15 ตอน เซฟทิส ความตายที่มาถึง
โดย GreySweater
เมื่อลอบเข้ามาในปราสาทได้สำเร็จ เจนกลับไม่สามารถขึ้นไปห้องบรรทมได้ เพราะติดอยู่ในวังวนของบันไดเวียนราวกับอีกฝ่ายเตรียมการไว้แล้ว เจนรู้ตัวว่าติดอยู่ในกับดักจึงหยุดนิ่ง ตั้งสติและพยายามคิดหาทางออก แต่มองรอบกายก็เห็นเพียงกำแพงและบันได มีเสียงย่ำเท้าจากทหารปีศาจคอยตรวจตราความปลอดภัย เธอไม่ควรอยู่ตรงนี้นานเพราะอาจถูกจับได้
บางทีบันไดเวียนอาจจะไม่มีจริง เจนยื่นมือแตะกำแพง สัมผัสของมันเหลวเหมือนน้ำและมือของเธอทะลุผ่านไปได้ เธอจึงพาตัวเองเข้าไปในนั้น แม้ไม่รู้ว่าต่อไปจะเจอกับอะไร เป็นอย่างที่คาดว่าที่นี่ไม่มีจริง ร่างของเจนร่วงหล่นสู่ภวังค์มืดสนิท ทำให้นึกถึงฝันร้ายที่ถูกทิ้งไว้เพียงลำพังหรือสำนึกเปียกชื้นของคืนที่หนีออกจากบ้าน แต่ครั้งนี้ลางสังหรณ์บอกเจนว่า มันจะเลวร้ายกว่าครั้งที่ผ่านมา
ภายในความมืดกลับมีสิ่งที่ดำมืดกว่าคืบคลานเข้าใกล้จนรู้สึกอึดอัด อยากสำรอกน้ำย่อยให้หมดท้อง ร่างสูงของราชาปรากฏต่อหน้าเจน เขาคือฝันร้าย...
ขณะเดียวกันที่เอดินเบอระ แทนและทิโมธีไม่นอนทั้งคืนเพราะนั่งประชุมสายกับริวเบ็นเกี่ยวกับไคล์ ไม่แปลกใจที่ริวเบ็นยังไม่นอนในเวลานี้ เพราะเขามักจะนอนเช้าเป็นประจำ
“ตอนนี้พวกเราโน้มน้าวเจนไม่ได้แล้วสินะ เพราะเธอรักเขาจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว” ทิโมธีพูดเบาเหมือนกระซิบ
“ไม่ได้จะบอกว่าไม่ได้หรอกนะ แต่พยายามไปก็เหนื่อยเปล่า เพราะเจนผีเข้าผีออก ไม่เป็นตัวเองมาก ๆ น่ากลัว” แทนตอบกลับคนรักพลางกุมมือของเขาแน่น
(ถ้างั้นเราควรทำสิ่งที่ทำได้ก่อน พรุ่งนี้พวกคุณกลับจากทริปก็ตรงไปแจ้งความเลย แต่อย่าให้สองคนนั้นรู้ตัว ไม่งั้นเขาจะหนี)
“ต่อให้พวกนั้นจะหนี เราก็รู้ว่าจะหนีไปที่ไหน”
(ที่ไหน)
“ประเทศไทย เจนจะต้องไปงานศพน้อง ๆ ในสัปดาห์หน้า ไคล์ก็ตามไปอยู่แล้ว เพราะจะได้ไปหาแหล่งกบดานที่นั่น แต่หมอนั่นหนีไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอก” แม้ริวเบ็นไม่ได้อยู่ข้าง ๆ แต่ฟังเสียงก็รู้ว่าแทนกำลังขุ่นเคือง
(ต่อให้หมอนั่นจะหนีไปจริง ๆ ก็ยังตามจับได้ นี่เป็นคดีระดับประเทศ เอาเป็นว่าพวกคุณอย่าลืมไปแจ้งความแล้วกัน)
ถึงแม้จะคุยวางแผนกันเสร็จแล้ว แต่แทนก็ไม่อาจข่มตานอนได้เพราะเพื่อนรักกำลังตกอยู่ในอันตราย ถ้าเขารู้ตัวเร็วกว่านี้ก็คงดี ทิโมธีลูบหัวคนรักและฮัมเพลงกล่อมนอนเพราะต้องการให้แทนได้พักผ่อนก่อนทำการใหญ่พรุ่งนี้
คู่รักนักร้องหลับฝันเมื่อรุ่งสางมาถึง ส่วนอีกคู่จะยังไม่ตื่นจนกว่าจะเที่ยง เจคจับตามองพวกเขาทั้งสี่อยู่ห่าง ๆ ด้วยความกังวล ตอนนี้เจนตัวจริงไม่ได้อยู่ในกระจก แต่ก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนแล้ว
เจคคิดรำพึงว่าการหลอกหลอนของเขาช่วยให้ร่างแฝดของเจนจดจ่อเรื่องการหาทางหลบหนีไปประเทศกับคนรักซึ่งใกล้เคียงกับปณิธานของเจนที่ต้องการไปหาน้อง ๆ เป็นครั้งสุดท้าย ความตั้งใจแรงกล้าของเจนอาจช่วยให้เธอสามารถออกมาจากกระจกได้
แผนการทำลายไคล์เริ่มต้นทันทีที่แทนและทิโมธีตื่นนอนเวลาเที่ยง พวกเขาใช้เวลาเก็บสัมภาระเร็วขึ้น เคาะประตูห้องเรียกอีกคู่เดตเพื่อเตรียมเช็คเอาท์จากโรงแรม
เมื่อออกจากโรงแรมเตรียมมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟ แทนส่งข้อความให้สัญญาณกับริวเบ็นเพื่อติดต่อกับเพื่อนสายตำรวจว่า พวกเขาอยู่กับผู้ต้องสงสัยและกำลังออกเดินทางจากเอดินเบอระกลับไปลิเวอร์พูล
Reuben_Philo: ระวังตัวมาก ๆ นะ
TAN: แน่นอน เดี๋ยวเราจะแยกตัวจากพวกนั้นทันทีที่ถึงไลม์สตรีท ถ้าเจนจะไม่กลับหอก็คงไปอพาร์ทเมนต์ของไคล์
Reuben_Philo: ทราบแล้วเปลี่ยน ค่อยทักมาตอนถึงแล้วนะ
“แทน เป็นอะไรรึเปล่า” เจนร่างแฝดถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้วเคร่งเครียดพลางชะเง้อมองหน้าจอโทรศัพท์แต่ก็มองไม่เห็นอะไรเพราะแทนล๊อคหน้าจอไปก่อน
“ไม่จ้ะ เรียบร้อยดี พ่อแค่ทักมาหาน่ะ” เขาแสร้งเหยียดยิ้มเห็นฟัน ใจเต้นตุบตับหวาดระแวงเพราะเขาโกหกไม่เนียน
เมื่อพวกเขาทั้งสี่ไปถึงสถานีรถไฟก็แสดงตั๋วแล้วหาที่นั่ง แทนนั่งกับทิโมธีและเจนนั่งกับไคล์เหมือนกับขามา แทนงีบต่อจนกระทั่งรถไฟเคลื่อนตัวถึงสถานีไลม์สตรีท ทิโมธีคอยสังเกตพฤติกรรมของอีกคู่ตลอดการเดินทางกลับแต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติเลยจนน่าแปลก
สามชั่วโมงของการเดินทางกลับสู่ลิเวอร์พูล ตั้งแต่บ่ายสองจนถึงห้าโมงเย็น หนุ่มนักร้องตาสีฟ้าสะกิดคนรักให้ตื่นด้วยการจุมพิตที่แก้มและกระซิบเบา ๆ
“ถึงแล้วนะ”
“ผมหลับไปนานมั้ย” แทนปิดปากหาว
“คุณหลับทันทีที่ขึ้นรถไฟเลยที่รัก” ทิโมธีพูดด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปหาคู่รักอีกคู่ “พวกคุณจะไปที่ไหนต่อรึเปล่า”
“ไม่รู้สิทิม แต่เดินทางเหนื่อยแล้วก็อยากกลับไปนอน พวกคุณล่ะ” ไคล์เป็นฝ่ายให้คำตอบ เจนพยักหน้าคล้อยตามด้วย
“อาจจะไปสตูดิโอครับ” ทิโมธีพูดโกหกหน้าซื่อ เจนควงแขนคนรักและแสร้งยิ้มให้ แม้สัมผัสได้ถึงรสชาติของคำลวงแต่ไม่รู้ว่าเขากุมความลับเอาไว้ “ช่วงนี้แทนกำลังช่วยผมเขียนเพลงซิงเกิ้ลใหม่”
“แบบนั้นพวกเราก็ต้องแยกย้ายกันสินะ ขอบคุณสำหรับเดตคู่ที่ยอดเยี่ยมนะฮะ ไว้ค่อยนัดวันเที่ยวกันใหม่ เดินทางปลอดภัยครับ”
เมื่อบอกลาเสร็จสรรพ พวกเขาทั้งสี่เดินแยกไปคนละทาง เจนกับไคล์เดินเลียบฟุตบาทโรงภาพยนตร์ซึ่งเป็นทางไปมหาวิทยาลัย ส่วนแทนกับทิโมธีเดินเข้าซิตี้เซนเตอร์ซึ่งเวลานี้ผู้คนขวักไขว่เป็นปกติ
การแสดงระดับตุ๊กตาทองตกสู่มือของปีศาจ
เจนและไคล์รับรู้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าแทนกับทิโมธีวางแผนอะไรไว้ เพราะผนังโรงแรมบางเสียจนได้ยินเสียงทุกอย่าง รวมถึงเสียงปลายสายจากริวเบ็นด้วย
“คุณว่าพวกนั้นรู้ป่ะ” แทนถามขณะส่งข้อความหาริวเบ็น
“ผมว่ารู้แล้ว พวกนั้นไม่มีพิรุธเลย”
“เชี่ยเอ๊ย...”
พวกเขารีบโทรแจ้งตำรวจเพราะกว่าจะเดินไปถึงสถานีตำรวจคงไม่ทันการ ทิโมธีเป็นฝ่ายพูดคุยเพราะเขาควบคุมน้ำเสียงและสติได้ดีกว่าแทนซึ่งตอนนี้กำลังระแวงทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้นกับเจน
ทิโมธีแจ้งว่าพบเห็นผู้ต้องสงสัยคดีทำร้ายร่างกายวิลเลี่ยม แบล็คแถว ๆ สถานีรถไฟไลม์สตรีทพร้อมทั้งให้ชื่อของไคล์ กอร์ดอนไปด้วยเพื่อให้ทางตำรวจสืบประวัติต่อไป แทนพูดเสริมอีกว่า เพื่อนของเธออยู่ใกล้ชิดกับไคล์และกำลังตกอยู่ในอันตราย
ทีแรกตำรวจไม่ปักใจเชื่อเพราะไคล์ กอร์ดอนไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมถูกบันทึกในระบบเลย แต่แทนยืนยันว่ายังไงก็ควรตรวจสอบอยู่ดี เพราะไคล์เป็นหนึ่งในศิลปินที่ได้แสดงงานที่พิพิธภัณฑ์ทราฟัลการ์ด้วย
เมื่อวางสายก็ได้แต่ภาวนาให้มันส่งผลอะไรสักอย่างการสืบสวนและนำคดีครั้งนี้คือ เจ้าหน้าที่ปีเตอร์สัน คลาวด์ฟอร์ตซึ่งมีศักดิ์เป็นญาติห่าง ๆ ของริวเบ็น
ปีเตอร์สันกรอดูคลิปจากกล้องวงจรปิดพิพิธภัณฑ์ทราฟัลการ์จนปวดตา มันวุ่นวายโกลาหลมากตั้งแต่ชายนิรนามบุกแทงนักเต้นรำเสียชีวิต สัตว์ประหลาดหรืออะไรสักอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ละเลงเลือดเต็มไปหมด หลังจากนั้นชายร่างสูงคนหนึ่งก็ใช้มีดแทงวิลเลี่ยม แบล็ค ด้วยเจตนาจงใจทำร้าย
“หมอนั่นแหละ ซูมเข้าไปอีก” ปีเตอร์สันสั่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายไอทีให้ซูมกล้องไปที่ผู้ต้องสงสัยคนนั้น เขาสามารถเห็นใบหน้าคมคาย เรือนผมน้ำตาลและแววตาอำมหิตได้อย่างชัดเจนจนรู้สึกขนลุกเกลียว “ขอบใจมาก”
ไคล์ กอร์ดอน...
เขาจะจำชื่อนี้อย่างดี
“ดูเรื่อย ๆ จนจบนะครับ เหมือนเขาทำสัญลักษณ์อะไรสักอย่างบนรูปวาดของตัวเองด้วย” อังเดรกล่าวเสริมพลางกรอคลิปไปจนถึงวินาทีที่ไคล์ใช้เลือดของตัวเองเรียกสัตว์ประหลาดออกมาจากภาพวาด “โคตรประหลาดมาก เขายอมทำลายภาพของตัวเองเลย”
“ชู่ว... ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ทำอะไร มันอยู่ที่ทำทำไมต่างหาก” สัญลักษณ์ดาวห้าแฉกที่ไคล์วาด ทำให้ปีเตอร์สันนึกถึงลัทธิบูชาซาตานที่พบได้บ่อยในซีรีส์วัยรุ่นงมงาย แต่ครั้งนี้สัญลักษณ์แปลกประหลาดกว่าเพราะอักขระที่อ่านไม่รู้เรื่องจากปลายนิ้วจิตรกร
ปีเตอร์สันดูจนเห็นว่าไคล์คุยกับแดเนียล ลูกชายวิลเลี่ยม แบล็ค ดูเหมือนจะสั่งให้เรียกรถพยาบาลเพื่ออำพรางความผิดตัวเอง โชคดีที่หนุ่มน้อยกัดไม่ปล่อย เขาไม่ยอมให้ใครทำร้ายพ่อตัวเองฟรี ๆ
“ฉันเห็นมันแปลก ก็เลยลองค้นดู แล้วก็เจอกับนี่...” เจ้าหน้าที่ลอเรนซ์ยื่นแฟ้มหลักฐานให้ปีเตอร์สัน “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการวาดสัญลักษณ์ดาวห้าแฉกในอังกฤษ เมื่อ 4 ปีก่อน มีกลุ่มคนรวมตัวกันวาดสัญลักษณ์นี่ในซิตี้เซนเตอร์เพราะเชื่อว่าปีศาจที่เรียกมาจะช่วยพวกเขาจากวันสิ้นโลกได้”
“หึ พวกบ้าทฤษฎีสมคบคิด...” อังเดรแค่นหัวเราะ
“ล่าสุดมีคนโทรแจ้งว่าเห็นไคล์เพิ่งลงรถไฟสถานีไลม์สตรีท เขาหนีจากลอนดอนมาแล้ว ครั้งนี้เขาน่าจะหนีอีกค่ะ” ลอเรนซ์เล่าสถานการณ์ล่าสุดจากการรับสายโทรศัพท์แจ้งเหตุด่วน “เรามีหมายค้นแล้ว”
“จะรออะไรล่ะ ขอกำลังเสริมช่วยตามหาไคล์ด้วย หมอนี่มันร้าย”
เขาว่ากันว่าความไวเป็นของปีศาจและดูเหมือนมันจะเป็นจริงอย่างที่เขาว่า
ตอนนี้ไคล์กำลังเก็บเสื้อผ้าลงในกระเป๋าเดินทาง ส่วนเจนผู้กำลังนอนอยู่บนเตียงกำลังหาไฟลท์บินจากอังกฤษไปประเทศไทยอย่างเร็วที่สุดสำหรับพวกเขา
“ที่รัก ไฟลท์เร็วสุดคือคืนนี้สองทุ่มค่ะ คุณรอได้ไหม” เจนคนใหม่ไม่เหมือนคนก่อนหน้านี้ ความจริงแล้วไคล์จะแยกไม่ออกเลยว่านี่คือเจนตัวจริงหรือร่างแฝด หากไม่ได้เห็นนัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้นซึ่งไม่มีสีขาวภายในนั้น “เพราะถ้าคุณรอได้ ฉันจะได้จองให้เลย”
“ได้ แต่ระหว่างนั้น พวกเราไม่ควรอยู่ที่นี่ ตำรวจจะมาพร้อมกับหมายค้น”
“คุณไม่น่าทำแบบนั้นเลยไคล์”
เจนร่างแฝดถอนหายใจเฮือกหนึ่งพลางกดจองตั๋วเที่ยวเดียวไปประเทศไทย และยืนยันตัวตนด้วยเลขบัตรเครดิตของเจน
เธอจัดกระเป๋าสำหรับการไปอยู่ประเทศไทยหนึ่งสัปดาห์อย่างไร้อารมณ์แต่ก็รีบเร่งเพราะควรออกจากที่นี่
“ผมมีทางเลือกไม่มากนี่!! ถ้าผมไม่แทงวิลเลี่ยม ไม่ทำลายงานตัวเอง ทุกอย่างจะน่ากลัวกว่านี้อีก คุณอยากเห็นปีศาจวิ่งพล่านทั่วเมือง ไล่ฆ่าทุกอย่างที่ขวางหน้าเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นก็น่าจะตายกันหมด ผมยอมไม่ได้หรอก!!”
แผดเสียงตวาดของไคล์ดังลั่นออกไปจนปีศาจในภาพวาดตื่นกลัว และสิ่งที่เตือนใจให้ไคล์ได้รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ที่นี่เพียงลำพังคือผู้เช่าในอพาร์ทเมนต์ชั้นล่างที่ตวาดแข่งกับเขา
ผู้เช่าที่ว่าคือ วอร์เรน นักศึกษาปริญญาตรีปี 3 คณะศิลปศาสตร์ออกแบบที่สถาบันศิลปะแห่งหนึ่งไม่ไกลจากสวนสาธารณะเอเวอร์ตัน เขาเป็นเด็กดีที่คร่ำเคียดกับการเรียนมาตลอดเพราะเขาไม่มีพ่อแม่คอยสนับสนุน ด้วยสมองอัจฉริยะทำให้สอบได้ทุนสนับสนุนค่าเทอมจากมหาวิทยาลัย และวันนี้เป็นวันหยุดแต่เขาจะไม่ได้พักเพราะเสียงความวุ่นวายจากห้องข้างบน
“เบาหน่อยได้มั้ยวะ!! ไอ้พวกงั่ง!! กูไม่อยากรู้เรื่องที่พวกมึงทะเลาะกันโว้ย!! จะนอน!!”
“มึงก็ไม่ต้องฟังสิวะ ไม่ต้องมายุ่งโว้ย!!” ไคล์ยังตะเบ็งเสียงสู้ไม่หยุด “แม่งเอ๊ย”
“ไคล์! หยุด! พอแล้ว!” และเจนเป็นฝ่ายห้ามทัพได้สำเร็จด้วยการฟาดมือลงบนแผ่นหลังหนี่งที “เราควรไปกันได้แล้ว”
ทั้งสองออกเดินทางด้วยแท็กซี่ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงเพื่อขับรถออกจากลิเวอร์พูลเพื่อไปขึ้นเครื่องที่สนามบินแมนเชสเตอร์
ถึงแม้ถนนจะค่อนข้างโล่ง รถยนต์ไม่ขวักไขว่เท่าวันธรรมดาแต่ยานพาหนะก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ขณะที่ยังติดแหง็กอยู่บนรถ เจนก็ตกอยู่ในห้วงหลับใหลจากความเหนื่อยล้า
“ถึงสนามบินแล้วผมจะเรียกนะ” คนรักกล่าวพร้อมจุมพิตบนหน้าผาก แม้ในใจกำลังกระวนกระวายและหงุดหงิดที่ไม่มีอะไรได้ดั่งใจเวลารีบเร่งแบบนี้
ปีศาจอ่อนแอยามหลับใหล ตอนนั้นที่เจนกลับมามีอำนาจควบคุมร่างกายของตัวเองอีกครั้ง ความฝันดำมืดที่เห็นไคล์ปรากฏบนบัลลังก์ยังคงอยู่
“นับถือความพยายามของเจ้าจริง ๆ นะที่รัก” เสียงหัวเราะเย้ยหยันไม่ทำให้เจนโกรธเท่าการกระทำที่เขาหลอกใช้เพื่อปลดปล่อยปีศาจตลอดหลายเดือน “เจ้าเป็นอีกหนึ่งงานศิลปะบนผืนผ้าใบที่ข้าภูมิใจ เจ้าควรภูมิใจนะ”
“ไม่...”
“ว่าไงนะ เจ้าพูดพึมพำ ข้าไม่ได้ยิน”
“ไม่!! ข้าแต่งงานกับเจ้าเพราะความรัก ถึงแม้เราจะครองคู่กันแต่เจ้าก็ไม่ใช่เจ้าของข้า ข้าไม่ใช่สิ่งของให้เจ้าสะสม”
“มาดูนี่สิ...” ไคล์ผายมือสู่ความมืดที่มีชั้นวางเป็นระเบียบ บนชั้นเต็มไปด้วยลูกแก้วหิมะ เจนมองลึกลงไปจึงพบกับมนุษย์หลายชีวิตถูกกักเก็บไว้ภายใน พวกเขาหนาวและทรมาน... เหมือนประชาชนในอาณาจักร
“ไอ้ชาติชั่ว!”
“โมโหร้ายจังนะ ลองดูดี ๆ ก่อนสิ เจ้าเห็นอะไรไหม” ร่างสูงกว่าไร้สำนึกยังคงให้ดูงานสะสมของตัวเองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เจนเห็นหญิงสาวคนหนึ่งในลูกแก้วหิมะสีทอง เธอสวมเสื้อยืดตัวโคร่งทับด้วยเสื้อคลุม เรือนผมสั้นประบ่าสีน้ำตาลแถมใบหน้าเหมือนเธอราวกับแกะ เจนกัดฟันกรอดและกำหมัดแน่น ขณะที่ลูกแก้วหมุนเป็นวงกลมก็ได้เห็นกับตัวเธออีกคนสวมเสื้อสีมัสตาร์ดและเสื้อคลุมขนเป็ด
ไคล์กักขังทั้งเธอและปีศาจ...
เจนโกรธจนตัวสั่น ร้องไห้ รู้สึกคลื่นไส้ หัวใจบีบแน่นจนแทบจะระเบิด มันน่าอึดอัดจนต้องแผดเสียงกรีดร้องออกมาให้ดังที่สุดเพื่อปลุกตัวเองจากฝันร้าย
เธอจะต้องหลบหนีจากคนคนนี้เพื่อที่เขาจะไม่สามารถควบคุมเธอได้อีก
“เฮ้ย!!”
คนขับแท็กซี่อุทานเสียงหลงเมื่อหนึ่งในผู้โดยสารหายตัวไปต่อหน้าต่อตาขณะที่ตนกำลังมองกระจกหลังเพื่อเช็คความสะดวกสบายของพวกเขา ทว่าหญิงสาวผู้ผล็อยหลับไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงชายหนุ่มคนเดียว ที่สำคัญหล่อนไม่ได้เปิดประตูรถออกไปด้วยซ้ำ
เสียงร้องของโชเฟอร์ทำให้ไคล์สะดุ้งตกใจ เขาถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อีกฝ่ายก็หน้าซีดเผือดและขนลุกหัวโกร๋นราวกับถูกผีหลอก ไคล์หันมามองที่นั่งข้างตัวเองก็พบแต่ความว่างเปล่า ถึงได้เข้าใจว่าโชเฟอร์ตกใจอะไร
“เชี่ยเอ๊ย!”
ดูเหมือนว่าเจนจะไม่ตกอยู่ในพันธนาการของราชาปีศาจอีกแล้ว ข้างนอกภวังค์ความมืดก็สงบลงราวกับกองทัพปีศาจของราชาสูญสิ้นไปเช่นกัน
“มองหาฉันเหรอ?”
แต่ทำไมปีศาจของฉันยังอยู่ล่ะ? เจนไม่เข้าใจ เสียงของมันยังหัวเราะคิกคักในหูไม่ไปไหน ปีศาจคือแผลในใจที่ไม่ได้รับการรักษา การไปอยู่ลิเวอร์พูลเป็นเพียงการซื้อเวลาไม่ให้เธอระเบิดความโกรธแค้นเท่านั้น
ร่างแฝดพาเธอกลับมาที่บ้าน... สถานที่ที่เธอเกลียดที่สุด
เจนสำรวจพื้นที่อย่างระมัดระวังเพราะอาจตกอยู่ในกับดักของปีศาจอีก ภายในบ้านเดี่ยวสองชั้นตกแต่งด้วยไม้ผสมปูนเปลือย เฉลียงหน้าบ้านผ่านประตูกระจกสู่โถงห้องนั่งเล่นซึ่งมีเฟอร์นิเจอร์เพียงโซฟากำมะหยี่ โต๊ะกลางและโทรทัศน์ติดผนัง
พ่อแม่เริ่มตกแต่งบ้านสไตล์มินิมอลลิซึ่มตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เจนคิดรำพึงในใจ ทึกทักเอาว่าอาจเป็นช่วงที่จอยสอบชิงทุนได้ไปสิงคโปร์และต้องอยู่กับเจคมากขึ้น เพราะน้องคนกลางชอบอะไรที่เรียบง่าย
เจนสำรวจไปถึงห้องทานอาหารและครัว มันเปลี่ยนไปมากเพราะเริ่มมีวัสดุหินปรากฎให้เห็นเพื่อรับรองฟังก์ชั่นการใช้งานเคาน์เตอร์ซึ่งต้องแข็งแรงทนทาน
เธอเดินขึ้นบันไดเย็นเฉียบไปชั้นสอง ภายในชั้นสองแบ่งเป็น 4 ห้องนอนสำหรับลูก ๆ ทั้งสามและห้องของพ่อแม่ ประตูห้องนอนของจอยเปิดแง้มเอาไว้ นับตั้งแต่เจคใช้แรงพังเข้าไปครั้งก่อน...
พื้นที่ 50 ตารางเมตรมีเสียงร้องไห้โหยหวน ตามด้วยกลิ่นคาวเลือด เจนนึกถึงสิ่งที่เจคบอกว่าน้องสาวทำร้ายตัวเองหน้ากระจกจนสิ้นลมหายใจ เธอหลับตาแน่นเพราะไม่กล้ามองสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าซึ่งจอยกำลังอยู่ในวังวนของการกรีดแขนหน้ากระจก
“พี่เจน...”
เสียงเย็นเยียบเอ่ยชื่อเรียกผู้เป็นพี่สาว เจนค่อย ๆ เปิดเปลือกตามองคนตรงหน้าซึ่งไม่มีลมหายใจแล้ว จอยกลายเป็นร่างโปร่งแสงที่มีใบหน้าสะสวยเหมือนเจ้าหญิง
เธอไม่ได้ปรากฏโฉมที่น่ากลัวเหมือนอย่างหนังผีที่เคยดู จอยในวัยสาวบานสะพรั่งมีผิวกายขาวสะอาด ย้อมผมสีบลอนด์และชมพูอ่อนซึ่งเป็นสีที่ชอบ เธอสวมอาภรณ์เป็นเสื้อยืดเปื้อนคราบเลือด รอยแผลยาวบนแขนสมานจนกลายเป็นแผลเป็น ดวงตากลมโตกลายเป็นสีขาวไร้แวว ถึงอย่างนั้นก็เป็นวิญญาณที่สวยงามเหมือนตุ๊กตา จอยคลี่รอยยิ้มให้พี่สาวแล้วโผกอดแน่น
“พี่เจน หนูดีใจที่พี่กลับมานะ”
“จอย พี่ขอโทษที่มาช้าไป พี่ยังไม่ทันได้ยินดีที่แกได้ไปเรียนสิงคโปร์เลย”
“ไม่เป็นไร... พี่ก็มาหาหนูแล้วนี่ไง”
สองพี่น้องกอดกันเนิ่นนานด้วยความคิดถึง จอยเล่าว่านับตั้งแต่วันที่เธอจบชีวิตตัวเองก็ออกไปไหนไกลมากไม่ได้เพราะเป็นกฎของโลกความตาย แต่เธอก็ไม่เหงาเพราะมีคนคอยดูแล
“บอกพี่ได้มั้ยว่าใคร”
“เขาชื่อเซฟทิส เขาเป็นความตายที่มาถึงเพื่อเก็บความทรงจำจากวิญญาณผู้ถึงฆาต พี่ไม่ต้องห่วงนะ... เขาเป็นคนดี”
เจนขมวดคิ้วไม่เข้าใจ ถึงแม้เธอจะพูดเรื่องความตายเป็นประจำกับแทน แต่เรื่องของโลกหลังความตายเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจเข้าใจจนกว่าจะได้เห็นเอง
และแล้วบ้านก็ตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง จอยหายไปทันทีที่พูดถึงโลกหลังความตายและคนที่ชื่อเซฟทิส เจนรู้สึกได้ว่าความมืดของฝันร้ายกำลังคืบคลานมาหาอีกครั้ง เธอจึงออกวิ่งไปตามทางสว่างที่ยังมีให้เห็น นั่นคือทางไปห้องนอนของตัวเอง
ทว่าสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเมื่อเข้ามาในห้องนอนคือโต๊ะทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า เจนเดินเข้าใกล้เพื่อชะเง้อมองวัตถุบนโต๊ะ
เข็มฉีดยาบรรจุของเหลว...
มีดปอกผลไม้...
เชือกเส้นเชื่อง...
ยาเม็ดบรรจุขวด...
เจนไม่เข้าใจว่าทำไมของพวกนี้ถึงอยู่ในห้องของเธอได้ มันดูเหมือนเจตนาเชิญชวนให้ใช้สิ่งของเหล่านั้นเป็นเครื่องมือทำอะไรสักอย่าง
“ติ๊กต่อก... เลือกสักอย่าง ก่อนจะหมดเวลา” ร่างแฝดพูดด้วยยิ้มกว้างฉีกถึงหู มันเดาะลิ้นกดดันตามเสียงเลื่อนผ่านของเข็มวินาที
เจนทรุดเข่าปิดหูพร้อมกับหลับตาแน่น บอกตัวเองย้ำ ๆ ว่านี่เป็นฝันร้ายเพื่อปลุกตัวเองให้ตื่น แต่เสียงเดาะลิ้นยังคงอยู่และดังเข้าใกล้มากขึ้น
เธอย้อนนึกถึงไคล์ ผู้มีส่วนปลุกฝันร้ายให้มีชีวิต เขาอยู่ข้างเธอในเวลาที่เธอต้องการทำลายคนอื่นและตัวเองมากที่สุดแถมยังยุยงให้เธอทำให้มันสำเร็จด้วย นั่นไม่ใช่การจัดการกับปีศาจที่ถูกต้อง... ปีศาจจึงตามหลอกหลอนไม่หยุด
“เจน ฉันจะไม่ทำร้ายใครเพื่อให้ใช้ร่างของฉันต่อหรอกนะ” เจนแผดเสียงบอกความว่างเปล่า
“ไม่ได้บอกให้เธอทำร้ายคนอื่นนี่นา...”
“...”
“ไม่เคยได้ยินทฤษฎีตื่นจากฝันด้วยการตายเหรอ? เอาสิ... เลือกสักอย่างบนโต๊ะนั่นอะ”
เข็มฉีดยา... มีดปอกผลไม้... เชือกเส้นเขื่องและยาเม็ดบรรจุขวดคือเครื่องมือในการจบชีวิตของตัวเองงั้นเหรอ? เจนจ้องมองสิ่งของทั้งสี่อยู่นานจนเสียงเดาะลิ้นดังขึ้นอีกครั้ง
เพื่อให้ฝันร้ายจบลง เธอไม่จำเป็นต้องใช้อะไรสักอย่างบนโต๊ะ
“ไม่... แต่ฉันจะยกร่างนี้ให้เธอ”
“ง่าย ๆ แบบนั้นเลยเหรอ” ร่างแฝดยิ้มมุมปากถูกใจ
“อืม ง่ายแบบนั้นแหละ ฉันได้ทำทุกอย่างที่ต้องการแล้ว”
“ถ้าเธอเลือกให้ฉันกินร่างของเธอ เธอจะเหลือเวลาไม่ถึงห้านาทีแล้วคุณความตายที่น้องสาวเธอพูดถึงก็จะมาหานะ”
“ฉันขอโทรหาเพื่อนก่อน หลังจากนั้นค่อยเอาร่างของฉันไป”
“ใจดีจังเลย” ร่างแฝดปรบมือชอบใจข้อเสนอ มันแหงนมองนาฬิกาติดผนังห้องนอน
“ฉันให้อภัยทุกความคิดชั่วร้ายของเธอที่พยายามเรียกความตายให้มาถึงเร็วกว่าเวลาอันควร ฉันยอมรับที่เธอเป็นภาวะมาหลอกหลอนให้ฉันอยากตายตามน้อง ๆ ฉันยอมรับที่เธอเป็นฝันร้าย ขอแค่เธออยู่ในร่างของฉันคนเดียว ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนหรือตายก็พอ” เจนพูดส่งท้ายกับร่างแฝดก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือโทรหาแทน ร่างแฝดมองการกระทำของอีกฝ่ายอย่างไร้สีหน้า
เมื่อเสียงสัญญาณปลายสายรับแล้วจึงเริ่มพูด
“ฮัลโหล แทน”
(เจน เธออยู่ที่ไหน ปลอดภัยหรือเปล่า เราแจ้งตำรวจเรื่องไคล์แล้วนะ พวกเขากำลังตามจับหมอนั่น)
“ขอบใจนะแทน ตอนนี้ฉันอยู่ที่บ้าน ปลอดภัยดี แต่ฉันกำลังจะไปหาน้อง ๆ แล้ว ขอบคุณมากนะสำหรับทุกอย่างตลอดหลายปี ขอบคุณทุนแมนเชสเตอร์ที่ทำให้เราได้เจอกันนะ เธอเป็นเพื่อนที่ดีมากเลย”
(เดี๋ยวฉันไปหาเธอนะ อดทนรอก่อน)
“ลาก่อน แทน”
เจนวางสายพร้อมกับถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วทรุดเข่านั่งลงบนเตียงนอนนุ่มสีขาว เธอเหนื่อยเหลือเกินกับการใช้ชีวิตที่ผ่านมา การระบายลงบันทึกช่วยให้เธอปล่อยวางเรื่องพ่อแม่ได้มาก เธอไม่รู้สึกโกรธพวกเขาอีกแล้ว
เธอย้อนนึกถึงการผจญภัยล้ำค่าที่อังกฤษตลอดปีการศึกษาทำให้ได้รู้จักและเข้าใจเพื่อน มีความรักให้หัวใจเบ่งบานและแตกสลาย พบเจอกับปีศาจและจากลา
เจนนอนหนุนสยายเรือนผมบลอนด์ประบ่าบนหมอนอิง ไอเยือกเย็นกำลังมาถึงพร้อมกับความมืด เปลือกตาหนักจนต้องปิดลง หัวใจเต้นช้าลงระหว่างร่างกายเข้าสู่การพักผ่อน ชีพจรเต้นช้าและแผ่วลงเป็นสัญญาณว่าคุณความตายกำลังมาถึง
“ในที่สุดสามพี่น้องก็จะได้อยู่ด้วยกันสักทีนะ” เสียงผู้ชายดังลอดเข้ามาในความคิด ขณะที่เธอกำลังหลับใหล “แต่ผมจะพาคุณไปที่โลกหลังความตายหลังจากจบงานเผาศพของพวกคุณแล้วนะ ระหว่างนี้ก็หลับให้สบายครับ”
เจนไม่รู้ว่าหน้าตาของคุณความตายเป็นอย่างไร แต่เสียงพูดอบอุ่นของเขาทำให้เกิดจินตนาการว่าใบหน้าของเขาจะเป็นอย่างไร... มันจะเป็นโครงกระดูกใต้ผ้าคลุมเหมือนในตำรารึเปล่าก็ไม่ทราบได้ แต่ที่เจนรู้แน่คือ เขาคือความมืดที่อบอุ่นเหมือนแสงอาทิตย์ยามรุ่งสาง
ค่ำคืนนั้นพ่อและแม่เข้ามาพบเจนนอนไร้ลมหายใจอยู่บนเตียง เธอกลับมาโดยไม่ได้ส่งสัญญาณบอกและจากไปโดยไม่ร่ำลาสักคำ สำหรับพ่อแม่รู้สึกว่าเธอใจร้ายและเห็นแก่ตัวเหลือเกินที่แหลกขยี้หัวใจเจ็บช้ำของพวกเขา แต่เจนไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่ตัวเองทำอีกแล้ว ไม่ยินดียินร้ายกับน้ำตาของพวกเขาอีกต่อไป และไม่เสียใจกับความตายของตนเอง
ขณะเดียวกันที่อังกฤษ
ไคล์ กอร์ดอนถูกจับกุมได้ที่สนามบินแมนเชสเตอร์เพราะหมายจับทั่วประเทศและการตรวจสอบอย่างเข้มงวดเพื่อไม่ให้คนร้ายหนีได้พ้น ไคล์ไม่มีโอกาสได้ตั้งตัวที่ไหนอีกเพราะหลักฐานการทำร้ายร่างกายแจ่มชัดเหลือเกิน
แต่สิ่งที่ชวนสะพรึงกว่าเจตนาของไคล์คือลัทธิบูชาปีศาจซึ่งมีอยู่จริง เมื่อวิลเลียมฟื้นจนสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ก็ถูกสืบสวนถึงการสร้างลัทธิและใช้ภาพวาดของไคล์ในการฟอกเงินในตลาดประมูลงานศิลปะอีกด้วย
ไคล์ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลาสิบห้าปีในข้อหาพยายามฆ่าวิลเลียม แบล็คแต่เพราะเขายอมจำนนต่อหลักฐานจึงได้รับลดโทษกึ่งหนึ่ง
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้สุขสบายบนกองเงินทองและงานศิลปะของตัวเองอีกนาน คีธยังคงทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ในลอนดอนแต่เขาไม่เปิดเผยตัวตนว่าเป็นแฝดน้องของไคล์ที่กำลังเป็นข่าว
ส่วนวิลเลียมก็ได้รับผลจากปีศาจของตัวเอง เขาส่งแดเนียลให้ไปอยู่กับญาติที่แมนเชสเตอร์จนกว่าจะได้ออกจากคุก แดเนียลได้เห็นปีศาจของพ่อแล้ว...
แทน ริวเบ็นและทิโมธีกอดกันแน่นดีใจที่คดีปีศาจจบลงเสียที แต่พวกเขาดีใจได้ไม่นานก็ได้รับโทรศัพท์จากแม่ของเจนพร้อมแจ้งข่าวการจากไปของเธอ
งานศพของสามพี่น้องจัดพร้อมกันที่วัดในกรุงเทพฯ แทนรู้สึกใจหายเมื่อได้รับสายและฟังเสียงหัวใจสลาย เขาวางสายแล้วระเบิดโฮเพราะเพิ่งสูญเสียเพื่อนรักไป
....
เจนเป็นเพื่อนที่ดีของผม ผมรู้ได้เพราะเธอยอมรับในสิ่งที่ผมเป็น
พวกเรารู้จักกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย พวกเราต่อโทที่เดียวกัน ผมเชื่อว่าผมรู้จักเจนดี แม้เธอจะลึกลับและมีกำแพงล้อมสูงกั้นไว้ เธอต้องการให้ทุกคนรับรู้แต่เรื่องดี ๆ เพราะคนอื่นมาก่อนตัวเองเสมอ และนั่นทำให้เธอมีปัญหาการนอนพ่วงด้วยอาการแพนิก แต่เธอไม่อยากให้ใครรู้ด้วยว่า เธอมักจะฝันร้ายอยู่เรื่อย
ภายในความฝันนั้น เจนเป็นราชินีแสนสวยซึ่งขังตัวเองในปราสาทแห่งอาณาจักรจิตใจหม่นหมองอย่างสับสน วุ่นวายและน่าสงสาร แม้อาณาจักรมีการคุ้มกันแน่นหนาจากภายนอก ทว่าความบ้าคลั่งจากภายใน ทำให้ปีศาจอาละวาด ทำลายทุกอย่างจนสิ้นซาก
เจนเอาแต่โทษว่ามันคือความผิดของเธอที่ยอมให้ราชาปีศาจเข้ามาในชีวิตโดยหวังว่าเขาจะเป็นอัศวินผู้ปลดปล่อยเธอจากความโศกเศร้า
กว่าจะรู้ตัว... ปีศาจของเธอก็ได้ทำลายทุกอย่าง วิธีเดียวที่ช่วยอาณาจักรคือยอมรับการมีอยู่ของปีศาจและให้อภัยตัวเอง เธอทำได้แล้วหลับใหลตลอดกาลภายในโบสถ์แห่งห้องหัวใจ
ผมตั้งใจเขียนเพลงหนึ่งไว้ให้เจนเป็นของขวัญวันเกิดในอีกสองเดือน แต่ตอนนี้คงเป็นเพลงกล่อมนอนให้เธอหลับฝันดีบนเตียงนุ่มตัวใหม่ในดินแดนแสนไกลที่ผมไม่เคยเห็น ผมดีใจที่เราได้รู้จักกัน หวังว่าเธอจะรับรู้เรื่องนั้นได้
....
บรรยากาศงานศพเติมเต็มด้วยเสียงบรรเลงของสองเครื่องดนตรี นั่นคือเปียโนกับเสียงฮัมเบา ๆ ของแทน เมื่อนานมาแล้ว เจนเคยพูดเรื่องออกแบบงานศพให้แทนฟังครั้งหนึ่ง งานศพของเธอห้ามมีคนร้องไห้ ไม่งั้นจะเป็นผีตามไปหลอกหลอนถึงบ้าน เพลย์ลิสต์สำหรับงานศพเป็นเพลงของศิลปินนักร้องเกาหลีที่เธอชอบ เนื้อหาเกี่ยวกับการรักตัวเองซึ่งทำให้เธอร้องไห้บ่อย ๆ
ตอนนี้เจนที่เป็นวิญญาณไม่ได้อาฆาตหรือโกรธเคืองผู้ร่วมงานที่ร้องไห้กับการจากไปของเธอ เธอแค่มองพวกเขานิ่ง ๆ อย่างหมดแรง การใช้ชีวิตมนุษย์เหนื่อยพอแล้ว เธอไม่อยากเป็นผีบ้ารังควานใครให้เหนื่อยเพิ่มอีก
สิ่งที่คงเหลือไว้เป็นความทรงจำถึงตัวตนของเจนคือหนังสือชื่อว่า จมในห้วงความคิด มันคือบันทึกการใช้ชีวิตและการเดินทางของเธอ แทนมองหนังสือในมือพร้อมกับความรู้สึกใจหาย เจนพิงหัวบนไหล่ของแทนกล่าวขอบคุณที่คอยอยู่เคียงข้างและเป็นเพื่อนที่ดีตลอด 5 ปี
“เธอจะไปแล้วเหรอ” แทนหันหน้าไปคุยกับเจนซึ่งผิวกายเริ่มจืดจางลงกลายเป็นร่างโปร่งแสง
“อือ ไม่มีอะไรติดค้างแล้วนี่นา”
“คิดถึงเธอแย่เลย”
“เหมือนกัน”
“แล้วจะทำยังไงกับหนังสือเล่มนี้ดีล่ะ”
“แล้วแต่เลย”
เจนจางหายไปในที่สุด เธอคว้ามือกับร่างทะมึนสวมผ้าคลุมสีเข้มซึ่งพาเธอไปยังโลกอีกใบ แม้เพื่อนรักจากไป แต่แทนรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะเธอจะไม่ต้องรู้สึกทุกข์ใจอีกต่อไปแล้ว แทนมองหนังสือในมือพลางผุดยิ้มราวกับคิดออกว่าควรทำยังไงต่อกับมัน คนทั้งโลกจะได้รับรู้เรื่องราวของเธอ เพียงแต่ต้องหาสักที่ที่พิจารณาต้นฉบับเรื่องนี้
#จมในห้วงความคิด
Comments (0)