้าเช่นนั้น ฉันก็คงต้องขออภัยนะคะ”

 

“ระวัง!”

 

กิยูได้ยินเสียงตัวเองตะโกนออกไปจังหวะเดียวกับที่อสูรตนนั้นพุ่งผืนผ้าเบาบางแต่คมกริบเข้าใส่เสาหลักแมลงผู้นั้น หากเธอก็ว่องไวพอที่จะกระโดดหลบได้ก่อนผืนผ้าจะเฉียดกรายต้องผิวเธอ การเคลื่อนไหวที่งดงามราวกับผีเสื้อเริงระบำกลางแสงจันทร์วันเพ็ญทำทั้งเขาและอสูรตนนั้นตะลึงจนแทบลืมหายใจ จังหวะนั้นชิโนบุก็สามารถเสียบดาบเข้ายังทรวงอกของอสูรตนนั้นได้

 

ชั่วขณะหนึ่งที่อสูรตนนั้นยิ้มกระหยิ่มที่เธอผู้นั้นยุติการโจมตีแต่เพียงเท่านั้น หากก็เพียงชั่วครู่เดียว เมื่อพิษดอกฟูจิที่เสาหลักแมลงผู้นั้นอาบเคลือบดาบไว้ออกฤทธิ์ รอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏบนใบหน้างดงามราวกับภาพวาดของโคโจ ชิโนบุ รอยยิ้มที่ละม้ายใกล้เคียงกับหญิงสาวในฝันของเขา หากเป็นยิ้มที่บีบหัวใจคนมอง ด้วยรู้ว่าภายใต้รอยยิ้มอ่อนหวานนั้น หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความคั่งแค้นต่อโชคชะตาอันโหดร้ายไม่ต่างอะไรกับเขา

 

กระนั้นอสูรร้ายก็ยังไม่คงสิ้นฤทธิ์เดช แม้จะจำนนต่อวาระสุดท้ายที่ใกล้เข้ามาถึง เจ้าอสูรนั้นสะบัดกรงเล็บแหลมคมเข้ากับท่อนแขน เรียกหยาดโลหิตให้รินไหลออกมา ลมพัดพากลิ่นหอมเอียนโชยเข้าจมูกชายหนุ่มจนต้องนิ่วหน้า ก่อนนัยน์ตาเบิกโพลงเมื่อเห็นเจ้าอสูรนั้นใช้แรงสุดท้ายเงื้อมือเตรียมจู่โจมเจ้าของนัยน์ตาสีม่วงคู่นั้น

 

ก่อนเขาจะรู้ตัว เขาก็ไสตัวเข้าไปขวางและใช้ดาบตวัดคออสูรตนนั้นโดยปราศจากความลังเล กระนั้นเสียงหัวเราะของมันยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเขา พร้อมคำพูดทิ้งท้ายก่อนมันจะสลายร่างไป ประโยคที่เสาหลักวารีได้แต่ขมวดคิ้วนิด ๆ ไม่ทันจะได้ตรองดู เสียงหวานที่แสนคุ้นหูก็เอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวล หากถ้อยคำนั้นช่างฟังบาดหูเขายิ่งนัก

 

“ใครใช้ให้คุณมาขวางฉันคะ โทมิโอกะซัง”

 

“คำสั่งนายท่าน”

 

เขาตอบสั้น ๆ ขณะใช้กระดาษสาบรรจงทำความสะอาดคมดาบก่อนเก็บเข้าฝัก เบือนหน้าหนีนัยน์ตาสีม่วงที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่าที่มองมาอย่างเย้ยหยัน

 

“นี่มันภารกิจของฉันนะคะ”

 

คำสั่งของนายท่าน...”

 

“คุณพูดเป็นแค่ประโยคเดียวเองเหรอคะ โทมิโอกะซัง” เจ้าหล่อนพูดทั้งที่ยังคงยิ้มละมุน หากนัยน์ตาวาวโรจน์ “เพราะทำตัวแบบนี้ตลอด คนอื่นถึงไม่ได้ชอบคุณไงคะ”

 

“ข้าไม่ได้ถูกเกลียด...”

 

กิยูได้แต่กระซิบ ราวกับตอกย้ำความเชื่อของตัวเอง ทั้งที่ยังคงเจ็บปวดกับสิ่งที่แปรเปลี่ยนไปเพียงข้ามคืน... ด้วยการจากไปของเสาหลักบุปผาผู้นั้น

 

การจากไปที่สร้างความเปลี่ยนแปลงแก่ตัวเขาและเธอคนนั้น... จนหลงลืมความรู้สึกอ่อนหวานดุจท้องฟ้าหน้าร้อนอันสดใส หลงเหลือแต่ความอึมครึมของจิตใจที่เจ็บปวดต่อความอ่อนแอ และความรู้สึกแปลกประหลาดที่เข้ามาเยือน

 

ความรู้สึกที่ปั่นป่วนราวกับสายน้ำวนมาหลายเดือน ความรู้สึกที่ยิ่งกัดกร่อนจิตใจจากท่าทีของเธอผู้นั้น จนได้แต่โหยหาคืนวันในอดีตที่ไม่อาจย้อนกลับมา

 

โหยหาเสียงบ่นหงุงหงิง โหยหาเสียงโวยวาย โหยหาการทำแผลที่แสนหนักมือ

 

โหยหารอยยิ้มแสนซุกซนแต่สว่างสดใส โหยหารอยยิ้มกว้างจนนัยน์ตาสีม่วงนั้นเปล่งประกายไม่แพ้หมู่ดาราบนท้องนภา

 

เขาโหยหาตัวตนของโคโจ ชิโนบุ ที่ได้ตายจากไปพร้อมกับโคโจ คานาเอะ ในวันฝนพรำวันนั้น

 

เสียงฟ้าร้องดังขึ้นสองสามครั้ง พร้อมกับสายลมพัดกลิ่นอายของสายฝนต้องจมูก เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่บัดนี้ปกคลุมด้วยเมฆหนาครึ้มจนบดบังแสงจันทร์หมดสิ้น ดูท่าพายุคงจะพัดผ่านมาแถบนี้ในอีกไม่ช้า

 

พื้นที่ที่เขาและเสาหลักแมลงผู้นั้นอยู่ห่างไกลจากที่พำนักของพวกเขา เท่าที่คำนวณ ไม่มีทางที่พวกเขาจะกลับไปยังบ้านของฝ่ายใดได้ทันก่อนพายุฝนโหมกระหน่ำ

 

ขณะที่กิยูชั่งใจว่าจะทำอย่างไรต่อ มือเล็ก ๆ ของเธอก็จิ้มยังบั้นเอวของเขา ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีที่เป็นมิตรกว่าเมื่อครู่นี้

 

“สงสัยพวกเราคงกลับบ้านกันไม่ทันแล้วค่ะ ฉันจำได้ว่าที่ตีนเขามีบ้านตราดอกฟูจิอยู่ ไปที่นั่นกันก่อนแล้วกันนะคะ”

 

เขาทั้งสองคนก้าวเท้าเหยียบย่างบ้านหลังจ้อยที่ติดตราดอกฟูจิไว้ทันท่วงทีก่อนที่สายฝนจะเทกระหน่ำจนไม่อาจเห็นทัศนียภาพอื่นใดได้

 

เจ้าบ้านผู้เป็นหญิงชราส่งผ้าผืนสะอาดให้พวกเขาทั้งสอง หากดวงหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยความลำบากใจบางอย่างจนคนอย่างกิยูยังสัมผัสได้ตั้งแต่ไม่กี่เสี้ยววินาทีที่เหยียบเท้าย่างกรายเข้ามายังบ้านหลังนี้

 

เพราะทั้งบ้านเหลือห้องโถงกลางให้พวกเขาได้อาศัยนอนเพียงห้องเดียว...

 

บ้านหลังนี้เหลือเพียงคุณยายและสามีอาศัยอยู่ร่วมกัน ตัวสามีของคุณยายไม่คุ้นชินที่จะนอนร่วมกับคนแปลกหน้า ด้วยยังหวาดผวายามอสูรเข้าจู่โจมเมื่อหลายปีก่อน

 

กิยูมองเสี้ยวหน้าของเธอผู้นั้นและเจ้าของบ้านสลับกัน สภาพอากาศข้างนอกก็ย่ำแย่เกินกว่าที่เขาจะพักกายได้ แต่ก็ไม่เหลือเสี้ยวตารางนิ้วใดในบ้าน... หรือกระท่อมหลังนี้ให้เขาอาศัยอยู่ได้

 

หากปัญหาทั้งหมดก็ถูกคลี่คลายลงด้วยคำพูดนุ่มนวลของชิโนบุ

 

“อย่าคิดมากเลยค่ะ ฉันกับโทมิโอกะซังนอนที่ไหนก็ได้ การที่คุณให้เราได้อาศัยพักผ่อนที่นี่คืนนี้ก็ถือเป็นพระคุณอย่างสูงแล้วค่ะ”

 

เมื่อเจ้าหล่อนเป็นฝ่ายเอ่ยปากอย่างนั้น เขาก็จนปัญญาที่จะสรรหาข้ออ้างมาโต้เถียง ฟูกนอนสองชิ้นจึงถูกจัดวางไว้คนละมุมห้อง แต่ด้วยความแคบของพื้นที่ ทำให้ระยะห่างนั้นอยู่ใกล้เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะใช้มือเอื้อมถึงกันได้

 

เพียงแค่ไม่กี่นาทีที่เจ้าบ้านเดินลับกลับห้องนอน นัยน์ตาสีครามก็ค่อย ๆ ปรือต่ำ แล้วปิดลงด้วยความเหนื่อยล้าจากภารกิจที่ได้รับมาในวันนี้ หากก่อนที่สติสัมปชัญญะของเขาจะดับวูบลง ลมก็พัดพากลิ่นหอมสะอิดสะเอียน กับเสียงหัวเราะเย้ยหยัน และคำพูดที่เจ้าอสูรตนนั้นทิ้งไว้ก่อนจะสลายเป็นผุยผง

 

‘หึหึ ต่อให้ข้าสลายไป แต่ใช่ว่าเจ้าจะหลุดพ้นจากห้วงฝันร้ายของข้าไปได้’

 

เสียงที่สะท้อนไปมาในโสตประสาทของกิยูที่บัดนี้ปล่อยจิตให้ดำดิ่งไปสู่เหตุการณ์ในอดีต เหตุการณ์ที่พลิกผันชีวิตวัยเยาว์ที่แสนสงบสุขของเขาจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม

 

ท่ามกลางหิมะตกโปรยปราย เขาในวัยเยาว์กำลังตื่นเต้นกับการที่พี่สึทาโกะ พี่สาวคนเดียว ครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งกำลังจะแต่งงานไปกับชายหนุ่มที่รักพี่สาวของเขาอย่างหมดหัวใจ ถึงจะหวั่นเกรงถึงการที่จะมีพี่เขยเข้ามาร่วมชายคาเดียวกับเขานับแต่พรุ่งนี้ หากความตื่นเต้นและความดีใจที่จะได้เห็นพี่สาวที่รักยิ่งมีความสุขนั้นช่วยกลบความไม่สบายบางอย่างที่อยู่ในใจของเด็กน้อยคนนั้นออกไป

 

ความไม่สบายใจที่เรียกว่า... ลางสังหรณ์ของอนาคตอันใกล้

 

เสียงโครมครามดังขึ้นปลุกเด็กน้อยให้พ้นจากห้วงนิทรา คราแรกกิยูคิดว่าเขาหูฝาดไปเอง แต่เสียงโครมครามครั้งที่สองก็ทำให้เด็กชายตื่นขึ้นเต็มตา ใบหน้างดงามของพี่สึทาโกะเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นเมื่อจับสัญญาณได้ว่าเสียงกุกกักปนคำรามนั้นมาจากในตัวบ้านของเขาเอง

 

ความหวาดหวั่นพุ่งเข้าวาบสู่จิตใจของกิยู หากมือที่แสนอบอุ่นของพี่สาวที่เกาะกุมกันแน่นก็พอจะผ่อนคลายความกังวลของเขาไปได้ แต่ก็ได้ไม่นานนัก...

 

พี่สึทาโกะทำสัญญาณให้เขาเงียบ ก่อนจะค่อย ๆ แง้มบานเลื่อนตู้เก็บของในห้องอย่างเบามือ พร้อมกระซิบสั่งการเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

 

“ต่อให้ได้ยินเสียงอะไร ห้ามส่งเสียงดังออกมา ห้ามออกมาจากตู้เด็ดขาดนะ...” แสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านช่องลมสะท้อนให้เห็นหยาดน้ำตาที่คลอเบ้านัยน์ตาสีครามของคนเป็นพี่ ก่อนจะรวบร่างน้องชายคนเดียวกอดไว้แน่นหนา “จำไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น น้องต้องมีชีวิตรอดให้ได้... ต้องมีชีวิตต่อไปให้ได้นะกิยู”

 

สิ่งสุดท้ายที่กิยูเห็น คือแผ่นหลังเล็กบางของคนเป็นพี่สาวที่เอาตัวบังแล้วขยับบานเลื่อนของตู้ปิดอย่างเบามือ ความหวาดกลัวพุ่งเข้าสู่หัวใจจนเด็กชายไม่อาจส่งเสียงหรือเคลื่อนไหวใด ๆ ได้ แม้แต่ยามที่เสียงโครมครามครั้งที่สามดังขึ้น ชัดกว่าสองครั้งแรก เขาได้ยินเสียงพี่สาวเรียกผู้บุกรุกว่าอสูร พร้อมกับเสียงอ้อนวอนขอชีวิต หากเด็กชายก็ได้แต่เอามืออุดปาก ไม่ส่งเสียงใดออกมาตามที่ได้รับคำสั่ง... ทั้งที่ร่างกายกำลังสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวจับจิต พร้อมกับหยาดน้ำร้อนไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง

 

เด็กชายนั่งคุดคู้อยู่อย่างนั้น ไม่สนว่าเสียงกรีดร้องของคนเป็นพี่เงียบหายไปนานแค่ไหน เสียงเอะอะโครมครามที่ได้ยินจบลงไปตอนไหน ไม่รู้ว่าเวลาผ่านล่วงไปเท่าไร ไม่รู้ว่าอรุณรุ่งมาเยือนตั้งแต่เมื่อไร

 

แต่นั่นคือจุดเริ่มต้นของฝันร้ายไม่รู้จักจบ...

 

บานประตูเลื่อนถูกเปิดออก นำพาแสงสว่างที่สาดต้องสองตาของเขาจนพร่ามัว หากก็ไม่อาจลบเลือนคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนไปทั่วทั้งห้อง และความจริงที่ว่าพี่สาวคนเดียวของเขาจบชีวิตลง...

 

จากน้ำมือของอสูร...

 

ครอบครัวคู่หมั้นพี่สาวของเขาพากันส่ายหัวยามเขาเพียรเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง เช่นเดียวกับคู่หมั้นของพี่สาวผู้จากไปที่แม้จะยังคงนั่งนิ่งน้ำตานองหน้า แต่ก็ไม่แม้จะยอมเชื่อถ้อยคำของเขา รวมถึงญาติห่าง ๆ และเหล่าเพื่อนบ้านที่เริ่มครหาว่าเขาเสียสติจนเอ่ยแต่เรื่องลวงโลก

 

คำที่คอยหลอกหลอนจิตใจของเขา จนเลือกที่จะหนีไปให้ไกลแสนไกล ให้พ้นจากคำพูดที่ตามมาหลอกหลอนและความเจ็บปวดจากการสูญเสีย... สองเท้าเล็ก ๆ วิ่งเตลิดหนีเข้าป่าลึกอันไกลโพ้น จวบจนหมดแรงล้มลงท่ามกลางหิมะสีขาวอันแสนหนาวเหน็บ

 

ใบหน้าของบิดามารดาผู้จากไปเมื่อหลายปีก่อนและพี่สาวลอยเข้ามาในห้วงสติอันแสนเลือนราง แต่ก็เพียงชั่วครู่ มือสากหยาบกร้านของใครคนหนึ่งก็ช้อนตัวเขาที่อยู่ในสภาพปางตายขึ้นพาดบ่า และพาไปยังกระท่อมหลังเล็กตีนเขา เสียงพึมพำพูดคุยของชายสูงวัยสองคนที่ฟังไม่ได้ศัพท์แว่วต้องหู หากหนึ่งคำที่ต้องหูนั้น ก็เรียกให้เขาสะดุ้งตัวสุดชีวิตก่อนหวีดร้องออกมาสุดเสียง

 

สิ่งที่พรากชีวิตท่านพี่คนสำคัญไปจากเขา...

 

เสียงหวีดร้องของเขาทำชายสองคนหันขวับมามองเขาเป็นตาเดียว คนหนึ่งเป็นนายพรานที่ช่วยชีวิตเขาไว้ อีกคนหนึ่ง ชายผู้สวมหน้ากากเท็นงูแลดูน่าเกรงขาม หากเสียงที่ปลอบเตือนสติเขาหลังจากนั้นเต็มเปี่ยมด้วยความเข้าใจต่อสิ่งที่เขาสูญเสีย...

 

และเด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ผู้มีสีผมแปลกตา นามว่าซาบิโตะ

 

เด็กชายผู้สูญเสียครอบครัวที่เหลืออยู่หนึ่งเดียวให้กับอสูรเฉกเช่นเขา ผู้ที่มีความมุ่งมั่นที่จะเข้าร่วมหน่วยพิฆาตอสูรเพื่อคอยสานต่อเจตนารมณ์ที่จะปกป้องชีวิตผู้คนจากอสูรร้ายที่พรากครอบครัวไปจากพวกเขา ปณิธานอันแรงกล้าที่สร้างความนับถือในตัวเด็กชายผู้นี้ควบคู่ไปกับมิตรภาพที่เริ่มก่อตัว

 

แต่โชคชะตาไม่เคยเป็นใจ สุดท้ายคนอย่างเขาก็กลายเป็นผู้รอดชีวิตอีกครั้ง ขณะที่ซาบิโตะที่เอาตัวคอยช่วยเหลือเหล่าคนที่เข้าร่วมการทดสอบสุดท้ายกลับจบชีวิต... เพียงเพราะต้องการรักษาชีวิตของผู้เข้าร่วมการทดสอบทุกคนให้รอดชีวิตไปด้วยกันให้ได้

 

คนที่ไม่อาจสังหารอสูรได้ในการทดสอบครั้งสุดท้ายอย่างเขา กลับผ่านเข้าร่วมหน่วยเพียงเพราะรอดชีวิตมาได้เจ็ดวัน ขณะคนที่สังหารอสูรได้มากมาย กลับต้องจบชีวิตลง ทิ้งความฝันสุดท้ายให้เขาได้สานต่อ

 

ภาพสุดท้ายของเพื่อนรักซ้อนทับกับภาพสุดท้ายของพี่สาวผู้จากไป มีเพียงแผ่นหลังของซาบิโตะที่เขาได้ทันเห็นก่อนหมดสติไปตลอดการคัดเลือก และปณิธานอันแรงกล้าที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่สานต่อได้

 

หากกิยูไม่เคยลืมเลือนความจริง ความจริงที่ว่าเขามาอยู่ตรงนี้ได้เพียงเพราะโชคชะตา... เขามาอยู่ตรงนี้ได้เพียงเพราะซาบิโตะได้ช่วยเหลือชีวิตไว้...

 

เสาหลักวารีตัวจริงจึงไม่ใช่เขา... เขาแค่รักษาตำแหน่งมันแทนที่ซาบิโตะ เพื่อรอวันเวลาที่มีคนที่เหมาะสมก้าวเข้ามารับตำแหน่งอันทรงเกียรติและหนักอึ้งนี้ไปเสีย

 

เหงื่อผุดพรายตามดวงหน้าคมสันยามนึกถึงอดีตอันแสนขมขื่น มนต์อสูรโลหิตที่พาชายหนุ่มจมดิ่งในห้วงฝันร้ายจากบาดแผลที่กลัดหนองอยู่ในทรวงอกมาตลอดหลายปี กับความรู้สึกต้อยต่ำที่ไม่อาจปกป้องชีวิตของคนสำคัญเลยแม้แต่คราเดียว

 

ถึงสุดท้ายเขาจะขึ้นเป็นเสาหลัก แต่เขาก็ยังไม่อาจปกป้องชีวิตของใครอื่นได้ อย่างที่ซาบิโตะคงจะทำได้หากเพื่อนรักคนนั้นยังมีชีวิตอยู่...

 

รวมถึงอีกหนึ่งชีวิตที่เพิ่งจากไปไม่นานมานี้... ชีวิตของเสาหลักบุปผา พี่สาวของเด็กสาวเจ้าของนัยน์ตาสีม่วงที่ติดตรึงอยู่ในใจของเขามาตั้งแต่ครั้นจำความได้

 

ภาพในเช้าวันนั้นตามมาหลอกหลอนเขาอยู่ไม่วายเว้น ภาพเด็กสาวคนนั้นร่ำไห้กอดร่างไร้วิญญาณพี่สาวผู้เป็นที่รักยิ่ง เสียงร้องไห้โหยหวนราวกับคนใกล้ขาดใจบาดลึกเข้าไปยังจิตใต้สำนึกของเขา ตอกย้ำความสามารถอันต่ำต้อยของเขาว่าท้ายสุด เขาไม่อาจรักษาชีวิตของใครได้อีกเลย

 

หากเสียงกรีดร้องในฝันครานี้ของเขามันชัดเจนยิ่งกว่าครั้งไหน ชัดเจนจนกิยูนึกว่าตนเองหวนย้อนกลับไปยังวันนั้น วันที่โศกนาฏกรรมและความเปลี่ยนแปลงเข้ามาเยือนชีวิตของใครหลายคน จนไม่อาจกลับเป็นอย่างเดิมได้อีกต่อไป

 

รู้ทั้งรู้ว่าเขาไร้ความสามารถที่จะช่วยเหลือใคร รู้ทั้งรู้ว่าเวลาไม่อาจหวนคืนย้อนมาได้ ต่อให้เพียรพยายามมากแค่ไหนก็ตาม แต่สุดท้าย ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกที่สุด ความรู้สึกที่ปรารถนาอยากปกป้องเด็กสาวคนนั้นไว้ ก็เป็นตัวขับเคลื่อนให้เขาหลุดพ้นจากมนต์สะกดของอสูรโลหิตที่ร่ายทิ้งไว้ แล้วกลับเข้าสู่ความจริงที่แสนเจ็บปวดไม่แพ้กับความฝันที่ตามหลอกหลอนมานับแรมปี

 

ใช้เวลาหลายนาทีกว่าเขาจะลืมตาขึ้นมาได้ กลิ่นหอมหวานจนเอียนที่ต้องจมูกเมื่อช่วงหัวค่ำยังฟุ้งกระจายอยู่เต็มห้อง เหงื่อไหลโซมตัวท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บของต้นวสันต์ฤดูด้วยฝันร้ายที่ตอกย้ำถึงความทรงจำแสนเจ็บปวดในแต่ละช่วงชีวิต

 

เสียงกรีดร้องโหยหวนมาจากร่างเล็กที่บัดนี้นอนงองุ้มขดขาตัวเองไว้ แสงจันทร์ส่องผ่านช่องหน้าต่างสะท้อนหยาดน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้มเป็นทาง เมื่อมนต์อสูรโลหิตของอสูรตนนั้นคอยปลุกกระตุ้นความทรงจำที่เจ้าหล่อนเพียรฝังกลบไว้ไม่ต่างจากเขา

 

ถ้อยคำที่หลุดรอดจากปากของเธอทำกิยูได้แต่ขบกรามแน่น ถ้อยคำสะท้อนความทรงจำอันแสนโหดร้ายในค่ำคืนที่ทุกสิ่งเปลี่ยนผัน ค่ำคืนที่อสูรเข้ามาสังหารบิดามารดาของสองพี่น้องโคโจต่อหน้าต่อตาของพวกเธอ จากความทรงจำอันแสนรางเลือน เขาจำได้ว่าชิโนบุเพิ่งมีอายุย่างเข้าสิบขวบเท่านั้น...

 

เสียงเรียกหาพี่สาวผู้จากไปยิ่งทำให้ชายหนุ่มจิกมือแน่นกว่าเก่า หากโลกนี้ใจร้ายกับเขามากเท่าไร สิ่งที่เกิดขึ้นกับชิโนบุก็ยิ่งเลวร้ายไม่แพ้กัน และอาจหนักหนากว่าเขาตรงที่ต้องสูญเสียพี่สาวร่วมสายเลือดที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งให้กับสิ่งที่พรากพ่อแม่ของพวกเธอให้ตายจาก

 

ถ้าเพียงเขาไปถึงที่นั่นเร็วกว่านั้น เพียงแค่ชั่วยาม... ชะตาของเธอผู้นี้อาจไม่ต้องมารับความเจ็บปวดแบบเดียวกับที่เขาต้องเผชิญ...

 

ความเจ็บปวดที่เขาได้แต่หวังว่า คงไม่มีใครมาต้องประสบชะตากรรมซ้ำรอยเดียวกับเขา

 

“พี่คานาเอะ... พี่คะ อย่านะ พี่อย่าทิ้งหนูไป กลับมานะ!

 

“โคโจ...” กิยูเอ่ยออกมาในที่สุด หากเสียงที่เปล่งออกมาก็สั่นเครือด้วยอารมณ์เศร้าหมองไม่แพ้กัน “...มันเป็นแค่ความฝัน

 

ความทรงจำที่พวกเขาได้แต่หวังว่ามันอาจจะเป็นฝันร้ายของคืนวันหนึ่ง ที่เมื่อตื่นมาคนที่เขารักทุกคนจะยังอยู่พร้อมหน้าไม่ห่างหายไปไหน...

 

แต่ท้ายสุด สิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นความจริงอันแสนเจ็บปวด ที่เขาทั้งสองยังไม่อาจก้าวข้ามมันไปได้เลยแม้แต่น้อย

 

“ไม่ค่ะพี่ หนูไม่มีวันออกจากหน่วยเด็ดขาด! ต่อให้ต้องตายหนูก็ไม่มีวันออกจากหน่วยพิฆาตอสูรนี้!”

 

เสียงสั่นเครือหากเด็ดขาดจนใจของชายหนุ่มสั่นสะท้าน ความเข้มแข็งของเด็กสาวคนนี้เป็นที่ประจักษ์แก่เหล่าสมาชิกหน่วยพิฆาตอสูรจนถึงเหล่าเสาหลักด้วยกัน ความเข้มแข็งที่เกิดจากความปรารถนาที่จะล้างแค้นให้แก่อดีตเสาหลักบุปผาคนนั้น จนเด็กสาวที่ร่างเล็กและแบบบางยิ่งกว่าใคร สามารถพัฒนาทักษะยาพิษเข้ามาอุดช่องว่างของกายภาพที่เป็นอุปสรรค และขึ้นสู่ตำแหน่งเสาหลักได้อย่างเต็มภาคภูมิภายในไม่กี่เดือนหลังการจากไปของโคโจ คานาเอะ

 

แต่ประโยคต่อมา กลับทำให้มือของเขาที่อยู่ห่างจากมือของเธอแค่ปลายเล็บถึงกับชะงักงัน ด้วยไม่อาจหาญเข้าไปกอบกุมมือแบบบางที่บิดเกร็งดั่งใจปรารถนาได้

 

“ไม่ได้ค่ะพี่... จะให้หนูออกจากหน่วยได้อย่างไร! พี่ตายไปทั้งแบบนี้! จะให้หนูตัดใจได้ยังไง! หนูห้ามอาโออิเข้าหน่วยไม่ได้แล้วคนนึงนะคะ” ชิโนบุหลุดความเจ็บปวดจากการต้องปล่อยให้คนที่เป็นเหมือนครอบครัวอีกคนเข้าหน่วยพิฆาตอสูรโดยที่เธอไม่อาจทำอะไรได้ แม้จะเป็นฝ่ายตอบคำถามนายท่านอุบุยาชิกิว่าเธอเข้าใจในการตัดสินใจของน้องสาวต่างสายเลือดคนนี้ก็ตาม “ถ้าหนูออกจากหน่วยไป ใครจะปกป้องอาโออิ คานาโอะ ซึมิ คิโยะ นาโฮะได้คะพี่”

 

เพราะสำเหนียกว่าเขานั้นทั้งอ่อนแอและไร้ประโยชน์เหลือเกิน คนที่เป็นเพียงเสาหลักจอมปลอมอย่างเขาไม่อาจหาญที่จะสัมผัสมือคนที่กล้าแกร่งคนนี้ได้ คงทำแต่เพียงมองดวงหน้าซีดเซียวที่เปรอะเปื้อนด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูไม่ขาดสายด้วยหัวใจอันแหลกสลายไม่แพ้กัน

 

ความเจ็บปวดที่เขาเข้าใจมันดียิ่งกว่าใคร...

 

“เราสัญญากันแล้วไม่ใช่เหรอคะ เราสัญญาว่าจะคอยปกป้องผู้คนให้พ้นจากชะตากรรมแบบที่พวกเราเจอมา พี่จะให้หนูเลิกได้อย่างไร จนกว่าจะกำจัดพวกมันให้หมด หนูไม่มีวันยอมแพ้ ต่อให้หนูต้องตายก็เถอะ...”

 

ความในใจของเธอไหล่บ่าออกมาไม่แพ้หยาดน้ำตา ความในใจที่ขัดกับคำพูดที่เธอพร่ำบอกว่าอยากอยู่ร่วมกับอสูรได้อย่างสันติ หากกิยูรู้ดี สิ่งนั้นคือสิ่งที่ชิโนบุต้องการสานต่อความปรารถนาของคนที่ล่วงลับไปแล้ว เช่นเดียวกับเขาที่ยังคงสืบทอดเจตนารมณ์ของซาบิโตะเอาไว้ จนจำต้องฝืนรับตำแหน่งเสาหลักของหน่วยพิฆาตอสูรนี้ไว้

 

ความแค้นที่เธอแบกรับและกล้ำกลืนเพียงเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เช่นเดียวกับเขาที่ปิดตายความรู้สึกแสนเจ็บปวดเพื่อที่จะได้เดินหน้าต่อไป

 

ก็เพราะเพื่อไม่ให้ใครต้องมาเจ็บปวดอย่างพวกเขาทั้งสองอีก

 

“แต่ทำไม... ทำไมหนูต้องตัวเท่านี้ด้วย... ทำไมหนูถึงไม่สูงขึ้น ทำไมหนูถึงไม่มีแรงพอจะตัดคออสูรได้...” ชิโนบุพึมพำออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาผิดกับเมื่อครู่ ความทุกข์ตรมที่ฝังรากลึกไว้จนไม่เคยมีใครสังเกตเห็นว่าเธอผู้นี้ทุกข์กับขีดจำกัดทางกายภาพมากกว่าที่ใครหลายคนรับรู้ “หนูพยายามเท่าไรก็ไม่สามารถตัดคอพวกมันได้... พี่คะ หนูต้องพยายามอีกแค่ไหน หนูจะปกป้องทุกคนได้ไหม หนูจะแก้แค้นให้พี่ได้ไหม...”

 

ถ้อยคำรำพันที่ทำความอดทนของกิยูขาดสะบั้น มือขวาของเขาเขยิบไปลูบไล้เส้นผมสีดำเหลือบม่วงนั้นอย่างแผ่วเบาก่อนที่เขาจะทันห้ามตัวไว้ได้

 

“อย่าโทษตัวเองอย่างนั้น...” กิยูกระซิบแผ่ว ด้วยความในใจที่เขาอยากบอกเธอคนนี้มานานแสนนาน “พยายามได้ดีมากโคโจ...”

 

“พี่คะ... ทำไม”

 

“ไม่เป็นไรแล้วนะ...”

 

แสงจันทร์ทอแสงละมุนไม่แพ้ถ้อยคำกระซิบ อ่อนโยนไม่แพ้นัยน์ตาสีครามที่ทอดมองร่างที่ยังนอนบิดเกร็ง สัมผัสนุ่มนวลที่ขับไล่มนต์อสูรโลหิตให้จางลงโดยไม่รู้ตัว ด้วยความในใจที่เขาไม่อาจล่วงรู้ในเวลานั้น ช่วยขับไล่ฝันร้ายของเธอให้มลายหายสิ้น

 

หากเหตุการณ์ในคืนนั้นก็เป็นเพียงภาพฝันในค่ำคืนหนึ่งของเขาฝ่ายเดียว แม้เป็นคืนเดียวที่ชิโนบุได้เผยความเจ็บปวดให้เขาได้เห็น หากเป็นตัวกิยูที่เลือกจะไม่สานต่อสิ่งใด เพียงเพราะไม่อาจรื้อฟื้นความเจ็บปวดของเธอผู้นั้นขึ้นมาใหม่ และตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของตน

 

มีเพียงสัญชาตญาณจากความรู้สึกที่ทำให้เขาสบายใจที่จะอยู่ใกล้เธอผู้นี้ ไปพร้อมกับปกป้องตัวเธอและความฝันของเธอ

 

จวบจนเวลาหมุนผ่านเลยมายังคืนที่ความในใจของทั้งสองได้ถูกเผยออกมา เขาถึงได้เข้าใจความรู้สึกที่ผ่านมาตลอดหลายปี ความรู้สึกร้อนรนที่ทำกิยูกระวนกระวายในเวลานั้นมาจากความรู้สึกที่แฝงเร้นมาตลอดช่วงเวลาที่ได้รู้จักกัน...

 

ความรักและความภูมิใจ ระคนความเจ็บปวดที่ต้องเห็นคนที่รักยิ่งทรมานกับความเคียดแค้นและความสิ้นหวัง

 

ท่ามกลางลำนำของแสงจันทร์ในเพียงคืนเดียวที่ได้อยู่ร่วมกัน คืนเดียวที่เขาได้เปิดเผยความรักและความภูมิใจต่อคนเก่งของเขาคนนี้ ผ่านทุกสัมผัสและทุกจุมพิตที่แนบประทับทั่วใบหน้าและเปลือกตาคู่งาม

 

แต่มันก็ไม่อาจส่งได้ถึงชิโนบุได้รับรู้ตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่เพียงเท่านั้น...

 

เสียงเด็กทารกร้องไห้จ้าดังขึ้นปลุกเขาจากภวังค์ เขาหันไปสบตากับซาเนมิแล้วมองไปยังอดีตเสาหลักเสียงผู้บัดนี้หลั่งน้ำตาแห่งความดีใจออกมาไม่ขาดสาย กระนั้นเทนเง็นก็ยังตบเท้าเป็นจังหวะอย่างกังวลจวบจนบานประตูเลื่อนถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าซีดเซียวแต่เต็มเปี่ยมด้วยความสุขของมาคิโอะ ก่อนที่ฮินะซึรุจะประคองทารกในห่อผ้าออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ขณะซึมะที่ยังคงสะอึกสะอื้น แต่นัยน์ตาที่บวมแดงฉายแววแห่งความสุขไม่แพ้กัน

 

ชายร่างใหญ่เอื้อมมือที่สั่นเทาเข้าไปรับทารกน้อยไว้อย่างระแวดระวัง แล้วเผยรอยยิ้มกว้างยามแนบร่างจ้อยเขาแนบอก ท่าทีที่ทำให้ทั้งตัวอดีตเสาหลักทั้งสองหันมาลอบยิ้มให้แก่กันด้วยโล่งอก แต่ก็ได้ไม่นานเมื่อคุณพ่อมือใหม่ยื่นห่อผ้าให้เขา

 

“อะ โทมิโอกะ ไหนลองอุ้มลูกข้าสิ”

 

นัยน์ตาสีครามฉายแววลำบากใจยามมองแขนขวาที่ขาดไปของตน แต่ยามสบนัยน์ตาสีแดงระเรื่อของเทนเง็นที่คงหลิ่วตาอย่างร่าเริง

 

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ข้าก็มีแขนเดียว รับรองอุ้มได้ไม่มีปัญหา”

 

ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยปฏิเสธ ฮินะซึรุก็ประคองทารกใส่แขนซ้ายที่เหลือของเขา ร่างเล็กจ้อยนั้นแสนเปราะบางจนกิยูไม่กล้าที่จะขยับไปไหน กลัวจะเผลอทำชีวิตน้อย ๆ ร่วงหล่นลงพื้นได้ กระนั้น ความบริสุทธิ์ของชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่จากความรัก ทำหยาดน้ำตาของกิยูไหลรินออกมา เมื่อคิดว่าครั้งหนึ่งเขาก็เคยถูกพ่อ แม่ และพี่สึทาโกะโอบอุ้มไว้อย่างทะนุถนอมเช่นนี้

 

เพราะอย่างนี้ ชีวิตถึงได้มีค่ายิ่งนัก... ด้วยชีวิตของเขาคือเครื่องหมายซึ่งความรักของบิดามารดา ชีวิตของเขาแลกมาด้วยชีวิตอันแสนล้ำค่าของพี่สึทาโกะ และแลกมาด้วยการเสียสละของซาบิโตะ

 

แต่ทว่า...

 

มือของเขาสั่นเทาจนอดีตเสาหลักวายุส่ายหัวอย่างระอาพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะแย่งอุ้มลูกของอุซุยไว้พร้อมกับบ่นพึมพำ

 

“มือมันสั่นขนาดนี้ เดี๋ยวลูกแกได้ตกคอหักเอาเหอะ”

 

“มีแกนั่งหัวโด่อยู่อย่างนี้ ข้ามั่นใจว่าแกไม่ปล่อยให้ลูกข้าคอหักตายหรอก”

 

เจ้าบ้านหัวเราะร่วนมองชายหน้าโหดที่อุ้มเด็กทารกได้อย่างเชี่ยวชาญสมราคาคุย ใบหน้าที่เต็มไปด้วยแผลเป็นของซาเนมิฉายแววอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อน หากนัยน์ตาสีม่วงอ่อนที่เริ่มมีน้ำกบเต็มสองตาไม่ต่างกันกับกิยู ด้วยเสี้ยวหนึ่งของความรู้สึก เขาได้แต่หวังว่าเด็กคนนั้นจะเป็นเชื้อสายโลหิตของกิยูและน้องของเธอผู้นั้น...

 

หากคานาเอะไม่ด่วนจากไป เด็กที่เขาอุ้มอยู่อาจเป็นลูกของเขาหรือคานาเอะก็เป็นได้...

 

ความฝันที่ไม่อาจมีวันเป็นจริงได้ในชาติภพนี้...

 

ความเงียบเข้าปกคลุมพวกเขาไปครู่ใหญ่ ก่อนจะถูกทลายด้วยเสียงเอะอะโวยวายของอิโนะสุเกะที่วิ่งนำสมัครพรรคพวกละลิ่ว ไม่สนเสียงโวยวายของทั้งทันจิโร่และเซนอิทซึที่ต่างพากันบอกให้ชายหนุ่มผู้นั้นเบาเสียงลง

 

เสียงโหวกเหวกที่ทำให้เด็กน้อยในอ้อมแขนของซาเนมิร้องไห้จ้าเป็นการใหญ่ ชนิดที่ฮินะซึรุต้องรีบคว้าตัวกลับมาอุ้มไว้เหมือนตอนแรก จนเนซึโกะต้องเป็นฝ่ายเอ็ดทั้งอิโนะสุเกะและเซนอิทซึที่ยังคงตะเบ็งเสียงใส่กันไม่หยุดหย่อน

 

ภาพที่กิยูได้แต่ยิ้มจาง ๆ แม้นัยน์ตาจะยังคงร้อนผ่าวจากความคะนึงหาคนที่จากไปไกลแสนไกล ความวุ่นวายที่เต็มเปี่ยมด้วยสีสันและชีวิตชีวา ทั้งบรรยากาศความอ่อนโยนระหว่างทันจิโร่และคานาโอะที่เป็นฝ่ายโอบอุ้มลูกของอุซุยไว้ ทั้งความเอ็นดูเซนอิทซึที่รีบขอโทษขอโพยเนซึโกะเป็นการใหญ่ หรือความโกลาหลยามอาโออิหยิกหูของอิโนะสุเกะพลางเปิดฉากเทศนาถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม

 

นัยน์ตาสีครามทอดมองไปยังกิ่งไม้ไร้ใบนอกหน้าต่าง เหลืออีกเพียงหนึ่งปีกว่า... ที่คำสาปปานจะทำงาน และก็คงจะหมดเวลาของทั้งเขาและซาเนมิลง เช่นเดียวกับหน้าที่ในฐานะเสาหลักของพวกเขาทั้งสองที่ยังคงค้างคาก็จะจบลงอย่างสมบูรณ์

 

ความกังวลที่เขาเกรงว่าเด็กที่เขาและชิโนบุรักและเป็นห่วงอาจจะเลือกทางเดินที่ผิดพลาดซ้ำรอยพวกเขาจางลงแทบไม่เหลือร่องรอย ไม่นาน เด็กพวกนี้คงเติบใหญ่และได้ใช้ชีวิตอย่างที่เธอคนนั้นเฝ้าปรารถนาจะได้เห็น และทั้งเขาและชิโนบุก็จะไม่เหลืออะไรที่ต้องห่วงอีกต่อไป

 

เพียงแต่... มันคงจะดี ถ้าเจ้าได้อยู่มองภาพนี้ด้วยตาของเจ้าเอง...

 

ถึงตอนนี้พวกข้าจะมีความสุขดี แต่ถ้าเจ้ายังอยู่... ทุกคนคงมีความสุขกว่านี้...

 

เช่นนั้นไหม ชิโนบุ...

 

===========

Author's Talk 02 JAN 2022

สวัสดีค่า จบไปกับตอนพิเศษ 6.2 นะคะ และก็ขอสวัสดีปีใหม่ย้อนหลัง 1 วันค่ะ

บทนี้นี่ ยากเอาการเลยค่ะ มันเหมือนต้องเล่นความรู้สึกช่วงรอยต่อหลังจากที่คุณชิขึ้นเป็นเสาหลักแล้ว และน้องอ้อยสอบเข้าหน่วยกลับมาแล้วค่ะ แอบยังไม่ว่างเช็ค timeline แต่น่าจะประมาณช่วงนี้นะคะ

ไว้ถ้ามีผิดอย่างไร เราจะลงตอน rewrite อีกทีค่ะ XD

เป็นหนึ่งในบทที่เราอยากเขียนมานานมากตามเคย น่าจะตั้งแต่ช่วงเขียน KNY FF - In The Remembrance of Her ด้วยซ้ำ เพราตอนที่เขียน In Time With You เราวางพล็อตตรงนี้ไว้หลวม ๆ มาก แต่ที่มั่นใจคือ คุณกิน่าจะเศร้าและเจ็บปวดกับความเปลี่ยนไปของคุณชิภายหลังการจากไปของพี่เอะนี่แหละ

พอมาวางโครงตอนพิเศษ เราเลยจัดโครงออกมาได้ประมาณนี้ค่ะ เพราะอยากให้โผล่มาตอนท้าย เพื่อเชื่อมไปยังน้องอ้อยน้องโอะ ตัวครอบครัวของพี่ซุยอีกที และเป็นเหมือนการขมวดความรู้สึกในช่วงบั้นปลายของคุณกิด้วยค่ะ

ในมุมมองเรา เราเชื่อว่าคุณกิเค้าชื่นชมคุณชิมากนะคะ และเลยยิ่งคิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับการเป็นเสาหลัก (รวมถึงไม่คู่ควรกับคุณชิ) เพราะตัวเองไม่สามารถปกป้องใครได้

และมันคงเป็นอะไรที่คุณกิอยากบอกคุณชิค่ะ ว่าสำหรับเขา คุณชิเก่งมากในสายตาเขาแล้ว

และสิ่งที่มันเกิด นอกจากจะละมุนตามแสงจันทราที่โยงไปบทพิเศษ 2 แสนหวาน (และกระชากวิญญาณตอนท้าย) แล้ว ก็ยังเป็นครั้งหนึ่งในนาน ๆ ครั้ง ตามชื่อบทเลยค่ะ

บทนี้ยกความดีความชอบให้เพลงนี้เลยค่ะ มาฟังช่วงรีไรท์ แต่แบบ โอ๊ย เป็นการตอบความรู้สึกคุณกิในมุมเราเลยนะคะ ว่าในใจคุณกิเค้าคงคิดแบบเพลงนี้เลย

"คำเก่งของฉัน - ศิรศักดิ์ อิทธิพลพาณิชย์"

อัพเดทเรื่องรวมเล่มค่ะ ช่วงนี้กำลังเขียนตอนพิเศษ 7-8 อยู่ ใกล้ความจริงละค่ะ ฮื้อ สาธุ พระศุกข์อย่าเข้า พระเสาร์อย่าแทรกอีกนะ

สำหรับคนที่ยังสนใจอยากเก็บเล่ม ตอนนี้ยังพอสั่งได้อยู่นะคะ แต่เราขอจัดส่งกุมภาพันธ์ 2565 นะคะ สนใจรายละเอียด จิ้มดูรายละเอียดและกรอกแบบฟอร์ม ได้ที่นี่ เลยค่ะ ถ้าหมดงวดนี้ คงต้องรอพรีพร้อมกับ KNY FF - In The Remembrance of Her ในปลายเดือนมกราคม 2565 เลย

แต่ใครที่งบจำกัด อยากให้เซฟงบสำหรับโปรเจค Anthology Days Rise, Nights Fall ที่เราทำร่วมกับคุณสายป่าน (Saiparnn) คุณอันย่า (Rukaetcetera) และคุณฟ้า (FAHSKY) นะคะ โดยคงจะเปิดพรีช่วงปลายเดือนมีนาคม 2565 ค่ะ

ฝากติดตามรายละเอียดได้ที่ twitter : @butterflyantho หรือในทวิตเตอร์ของพวกเราได้ค่ะ โดยพวกเราจะค่อย ๆ ปล่อยรายละเอียดออกมาทุกวันเสาร์ เวลา 20.55 น. ไปจนส่งรายละเอียดเล่มเลยนะคะ ^^

สำหรับตอนพิเศษ 7.1 คงจะมาเสิร์ฟทุกท่านราว ๆ 15-16 มกราคม 2565 เลยนะคะ พอดีวีคหน้าเราพาคุณแม่ไปหาหมอ แล้วก็มีงานแต่งงานเพื่อนสนิทเราค่ะ น่าจะไม่ค่อยสะดวกลงฟิคเท่าไร ^^

แต่คิดว่าฟิคตอนพิเศษกิยูชิโน คงจะจบบริบูรณ์ในวีคนี้แล้วล่ะค่ะ ฮื้อ เป็นการเดินทางทียาวนานกว่าที่เราคาดอีก

ท้ายสุดนี้ เราต้องขอขอบคุณทุกการสนับสนุน ทุกกำลังใจ ไม่ว่าจะทางเมนต์ ทางหน้าไมค์ ทางหลังไมค์นะคะ ขอบคุณที่คอยห่วงสุขภาพเรากันค่ะ ^^ ปีที่ผ่านมา เป็นปีที่ดีมากสำหรับเรา ส่วนหนึ่งก็เพราะคนอ่านของเราทุกคนเลยค่ะ

แล้วพบกันกับตอนพิเศษ 7.1 ในวันที่ 15-16 มกราคม 2565 นี้นะคะ ^^

Author's Talk 04 JUN 2022

สวัสดีค่า วันนี้ก็เป็นคิวลงฉบับ Rewrite สำหรับรวมเล่มนะคะ เพื่อให้เนื้อหาออกมาสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ค่ะ

อย่างที่เล่ามาตั้งแต่ครึ่งตอนแรกเนอะ บทนี้เป็นบทที่เราพิมพ์ผิดเยอะสุดเลยค่ะ ^^" ต้องขออภัยคนอ่านที่อ่านเวอร์ชั่นแรกไปมาก ๆ นะคะสำหรับความผิดพลาดของเราในหลายจุด

ช่วงนี้เหมือนเป็นช่วงซ่อมร่างของเราเลยค่ะ 5555 ร่างพังจริง ๆ จนเริ่มกลัวเล่มพี่สาพี่เอะเสร็จไม่ทันตามเดทไลน์ที่วางไว้เลยค่ะ ^^" แต่ก็เริ่มกลับเข้าโหมดปั่นตอนพิเศษแล้วค่ะ พร้อม ๆ กับพยายามจะ balance สุขภาพแล้วก็งานให้ไปได้ด้วยกัน

ปีนี้เสียใจว่าคงไม่สามารถเขียนอะไรได้เท่าปีก่อน ด้วยงานที่กลับมาเต็มรูปแบบ ด้วยสุขภาพที่... ^^" จริง ๆ อยากเตือนทุกคนเลยค่ะว่า ยังไงสิ่งที่เราอยากให้เซฟที่สุดก็ยังคงเป็นสุขภาพนะคะ เพราะเรามีชีวิตเดียว และร่างกายเดียวค่ะ

สำหรับพรุ่งนี้ (วันนี้แล้ว) จะเป็นพรีวันสุดท้ายตามกำหนดค่ะ คือคงยังเปิดให้พรีต่อนะคะ แต่อาจจะจัดส่งหลังจากเซ็ทแรกตามเคยค่ะ (น่าจะกลางสิงหาคม 2565 เป็นต้นไป)

สำหรับคนที่ยังลังเลอยากเก็บเล่มหรืออย่างไรลองดูเล่มตัวอย่างได้จากที่เราอัพเดท หรือในเทรดทวิตเตอร์นี้นะคะ

แล้วก็ ใครที่มีความสนใจอยากเก็บฟิคเล่มนี้ รวมถึง KNY FF - In The Remembrance of Her #แด่เธอในความทรงจำนิรันดร์ เป็นที่ระลึก ตอนนี้เราเปิดพรีฟิคอีกรอบค่ะ โดยสามารถดูรายละเอียดเบื้องต้นของรวมเล่มทั้งสองเล่ม ฉบับปรับปรุงล่าสุด 16 APR 2022 มาให้ได้ศึกษานอกเหนือจากตัวฟิคที่สามารถอ่านตอนหลังได้ใน ReadAWrite | Dek-D | ReadHaus นะคะ

รายละเอียด KNY FF - In Time With You #ห้วงเวลาของเราสอง (Tomioka Giyuu x Kochou Shinobu)

รายละเอียด KNY FF - In The Remembrance of Her #แด่เธอในความทรงจำนิรันดร์ (Shinazugawa Sanemi x Kochou Kanae)

ถ้าสนใจ จิ้มลิงค์สั่งจองด้านล่างได้เลยค่ะ หรือดูรายละเอียดพร้อมกรอกแบบฟอร์มได้ที่นี่นะคะ [Link]

(เปิดพรีงวดนี้จนถึงวันที่ 5 มิถุนายน 2565 ค่ะ)

แต่ทั้งนี้ ใครไม่สะดวกไม่เป็นไรนะคะ รับรองได้อ่านเนื้อหาเหมือนเดิม และในรูปแบบ Rewrite เหมือนกันค่ะ เพียงแต่อาจจะได้อ่านตอนพิเศษช่วงท้ายหลังจากเราส่งเล่มล็อตแรกนะคะ

หรือจะรอไปเก็บรอบงาน Comic Avenue ก็ได้เหมือนกันค่า จริง ๆ อยากปั่นเล่ม KNY FF - The Tales of Butterfly Effects ให้ทันเหมือนกัน แต่ดูจากปริมาณงานแล้ว... อ่า เราไม่กล้ารับปากค่ะ Y_Y ช่วงนี้งานกลับมาโถมหนักมาก ต้องเป็นผีเฝ้ากลุ่มไปอีกสี่เดือน+ทำเล่มผลงานวิชาการด้วยค่ะ

อย่างไรวันพุธนี้ มาเจอกับตอนพิเศษ 7.1 ฉบับรีไรท์นะคะ ถ้าไม่ติดอะไรก็คงมาลงช่วงทุ่มสองทุ่มตามปกติค่ะ ตอนนี้รถติดหนักมาก ^^" แต่ถ้ามีงานด่วนจริง ๆ ก็คงเจอกันสี่ทุ่มเลยค่ะ 5555 (ยังไงดูเราโพสต์ในทวิตเตอร์นะคะ)

อย่าลืมรักษาสุขภาพด้วยนะคะ ช่วงนี้เข้าหน้าฝนแล้วด้วย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอนะคะ กับอย่าลืมนั่งทำงาน/เสพฟิคให้ถูกท่าด้วยค่ะ วันนี้กายภาพได้ระบบมาก ^^" ร่างพังแบบเราแล้วมันไม่คุ้มจริง ๆ ค่ะ