TRIGGER WARNING

 

  • เลือด
  • พฤติกรรมรุนแรง: การฆ่า ความรุนแรงในครอบครัว มาตุฆาต
  • ความคิดจะฆ่าตัวตาย การทำร้ายตัวเองและฆ่าตัวตาย

 

โปรดอ่านอย่างมีวิจารณญาณ ขอให้มีความสุขค่ะ

 


 

 

"ผมอยากเขียนเพลงให้เจนสักเพลง"

แทนกล่าวกับแฟนหนุ่มขณะนั่งเอนหลังในสตูดิโอของฟีลิกซ์ประมาณสามทุ่มกว่า สองหนุ่มนักร้องนักเขียนเพลงถามถึงเหตุผลในการเขียนเพลงครั้งนี้ มันเป็นเรื่องวิเศษเสมอในการทำอะไรเพื่อใครสักคนโดยเฉพาะให้เพื่อนสนิท แต่พวกเขาอยากรู้ถึงเหตุผลการถ่ายทอดคำพูดด้วยเสียงเพลง พวกเขาจึงนั่งคุยกันตลอดทั้งคืนเพื่อทำความรู้จักกับผู้หญิงที่ชื่อ 'เจน'

"ผมแค่อยากให้ของขวัญวันเกิดเธอน่ะ นอกจากครอบครัวที่เธอจากมา ก็มีแค่ผมกับแฟนเธอ ผมอยากทำอะไรพิเศษให้เพื่อนคนนี้บ้าง" แทนถอนหายใจเฮือกใหญ่ "รู้สึกลางสังหรณ์แปลก ๆ ผมกลัวจังเลย"

"กลัวอะไรเหรอ"

"ไม่ คือ..." ชายหนุ่มร่างเล็กลังเลใจจนไม่กล้าพูด แต่เทวดาหนุ่มวางมือลงบนบ่าแข็งทื่อของเขา สัมผัสนั้นทำให้รู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง ฟีลิกซ์และภรรยามองคู่รักโดยไม่พูดอะไร "คือมันเป็นแค่ลางสังหรณ์อะว่า อาจจะเกิดเรื่องแย่ๆกับเจนก่อนที่ผมจะให้ของขวัญชิ้นนี้"

"คุณอาจจะแค่คิดมากก็ได้นะ"

"แต่ถ้ามันเป็นจริงล่ะ ผมกลัวจังเลย ทิม"

ทิโมธีดูออกว่าแทนเป็นกังวลเหลือเกิน นัยน์ตาสีดำแปรเปลี่ยนเป็นบ่อน้ำแห่งความโศกเศร้าอย่างไม่อาจหลบซ่อนได้ เด็กหนุ่มของเขากำลังจะร้องไห้ เขาจึงขอเวลาอยู่กับแทนเพียงลำพังในสตูดิโอ ทั้งสองโอบกอบกันแนบแน่น ทิโมธีขอให้แทนร้องไห้ออกมาให้หมดจนกว่าจะสบายใจ แทนจึงซุกหน้าหลั่งน้ำตาบนไหล่กว้างของนักร้องหนุ่ม ทิโมธีใช้มือใหญ่ลูบแผ่นหลังสั่นเทาจนกระทั่งความเครียดจางหายไปดั่งควัน เมื่อดีขึ้นแล้ว แทนจึงกอบกุมมือของคนรัก มองลึกเข้าไปในดวงตาสีเข้มคู่นั้นพร้อมกับความหวังว่าเขาจะเข้าใจสิ่งที่ตนอยากเล่า

แทนว่าเขากลัวเจนถูกครอบงำด้วยความคิดอันตรายที่ทำร้ายตัวเองเพราะบุคลิกของเธอเปลี่ยนไปนิดหน่อย นับตั้งแต่ตัดผมสั้น เธอก็ชอบพูดจาและทำตัวเย็นชา เธอผอมลงมากจากแต่ก่อนที่ย้ายมาลิเวอร์พูลด้วยกัน ทั้งหมดนั้นทำให้แทนกลัวว่าลางสังหรณ์ของตนจะเป็นจริง

"มันเป็นเรื่องอนาคต คุณทำอะไรกาลเวลาไม่ได้หรอก อย่างน้อย... สิ่งที่คุณทำได้คือคอยอยู่เป็นเพื่อนรักของเจนอย่างดีที่สุด ผมเชื่อว่าเจนก็คงอยากได้แบบนั้น"

 

ขณะเดียวกันเจนกำลังร่วมรักอย่างเร่าร้อนกับไคล์ในอพาร์ทเมนต์ โลกทั้งใบหมุนรอบความคลั่งไคล้ของพวกเขา ไม่มีใครหรืออะไรสามารถทำลายความรักครั้งนี้ได้ ริมฝีปากนุ่มบดเบียดผิวกายละเอียดทุกตารางนิ้วอย่างหิวกระหาย ขบกัดเนื้อหนังมังสาอย่างผู้ล่า มือใหญ่ซุกซนอยู่ไม่สุขบีบขยำหน้าอกงาม เขาเค้นเสียงครวญครางจากผู้อยู่ในอ้อมกอด แก่นกายพรั่งพรูใต้กางเกงสะกิดสะโพกของหญิงสาว เธอจึงบรรจงรูดซิปกางเกงออกอย่างเบามือ

"คุณรู้ไหม..." เจนผ่อนเสียงอ้อยอิ่งเอนกายซบไหล่กว้าง ขณะมือข้างหนึ่งกำลังล้วงรูดแก่นกายของอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้าใจเย็น "บางที... ระหว่างวัน คุณก็จะผุดขึ้นมาในความคิดด้วย"

"จริงเหรอ" จิตรกรหนุ่มจูบกระดูกคางและสันกรามพลางไล้ปลายนิ้วลงไปที่หว่างขาของหญิงสาวบนตักจนเธอหลุดคราง ลิ้นร้อนลากเลียใบหูพร้อมรดลมหายใจอุ่นที่ต้นคอ "เล่าให้ฟังหน่อยสิ"

"ฉันเห็นคุณ... ตอนเรามีเซ็กส์ด้วยกัน อืม... ในห้องนี้"

"แล้วคุณทำยังไงต่อเหรอ"

"ฉันต้องพยายามไม่หายใจแรง เพราะอยู่ในห้องเรียน" เจนหน้าแดงก่ำเมื่อเล่าถึงความคิดเร่าร้อนนั้น "ฉันได้กลิ่นน้ำหอมและกลิ่นกายของคุณอยู่รอบตัวราวกับคุณไม่ได้หายไปไหน ทำเอาฉันแทบบ้าตาย" เธอกุมขยำกลุ่มผมสีน้ำตาลของแฟนหนุ่มผ่อนครางเสียงแผ่วขณะที่เขาสอดนิ้วเข้าไปในกลีบร่องใต้กางเกงในตัวจิ๋ว จินตนาการพาเธอกลับมายังอพาร์ทเมนต์บ่อยครั้งจนกระทั่งฉ่ำแฉะเหมือนตอนนี้ ไคล์พอใจกับสิ่งที่ได้ฟังจากแฟนสาวจนกระทั่งแท่งเนื้อของเขาแข็งตึง ไคล์พอนึกภาพออกเลยว่าเจนดิ้นพล่านทุรนทุรายขนาดไหนเมื่อความเงี่ยนอยากไม่เลือกสถานที่เกิด ดังนั้นเขาจึงอาสาเป็นผู้ยับยั้งความทรมานนั้นด้วยการร่วมรักพร้อมกับให้คำสัญญาว่า

 

ขอให้ผมกอดหัวใจของคุณนะ 

 

ไคล์โอบกอดแนบแน่นและฤดูหนาวกลับคืนสู่อาณาจักรจิตใจหม่นหมองในต้นเดือนธันวาคม พิธีอภิเสกสมรสของราชินีเจนและราชาไคล์จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมกับการบอกลาวัสสานฤดู พสกนิกรออกจากบ้านชมหิมะแรกด้วยกัน เด็ก ๆ บางส่วนตั้งกลุ่มสร้างมนุษย์หิมะพร้อมกับตั้งชื่อให้พวกมัน บางคนแกะสลักรูปปั้นน้ำแข็งด้วยความสามารถทั้งหมดที่ตนมี ดอกคามีเลียเบ่งบานครั้งแรกในรอบห้าปีแห่งความโศกเศร้า และด้วยเหตุผลนั้นเอง... ราชินีแห่งอาณาจักรจิตใจหม่นหมองถึงได้กลับมาเขียนหนังสืออีกครั้ง ขีดเขียนความคิดในท้องทุ่งกว้างต่อให้จบ เธอไม่ได้ตั้งชื่อเรื่องด้วยซ้ำ

 


 

บ้านคือสถานที่พักของหัวใจและวิญญาณเหนื่อยล้า หากบ้านไม่อาจเป็นแหล่งพักพิงได้ ฉันก็เป็นแค่ผีเร่ร่อน ฉันคิดว่าตัวเองกลายเป็นผีไปแล้วจริง ๆ เพราะเพิ่งเนรเทศตัวเองออกมาจากบ้านหลังเดียวในชีวิต ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทิ้งร่างไร้ลมหายใจของตัวเองไว้ที่ไหน -- อาจเป็นมหาสมุทรซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ปลาและความลึกลับ บนท้องฟ้าเหนือชั้นบรรยากาศขณะข้ามผ่านทวีปหรือฉันอาจแค่แน่นิ่งเหมือนหลับไปบนเตียงนอน 

ต่อให้รู้ มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะฉันกำลังหอบแบกวิญญาณแล้วเคาะประตูหน้าบ้านเหมือนเด็กน้อยในคืนฮาโลวีนเพื่อหวังให้ใครสักคนเปิดประตูออกมาแบ่งขนม ฉันถอดใจและหยุดขอความช่วยเหลือเพราะรู้เต็มอกว่าไม่มีใครสนใจร่างไร้วิญญาณนั้นหรอก จนกระทั่งในวินาทีประสานนัยน์ตาคู่นั้นกับคุณถึงได้รู้ว่า "ที่นี่ล่ะ บ้าน"

 


 

"องค์หญิงกลับมาเขียนแล้ว ดีจังเลยนะเพคะ" โอลีฟ หญิงสาวนางกำนัลผมบลอนด์ยาวถึงกลางหลังอมยิ้มเหมือนเห็นราชินีบรรจงบรรยายความคิดลงบนแผ่นกระดาษ หล่อนถือถาดชุดน้ำชายามเช้าไว้ในมือ ส่วนราชาองค์ใหม่แห่งอาณาจักรยืนกอดอกมองภรรยาของตนอยู่ห่าง ๆ ปล่อยให้ปีศาจของนางได้โลดแล่นในท้องทุ่งแห่งจินตนาการ 

"เจ้าวางน้ำชาไว้บนโต๊ะก่อนก็ได้ ถือไว้จะเมื่อยเอานะ"

"เพคะ"

"พี่ ข้าขอคุยด้วยหน่อยสิ"

แฝดน้องสะกิดเรียกไคล์ซึ่งมองราชินีอย่างไม่วางตา พวกเขาคุยอะไรสักอย่างด้วยกันในห้องส่วนตัวของผู้ติดตาม แม้นางกำนัลถือวิสาสะแอบเงี่ยหูฟังจากบานประตู ทว่ากลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากความเงียบ หล่อนอดคิดไม่ได้ว่าผู้ครองบัลลังก์ช่างลึกลับเหลือเกิน 

นับตั้งแต่วันแต่งตั้งและมอบบัลลังก์กษัตริย์ให้ไคล์ บรรยากาศหลายอย่างในอาณาจักรจิตใจหม่นหมองก็เปลี่ยนไปอย่างน่ามหัศจรรย์ ราวกับว่านี่ล่ะคือปาฏิหารย์ที่อาณาจักรเฝ้ารออยู่เนิ่นนาน ประชาชนมีความสุข สกุลเงินเปลี่ยนจากน้ำตาเป็นรอยยิ้ม สำหรับโอลีฟ... เธอรู้สึกว่ามันประหลาดเกินไป

ตามประสานางกำนัลช่างพูด โอลีฟจับกลุ่มคุยกับสาวรับใช้คนอื่นภายในห้องครัวเกี่ยวกับราชาองค์ใหม่แห่งอาณาจักร แน่นอนว่าพวกหล่อนไม่ได้คิดไปเองที่รู้สึกกระอักกระอ่วนแปลก ๆ เมื่ออยู่ใกล้ผู้ครองบัลลังก์ พวกหล่อนไม่กล้าสบตาด้วยแม้ยามสนทนา

"อย่าเสียงดัง เดี๋ยวท่านได้ยินเข้า หัวเจ้าจะหลุดออกจากบ่า" 

 

เมี๊ยว~

 

เสียงแมวดำร้องขึ้นขัดบทสนทนาของเหล่ากำนัล นัยน์ตาสีฟ้าสบมองพวกนางอย่างเย้ยหยันประหนึ่งมนุษย์เป็นเพียงทาสรับใช้ชั้นต่ำและมนุษย์กลุ่มนี้ยังไม่ยอมรินนมกับอาหารเช้าให้เลย พวกนางกรีดร้องตกใจเมื่อเห็นร่างบุคคลหนึ่งผู้อุ้มแมวไว้ในอ้อมกอด

ชายหนุ่มร่างสูงเรือนผมสีน้ำตาลหยักศกถูกจัดทรงเรียบร้อย เขาสวมอาภรณ์สะอาดเอี่ยมซึ่งสั่งตัดพิเศษโดยช่างตัดเสื้อของราชินี นั่นคือ คีธ ที่ปรึกษาคนสนิทของไคล์ซึ่งล่าสุดเพิ่งควบตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านด้วย เมื่อไม่นานมานี้เขาออกนโยบายสร้างพิพิธภัณฑ์เก็บความทรงจำเพื่อเป็นอีกหนึ่งสถานที่หย่อนใจของประชาชน

คีธดูเป็นคนอัธยาศัยดี ใจดีและคุยง่าย ทว่าตอนนี้เขาส่งสายตาเรียบนิ่งมองพลางลูบหัวเจ้าแมว ขยับริมฝีปากบางออกคำสั่งเสียงเบาเพื่อให้เตรียมมื้อเช้าภายในสิบนาทีแล้วเดินจากไป เขาไม่ก่นด่าอย่างที่พวกนางคิดซึ่งแค่นั้นก็ทำให้รู้สึกเย็นสะท้านไปทั้งแผ่นหลัง

"คิดว่าท่านได้ยินไหม" 

"เงียบปากแล้วกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองซะ" ซาแมนธา หัวหน้านางกำนัลตะเบ็งเสียงแข็งแล้วทุกคนก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง พวกเขาไม่อาจรู้ได้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตและคงไม่มีสิทธิ์กล่าวเตือนราชินีด้วยว่าตนรู้สึกกลัวคู่แฝดขนาดไหน เพราะรู้ดีว่าราชินีหลงรักราชาของตนจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว 

 

 

รุ่งอรุณสาดแสงอุ่นผ่านม่านบาง จิตรกรหนุ่มตื่นขึ้นมาจากความฝันซึ่งตนเป็นราชาผู้ครองบัลลังก์อาณาจักรเล็ก ๆ เขากวาดตามองแฟนสาวที่กำลังหลับใหล ทรงผมใหม่ไม่สามารถลดทอนความงามของเจนได้เลย แสงตะวันอาบไล้ดวงหน้าและเรือนผมสั้นประบ่า เขาหลงใหลงานศิลปะที่พระเจ้าบรรจงสร้างตรงหน้าจึงพรมจูบแผ่วเบาบนแก้มและหัวไหล่ขาวเพื่อกอบเก็บงานชิ้นนี้ไว้กับตัวเองนิรันดร์ หลังจากนั้นมุมปากของจิตรกรจึงผุดยิ้มเข้าใจยากแล้วสาวเท้าออกจากห้องนอน

แมวดำย่องอุ้งเท้าลงบนพื้นเย็นเฉียบตามไคล์ไปถึงห้องครัวพร้อมส่งเสียงร้องน่ารำคาญ ไคล์จึงเทนมแพะและอาหารแมวใส่ถาดอาหาร ทว่าแมวเอาแต่ใจกลับเชิดหน้าแล้วปริปากบ่น 

"เจ้าให้ข้ากินอาหารแมวจนข้าจะเป็นแมวแล้วนะ" แอลป์บ่นอุบอิบ แมวปีศาจจึงกลายร่างเป็นชายหนุ่มผิวเข้มร่างสูงเปลือยท่อนบนและสวมหมวกแก๊ปสีขาว มันนั่งบนเคาน์เตอร์ทำอาหารเพื่อก่อกวนไคล์ซึ่งกำลังหยิบวัตถุดิบทำอาหารออกมาจากตู้เย็น ปีศาจอย่างมันถนัดเหลือเกินเรื่องสร้างความวุ่นวายให้แก่มนุษย์

"แกชอบแปลงร่างเป็นแมวไม่ใช่เหรอ ก็เป็นแมวไปสิ"

"ข้าอยากกินอาหารดี ๆ บ้างอะ" 

"อาหารแมวพรีเมี่ยมไม่ดียังไง แกกินดีกว่าฉันอีกนะเว้ย รู้รึเปล่าอาหารแมวห่อนึงไม่ถูกนะ... รสทูน่าด้วย" ไคล์ยื่นห่อเปล่าของอาหารเปียกสำหรับแมวเด็กที่เพิ่งเทลงถาดให้เจ้าแอลป์ดู มันเห็นราคาแล้วถึงกับหน้าหงอเพราะราคาแพงจริงอย่างที่ไคล์บอก ชายหนุ่มสวมหมวกขาวกลายร่างเป็นแมวสีดำอีกครั้ง "ดังนั้นหุบปากแล้วกินซะ อย่าเรื่องมาก" 

"นี่ เจ้าจะไม่ให้รางวัลข้าหน่อยเหรอ" ทว่าแอลป์กลับทักท้วงบางอย่างกับเจ้านาย ร้องเหมียวและปั้นหน้าอ้อนวอน

"รางวัลอะไรอีก"

"เจ้าได้เจอเจนอีกครั้งเพราะข้านะ... ขอเครดิตบ้างสิ" 

"เฮ้อ ทวงบุญคุณเก่ง" ไคล์กลอกตาเซ็งแซ่ ขณะเดียวกันรอยยิ้มร้ายก็ผุดขึ้นมาจากมุมปากราวกับนึกบางอย่างขึ้นได้ แอลป์มองเจ้านายนิ่ง ๆ รอให้เขาเอ่ยปาก "ก็ได้ งั้นเดี๋ยวพาไปกินมื้อหรูเลย แต่ต้องรอให้เจนกลับไปก่อนนะ"

บทสนทนาระหว่างจิตรกรกับแมวปีศาจจบลงเท่านั้น ไคล์เกาคางเจ้าแอลป์ก่อนจะล้างมือเพื่อสวมผ้ากันเปื้อนและเตรียมอุปกรณ์ทำอาหาร เขาทำขนมปังปิ้งสี่แผ่น ทาด้วยอะโวคาโดเขียวสด จัดใส่จานเซรามิคให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็วางกะทะบนเตา ตั้งไฟสูงแล้วเทน้ำมันมะกอกเล็กน้อย เมื่อน้ำมันเดือดได้ที่จึงตอกไข่ไก่ลงไปฟองหนึ่งแล้วลดไฟ ไคล์มองไข่ขาวกำลังขึ้นฟูปุด ๆ ขณะจับตะหลิวอย่างไม่มั่นใจนักเพราะเขาไม่ได้ทำอาหารนานแล้ว ถึงอย่างนั้นเขาก็สามารถทำไข่ดาวได้สำเร็จ แม้มีกลิ่นไหม้นิดหน่อย

หวังว่าคุณจะชอบไข่ดาวไม่สุกนะ เขาคิดในใจขณะมองผลงานของตัวเองในจานเซรามิคสีขาว เขาคิดอยากทำอีกสักเมนูซึ่งใช้เวลาไม่นาน นั่นคือออมเล็ต เหตุผลของการทำมื้อเช้าหลายอย่างเพราะเมื่อคืนเขาใช้พลังงานไปเยอะจนหิวโหย เขาทำอาหารไปพร้อมกับเสียงร้องโครกคราก

"ที่รัก มื้อเช้าครับ"

ไคล์ยกจานมื้อเช้าเสิร์ฟบนเตียงนอนขณะที่แฟนสาวยังหลับอยู่ กลิ่นอาหารไม่อาจปลุกหญิงสาวจากนิทราได้ เขาจึงโน้มตัวจุมพิตทั่วใบหน้าของเจนจนกระทั่งเธอยอมตื่นมาชื่นชมอาหารเช้าซึ่งเป็นอะโวคาโดโทสต์ราดด้วยไข่ดาวไม่สุกกับคลาสสิกออมเล็ต ไคล์บอกตนไม่ค่อยทำมื้อเช้าทานบ่อยนักเพราะตนมักตื่นสายและไม่กินข้าว แต่เจนเป็นคนพิเศษที่เขาอยากสร้างความทรงจำดี ๆ ด้วยจึงโดยเริ่มจากมื้อเช้าบนเตียงสุดโรแมนติก

"น่าทานจัง" เจนพูดแล้วประทับจูบบนริมฝีปากนุ่มของแฟนหนุ่ม  "ความจริงฉันชอบไข่ดาวสุกมากกว่า แต่ไม่เป็นไรค่ะ"

"ขอโทษด้วยนะ ผมไม่รู้อะ แต่ถ้ารสชาติแย่ ก็อย่าด่าผมนะ..."

"ไม่ด่าหรอกค่ะ สุดท้ายก็ต้องกินด้วยกันอยู่ดี" เจนอมยิ้มหวานแล้วลูบหัวแฟนหนุ่ม 

หญิงสาวใช้ส้อมสแตนเลสตักออมเล็ตสีเหลืองทองป้อนให้ไคล์ ตอนนั้นเองจึงได้รู้ว่ารสชาติไม่เค็มอย่างที่คิดไว้... เพราะมันจืดเกินไป นัยน์ตาคู่หวานประสานกันราวกับโลกนี้มีเพียงพวกเขาเท่านั้น วันนี้ดูเป็นวันที่เรื่อยเปื่อยของสองหนุ่มสาว พวกเขาพูดคุยถึงสิ่งที่อยากทำด้วยกันนอกเหนือจากการมีกิจกรรมเร่าร้อนบนเตียงและชมงานศิลปะในห้องเก็บงาน ไคล์จึงเสนอให้เจนเลือกสถานที่เที่ยวที่ไหนก็ได้

"ที่ไหนก็ได้เหรอคะ"

"ใช่ แล้วแต่คุณเลย"

"งั้น... ไปเอดินเบอระกันไหมคะ" เจนเสนอด้วยรอยยิ้ม ไคล์พยักหน้ารับอย่างสนับสนุนข้อเสนอ เขาพร้อมพาเธอไปทุกที่ที่อยากไป อย่างที่เขาเคยบอกไว้เมื่อนานมาแล้วว่าอยากแก้ตัวสำหรับเดตแรก นับตั้งแต่วันนั้นพวกเขาไม่ค่อยมีเวลาเดตด้วยกันเพราะเจนยังเรียนไม่จบ อีกทั้งเรื่องวุ่นวายในลอนดอนทำให้ไคล์ต้องหลบหนีและแสดงผลงานออนไลน์เท่านั้น ในอีกไม่กี่เดือนก็ต้องทำเล่มวิจัยเพื่อจบการศึกษา "ฉันอยากไปพิพิธพัณฑ์ที่รวบรวมเรื่องเล่าของชนชั้นแรงงานในศตวรรษที่ 18 ตอนปลาย ฉันไม่ค่อยได้เที่ยวทริปประวัติศาสตร์เลย"

"ชวนเพื่อนคุณไปด้วยก็ได้ คุณเลือกเวลาเองเลย เดี๋ยวผมจะเคลียร์ตารางเวลา"

"ไว้ฉันจะชวนแทนกับทิโมธีนะคะ ไปกันเยอะ ๆ คงจะสนุกน่าดู"

"ผมพร้อมไปทุกที่บนโลกที่มีคุณเลย"

เจนยื่นหน้าจุมพิตจิตรกรหนุ่มดูดดื่ม เขาพาเธอดำดิ่งลงสู่ห้วงแห่งภวังค์รักโดยสมบูรณ์แบบ 

ชีวิตประจำวันของหนุ่มนักวาดกับสาวนักเขียนภายในอพาร์ทเมนต์ไม่ค่อยมีอะไรนัก พวกเขาอยู่ด้วยกันเกือบสองฤดูกาล จิตรกรหนุ่มมีเวลาส่วนตัวเมื่อเจนเข้าเรียน ไคล์ละเลงพู่กันลงบนกระดาษสามร้อยแกรมขนาด 240 x 140 เพราะเขาไม่ต้องออกไปแสดงเวทมนตร์ที่ไหน บางครั้งก็ดิจิตอลเพนท์เพราะมันเข้าุถึงง่ายกว่าและสีไม่มีวันหมดแต่ก็ไม่ค่อยถนัดนัก หลังจากนั้นก็จะทะเลาะกับแมวดำตลอดช่วงเช้าถึงบ่าย เขาสร้างงานศิลปะสัปดาห์ละสามวันเพื่อให้ตัวเองได้พักบ้าง ไคล์เล่าว่าอีกสถานการณ์ที่ทำให้เขาต้องขังตัวอยู่ในห้องทั้งวันคือนั่งปั่นงานจ้างของลูกค้ากระเป๋าหนัก เขาเคยมีโอกาสได้วาดภาพโปสเตอร์ประกอบภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเมื่อปีก่อน ตนใช้เวลาร่วมห้าวันในห้องสี่เหลี่ยมเพื่อทำงานให้เสร็จ

นอกเหนือจากเวลาเรียน เจนมักปลีกวิเวกไปอยู่ในพื้นที่ความเงียบงันของตัวเองและจดจ่อกับการเขียนบางอย่างซึ่งเขาไม่มีวันได้รู้เพราะแผ่นหลังบดบังไว้ดั่งกำแพง เจนทำราวกับสิ่งที่เธอเขียนเป็นเรื่องแย่และไม่อยากให้ใครรู้ เธอนั่งเขียนต้นฉบับที่โต๊ะทำงาน เธอนั่งอยู่อย่างนั้นทั้งวัน หากต้องการอะไรก็จะตะโกนบอกไคล์ให้เขาจัดหามาให้ เขาพร้อมปรนนิบัติเธอราวกับราชินีและโต๊ะทำงานนั้นคือบัลลังก์

"ที่รัก คุณอยากได้อะไรไหม"

"กาแฟสักถ้วยค่ะ"

"เอ่อ เจน... คุณดื่มกาแฟสามถ้วยแล้วนะ"

"งั้นเปลี่ยนเป็นของหวานก็ได้ค่ะ"

ไคล์ปล่อยให้นักเขียนสาวนั่งทำงานต่อไป เขากับแอลป์เดินออกจากอพาร์ทเมนต์ไปซื้อขนมหวานเพราะไม่มีเสบียงของหวานเหลือเลย พวกเขาเข้าร้านสะดวกซื้อไม่ไกล ยามสายแบบนี้ไม่ค่อยมีคนเยอะ หนึ่งจิตรกรกับหนึ่งปีศาจเดินเลือกขนมถุง ซีเรียลและขนมปังทุกอย่างแล้วจ่ายเงิน แอลป์ปริปากแซวว่าไคล์ทุ่มให้ผู้หญิงคนนี้สุดตัวเหลือเกิน

พวกเขากลับอพาร์ทเมนต์ในสิบนาทีต่อมา โชคดีที่ราชินีของเขาไม่หิวจนกินกระดาษไปเสียก่อน ไคล์ยื่นถุงขนมให้เจนเลือก แมวสีดำคอยมองปฏิกิริยาของหญิงสาว ขณะที่ไคล์เดินเข้าห้องครัวไปล้างมือและชงโกโก้ร้อนให้แฟนสาว เจนไม่เรื่องมากนัก เธอหยิบโดนัทเคลือบน้ำตาลและนั่งทานอย่างพึงพอใจ 

"ผมสงสัยนานแล้ว ขอถามได้ไหม" ไคล์เอ่ยถามพลางวางถ้วยโกโก้บนโต๊ะ เขาโน้มตัวแย่งโดนัทจากปากแฟนสาวด้วยริมฝีปากของตัวเอง ลิ้มรสหวานของน้ำตาลจากลิ้นชมพู สาบานได้เลยว่าเขาจูบเธอมากกว่าร้อยครั้งในหนึ่งวันจนเจ้าแอลป์เอือมระอาอยากสำรอก

"ถามสิคะ" เธอพูดขณะมีโดนัทเต็มปาก

"คุณเขียนเกี่ยวกับอะไรเหรอ"

เจนยื่นสมุดให้ไคล์อ่านพร้อมกับอธิบายว่า เนื้อหาส่วนใหญ่จะเป็นเพียงห้วงจังหวะเล็ก ๆ ของความฝันที่ผุดขึ้นมา บางครั้งก็เป็นความคิดฟุ้งซ่านชั่วครู่ เริ่มแรกเธอเขียนเกี่ยวกับความรักของตัวเองที่มีต่อการเขียนหนังสือ ความเจ็บปวดต่อการถูกห้ามทำสิ่งที่รักและไม่มีทางเลือกเป็นตัวเอง ต่อมาเริ่มมีตัวละครหนึ่งปรากฎขึ้นมาซึ่งคาดว่าอ้างอิงจากบุคคลจริง เจนไม่เคยพูดถึงชายคนนั้นให้ไคล์ได้ยิน ไม่มีแม้แต่ชื่อในเรื่องราวของเธอ เรียกเขาว่า 'คุณ' 

ลึกลับชะมัด ไคล์คิด

"คุณเขียนถึงผมด้วยเหรอ"

"ใช่ค่ะ แต่เขียนได้ไม่เยอะหรอก" 

แต่อย่าสำคัญตัวเองมากนักเลย เพราะฉันเขียนถึงทุกคนในชีวิตนั่นล่ะ เจนแดกดันในใจขณะพิงศรีษะบนไหล่ของไคล์ แม้เจ้าตัวไม่ได้ยิน แต่เจ้าแมวดำก็ได้กลิ่นของความลับดียิ่งกว่าใคร มันคงเล่าให้เจ้านายทั้งสองฟังเมื่อมีโอกาส ไคล์เปิดหน้ากระดาษอ่านเรื่อย ๆ ก็พบว่าเจนเขียนถึงความตายไว้เช่นกัน

"แม่มดบอกว่า ถ้าอยากฆ่าคนให้อ่านหนังสือ ฉันก็เลยเขียนหนังสือเพื่อฆ่าพวกเขา ยังไงมนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าผิดหวังอยู่แล้ว ถ้าคนพวกนั้นลดลงไปบ้างก็คงไม่เป็นไร... ใช่มั๊ยล่ะ" เจนกล่าวอย่างเรียบนิ่งเมื่อเห็นไคล์ค้างอยู่ที่หน้ากระดาษกลางสมุดที่เต็มไปด้วยความรู้สึกรุนแรงเท่าที่คนหนึ่งคนสามารถมีได้ สิ่งที่เจนบอกก่อนหน้าคือหนึ่งในคำกล่าวของหญิงแก่ผมสีเงิน มีจมูกงองุ้มผู้เปิดร้านหนังสือ ไคล์คงไม่อาจเข้าใจและตีความหมายผิดไปเพราะไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ มันไม่มีฉบับแปลภาษาอังกฤษด้วยสิ "ยังไงพวกนั้นก็สมควรตายอยู่แล้ว"

"คุณอยากฆ่าใครงั้นเหรอ"

ไคล์ไม่ตกใจกับความเย็นชาของเจน ทว่าอยากสำรวจลึกลงไปในใจของราชินีมากขึ้นอีก เขาลูบหัวเพื่อปลอบประโลมเธอเพราะตนเข้าใจดีถึงการมีอารมณ์รุนแรงพร้อมทำลายทุกอย่าง เขาเคยผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว ยามที่พ่อยังมีชีวิตอยู่และทารุณสารพัด แววตาร้ายกาจของไคล์คาดเค้นเธอมากเกินไปโดยไม่รู้ตัว สาวนักเขียนตอบกลับด้วยความเงียบเป็นสัญญาณให้รู้ว่า เธอเหนื่อยเกินกว่าจะพูด อ่านเอาเองแล้วกัน แม้จะรู้ว่าจิตรกรหนุ่มตื่นเต้นกับการพบเจอปีศาจของเธอมากก็ตาม

 

 

 

ฉันไม่เคยฆ่าคนสักครั้งในชีวิต แต่หากจะเริ่มต้นการเป็นฆาตกรสาว เหยื่อคนแรกก็คือคุณ ฉันฆ่าคุณไปแล้วก่อนเดินทางกลับบ้าน ศพของคุณนอนอย่างสงบบนเตียง ใช่... เตียงตัวที่เราแอบมีอะไรกันอย่างเร่าร้อนตอนที่รักของคุณไม่อยู่ ฉันแขวนป้ายชื่อไว้ที่คอของคุณเหมือนที่คุณทำกับความสัมพันธ์ของเรา ฉันไม่รู้สึกผิดหรือเสียใจสักนิด แต่คุณไม่ได้จากไปเพียงลำพังเพราะที่รักของคุณก็ตามคุณไปด้วย ฉันจัดท่าทางให้พวกคุณได้โอบกอบแนบแน่นราวกับความตายไม่อาจพลัดพรากพวกคุณจากกัน ต่อให้วิญญาณของคุณเรียกชื่อของฉันอีกกี่ร้อยกี่พันครั้ง ฉันก็จะไม่ได้ยินคุณอีกต่อไป

 

ตายไปซะ!!

ตายไปให้หมดเลย!!

 

ความคิดของฉันแผดเสียงตะโกนขณะกดน้ำหนักที่มีลงบนหมอนอิงสีขาวสะอาดทับใบหน้าของหญิงวัยชราบนเตียงคู่ ผู้เป็นพ่อสิ้นลมหายใจอยู่ข้างแม่ ท่านหัวใจวายเฉียบพลันเมื่อเห็นเจ้าแอลป์ในรูปลักษณ์ของร่างใต้ผ้าคลุมสีแดงดั่งเลือดเหมือนวันแรกที่ฉันเจอคุณ เหอะ! แสดงมายากลไม่รู้เวลาเลยนะ พ่ออายุมากแล้วและมายากลแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องน่ามหัศจรรย์สำหรับทุกคน มันเป็นความผิดของคุณที่ไม่อาจควบคุมปีศาจให้เชื่องและอยู่ในคำสั่งได้ รู้หรอกน่าว่าปีศาจมีหลายชนิดและแตกต่างกันแต่คุณเป็นเจ้านายของมันนะ

ช่างเถอะ... ถึงไหนแล้วนะ 

อ๋อใช่! แม่... ฉันจำเป็นต้องส่งท่านให้ตามพ่อไปยังโลกที่ดี ภพภูมิอื่นที่ไม่มีฉันเป็นลูกสาว ตัวตนของท่านทำให้ฉันดูแคลนตัวเองตลอดเวลา รวมถึงวินาทีที่ฉันตัดผมจนสั้นประบ่าด้วย แววตาของแม่ประหลาดใจกับตัวตนใหม่ของลูกสาวแต่ผิดหวังเหลือเกิน ท่านอยากให้ฉันไว้ผมยาว เป็นเจ้าหญิงผู้เลอโฉม สมบูรณ์แบบและอยู่ในความควบคุมของตนตลอดไป 

แม้ฉันหนีจากพวกท่านไปไกลถึงอังกฤษ แต่ฉันกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้หนีไปไหนเลย ฉันยังติดอยู่ในวังวนแห่งห้วงสำนึกเปียกชื้นของคืนที่หนีออกจากบ้านครั้งแรก ทั้งที่ผ่านมาเป็นปีแล้ว ทำไมการไม่สามารถลูกสาวที่ดีถึงน่ารู้สึกผิดแบบนี้นะ ทั้งที่ชีวิตนี้เป็นของฉัน ฉันต้องเป็นคนเลือกตัดสินใจเองไม่ใช่คนอื่น ่

"ทำไมถึงทำแบบนี้ เจน" วิญญาณร่างโปร่งแสงของผู้เป็นพ่อปรากฎตัวข้างศพแน่นิ่งของแม่ ท่านถามเสียงสั่นเครือ น้ำตานองหน้า "แกเป็นบ้าไปแล้วเหรอ" 

"ค่ะ หนูบ้าไปแล้ว" 

"พ่อกับแม่ทำอะไรผิดเหรอ ทำไมถึงต้องทำขนาดนี้ด้วย"

เหอะ! เชื่อเขาเลย!

ฉันแค่นหัวเราะสมเพชตัวเอง นี่กูจะเสียเวลาทำทุกอย่างลงไปเพื่ออะไรวะ ในเมื่อจนถึงตอนนี้พวกท่านก็ยังไม่รู้ตัวว่าท่านขังนกโตเต็มวัยไว้ในกรง ทั้งที่มันพร้อมออกไปเผชิญโลกกว้างด้วยตัวเอง ขังพระจันทร์ที่ส่องแสงสุกวาวไว้ใต้ม่านเมฆครึ้มฝน พวกท่านบ้ากว่าฉันอีกที่คิดว่าสามารถแช่แข็งเข็มนาฬิกาบนหน้าปัดไว้ได้ตลอดกาล ไม่ใช่แค่ฉัน... แต่น้อง ๆ ด้วย

ฉันควรฆ่าน้อง ๆ ด้วยรึเปล่านะ ฉันไม่อยากให้สองคนนั้นทนกับบ้านเฮงซวยหลังนี้แล้ว ความจริงตอนนี้พวกนั้นอาจจะหนีไปไกลแสนไกลตั้งแต่เห็นพี่สาวคนโตลงมือสังหารแม่บังเกิดเกล้าของตน ถ้าสองคนนั้นหนีไปก็ดี เจคจะได้ไม่ต้องเสแสร้งว่าตนเป็นชายแท้ต่อนหน้าพ่อ และเจนก็ไม่ต้องทนเห็นพี่ของตัวเองร้องไห้ด้วย พวกเขาจะได้มีชีวิตของตัวเองสักที อาจจะลำบากหน่อยแต่ก็คงมีความสุขกว่านี้ ฉันไม่อยากลงมือฆ่าพวกเขาเอง

ขณะถกเถียงกับตัวเองระหว่างเดินไปห้องนอนของเจค แรงมหาศาลกระชากกลุ่มผมสั้นของฉัน ต่อจากนั้นภาพทุกอย่างกลายเป็นสีดำหลังจากถูกฟาดลงบนแก้มอย่างจังเพียงครั้งเดียว เดาว่าพ่อคงจะตบฉันอีกเหมือนวันนั้น บนโลกใบนี้ไม่มีใครตบหน้าฉัน นอกจากพ่อ

รู้ตัวอีกที ฉันไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุอีกต่อไป ทว่าเป็นความมืดมิดอันเป็นนิรันดร์ มองทอดออกไปจนสุดสายตาก็มีเพียงความว่างเปล่าแสนเดียวดาย คุณไม่อยู่ที่นี่ด้วย ทำให้รู้สึกหนาวสั่นและหวาดกลัว ฉันกลัวความมืดอันเงียบงันแบบนี้เหลือเกิน ใครก็ได้พาฉันออกไปจากที่นี่ แม้พยายามแผดเสียงตะโกนก็มีเพียงเสียงสะท้อนของตัวเองตอบกลับมาอย่างน่าสิ้นหวัง เพียงชั่ววูบเดียว... แขนซ้ายของฉันก็อาบด้วยเลือดสีแดงข้นคลั่กจากแผลกรีดลึก ไม่ใช่แค่ที่แขน แต่เป็นที่คอและกลางอก ฉันก้มมองมือขวาซึ่งถือเศษแก้วคมกริบอย่างไร้ที่มา ความมืดตรงหน้าพลันเปลี่ยนเป็นกระจกเงาขนาดเต็มตัวให้ได้มองภาพสะท้อนของตัวเองซึ่งอาบด้วยเลือด

ฉันไม่อาจทนมองเงาสะท้อนและแผลบนร่างกายได้เลยเพราะมันเจ็บปวดเกินไป สุดท้ายฉันก็เลือนหายไปจากความทรงจำของทุกคน

อย่างน้อยในช่วงชีวิตหนึ่ง ฉันก็เป็นลูกสาวห่วยแตกของพ่อแม่ พวกท่านได้ดื่มด่ำกับผลงานของตัวเองมากพอแล้ว ฉันเป็นพี่สาวที่ไม่เคยเป็นที่พึ่งให้น้อง ๆ พวกนั้นได้กอดฉันแค่ไม่กี่ครั้งเอง อย่างเดียวที่ฉันบอกพวกเขาอยู่เสมอคือการเป็นอิสระเพราะฉันถูกพรากไปแล้ว นับตั้งแต่ส่งของฝากไปให้ครั้งนั้น ฉันก็ไม่เคยส่งอะไรไปอีกเลยราวกับตัดขาดแล้วกับครอบครัวนี้ ฉันเป็นเพื่อนที่น่าปวดหัวของใครหลายคน แทนคงเสียใจมากที่ต้องมางานศพของฉัน... แต่ช่วยไม่ได้จริง ๆ เพราะความตายของฉันจะนำมาซึ่งความสงบในชีวิตของทุกคน และฉันเป็นคนรักของคุณที่เก็บซ่อนความลับไว้มากมาย ฉันกลัวเหลือเกิน หากคุณอ่านมาถึงตรงนี้เพราะคุณอาจมองฉันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

แม้ทั้งหมดเป็นเพียงจินตนาการในห้วงความคิดฟุ้งซ่านหรือความฝันชั่วข้ามคืน ฉันกำลังเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ว่าตนเคยเป็นอะไรมาก่อนหรือกำลังจะเป็นอะไรราวกับร่างกายนี้เคว้งคว้างไร้วิญญาณ 

 

 

 

"เจน... ผมไม่รู้จะพูดอะไรเลย"

จิตรกรหนุ่มกล่าวหลังจากอ่านความคิดอันตรายทั้งหมดของเจนในสมุด เขาอ้าแขนให้เธอโผกอด อิงซบและหลั่งน้ำตามากเท่าที่ต้องการ แต่เขาไม่รู้ว่าเจนไม่มีน้ำตาให้ไหล เธอเหลือเพียงกายหยาบว่างเปล่าที่ไม่มีแรงใจทำอะไรอีกต่อไปราวกับเธอถูกดูดกลืนพลังงานและจิตวิญญาณไปจนสิ้น

"งั้นไม่ต้องพูดหรอกค่ะ แค่กอดฉันก็พอ" ไคล์กระชับอ้อมกอดอุ่นเพราะมันเป็นอย่างเดียวที่เจนรู้สึกได้ในเวลานี้

ขณะเดียวกันอาณาจักรจิตใจหม่นหมองกำลังตกอยู่ในความหนาวเหน็บ พายุหิมะกำลังจะซัดโถมอาณาจักรภายในสัปดาห์หน้า พสกนิกรมากมายกักขังตัวเองในบ้าน พวกเขาจำเป็นต้องปล่อยให้สัตว์เลี้ยงในคอกนาของตัวเองอดตาย ไม่ช้า... พวกเขาก็จะไม่ต่างจากสัตว์เหล่านั้นที่ต้องหิวโซและหนาวเหน็บเพราะเสบียงไม่พอสำหรับการผ่านพ้นพายุหิมะครั้งนี้

พิพิธภัณฑ์แห่งความทรงจำเป็นอีกหนึ่งสถานที่หลบภัย แม้ไม่ค่อยสบายนักแต่ก็พอให้พวกเขาได้อบอุ่นร่างกาย เพราะพลังงานจากความทรงจำที่ดีในขวดโหลให้ความอบอุ่นได้ไม่ต่างจากเตาผิง เทพนักสะสมผู้เอื้อเฟื้อแบ่งอาหารและยาให้ประชาชนเท่าที่ตนทำได้ ทุกค่ำคืนต่อจากนี้พวกเขาจะต้องต่อสู้กับความหนาวเย็น ปลอบโยนตัวเองไม่ให้สิ้นหวัง แม้ไม่รู้ว่าฤดูหนาวนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด

 

#จมในห้วงความคิด