ลึกลงไปในความมืด หญิงสาวนั่งคุกเข่าและพนมมือตามลำพัง กลีบปากขยับท่องบทสวดที่ถูกลืมตั้งแต่สิบปีก่อน ฉันแหงนหน้ามองรูปปั้นขนาดเท่าคนจริงตั้งตระหง่านตรงหน้า ชายร่างสูงสง่า เรือนผมยาวหยักศกประบ่าสีน้ำตาลอ้าแขนทั้งสองข้าง ท่านคือที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้เลื่อมใส ส่วนนอกรีตอย่างฉันแค่ต้องการคนรับฟังโดยไม่ตัดสิน ทว่า... การพาตัวเองมายังห้องสารภาพบาปคือการตัดสินตัวเองโดยอัตโนมัติ

 

ในเวลาตีสามแบบนี้คงไม่มีโบสถ์ไหนเปิดบริการ (หรืออาจจะมี) นอกจากโบสถ์ของผู้โศกเศร้าซึ่งตั้งอยู่กลางอาณาจักรจิตใจหม่นหมองของฉัน โบสถ์ซ่อนในความมืดราวกับป่าลึกลับ น้ำตาหนึ่งหยดคือกุญแจเปิดประตู ฉันในชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อนผลักประตูบานใหญ่เมื่อแว่วได้ยินเสียงพูดจากพวกเขาแหวกอากาศในความเงียบงันเหมือนจิตใต้สำนึก

 

โบสถ์แห่งนี้เป็นจุดนัดพบของผู้ต้องการที่พึ่ง

 

ฉันพบเพื่อนรุ่นเดียวกันผู้เคยมีตัวตน ทั้งรู้จักและไม่รู้จัก บางคนดูเหมือนพวกเรา บางคนใบหน้าและร่างกายบิดเบี้ยว บางครั้งฉันเห็นคู่แฝดบาร์เทนเดอร์ -- จอห์นนี่และเจอาร์ คู่แฝดมีเรือนผมสีเงินและนัยน์ตาสีฟ้า จอห์นนี่ค่อนข้างขี้เล่นและเจ้าชู้เหมือนคอกเทลรสฉูดฉาด ต่างจากเจอาร์ที่เงียบขรึมเป็นผู้ฟังที่ดี พวกเขาเป็นผู้เลื่อมใสมากกว่าฉันแม้พวกเขาเป็นคนชงเหล้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์รสขมปร่ากับเพลงเศร้าเคล้าน้ำตาคือเซรุ่มความจริงรสชาติดีที่สุดในวันสิ้นหวัง แต่พวกเขามักทำให้ฉันร้องไห้เพราะความจริงที่สามารถระลึกได้ส่วนใหญ่เป็นความทรงจำอันเจ็บปวด ซึ่งนั่นพาลทำให้อาณาจักรมืดมนกว่าเดิมในเช้าวันต่อมา

 

คืนนี้ฉันพบกับเวโรนิก้า ฉันไม่สนิทกับท่านหรอก แต่ใครๆ ต่างเรียกท่านว่าแม่ชีผู้นิ่งสงบ ท่านฟังคำสารภาพบาปจากอีกฟากอย่างใจเย็น ท่านเป็นหินผาแข็งแกร่งไม่สะท้าน แม้คำสารภาพแต่ละอย่างเหมือนพายุโหมกระหน่ำอย่างคืนนี้ ท่านว่าฉันควรสวดมนต์นับสิบรอบเพื่อขจัดความคิดและความรู้สึกผิดบาปเหล่านั้น

 

ในยุคสมัยที่การคิดต่างและเห็นโลกอีกด้านเป็นความผิด

การลอบเป็นชู้ในจินตนาการคือบาปมหันต์

 

ช่วยไม่ได้...

 

ความรู้สึกระหว่างเราไม่อาจถูกเรียกว่าตกหลุมรักเพราะสิ่งที่ฉันต้องการจากคุณ ไม่ใช่ความรัก นั่นเพราะฉันไม่มีความรักมากพอแบ่งให้ใคร มีเพียงน้ำตาและความโศกเศร้าเท่านั้นสำหรับผู้อยู่ในวงโคจรความสัมพันธ์ระยะยาว อีกอย่าง... มันไม่แฟร์ที่จะเป็นเพียงฝ่ายรับอย่างเดียว ความรักคือการได้ผลประโยชน์ทุกฝ่ายทั้งทางกายและใจ ฉันไม่ได้อยากให้เราเป็นเจ้าของกันและกัน ฉันรู้ตัวดีว่าเราต่างไม่คู่ควร

เพียงแต่ทุกครั้งที่...

คุณยื่นหน้าเข้ามาใกล้เพื่อเงี่ยหูฟังสิ่งที่ฉันอยากพูด นัยน์ตาสบกันในห้วงวินาทีแสนงุ่นง่าน สัมผัสเผลอไผลจากปลายนิ้วเพียงสะกิด มือใหญ่ของคุณโอบอุ้มนิ้วทั้งสิบ ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังตกหน้าผาสูงลงสู่มหาสมุทรดวงดาวในตาของคุณ นับตั้งแต่นั้นฉันโหยหาคุณราวกับสิ้นสติ อยากรู้เสียจริงว่าหากได้กอบกุมมือหนาคู่นั้นจะเป็นอย่างไร ความคิดฟุ้งซ่านก่อตัวรุนแรงขึ้นทุกสัมผัส Because you are my turn on. ฉันปล่อยให้นิ้วมือเล็กของฉันเป็นของคุณอย่างไม่หวงแหน มีแค่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่า ใบหน้าไร้อารมณ์และท่าทีเฉยเมยของฉันเป็นแค่การแสดง ฉันเสพติดสัมผัสจากคุณแล้ว

 

เมื่อไม่อาจฝืนชะตาที่กีดกันไว้ได้ ท้องทุ่งกระดาษสีขาวนี้จึงเป็นสถานที่นัดพบของเรา ฉันพบคุณในความมืดอันเป็นความลับสัปดาห์ละครั้ง (หรือมากกว่า) เพื่อสัมผัส ปลดเปลื้องและร่วมรัก... แน่นอนว่ามันเป็นเพียงความคิดที่อยากใกล้ชิดขนาดนั้น เป็นเพียงจินตนาการที่สามารถแตะต้องกล้ามแขนและแผงอกแกร่งใต้เสื้อยืดสีดำตัวนั้น

"ยิ่งคุณคิด ผมจะหายไปเร็วขึ้นนะ" คุณกระซิบเตือน กลีบปากล่างแตะใบหูอย่างตั้งใจ 

เกือบลืมไปแล้วว่าสิ่งที่ทำลายจินตนาการจนสิ้นคือความจริงโหดร้าย ความจริงที่ว่าฉันไม่อาจครอบครองคุณเป็นของตัวเองได้ ถึงอย่างนั้นคุณยังโน้มกายประกบริมฝีปาก กดย้ำเนิ่นนานจนเกือบลืมหายใจ สัมผัสยั่วยวนและเร่าร้อนทำให้ฉันต้องการคุณเกินกว่าจะมาฟังเสียงฝนสาดข้างนอกนั่น คุณเพิ่มความรุนแรงจนกระทั่งเสียงโอดครางของเราจะดังกว่าฟ้าร้อง พวกเรามีความสุขด้วยกันจนกระทั่งคุณหายไปเมื่อฟ้าสางของโลกความจริงมาเยือน

 

ฉันเล่าให้เวโรนิก้าฟังแค่นั้นเพราะไม่อยากรู้สึกสมเพชตัวเองมากกว่านี้ แต่ฉันคงไม่สวดมนต์สิบรอบเพื่อลบคุณออกไปจากจินตนาการเป็นแน่ เพราะทุกคืนฝนพรำจำเป็นต้องมีคุณ 

 

.

.

.

 

เจนสะดุ้งตื่นขึ้นมาเวลาแปดโมงสี่สิบเอ็ดนาที เม็ดเหงื่ออาบท่วมหลังเพราะเหตุการณ์ในฝันเหมือนจริงเสียจนแยกไม่ออก เสียงสนทนากับแม่ชีเวโรนิก้าในห้องสารภาพบาป รอยยิ้มขี้เล่นของสองหนุ่มบาร์เทนเดอร์ อาณาจักรจิตใจหม่นหมองซ่อนอยู่ในโลกจินตนาการแห่งท้องทุ่งกระดาษสีขาว

 

ไม่มีอะไรเป็นจริงสักอย่างยกเว้นชายหนุ่มในคืนฝนพรำและสัมผัสเร่าร้อนที่ฝากไว้บนร่างกาย 

 

เจนลุกจากเตียงพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ติดมือไปด้วย ถือโทรศัพท์ไว้ที่มือซ้ายและแปรงฟันด้วยมือขวา นิ้วโป้งไถไปตามหน้าจอ เธอมักไล่ตอบแชทที่ดองไว้ระหว่างแปรงฟันประมาณสองนาที นานๆทีครอบครัวของเธอจะติดต่อมาหาเพราะอยู่คนละไทม์โซน ตอนนี้พวกเขาคงหลับกันหมดแล้ว ความจริงเจนก็ไม่ค่อยคิดถึงพวกเขามากเท่าไหร่เพราะมีเรื่องอื่นให้สนใจมากกว่า ส่วนใหญ่จะเป็นแทนกับกลุ่มห้องเรียนแต่ละวิชามากกว่า 

 

"กูนัดเจอเขาที่ซิตี้เซนเตอร์ตอนบ่ายนี้ มาด้วยกันก็ได้นะที่คาเฟ่เบเกอรี่" แทนส่งข้อความนี้มาตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า

"ไม่อะ ไม่อยากไปเป็นก้าง" เจนส่งข้อความตอบ "เดตเสร็จแล้วเจอกันที่หอ"

"Creative Writing Class will start at 11AM. See you guys at Abercromby Square Garden." อาจารย์ทอมป์สันส่งข้อความเข้ากลุ่มวิชาการเขียนเชิงสร้างสรรค์ซึ่งประกอบด้วยนักศึกษาสามสิบคนประกอบด้วยนักศึกษาชาวเอเชียสิบห้าคนและชาวยุโรปอีกสิบห้าคน เจนส่งสติ๊กเกอร์น่ารักๆไปหนึ่งตัวแทนการพิมพ์ตอบว่า รับทราบค่ะ 

"เราจะถ่ายรูปเล่นกันตอนไหนดี"

ชเว โดยองทักมาหาเจนทันทีหลังรับรู้ประกาศเริ่มเรียนช้าจากอาจารย์ โดยองเป็นหญิงสาวผมสั้นวัย 25 ปีจากเกาหลีใต้ ทั้งสองสนิทกันเพราะอยากเป็นนักเขียนเหมือนกัน พวกเธอแลกเปลี่ยนเรื่องราวที่เขียนเองและวิจารย์งานเขียนสัปดาห์ละครั้ง โดยองชอบถ่ายรูปมาก เธอเตรียมกล้องฟิล์มใส่กระเป๋าทุกครั้งที่เรียนนอกห้องเรียนเพราะเธอตกหลุมรักท้องฟ้า แสงแดดและพื้นหญ้าสีเขียวของสวนในอะเบอร์ครอมบี้สแควร์  

"หลังเลิกเรียนก็ดีนะ แสงตอนเย็นสวยดี"

"โอเค เจอกันจ้า"

เจนส่งสติ๊กเกอร์หนึ่งตัวแทนการตอบรับ เธอเลือกเพลงโปรดจากเพลย์ลิสต์แล้ววางโทรศัพท์ลงบนอ่างล้างหน้าเซรามิคสีขาว เปลื้องชุดนอนและพาร่างกายเปลือยเปล่าเข้าไปเบื้องหลังม่าน เปิดฝักบัวให้น้ำอุ่นกระทบเรือนร่างขาวซีด แทนที่ความคิดในจิตใจสกปรกด้วยเสียงฮัมเพลงของตัวเอง เธอฮัมเพลง Here ของอลิเซีย คาร่า มันเป็น All time favourite ของเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้ฟังดนตรีบรรเลงตอนเธออายุ 17 ปี 

เสื้อครอปเปิดไหล่แขนเสื้อซีฟองกับกางเกงยีนส์ฟอกสีอ่อนคือชุดที่เจนเลือกสวม เครื่องสำอางค์โทนสีส้มอิฐแต่งเติมใบหน้าให้หายซีดและมีชีวิต เธอเอาสมุดจด ปากกาและไอแพดใส่กระเป๋าเป้ สวมรองเท้าบูทส้นเตี้ยสีดำพร้อมออกจากพื้นที่ความปลอดภัย

ในคาบเรียนการเขียนเชิงสร้างสรรค์ เจนนั่งข้างโดยอง ฟังบรรยายจากอาจารย์ผู้เคยและอยากหวนคืนวงการนักเขียน เจนเอนหลังบนผืนผ้าหอมสะอาด มองท้องฟ้าสดใสและหมู่เมฆอย่างเหม่อลอย เห็นแสงแดดสีทองลอดผ่านนื้วมือ จินตนาการให้ความร้อนของยามสายแผดเผาเธอจนมอดไหม้ ถ้าฉันถูกไฟคลอก สภาพศพของฉันจะเป็นยังไงนะ เจนคิดและทำได้แค่คิด

 

แชะ

 

โดยองลั่นชัตเตอร์จากกล้องคอมแพค เจนหันขวับสบตามอง

"คิดอะไรอยู่"

"เปล่า" เธอโกหกหน้าตาย

เรื่องความตายนั้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถคุยได้กับทุกคน เจนมักคุยเรื่องนี้กับแทนหลังตื่นจากฝันร้าย ฝันที่เห็นความตายของตัวเอง เห็นงานศพที่ตนเป็นเจ้าภาพและผู้เฝ้ามอง ฝันที่เป็นพยานมองยมทูตร่างดำทะมึนพาวิญญาณตนเองไปยังโลกที่ไม่เคยสัมผัส

เจนหยุดเหม่อเมื่ออาจารย์ทอมป์สันสั่งงาน สร้างตัวละครที่มีภูมิหลังซับซ้อน แสดงให้เห็นถึงบุคลิกและนิสัยที่เปลี่ยนไป เจนคิดถึงแต่ชายหนุ่มในคืนฝนพรำ เธอต้องทำให้เขาดูไม่มีจริงทว่าจับต้องได้ เจนยังคงกักขังตัวเองและเขาในอาณาจักรจิตใจหม่นหมอง พื้นที่อันเป็นความลับที่ไม่มีใครสามารถล่วงล้ำถึง

"เธอจะไปไหนต่อ" โดยองถามเมื่อฟิล์มหมดกลักเวลาสี่โมงยี่สิบนาที 

"ไปหาเพื่อน"

"แทนเหรอ?"

"เปล่า เพื่อนเก่าน่ะ"

"โชคดีนะ ไว้เจอกัน"

"จ้ะ ไว้เจอกัน"

นี่เป็นคร้้งแรกในรอบหลายเดือนที่พาตัวเองกลับไปพบความทรงจำเก่า เธอเดินออกจากมหาวิทยาลัยเพียงลำพัง จุดหมายของเธอคือหมู่บ้านเลียบสวนสาธารณะเอเวอร์ตัน ระหว่างทางมีความทรงจำร่วงหล่นและทิ้งร่องรอย เจนเห็นภาพตัวเองและเขาเดินคุยกันท่ามกลางเม็ดฝนโปรยปราย บทสนทนาคือทุกเรื่องที่นึกออก ท้องถนนในเมืองสงบไม่เงียบเหงาอีกต่อไป 

เจนมาถึงบ้านโฮสต์ของไท โฮสต์ของไทคือครอบครัวอบอุ่นชาวอังกฤษ มีลูกสาวหนึ่งคนและสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่หนึ่งตัว เธอหยุดหน้าประตูบ้านสีขาวแหงนมองหน้าต่างชั้นสอง หวังว่าบุคคลที่อยากเจอจะอยู่บ้าน เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ไถปลายนิ้วโป้งเลื่อนหาหมายเลขโทรศัพท์ของไท เจนตัดสินใจโทรหาเขาทันทีที่เจอ เธอแนบหูกับโทรศัพท์ ถอยหลังสองสามก้าวเพื่อมองหน้าต่างชั้นสองให้ชัดขึ้น ปลายสายว่างเปล่า... ไม่มีคนรับสาย ทว่ากลับมีเสียงความเคลื่อนไหวภายในบ้าน

"เจน" 

ชายหนุ่มผิวเข้มเปิดประตูบ้านอย่างเร่งรีบพร้อมเรียกชื่อของเธอ ทุกครั้งที่เจนโทรหาไทหมายความว่าเธอกำลังเหงา ต้องการเขามากและมาถึงหน้าบ้านแล้ว เมื่ออีกฝ่ายเปิดประตูต้อนรับ เจนโผเข้าไปกอดร่างสูงตรงหน้าอย่างไม่รีรอ ร่างในอ้อมกอดนิ่งงันเพราะความตกใจแต่ขณะเดียวกันเขาก็ไม่ผลักไสเช่นกัน "เธอโอเคไหม"

"ไม่" 

เจนผละตัวออกจากไท สีหน้ายังไม่สู้ดีและอึดอัด เธอมีหลายเรื่องที่ไม่ได้พูดเก็บไว้ในใจ ทั้งเรื่องของตัวเอง ความโหยหาชีวิตไร้ลมหายใจและไท ความเงียบน่าอึดอัดและงุ่นง่านยึดครองบรรยากาศห้องนั่งเล่น สองหนุ่มสาวนั่งด้วยกันบนโซฟามองเงาสะท้อนสีดำในจอโทรทัศน์ ไม่มีใครเริ่มพูด มีเพียงเสียงถอนหายใจจากเจนเป็นระยะ 

"เธอพร้อมแล้วค่อยเล่านะ"

"ตอนแรกตั้งใจจะมาหาเพราะคิดถึงเฉยๆแหละ" เจนพูด เอนหลังพิงโซฟาสบตามองไท "แต่พอได้มาเจอเธอจริงๆ ก็มีเรื่องอยากคุยเต็มไปหมด"

"เราพร้อมคุยกับเธอทุกเรื่องนั่นแหละ"

 

ถ้างั้นคุยเรื่องของเราได้รึเปล่า? 

มาถึงก็ชวนคุยเรื่องจริงจังเลยเหรอ? ไม่ได้เจอกันตั้งนาน

เธอก็รู้จักเราดี ว่าเราคุยเรื่องเบาสมองไม่ค่อยเป็น

รู้สิ

 

ทั้งสองใช้ความเงียบเป็นสื่อกลางการสนทนา ความสนิทสนมทำให้พวกเขาเข้าใจกันโดยไม่จำเป็นต้องพูด นอกจากแทน ไทคืออีกคนรู้ใจ บางทีการคุยผ่านความเงียบก็เป็นข้ออ้างชั้นดีสำหรับการนัดพบ ทั้งสองกำลังแหวกว่ายในมหาสมุทรดวงดาว มืดมิด สวยงามและเป็นประกาย ระยะห่างถูกตัดทอนจนเหลือเพียงลมหายใจ ปลายจมูกรั้นลากไล้ตามผิวแก้มเนียน กลีบปากสัมผัสกันและกันเพียงห้วงวินาที

"ที่รัก"

เสียงหวานจากชั้นบนตะโกนเรียกชายหนุ่ม เจนถอนริมฝีปากแล้ววิ่งพรวดออกไปจากบ้าน ไม่มองบุคคลที่สามผู้เข้ามาขัดจังหวะ เจ้าโกลเด้นเห่าไล่หลังเสียงดังเพราะเธอเป็นคนนอก เธอสำนึกแล้วว่าไม่อาจครอบครองชายหนุ่มตรงหน้าแม้แต่เสี้ยววินาที ที่รัก... ชื่อเรียกนั้น เจนจะไม่มีวันได้เรียกเพราะความสัมพันธ์ของพวกเขาจะยังเป็นรุ่นพี่-รุ่นน้องตลอดไป ดวงตาสีน้ำตาลแปรเปลี่ยนเป็นบ่อน้ำแห่งความโศกเศร้า อาณาจักรจิตใจหม่นหมองกำลังเกิดพายุฝนฟ้าคะนองไปพร้อมกับยามเย็นในลิเวอร์พูล

 

ไม่อยากอยู่แล้ว 

เอาฉันออกไปจากที่นี่

อยากหายไปสักที 

 

ความคิดฟุ้งซ่านกดทับสมองจนแน่นตึ้บ กล้ามเนื้อกลางอกบีบแน่นจนหายใจไม่ทั่วท้อง ร่างผอมบางหมดเรี่ยวแรงแทบขาดใจ วันนี้เหตุผลการหายไปดูสมจริงและมีตัวตนมากกว่าวันไหนๆ เดินงุดหน้าท่ามกลางสายฝนหนาวเหน็บต่อไปตามทางเท้า อยากกรีดร้องทว่าไร้เสียง หูอื้อจนไม่ได้ยินเสียงตะโกนจากไทซึ่งกำลังวิ่งตามหลังมาติดๆ

"เจน เธอเป็นอะไรไปน่ะ หยุดก่อน"

วินาทีที่ไทกำลังคว้ามือเล็กของหญิงสาวรุ่นพี่ เขากลับสัมผัสได้เพียงสายลมหนาวและเม็ดฝน เจนอันตรธานหายไปแล้ว ทิ้งความสงสัยและไม่เข้าใจให้ชายหนุ่ม เวลานี้คำถามเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาคงไม่สำคัญเท่า เจนหายไปไหน แล้วล่ะ

 

#จมในห้วงความคิด #ในวันที่ฝนตก