14 ตอน ราชินีหวนคืนอาณาจักร
โดย GreySweater
ณ พิพิธภัณฑ์ความทรงจำแห่งอาณาจักรจิตใจหม่นหมอง
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งสวมสูทสีกรมท่าผู้ครองตำแหน่งผู้ปกครองหมู่บ้านยืนมองอาณาจักรผ่านหน้าต่างทรงกลมมหึมาเพียงลำพัง คีธยืนตรงนี้ทำให้สามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวได้อย่างชัดเจน เขามักมานั่งอยู่ที่นี่ประจำเมื่อทำงานประจำวันเสร็จแล้ว ทั้งเป็นที่ปรึกษาให้พี่ชายซึ่งครองบัลลังก์ราชาของอาณาจักรโศกเศร้าแห่งนี้ คอยจัดระเบียบในราชวังให้มีชีวิตชีวามากขึ้นเพื่อไม่ให้ราชินีหม่นหมองมากกว่าเดิม เขาเป็นคนจัดหาอุปกรณ์และคนสำหรับงานเลี้ยงของอาณาจักร แน่นอนว่าเขาจัดหาสมุดมากมายเพื่อให้นางได้เขียนบันทึกความคิดความทรงจำของตัวเองออกมา เพราะเขาถามนางกำนัลหลายต่อหลายคนก็เล่าเป็นเสียงเดียวกันว่า ราชินีรักการเขียนหนังสือยิ่งกว่าอะไรบนโลก ทว่าน่าเสียดายที่นางเป็นบ้าและหนีออกจากราชวังเสียก่อน ทั้งที่ยังไม่ได้ดื่มด่ำกับความสุขของตัวเองเท่าที่ควร แต่เขาก็ไม่แปลกใจเท่าไรนักกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะเขาก็มีส่วนร่วมด้วย
พิพิธภัณฑ์เคยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและพักใจของอาณาจักรกลายเป็นสถานที่หลบภัยหนาว ประชาชนไม่สามารถทำมาหากินได้อย่างที่เคยเพราะฤดูหนาวตลอดกาลกำลังกัดกินมือเท้าของพวกเขาจนล้มป่วยและแข็งตาย อาณาจักรไม่เหลือสัตว์ไว้ทำมาค้าขายส่งออกเช่นกัน เหลือเพียงบางอาชีพที่สามารถทำงานได้ เช่น บาร์เทนเดอร์ เหล้าและเครื่องดื่มมากมายในบาร์มีอายุเป็นร้อยปี แต่ต้องกลับไปใช้สกุลเงินหยดน้ำตาดังเดิม ช่างตีดาบยังสามารถทำงานได้เพราะราชาสั่งให้เตรียมอาวุธสำหรับกองทัพปีศาจ หากเกิดเหตุไม่คาดคิด นั่นหมายความว่าไม่มีรายได้เข้าอาณาจักรมาสักพักใหญ่แล้ว อีกไม่นานจะเหลือเพียงปีศาจและวิญญาณผู้วายชนม์เพ่นพ่านในอาณาจักรอย่างหิวโหย ซึ่งคีธก็ไม่แปลกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอีกเช่นกันเพราะเขารู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้ นับตั้งแต่วันที่พี่ชายขึ้นครองบัลลังก์
“ในที่สุด ท่านก็กลับมาสักทีนะ... ราชินี” คีธเหยียดยิ้มเยือกเย็น เขารู้สึกได้ถึงราชินีเพราะมีหัวใจเอื่อยช้าแต่ร้อนแรงดังขึ้นอยู่ข้างหลังเขา มันเป็นหัวใจของความโกรธ สับสนแต่ก็พยายามใจเย็นให้ได้มากที่สุด ซึ่งจะเป็นของใครไม่ได้นอกจากเจน “การหายตัวไปของท่าน ทำให้พวกเราเป็นห่วงแทบแย่ โดยเฉพาะราชา”
“ฝากบอกเขาด้วยว่า ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวข้าก็กลับไปแล้ว”
“ว่าแต่ท่านมาหาข้า มีอะไรให้ช่วยอย่างนั้นเหรอ? พวกเราไม่เคยคุยกันอย่างส่วนตัวแบบนี้มาก่อนเลย”
“เพราะแบบนั้น ข้าถึงมาหาเจ้าในวันนี้ไงล่ะ” ราชินีเดินออกมาจากเงามืดของชั้นวางขวดโหลความทรงจำซึ่งแสงจันทร์ไม่สามารถสาดถึง คีธรู้สึกได้มากขึ้นถึงหัวใจซึ่งเต้นเร่า มันกำลังทำให้เขาเป็นบ้าตายราวกับหัวใจของตนถูกบีบไว้ในกำมือของบุคคลตรงหน้า แววตาแดงก่ำจากการหลั่งน้ำตาประกายขึ้นมาจากแสงจันทร์ “เรามีเรื่องต้องคุยกัน คีธ”
ก่อนหน้านี้
จอห์นนี่และเจอาร์ไม่ได้อยู่ประจำหลังเคาน์เตอร์บาร์อีกต่อไปเพราะไม่มีลูกค้า เวลาว่างของคู่แฝดบาร์เทนเดอร์คือการนอนเฉย ๆ ไม่ทำอะไรเลยในห้องนอน ตอนนี้พวกเขายังคงเอนหลังนอนเล่นไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีเรื่องให้ต้องลุกจากเตียง พวกเขาชอบสนทนาเรื่องลึกซึ้ง เช่น มนุษย์เกิดมาเพื่ออะไร ตายแล้วไปไหน รวมถึงตัวตนและความฝันของพวกเขา
ความสามารถพิเศษของคู่แฝดคือการเข้าใจความรู้สึกของกันและกันอย่างดีราวกับใช้ร่างกายเดียวกัน ขณะที่กำลังนอนเล่นอยู่นั้น เจอาร์เห็นนิมิตว่าอาณาจักรลุกเป็นไฟสงคราม ก่อนที่ทุกอย่างจะดับสูญกลายเป็นสีดำเหมือนจักรวาลไกลโพ้นนอกผืนผ้าคลุม คู่แฝดหวาดกลัวนิมิตดังกล่าวเหลือเกินเพราะมันอาจจะเกิดขึ้นในไม่ช้า หากราชินีต้องการทำสงครามกับราชาปีศาจ
ปึก... ปึก...
“เจเจ วันนี้ไม่มีลูกค้าเหรอ?” เจเจคือฉายาที่เจนตั้งให้เวลาเรียกสองหนุ่มในเวลาเดียวกัน ราชินีกลับมาอาณาจักรหลังจากหายไปสามสี่วัน
“ราชินี... เอ่อ... ก็อย่างที่ท่านเห็น ไม่มีลูกค้าหรอก พวกเขาไปหลบหนาวกันหมดในพิพิธภัณฑ์” จอห์นนี่ลุกขึ้นจากเตียงเพื่อสนทนากับอีกฝ่าย “ว่าแต่ท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้เหรอ?” ทว่าไม่ได้มีเพียงราชินีที่เข้ามาในบาร์ หล่อนมาพร้อมกับนายพรานร่างยักษ์ผู้มีอาวุธครบมือทั้งดาบ ขวานและธนู หมอปรุงยาและลูกสาวของเธอซึ่งไม่คุ้นหน้า เจอาร์มองพวกเขาอยู่ห่าง ๆ ก็พอเดาได้ว่าคนที่มากับราชินีไม่ใช่คนของอาณาจักร
“บาร์เทนเดอร์รู้จักทุกคน ข้าก็เลยอยากรู้ว่าคีธได้มาที่นี่บ้างรึเปล่า”
“หมอนั่นเข้ามาตลอดแหละ แต่ขอโทษที่หยาบคายนะ พวกที่มากับท่านนี่ใครกัน?” ก่อนที่ราชินีจะได้คำตอบ เจอาร์ถามสิ่งที่ค้างคาใจพลางลุกจากเตียงขึ้นมายืนประกบกับจอห์นนี่ มือของพวกเขากำปลอกมีดพกที่เข็มขัดแสดงท่าทางไม่ไว้ใจและระวังตัว
“อ่า... พวกเขาช่วยข้าไว้ตอนหลงเข้าไปในป่าลึกหลังจากที่โดนพวกเจ้าวางยา”
“ข้าชื่อ อิคารัส นี่ลูกเมียข้า เดซี่กับอลิซ พวกเราปลีกตัวจากอาณาจักรตั้งแต่ฤดูร้อนหายไป ไม่ต้องห่วง... เราไว้ใจได้” นายพรานแนะนำตัวเสร็จสรรพ สายตาคู่แฝดยังคงหวาดระแวงอยู่บ้าง ไม่แพ้กับหนูน้อยอลิซที่แอบอยู่หลังแม่ของตัวเอง “ไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธหรอก พวกเราไม่มีเจตนาทำร้ายใคร”
“เอาล่ะ ทีนี้จะตอบข้าได้รึยังว่าคีธได้มาที่นี่บ้างรึเปล่า”
“เข้ามาก่อนสิ”
คู่แฝดขอให้ราชินีและคนที่มาด้วยเข้าไปคุยกันที่ห้องนอนเพราะไม่อยากให้ใครรับรู้ถึงสิ่งที่พวกเขาจะสนทนากันต่อจากนี้ จอห์นนี่และเจอาร์เล่าว่าคีธแวะเข้ามาที่บาร์ทุกเดือนและมักมาเพียงลำพัง พร่ำบ่นถึงพี่ชายเอาแต่ใจของตัวเอง พวกเขารู้ว่าคีธชอบซื้อบริการและบางคืนเขาก็พาหญิงสาวกลับไปด้วย เจนซักเพิ่มอีกว่าทุกครั้งที่คีธมาที่บาร์ได้ถามอะไรถึงเธอเป็นพิเศษไหม เจอาร์ใช้เวลานึกสักพัก
“ครั้งหนึ่งคีธเคยเมาแล้วพูดถึงสถานที่ที่ตัวเองเข้าไปไม่ได้ในอาณาจักรด้วย เขาว่ามันเป็นเพียงที่เดียวที่เข้าไม่ถึง” จอห์นนี่โพล่งขึ้นเมื่อจำได้ “ดูเหมือนเขาอยากรู้จักความลับของท่านนะ ถึงได้เครียดจนเมาขนาดนั้น”
“สอดรู้สอดเห็นสิไม่ว่า” เจนแค่นหัวเราะ
แม้ครอบครัวนายพรานไม่ใช่คนของอาณาจักรแล้วแต่ก็รู้ว่าพวกเขาหมายถึงสถานที่ใด ที่นั่นคือโบสถ์สำหรับผู้ต้องการที่พักพิงใจ นอกจากจะต้องใช้หยดน้ำตาเป็นกุญแจเปิดประตูสู่การสารภาพบาป ยังจำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากราชินีด้วย เจนไม่ได้ไว้ใจให้คู่แฝดเข้ามาในชีวิตขนาดนั้น เพราะเหตุการณ์ในพิพิธภัณฑ์ทราฟัลการ์ซึ่งทำให้รู้ว่าไคล์เป็นมากกว่านักวาดภาพ แต่มีความสามารถที่น่ากลัวกว่านั้น เธอยังจำเลือดที่เปื้อนมือของไคล์ในวันนั้นได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคู่แฝดถึงเข้าไปในโบสถ์ไม่ได้
“แล้วพวกนั้นจะอยากเข้าถึงได้ทำไมล่ะ?”
“บอกตามตรงเลยนะ ข้าไม่รู้ ถามตรง ๆ ก็ไม่ได้แต่คิดว่าเขาไม่ได้มีเจตนาดีหรอก” จอห์นนี่ถอนหายใจเซ็งแซ่
“งั้นข้าจะคุยกับเขาเอง คิดว่านั่นจะเป็นข้อต่อรองได้”
เจนสบตามองคีธ เขาไม่มีความรู้สึกแยแสคนข้างล่างนั้นเลย ทั้งที่ตนเองมองเห็นหัวใจของทุกคนได้ด้วยตาเปล่า รู้ว่าใครมีความรู้สึกอย่างไรแต่ก็ดูเป็นความสามารถที่สูญเปล่า เขาไม่ได้ช่วยปลอบประโลม ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ทำให้หัวใจแตกสลาย เขาไม่ได้ทำอะไรเลยต่างหาก
“ว่าไงล่ะ เจน ท่านมองข้าแบบนี้ก็หวั่นไหวเป็นนะ”
“เข้าประเด็นเลยนะ ข้าอยากให้เจ้าเป็นแม่ทัพสงคราม”
เฮอะ!
คีธแค่นหัวเราะ ก่อนจะระเบิดเสียงเยาะเย้ยดังก้องทั่วทั้งพิพิธภัณฑ์
“ถึงข้าจะไม่ค่อยชอบพี่ชาย แต่ข้าก็ไม่ได้อยากฆ่าเขานะ แต่แน่นอนว่าข้าไม่อยากให้เขาเป็นราชาอีกต่อไป ข้าจะเป็นแม่ทัพให้ท่าน ถ้ามีข้อแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ...” เขาเอ่ยปากต่อรองพลางโลมเลียสายตามองราชินี “ท่านจะไม่ได้อะไรง่าย ๆ หรอกนะ พี่ชายข้าไม่ง่ายแบบท่าน”
“แค่พูดดี ๆ ว่าขอเข้าไปในโบสถ์ มันจะตายรึไง” เจนยื่นกุญแจหยดน้ำตาให้ชายตรงหน้า เขารับมันไว้แล้วเก็บเข้ากระเป๋าเสื้อ “ไม่รู้หรอกนะว่าเจ้ามีเจตนาจะทำอะไร แต่หวังว่าเมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วจะยอมทำตามที่ตกลง”
“ข้าไม่ได้บอกว่าตกลงสักคำเลยนะ”
“แค่รับกุญแจไว้ ก็ถือว่าตกลงแล้ว”
คีธยักไหล่สองข้างประมาณว่า ‘อย่างนั้นเหรอ?’ แล้วเงียบไปสักพัก ก่อนจะเดินลงบันไดไปชั้นล่างซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนข้างล่างซึ่งกำลังจะกลายร่างเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง
คีธแตะหน้าผากของพวกเขาเหล่านั้นแล้วน้ำแข็งที่กัดกินตามมือเท้าก็ละลาย มันเป็นเพราะหัวใจที่ร้อนฉ่าภายในจากความโกรธที่มีต่อราชาผู้กดขี่พวกเขาทุกทางจนไม่สามารถทำงานหาเงินได้
“หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง กองทัพปีศาจของพวกเราพร้อมแล้ว เราจะประท้วงจนกว่าจะชนะและสู้ไม่ถอยจนกว่าปีศาจของไคล์สิ้นซาก” คำพูดปลุกใจของแม่ทัพคีธกล่าวสร้างความฮึกเหิมให้กับเหล่าปีศาจของประชาชน ก่อนจะเหลือบสายตามองราชินี “ถึงตอนนั้นเจน... ข้ากับพี่ชายจะไปให้พ้นจากอาณาจักรเจ้าแล้วจะไม่หวนคืนมาอีก”
ขณะเดียวที่เอดินเบอระ แทนออกมาจากห้องพร้อมกับทิโมธีในชุดลำลองตัวใหม่ทับด้วยเสื้อคลุม พวกเขาเคาะประตูห้องพักของเพื่อนสาวเพื่อชวนไปเที่ยวโบสถ์และทานมื้อค่ำด้วยกัน
“สักครู่นะคะ!” เสียงของเจนดังลอดผ่านประตู เธอกำลังสวมอาภรณ์หลังจากบรรเลงเพลงรักเร่าร้อนกับไคล์เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน
“เจน ผมตายแล้วนะ” เสียงของเด็กหนุ่มพูดช้างหูทำให้เจนสะดุ้งโหยงและหน้าซีดเผือด ไคล์ตกใจเมื่อเห็นท่าทีประหลาดของคนรัก “อยากทำอะไรก็รีบทำ งานศพของผมกับจอยจะจัดในสัปดาห์หน้า” เจคพูดแค่นั้นแต่ไม่ปรากฎกายให้ร่างแฝดเจนได้เห็น
ส่วนไคล์ผู้มองเห็นปีศาจแต่มองไม่เห็นวิญญาณ เขาเขย่าตัวเรียกสติเจนเพราะไม่เข้าใจว่าคนรักเป็นอะไร
“คุณเป็นอะไรรึเปล่า?”
“เปล่าค่ะ”
“งั้นไปกันเถอะ”
ไคล์ยื่นผ้าพันคอผืนหนามาสวมรอบคอให้เจน แต่มีเสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นในหัวว่า “เอาร่างฉันไปแล้วยังไง สุดท้ายเขาก็ไม่รักใครหรอก นอกจากตัวเอง” มันคือเสียงของเจนตัวจริงซึ่งติดอยู่ในกระจกพูดเย้ยหยัน การกระทำของไคล์ที่มีต่อเจน ไม่ว่าจะเป็นร่างจริงหรือร่างแฝด เขาก็ไม่ค่อยแยแสเธอนัก หลังจากที่คบกันมาหลายเดือน
เมื่อออกมาจากห้องพักก็เดินทางเที่ยวกันต่อ แทนกล่าวว่าที่เอดินเบอระมีโบสถ์แห่งหนึ่งซึ่งลือกันว่ามีผีสิงสู่จำนวนมาก ตำนานเล่าขานมากมายเกี่ยวกับผีสางที่นั่น ทั้งผีหัวขาด วิญญาณคนแก่เฒ่า รวมถึงผีตายโหงที่ยังไม่ได้ไปเกิด
ทิโมธีเป็นคนกลัวผีดังนั้นเมื่อได้ยินเสียงเห่าหอนระงมของสุนัขแถวนั้นก็เอาแต่กอดแทนและส่งเสียงร้องไห้เป็นเด็ก
“หมาแค่หอน มันไม่ได้เจอผีสักหน่อย อะไรของคุณเนี่ย” แทนหัวเราะพลางลูบหัวเอ็นดูแฟนหนุ่มซึ่งตัวสูงกว่า “โอ๋ ๆ นะ คนดี”
ไคล์หันไปมองคนรัก เธอไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่มาออกมาจากห้อง แถมสุนัขก็หอนตามเธอไม่หยุด ว้าว... แม้แต่หมาก็รู้สึกได้ถึงปีศาจแฮะ ไคล์รำพึงในใจ
“บนโลกนี้มีสิ่งที่น่ากลัวกว่าผีอีกนะ”
เจนพูดขึ้นหลังจากเงียบไปนาน “ไม่ใช่ภัยธรรมชาติที่เราห้ามไม่ได้ ไม่ใช่ฝันร้ายที่หลอกหลอนทุกค่ำคืนจนไม่อาจนอนต่อแล้วต้องตื่นขึ้นมากรีดร้อง แต่มันคือความจริงที่ว่า... ต่อให้พวกคุณพยายามมากสักเท่าไร ความตายก็คืบคลานเข้าใกล้และช่วงชิงวิญญาณไปจากคุณอยู่ดี”
“...”
“และพวกคุณก็ดูไม่ออกด้วยซ้ำว่า ฉันตายไปแล้ว”
คำพูดเยือกเย็น แววตามืดมนของเจนจ้องไปที่ทิโมธีทำให้เขากระชับอ้อมกอดของแทนแล้วร้องไห้เสียงดัง
ฮ่า ๆ ๆ ๆ
แทนกับไคล์หัวเราะลั่นชอบใจเพราะคิดว่าเจนแกล้งให้กลัวเล่น ๆ เข้ากับบรรยากาศค่ำคืนใกล้โบสถ์ผีสิง แต่ความจริงก็คือร่างแฝดเจนกำลังบอกว่าเจนตัวจริงตายแล้วต่างหาก
“เจน อย่าแกล้งกันแบบนี้สิ! ไม่ตลกนะ!”
“โอ๋ ขอโทษค่ะ ไม่แกล้งแล้วก็ได้ ฮ่า ๆ”
หลังจากนั้นพวกเขาก็ไปทานมื้อค่ำด้วยกันที่ร้านอาหารในละแวก แทนคอยสังเกตดูเจนตลอดเวลาเพราะตั้งแต่ออกมาจากที่พักก็มีท่าทางแปลก ๆ
ขณะทานข้าวด้วยกัน เจนดูมีอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวเหมือนรำคาญอะไรสักอย่างตลอดเวลา แววตาคู่นั้นก็ดูแปลกไปราวกับเป็นคนละคน
แทนเลือกเชื่อลางสังหรณ์ของตัวเองที่คอยเป็นเสียงเล็ก ๆ คอยเตือนอยู่เสมอ เขาส่งข้อความไปหาเจนว่าต้องการคุยด้วยก่อนแยกย้ายเข้าที่พัก ตามด้วยส่งข้อความหาริวเบ็นเพื่อคุยกับเขาเรื่องไคล์
LIL JAKE: พี่แทน ช่วยเจนด้วยนะ
แทนได้รับข้อความจากเจคก็รู้สึกประหลาดใจและสงสัย แต่เวลานี้ไม่เหมาะกับการจ้องหน้าโทรศัพท์นานกว่ามองหน้าคนรัก แทนเก็บโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงแล้วทานอาหารต่อจนเสร็จ
“เรียบร้อยดีมั้ย” ทิโมธีถามคนรักด้วยความเป็นห่วง “ถ้าอิ่มแล้ว เรากลับไปพักเลยก็ได้นะ ถ้าคุณเหนื่อย เดี๋ยวผมไปส่ง”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมโอเค”
“งั้นพวกเราดื่มให้กับเดตคู่ครั้งแรกกันเถอะ”
ไคล์กล่าวด้วยรอยยิ้มพลางยกขวดเหล้าขึ้นชนกับทุกคน พวกเขาดื่มด้วยกันเยอะพอสมควร แอลกอฮอล์ทำให้เลือดสูบฉีดหัวใจ ใบหน้าของทุกคนแดงก่ำ
เมื่อร้านอาหารปิด พวกเขาก็เดินกลับไปยังโรงแรม เพียงแต่แทนกับเจนยังไม่กลับเข้าห้องทันทีเพราะมีเรื่องสำคัญต้องคุยกัน ทั้งสองนั่งด้วยกันที่ล๊อบบี้โรงแรมซึ่งมีโซฟานุ่ม
“มีอะไรเหรอ ทำไมหน้าเครียดเชียว”
“ก่อนที่ฉันจะพูดอะไร ขอให้เธอตั้งสติไว้ดี ๆ นะ”
“ทำไมล่ะ”
เจนเมามายปล่อยเสียงหัวเราะออกมา แทนไม่มีทางเลือกนอกจากเปิดโทรศัพท์ให้ดูภาพทฤษฎีเชื่อมโยงถึงเหตุโศกนาฏกรรมที่พิพิธภัณฑ์ทราฟัลการ์
ภาพจากกล้องวงจรปิดจับได้ว่าไคล์เป็นคนใช้มีดแทงเศรษฐีตระกูลแบล๊คจนเข้าโรงพยาบาล อีกทั้งยังมีพฤติกรรมข่มขู่กรรโชกใส่ลูกชายเศรษฐีอีกด้วย แต่เรื่องนั้นไม่น่าตกใจเท่ากับภาพวาดของไคล์เป็นตัวกลางในการติดต่อค้าขายกับชาวลัทธิบูชาปีศาจโดยหนึ่งในสมาชิกลัทธิก็คือเศรษฐีคนนั้น
“ขอโทษนะที่ทำลายบรรยากาศความรัก แต่ฉันไม่อยากให้เธอทำร้ายตัวเองเพราะเขาอีกแล้วนะ”
“ลัทธิบูชาปีศาจ มันไม่ฟังดูงมงายไปหน่อยเหรอ”
“เธออยู่กับเขาตลอดเวลา เธอรู้ว่าเขาสามารถมองเห็นปีศาจได้ ภาพวาดของเขาก็คือแหล่งสะสมปีศาจ แค่นั้นยังไม่ชัดอีกเหรอ” เสียงของแทนดังขึ้นเรื่อย ๆ จนเหมือนตะคอกใส่หน้าเจน “ขอโทษที่เป็นแบบนี้นะ แต่ฉันเป็นห่วงเธอ”
“คนที่เธอเป็นห่วงคือเจน ไม่ต้องห่วงฉันหรอก” ร่างแฝดของเจนพูดพลางแสยะยิ้มมุมปาก
สายเกินไปแล้ว... แทนคิดในใจ
“เธอยังมีเวลาช่วยเพื่อนรักอยู่นะ แต่คงต้องรีบหน่อย ร่างนี้ใช้ได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ซึ่งระหว่างนี้ฉันต้องไปงานศพน้อง ๆ ของเจนด้วย”
แทนมีเวลา 7 วันเพื่อช่วยให้เจนกลับมาเป็นเหมือนเดิม สิ่งที่เขานึกออกคือการทำให้ไคล์ไม่สามารถควบคุมเจนได้อีก
ไอ้ชั่วนั่นต้องนอนเน่าในคุก!
ภายในอาณาจักรแห่งจิตใจหม่นหมองเต็มไปด้วยเสียงดังอึกทึก ปีศาจของประชาชนประท้วงอยู่หน้าปราสาท ไคล์ตอบโต้กลับด้วยการสั่งให้กองทัพทหารปีศาจจัดการฝ่ายตรงข้ามให้สิ้นซาก แต่มันยากเหลือเกินเพราะปีศาจจากความโกรธแค้นจำนวนมากมีพละกำลังมหาศาล
ราชินีเจนใช้โอกาสตอนนี้ลอบเข้าไปปราสาทเพื่อประจันหน้ากับร่างแฝดของตัวเอง ทว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด นางกำนัลพยายามห้ามไม่ให้เธอเข้าใกล้ราชา แม้จะไม่อยากทำก็ตาม แต่เพราะราชาออกคำสั่งแล้วก็ไม่อาจขัดขืน ไม่งั้นต้องโทษถึงความตาย
“นี่เป็นความฝัน เจ้าไม่มีจริง เจ้าไม่มีชีวิตที่นี่ด้วยซ้ำ ดังนั้นเจ้าตายไม่ได้ ปล่อยให้ข้าเข้าไป นี่มันอาณาจักรของข้าไม่ใช่ราชาเห็นแก่ตัว”
“แต่...”
“ช่างหัวไคล์สิ เจ้าไปแอบเถอะ ข้างนอกกำลังวุ่นวาย ข้าจะจัดการไคล์เอง”
#จมในห้วงความคิด
Comments (0)