"ดูก็รู้ว่าหมอนั่นจีบพี่" เจคโผล่มาไม่ให้สุ้มเสียงเอ่ยปาก เขากอดอกยืนมองชายหนุ่มร่างสูงกว่าที่หันแผ่นหลังกำลังเดินจากไปอย่างรู้ทัน เจนสบตามองน้องชายผู้เชี่ยวชาญด้านความรักและมากประสบการณ์เดตแม้เขาอายุน้อยกว่าเธอถึงห้าปี "ถามจริงเถอะ พี่ดูไม่ออกหรือตาบอดกันแน่" 

การไปหอศิลป์กับชายแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันวันเดียวเพื่อถกเถียงถึงปรัชญาและตัวตนของปีศาจเป็นเดตน่าตื่นเต้นที่สุดในชีวิตเพราะมันมีโอกาสเพียงหนึ่งเปอร์เซนต์ต่อจำนวนประชากรที่จะพบฆาตกรโรคจิต แน่นอนว่าเปอร์เซนต์นั้นคือมหันตภัย เจนยังอยากมีชีวิตอยู่ ต่อให้กำลังสิ้นลมหายใจก็ขอให้เป็นเธอที่พรากวิญญาณของตัวเอง

"หมอนั่นกำลังชวนพี่ไปเดตที่น่าจะน่าตื่นเต้นที่สุดในชีวิตนะ" น้องชายเร่งเร้าพี่สาวให้ตัดสินใจ

ไคล์มีเสน่ห์ดึงดูดบางอย่าง ใบหน้างดงามราวกับงานประติมากรรมคือความประทับใจแรก หากรูปปั้นพระเจ้าสร้างมีอยู่จริง ไคล์เป็นหนึ่งในผลงานโบว์แดงของพระองค์เป็นแน่ ขณะเดียวกันเขาเป็นหีบลึกลับซ่อนเร้นบางอย่างชวนค้นหา อาจซ่อนสมบัติล้ำค่าหรือยาพิษ ไม่มีใครรู้ 

ตึก... ตึก... ก้อนเนื้อส่งเสียงกึกก้องเมื่อเจนไล้สายตามองแผ่นหลังที่เดินจากไปเชื่องช้าของชายหนุ่มเสื้อสีขาว ขณะเดียวกันทหารยามแห่งอาณาจักรจิตใจหม่นหมองเข้าประจำตำแหน่งเมื่อราชินีของพวกเขาเสด็จกลับวัง 

"มันก็น่าตื่นเต้นแหละ แต่..."

"อยากลืมพี่ไทไม่ใช่เหรอ"

"อืม ลองดูก็ไม่เสียหาย"

น้องชายคนกลางอันตรธานหายไป มีเพียงเจนพูดกับตัวเอง -- ราชินีตรัสกับทหารคนสนิทว่าจะมีราชอาคันตุกะจากเมืองอื่นมาเข้าเฝ้าที่ราชวังภายในวันสองวันนี้ ขอให้เพิ่มกำลังทหารเพื่อเฝ้าระวังเป็นสองเท่าเพราะหล่อนรู้จักเขาเพียงชื่อเท่านั้น 

คืนต่อมาเจนตัดสินใจไปหอศิลป์แห่งชาติตามคำเชิญของไคล์ เธอสวมเดรสสั้นสีดำ มัดผมเมสซี่ดังโงะและแต่งหน้าโทนสีส้มอิฐ เธอแสดงบัตรวีไอพีเพื่อยืนยันสิทธิพิเศษของตนเอง หลังจากนั้นจึงสำรวจพื้นที่นิทรรศการภายในหอศิลปะซึ่งตกแต่งด้วยผืนผ้าสีรุ้ง คืนนี้เป็นคืนแรกของการแสดงนิทรรศการแห่งความภาคภูมิใจจึงมีสื่อมากมายมาทำข่าวและแน่นอนว่าผู้สนับสนุนรายใหญ่อย่างวิลเลี่ยม แบล็คเป็นประธานผู้เปิดงานในอีกสามสิบนาทีต่อจากนี้

เมื่อชั้นศูนย์เป็นพื้นที่สำหรับการเปิดงานดังนั้นเจนจึงย้ายตัวเองไปชั้นสองชมภาพวาดอื่นไปพลางๆ เพราะธีมงานเป็น Pride Month งานศิลปะทุกชิ้นจึงเกี่ยวกับความรักทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นตำนานความรักของเทพปกรณัมกรีกแห่งเทือกเขาโอลิมปัส เช่น เฮอร์มีส เทพแห่งการเดินทางกับวีรบุรุษเพอร์ซีอุส, นาร์ซีซัส ผู้ตกหลุมรักในความงามของเงาสะท้อนตัวเอง หรือแม้แต่เรื่องราวความรักนิรันดร์ที่ถูกสรรค์สร้างขึ้นจากจินตนาการและปลายพู่กันของศิลปินมากกว่าสิบชีวิตถูกนำมาจัดแสดงที่นี่

เจนไม่ค่อยมีความรู้เรื่องศิลปะเท่าไหร่นักจึงยืนพินิจตีความหมายเนิ่นนานกว่าคนอื่น บางภาพเธอแค่มองผ่านๆด้วยซ้ำ โชคดีที่เธอพอมีความรู้ด้านประวัติศาสตร์ไว้พอประดับสมองบ้างขณะที่ความสัมพันธ์ของเจนและไทกำลังเบ่งบาน ไทเป็นนักศึกษาวิชาโบราณคดี เขาสนใจอารยธรรมลุ่มแม่น้ำและปรัชญากรีกดังนั้นตำนานต่างๆเจนจึงพอได้ฟังมาจากไทบ้าง ถ้าแทนมากับเธอด้วยคงจะขอให้เธอถ่ายรูปจนกว่าจะเมื่อยกันไปข้าง

"คุณดูดีนะ"

ชายหนุ่มผมหยักศกโน้มตัวกระซิบใกล้ชิดเพราะหญิงสาวกำลังฟังบรรยายความเป็นมาของภาพวาดสีน้ำมันตรงหน้าอย่างตั้งใจ เจนถอดหูฟังสบตากับอีกฝ่ายยกยิ้มมุมปาก เขาคือไคล์ นักวาดภาพปีศาจ คืนนี้เขาเซทผมเรียบร้อย สวมสูทสีกรมท่า รองเท้าคัทชูสีดำขัดจนเงาวับเหมือนซื้อใหม่ ไคล์คนนี้ดูมีภูมิฐานและมีชีวิตกว่าไคล์คนที่เธอพบเมื่อวาน แน่นอนว่าเธอชอบไคล์เวอร์ชั่นนี้มากกว่า 

"ขอบคุณค่ะ คุณก็ดูดีเหมือนกัน"

"ผมกะแล้วว่าคุณต้องมา" ไคล์เป็นฝ่ายขวยเขินเพราะไม่ชินเมื่อได้รับคำชม เสียงพูดของเขาอ่อนนุ่มลงแถมหลบตาคู่สนทนา หูของเขาแดงอย่างไม่สามารถหลบซ่อนได้จึงเบือนหนีไปมองภาพเดียวกับเจน -- สีขาวสะอาดไม่มีอย่างอื่นเจือปน มันว่างเปล่ากว้างขวางกว่าภาพใดในงานทั้งที่พื้นที่ในการจัดแสดงเท่ากัน ตึก.. ตึก... หัวใจของจิตรกรเต้นแรงในวินาทีที่เขาอ่านคำบรรยายของงานศิลปะชิ้นนี้จบ "โรแมนติกจัง"

"นั่นสิคะ แต่คุณคิดว่าความรักมันจะบริสุทธิ์และขาวสะอาดแบบนี้จริงเหรอ?"

"ตราบใดที่ไม่มีฝ่ายไหนหวังผลประโยชน์จากกันและกัน มันก็จะเป็นสีขาวตลอดไป"

"ดูเป็นความรักในอุดมคติมากเลย"

"คุณไม่คิดแบบนั้นเหรอ?"

"ไม่... เราต่างต้องการผลประโยชน์จากความรักกันทั้งนั้นแหละ ไม่งั้นจะตกลงคบกันเพื่ออะไร"

มุมมองของเจนมาจากคนที่เคยเจ็บช้ำเพราะความรักจึงตอกกลับอย่างหมดศรัทธา จิตรกรหนุ่มรู้สึกถึงความโศกเศร้าหนักอึ้งที่กลางอกของหญิงสาว เธอกำลังขอความช่วยเหลือเป็นนัยๆแต่มันไม่ใช่งานถนัดของเขา ดังนั้นไคล์จึงเลือกเบี่ยงเบนความสนใจโดยการกอดกุมมือเล็กแล้วกระซิบบางอย่างข้างหูก่อนจะหายไปท่ามกลางผู้ชมนิทรรศการนับพัน

ไคล์ลงไปชั้นศูนย์แล้ว...

ขณะนี้วิลเลี่ยม ประธานเปิดงานกำลังกล่าวสุนทรพจน์และจุดประสงค์การจัดงานต่อหน้าสื่อ เบื้องหลังของเขาคือผ้าม่านสีขาวที่เก็บซ่อนงานศิลปะไว้ วันนี้ไม่ใช่แค่วันเริ่มต้นนิทรรศการแห่งความภาคภูมิใจ มันเป็นวันครบรอบวันเกิดสี่สิบหกปีของวิลเลี่ยมอีกด้วยถือเป็นโอกาสดีในการเฉลิมฉลองวันเกิดของตัวเองไปพร้อมกัน เขากล่าวขอบคุณทุกคนที่ให้ความสนใจในศิลปะและให้สัญญาจะสนับสนุนให้ศิลปะอยู่คงกระพัน

สิ้นสุนทรพจน์เปิดงาน

ม่านสีขาวค่อยๆเผยภาพวาดทีละน้อย เจนมองดูจากข้างบนกำลังตื่นเต้นไปพร้อมกับผู้เข้าร่วมนิทรรศการทุกคน แม้รู้อยู่แล้วว่าภาพเบื้องหลังม่านนั้นเป็นของใครไม่ได้อีกนอกจากไคล์ วินาทีม่านเปิดออกปรากฎเป็นภาพของหญิงสาวในลูกแก้วหิมะ เธอกอดกุมตัวเองจากความเหน็บหนาวของฤดูหนาววันสุดท้าย กลีบดอกคามีเลียสีแดงฉานโอบล้อมรอบกายหญิงสาว เลนส์กล้องพุ่งไปที่จิตรกรหนุ่มเพื่อเก็บภาพเจ้าของผลงานศิลปะสีเลือด เขาให้สัมภาษณ์นานพอสมควรเกี่ยวกับที่มาของงานชิ้นนี้แล้วรับช่อดอกไม้และถ่ายภาพร่วมกับสองพ่อลูกตระกูลแบล็ค

"กล้ามากนะ ใช้ภาพวาดของผมเป็นข้ออ้างทำเรื่องชั่วๆน่ะ" เสียงพูดของไคล์ลอดไรฟันขณะแสงแฟลชสาดปะทะใบหน้าของเขาและวิลเลี่ยม "ผมรู้ว่าคุณมองเห็นมันเหมือนกันแต่คุณไม่รู้จักพอสักที"

"พูดอะไรของคุณ ผมฟ้องหมิ่นประมาทคุ่ณได้นะ ระวังคำพูดหน่อย"

"แรงเกินไปเหรอ? แค่ยอมรับความจริงมันยากนักรึไง?"

"ค่าภาพวาดยี่สิบล้านไม่พอสินะ" งานศิลปะสีเลือดสองสามชิ้นของไคล์สามารถประมูลได้ในราคาแปดหลักในงานประมูลศิลปะลอนดอนเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งรวมๆแล้วก็ประมาณยี่สิบล้านปอนด์ตามที่วิลเลี่ยมบอก ไคล์ใช้เวลาสืบอยู่นานว่าใครเป็นนักสะสมงานศิลปะตาถึงคนนั้นซึ่งเป็นใครไม่ได้อีกนอกจากวิลเลี่ยม เขายังรู้มาอีกว่าวิลเลี่ยมสร้างห้องสะสมไว้สำหรับศิลปะสีเลือดโดยเฉพาะในคฤหาสน์แบล็ค "ภาพนี้อยากได้เท่าไหร่ล่ะ สิบล้านดีไหม? ความหมายมันทัชใจดีนะ"

"เงินจากปีศาจอย่างคุณ ผมยอมเปิดหมวกวาดภาพตลอดชีวิตดีกว่า" จิตรกรหนุ่มก่นด่าผู้สนับสนุนรายใหญ่อย่างแผ่วเบาทว่าเต็มไปด้วยความโกรธแค้นเดือดดาล เด็กหนุ่มตัวน้อยได้แต่แอบเงี่ยฟังแต่ก็ไม่เข้าใจเรื่องราวของผู้ใหญ่เพราะเขาเป็นเพียงเด็กสิบขวบซึ่งพ่อเก็บกุมความลับไว้มากมาย "คืนนี้เอาเปรียบผมให้เต็มที่เลยนะเพราะต่อไปคุณจะไม่มีโอกาสได้ซื้องานของผมอีก" ไคล์ทิ้งท้ายแค่นั้น เขาปลีกตัวมาหาหญิงสาวสวมเดรสสั้นที่รอเขาอยู่ชั้นสอง

เจนแสดงความยินดีกับไคล์ ทว่าสีหน้าของชายหนุ่มกลับมีความทุกข์ร้อนจนสังเกตได้ แม้เขาพยายามเก็บอาการแต่สายตาไม่สามารถโกหกได้ ดวงตาคู่นั้นจดจ้องเขม็งไปที่วิลเลี่ยม -- เขากำลังทักทายกับผู้ใหญ่ที่ร่วมงานนิทรรศการ -- ราวกับต้องการสาปส่งให้ตายเดี๋ยวนี้ 

"อยากไปจากที่นี่ไหมคะ คุณดูไม่สบายใจเลย"

"ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวงานก็จบแล้ว"

"ก็ได้ค่ะ"

"อีกสักพัก คุณจะได้เห็นปีศาจแล้วล่ะ"

ไม่จำเป็นอะ ฉันไม่ได้อยากเห็นขนาดนั้น เจนคิดในใจ

เมื่อสิ้นสุดพิธีเปิดงานคือโชว์เต้นรำจากสถาบันดนตรีและการแสดงลอนดอน พวกเขาแต่งกายชุดสีขาวเมื่อกางแขนปีกจึงสยายสวยงามดั่งหงส์ เชิดคอยาวเย่อหยิ่งในความงามที่ครอบครองแล้วเริ่มร่ายรำเมื่อเพลงบรรเลงออกมาจากเครื่องขยายเสียง

 

"The heart no longer races. When hearing the music play, Tryna pull up.

Seems like time has stopped. Oh. That would be my first death, I been always afraid of.

If this can no longer resonate, no longer made my heart vibrate then like this.

 Maybe how I die, my first death. But what if this moment, right now. Right now."

BTS - Black Swan

 

"ขนลุกชะมัด" เจนลูบแขนทั้งสองข้างของตัวเองเมื่อได้ยินเพลงสองเวิร์สแรก 

"หนาวเหรอ" ไคล์รีบคลุมไหล่แคบของหญิงสาวด้วยเสื้อสูทของตัวเอง เขาคิดว่าเธอหนาวจริงๆเพราะขนอ่อนลุกเกรียวตั้งแต่ท่อนแขนไปจนถึงหลังคอ 

"เปล่าค่ะ ฉันรู้สึกว่าการแสดงชุดนี้ขลังมากเลย"

เพราะการเต้นทำให้ดนตรีจับต้องได้และมีชีวิตดั่งคำกล่าวของบาลานชีน 'ได้ยินการเต้น มองเห็นดนตรี' นักเต้นทุ่มกายและหัวใจเพื่อให้โชว์ชุดนี้สมบูรณ์แบบและตราตรึง พวกเขาเต้นราวกับพรุ่งนี้โลกจะถึงกาลอวสาน เมื่อวันสิ้นโลกมาถึงพวกเขาอาจไม่ได้เกิดเป็นนักเต้นอีกและชีวิตที่ขาดเสียงเพลงคงไร้ค่า ผู้ชมตกตะลึงเมื่อเหล่านักเต้นกลายเป็นหงส์สีขาวเริงระบำในตอนจบ เสียงปรบมือเกรียวกราวทั่วหอศิลป์ นักแสดงโค้งตัวขอบคุณผู้ชมแล้วเดินออกไปพร้อมกับเสียงเพลงที่เงียบลง

ทันใดนั้นมีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาจากชั้นศูนย์ จากเสียงร้องของหนึ่งคนกลายเป็นสอง จากสองเพิ่มเป็นห้าและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งชั้นศูนย์เต็มไปด้วยความโหยหวนเพราะมีบุคคลปริศนาเข้ามาโจมตีกลุ่มนักเต้นและสุ่มทำร้ายผู้บริสุทธิ์แล้วลอยนวลจากไป วิลเลี่ยมหัวเราะลั่นสะใจเพราะปณิธานกำลังเติมเต็มด้วยกองเลือดสีแดงและความทรมานของมนุษย์ที่พยายามต่อต้านแรงปีศาจภายใน

เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องทรมานจากข้างล่าง ผู้บริสุทธิ์ล้มกองกับพื้นแล้วค่อยๆยืนขึ้นด้วยร่างกายบิดเบี้ยวผิดมนุษย์ บางคนถูกฉีกทึ้งร่างด้วยสิ่งที่สิงสู่ภายใน บางคนร่ำไห้โฮเมื่อรู้สึกถึงบางอย่างกำลังงอกออกมาจากแผ่นหลังของตัวเองอย่างเชื่องช้าทรมาน เจนอุดปากแน่น ดวงตาเบิกโพลงหลั่งรินน้ำใสอาบแก้มทั้งสองข้าง ชายหนุ่มผู้นำพาคืนนี้มาสู่เธอยืนนิ่งงันราวกับชินชา ไม่ว่าเขาคิดจะทำอะไรต่อไปแต่เจนคงไม่ทนดูถึงจุดจบของค่ำคืนโกลาหลนี้เป็นแน่

 

ฉันไม่ควรอยู่ที่นี่

ฉันไม่ควรอยู่ที่นี่

ขอโทษนะไคล์

 

"เจน!!" 

ชายหนุ่มตะโกนเรียกคู่เดตของเขาที่หายไปอย่างไร้วี่แวว แต่ข้างล่างนั่นเต็มไปด้วยปีศาจและศพ สถานการณ์บีบบังคับให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง "เชี่ยเอ๊ย" ชายหนุ่มสบถเสียงดังเพราะเขาเหลือทางเลือกไม่มากในการหยุดเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ การฆ่ากันเป็นผักปลาสามารถจบลงได้โดยการทำลายตัวการ เขาต้องเลือกระหว่างผู้มีอิทธิพลเห็นแก่ตัวซึ่งกำลังกลายเป็นปีศาจในไม่ช้ากับภาพวาดมูลค่าหลักล้านของเขาที่จัดแสดงอยู่ชั้นศูนย์

"พ่อ!!" 

ไคล์ได้ยินเสียงเล็กของเด็กจากชั้นล่างกำลังตะโกนเรียกชื่อพ่อของเขาอย่างสิ้นหวัง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงไม่หลบหนี ทำไมถึงหัวเราะแบบนั้น เกิดอะไรขึ้นกับพ่อแต่ก็สั่นกลัวเกินกว่าจะออกไปหาเพราะสัตว์ประหลาดมากมายกำลังอาละวาดคุ้มคลั่ง "ฮือ... ใครก็ได้ ช่วยด้วย" เด็กหนุ่มอุดปากตัวเองขณะสะอึกสะอื้น เขาเหลือความหวังเพียงน้อยนิดสำหรับความช่วยเหลือเพราะรอบข้างมีแต่คนที่กำลังกลายเป็นปีศาจกับสัตว์ประหลาดรูปร่างบิดเบี้ยว

 

คุณบังคับให้ผมทำแบบนี้เองนะ!

 

ชายหนุ่มในเชิ๊ตสีกรมท่าวิ่งลงบันไดมุ่งหน้าไปหาชายวัยกลางคนที่ชั้นศูนย์พร้อมกับมีดเล่มเล็กในมือ เสียบแทงวิลเลี่ยมด้วยแรงทั้งหมดที่มีจนกระทั่งล้มลง ไคล์กระซิบบางอย่างแล้วชักมีดออก กลิ่นคาวเลือดของมนุษย์หอมเย้ายวนจนปีศาจบ้าคลั่ง พวกมันพยายามเงื้อกรงเล็บหยิบร่างเล็กของมนุษย์แต่ไร้ผลเพราะต้องแก่งแย่งกับปีศาจตัวอื่น ฉับพลันเสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นเมื่อภาพวาดของไคล์ถูกดึงออกจากบริเวณจัดแสดง ปีศาจไม่ชอบเสียงดังรบกวน พวกมันจะทนไม่ได้แล้วหมดแรงไปเอง ไคล์กัดนิ้วแม่มือของตัวเองวาดรูปร่างประหลาดลงบนภาพวาด

"ออกมาแล้ววุ่นวายมากก็กลับเข้าไปซะ ไอ้พวกบัดซบ"

เอมอน -- ปีศาจแห่งศึกสงครามผู้มีพละกำลังแข็งแกร่งถูกอัญเชิญด้วยเลือดของไคล์ มันลากดึงแขนขาของปีศาจชั้นล่างกลับเข้าในผืนผ้าใบ ตัวที่ดื้อด้านถูกกำจัดด้วยมือเปล่าและกรงเล็บแข็งแกร่ง ไม่ว่าปีศาจชั้นล่างดังกล่าวจะตัวใหญ่มหึมาขนาดไหนก็สามารถฉีกขาดได้เหมือนกระดาษเพราะเอมอนคือปีศาจที่มีพละกำลังมากที่สุดในนรก ไคล์ถอยหลบมาอยู่กับลูกชายของวิลเลี่ยม เขาปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเอมอนในการจัดการปีศาจที่ออกมาอาละวาดผิดที่ผิดเวลา หนุ่มน้อยที่ซ่อนตัวอยู่มองเหตุการณ์ทั้งหมดโดยไม่ละสายตา

"อย่ามอง เดี๋ยวก็ภาพติดตาหรอก"

"ทำไมต้องทำพ่อผมด้วย" เด็กหนุ่มตวาด ร้องไห้และทุบตี "พ่อผมทำอะไรผิด?! ฉันจะแจ้งตำรวจ!! แกติดคุกหัวโตแน่!!" มันเป็นสิ่งที่เด็กสามารถทำได้ในสถานการณ์แบบนี้เพราะไม่เข้าใจว่าพ่อของเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เขาไม่ควรได้เห็นภาพน่ากลัวที่เกิดขึ้นในคืนนี้เช่นกันแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องไห้และด่าผู้ชายตรงหน้า

"หุบปากน่ะ! น่ารำคาญชะมัด อยากเห็นพ่อของเธอกลายร่างเป็นปีศาจรึไง"

"มะ.. ไม่"

"งั้นก็หยุดโวยวายแล้วโทรเรียกรถพยาบาล"

"...."

เด็กหนุ่มเช็ดน้ำตาแล้วทำตามที่นักวาดภาพบอก ตอนนี้หอศิลปะกลับสู่ความสงบอีกครั้งเมื่อเอมอนกลับเข้าไปในผืนแคนวาสหลังจากเอาชนะศึกย่อยได้สำเร็จ ไม่มีปีศาจเพ่นพ่านอีกต่อไป แต่พื้น ผนังและกำแพงเต็มไปด้วยเลือด ต่อไปนี้คือภาพที่เด็กอายุต่ำกว่าสิบหกปีไม่ควรดู เพราะซากศพสภาพไม่น่าดูกระจัดกระจายน่าสยดสยอง บางร่างขาดเป็นสองท่อน บางศพไม่เหลือร่องรอยให้จดจำโครงหน้าเค้าเดิม กลิ่นคาวคละคลุ้งชวนสำรอกตลบอบอวล ไคล์ใช้มีดเล่มเดิมกรีดทำลายงานศิลปะของเขาจนไม่เหลือชิ้นดีเพื่อปิดผนึกมิติ ปีศาจจะได้ไม่ออกมาวุ่นวายอีกเพราะความมืดควรอยู่ที่มืด 

"พ่อผมจะไม่ตายใช่ไหม"

"ไม่หรอก ฉันไม่ได้แทงจุดสำคัญ"

 เด็กหนุ่มไร้เดียงสาห้ามเลือดให้พ่อของเขา มือเล็กคู่นั้นกดแผลแน่นและเฝ้ารอให้รถพยาบาลมาถึงในไม่ช้า ไคล์อดสงสารเด็กน้อยไม่ได้เพราะความไม่รู้จักพอของวิลเลี่ยมแท้ๆ ทำให้ตัวเองเข้าใกล้ความตายแบบนี้ หากเขาเมินเฉยต่อเสียงปีศาจและควบคุมมันได้อยู่หมัด เขาจะไม่เรียกปีศาจนับร้อยออกมาวุ่นวายแบบนี้ แม้ว่าสักวันความชั่วร้ายอาจจะครอบครองโลกทั้งใบแต่มันยังไม่ถึงเวลา

"เอาล่ะ เจน.. ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนนะ"

ไคล์รำพึงอยู่หน้าหอศิลป์เพียงลำพัง หลับตาลงนึกถึงคู่เดตคนแรกในชีวิตของเขา สาวเอเชียตัวเล็กสวมเดรสสั้นสีดำกับรองเท้าบูทส้นเตี้ยสีเดียวกัน ริมฝีปากอิ่มของเขากระตุกยิ้มเมื่อเห็นหน้าหญิงสาวในความทรงจำชัดเจนมากขึ้น -- ดวงตากลมสีเข้มโศกเศร้าคือสิ่งที่เขาจดจำได้แม่นที่สุด วินาทีที่นัยน์ตาพวกเขาสบกันในคืนนี้ทำให้โลกหยุดหมุนไปพร้อมกับหัวใจหยุดเต้น ความงามพิลึกแบบนี้มีเพียงแม่มดเท่านั้นที่ครอบครองไว้ เขาต้องตามหาเธอ "นายช่วยตามหาผู้หญิงคนหนึ่งให้หน่อยสิ... คีธ"

 

ขณะเดียวกัน...

 

เจนโผล่มาที่ใดสักแห่ง ไกลออกมาจากจัตุรัสทราฟัลการ์ เธอโค้งตัวสำรอกภาพติดตาสะอิดสะเอียนของคนกลายเป็นปีศาจแล้วถูกฉีกทึ้งสังหารน่าสยองจนกระทั่งท้องไส้เหลือเพียงความว่างเปล่าและหิวโหย ปีศาจบ้าบออะไรกัน ของแบบนั้นไม่มีจริงหรอก ฉันแค่เชื่อเขามากเกินไป คอแห้งชะมัด... แถวนี้มีอะไรกินมั๊ยนะ 

เมื่อจิตใจฟุ้งซ่าน ความคิดจึงปั่นป่วนจับใจความไม่ได้ เจนเช็ดปากแล้วเดินตามทางมองหาร้านอาหารประทังตัวเอง ขณะเดียวกันก็สำรวจบริเวณที่เธออยู่จนได้รู้ว่าที่นี่คือถนนเบลเวอเดียซึ่งอยู่ติดกับแม่น้ำเทมส์ เมื่อหันหลังแล้วแหงนหน้ามองก็เจอลอนดอนอายตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น

"หายใจเข้าออกลึกๆสามครั้ง แล้วท้องฟ้าที่มองก็จะสวยขึ้นมาเลยล่ะ"

คำแนะนำของไททำให้เจนยิ้มออกในเวลาแบบนี้ เธอกระตุกยิ้มแล้วทำตามสิ่งที่ไทบอก ครั้งหนึ่งก่อนจะเข้าสู่สถานะความสัมพันธ์ซับซ้อน ไทเคยพูดประโยคนี้เวลาพวกเขาอยู่ใต้ท้องฟ้าเดียวกันที่สวนสาธารณะ ยืดมือสุดแขนแล้ววาดภาพก้อนเมฆสีขาวเป็นรูปในจินตนาการ หากเป็นเวลากลางคืน พวกเขาจะวาดกลุ่มดาวเท่าที่นึกชื่อออกแม้แสงจันทร์บดบังดวงดาว เจนกำลังคิดถึงช่วงเวลาดีๆแบบนั้นแม้ตอนนี้อยู่ใต้ท้องฟ้าลอนดอน 

"..."

"ดื่มด่ำให้พอแล้วไปหาอะไรกินนะ"

ไทกับเจนเดินไปที่ร้านอาหารแถวนั้นด้วยกัน เจนสั่งทีโบนสเต๊กกับเบียร์หนึ่งแก้ว เธอคืนเมนูให้กับบริกรแล้วพบว่าบุคคลที่นั่งตรงข้ามเธอไม่ใช่ไทแต่เป็นน้องชายตัวแสบ เจคกำลังเท้าคางมองพี่สาวอย่างยียวนพลางหยิบแก้วไวน์เหลือมาจากถาดในมือของบริกรที่ไม่สนใจอะไรบนโลก

เดฟคือชื่อของบริกรคนนั้นและเขาเบื่อที่นี่เต็มทนเพราะเจ้านายชอบพูดจาดูถูกคุกคาม ใครว่าผู้หญิงเป็นฝ่ายถูกคุกคามอยู่ฝ่ายเดียว แต่เขาไม่มีหลักฐานเอาผิดเจ้านายเพราะไม่มีสิทธิเข้าถึงกล้องวงจรปิดของร้าน แน่นอนว่าเดฟยอมขายวิญญาณเพื่อให้เขากลายเป็นคนอื่นเผื่อจะไม่เจอเจ้านายเฮงซวยแบบนี้ ทว่าเขายังต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่าต้องอดทนรอจนกว่าเวลาจะมาถึง 

สองพี่น้องรู้สึกได้ถึงความรู้สึกด้านลบเบื่อโลกของบริกรเพียงแค่เดินผ่าน แต่มันไม่ใช่เรื่องของพวกเขา 

"ผิดหวังล่ะสิ ที่ผมไม่ใช่พี่ไท"

"ที่สุดในโลก"

"คิดว่านักวาดรูปคนนั้นจะช่วยให้พี่ลืมได้ซะอีก" 

"ถ้าลืมง่ายขนาดนั้นก็ดีสิ แกพูดถึงหมอนั่นก็ภาพติดตาชิบหาย"

เจนขนลุกอีกครั้งเมื่อนึกถึงบรรยากาศภายในหอศิลป์เปลี่ยนแปลงกะทันหัน ศิลปะถูกละเลงทับด้วยสีเลือดของสิ่งมีชีวิตที่ถูกปลดปล่อยและอัญเชิญออกมาตามแผนการของใครสักคน พวกมันหิวโหยเสียสติเพราะถูกกระตุ้นด้วยกลิ่นคาวเลือดและความบ้าคลั่งไร้การควบคุม เจคกลัวเลือดถึงขั้นเป็นลมทันทีที่เห็นแผลของตัวเองดังนั้นเขาไม่มีทางมาดูงานนิทรรศการโชกเลือดกับเจนแน่นอน 

"แต่พี่ก็โทษเขาฝ่ายเดียวไม่ได้นะ"

"งั้นก็ต้องโทษแกด้วยที่ยุให้ไปเดตกับหมอนั่นอะ"

"ต้องเป็นคนแบบไหนกันนะที่ไม่โทษตัวเองเลย" เจคพูดจายั่วโมโหหน้าตาเฉยพลางจิบไวน์ขาวทีละนิด 

"แต่ใครจะรู้วะว่าปีศาจน่ากลัวขนาดนั้นอะ"

"อะไรคือปีศาจ?"

 

"ทีโบนสเต็กครับ"

"ขอบคุณค่ะ"

เจนก้มหน้าก้มตาทานอาหารที่สั่ง ส่วนเจคก็พูดไม่หยุด ตั้งแต่คบกับเดือนรัฐศาสตร์ เจคก็พูดเรื่องการเมืองตลอด ด้วยเหตุผลที่ว่าการเมืองเป็นเรื่องของทุกคนและประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นได้ ขณะนี้เกิดแฮชแท็กหนึ่งในโซเชียลมีเดีย #LetUsTellYouSth ซึ่งรวบรวมความคิดเห็น บทความและงานศิลปะเกี่ยวกับความอัดอั้นของคนไทยต่อปัญหาที่ไม่เคยถูกแก้ไขและความลับบางอย่างที่พวกเขาได้รับรู้ 

"พี่ลองเข้าไปดูสิ"

มือซ้ายวางมีดสีเงินแล้วหยิบโทรศัพท์เข้าแอพพลิเคชั่นรูปนกสีฟ้า พิมพ์แฮชแท็กด้วยนิ้วโป้ง ขณะที่มือขวายังกำส้อมไว้ เจคกับไวน์ที่ไม่มีวันหมดแก้วรอดูปฏิกิริยาของพี่สาว เจนมีสมาธิกับการเลื่อนดูทามไลน์จนกระทั่งเสียงรอบข้างเบาลงเหลือเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศ

เจนอ่านโพสต์ของสำนักข่าวต่างประเทศซึ่งได้สรุปเนื้อความย่อๆเกี่ยวกับพายุความแค้นเคืองของคนไทยที่กำลังก่อตัวเนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้รับความสนใจมากพอ เช่น ความเหลื่อมล้ำทางความเจริญก้าวหน้าระหว่างเมืองหลวงกับต่างจังหวัด ปัญหาคมนาคมเช่นทางเท้าชำรุดผุพัง สายไฟระโยงระยางเกะกะตามสะพานลอยและหลุมบ่อบนท้องถนน ปัญหาอาชญากรรมของผู้มีอิทธิพลที่ไม่มีวันหมด บ้างถูกปิดเงียบจนกระทั่งคดีหมดอายุความ บ้างโยนความผิดให้แพะแล้วใช้ชีวิตอย่างสุขสบายราวกับ กฎหมายเป็นเพียงนามสมมติตั้งไว้ข่มขู่และรีดไถเงินเท่านั้น 

ส่วนงานศิลปะที่เจคบอกนั้นคือการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์อย่างที่สากลโลกสามารถเข้าใจได้ถึงความเน่าเฟะจากภายในสู่ภายนอกเหมือนเซลล์มะเร็งที่ลุกลามทำลายร่างกาย รอวันปลิดชีวิตแล้วดูดดึงลมหายใจของประชาชนบริสุทธิ์ให้ผู้เก็บเกี่ยววิญญาณ นักสร้างสรรค์สายผลิตหลากหลายแนวแสดงงานเชิงสัญลักษณ์ลงในโซเชียลมีเดียเพื่อแสดงจุดยืนทางความคิด มีทั้งงานดิจิตอลอาร์ต งานสีน้ำ สีไม้และอีกมากมาย ขณะนี้การแสดงออกทางการเมืองเป็นผลไม้ต้องห้ามแห่งสวนเอเด็น แม้แต่งานนิทรรศการศิลปะยังมีตำรวจครึ่งสถานีมายืนเฝ้าระวังอย่างผู้ขลาดกลัวต่อกระดาษ ผืนผ้าใบและถังสี

"ไม่เคยคิดว่ากระดาษกับปากกาเป็นสิ่งน่ากลัวจนกระทั่งคนมีอาวุธกลัวกัน"

มื้อค่ำถูกทำลายโดยสิ้นเชิงด้วยหัวข้อตึงเครียด ความอยากอาหารลดเหลือศูนย์แม้รสชาติสเต็กและเบียร์สดอร่อยถูกปาก เจคหุบยิ้มเมื่อเจนลุกพรวดจากเก้าอี้ เธอเก็บโทรศัพท์ ผู้เป็นน้องวางแก้วไวน์แล้วเดินตื๊อถามว่าทำไมพี่สาวถึงเงียบไป เธอไม่ตอบ เธอมักเก็บความโกรธเอาไว้แล้วรอจนหมดความอดทน เจนหยิบเงินสดออกมาจากกระเป๋าสตางค์ยื่นให้แคชเชียร์ 

ชั่วพริบตาที่อีกฝ่ายรับเงินสดจากมือ มิติกาลเวลาก็พาเธอมายังอีกสถานที่หนึ่ง ไม่ใช่อาณาจักรจิตใจหม่นหมองเพราะเธอยังไม่หลับฝัน เจคหายไปแล้ว เหลือเพียงเธอยืนอยู่ท่ามกลางความมืดกับแสงสลัวไกลๆ เจนตะโกนเรียกหาเจคและชื่อทุกคนที่รู้จัก ทว่าได้ยินเพียงเสียงสะท้อนของตัวเอง แม้ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เธอก็เดินตรงไปข้างหน้าสู่แสงสลัวสุดทางเดิน กรุ๊งกริ๊ง! คือเสียงสั่นกระดิ่งและแสงสว่างที่เห็นมาจากบานประตูที่เปิดต้อนรับเหมือนรอคอยการมาถึงของเธออยู่แล้ว เจนยืนงุนงงสักพักขณะพยายามอ่านป้ายหน้าร้านซึ่งสลักด้วยตัวหนังสือประหลาด เสียงฟ้าร้องและสายลมเหน็บหนาวในความมืดสีดำทำให้เจนตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านปริศนาแห่งนี้

บาร์เงียบเหงาเปลี่ยวร้างกลับถูกเติมเต็มด้วยเสียงดนตรีแจ๊สพร้อมกับลูกค้าจำนวนหนึ่งนั่งดื่มแอลกอฮอล์สีฉูดฉาด ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเพียงพริบตาราวกับเวทมนตร์ เจนกวาดตาสำรวจการตกแต่งของบาร์แห่งนี้ซึ่งดูเหมือนพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเครื่องดื่มมึนเมาแต่ให้ความรู้สึกมีความเป็นส่วนตัวและอบอุ่น

"ยินดีต้อนรับครับ คุณลูกค้า" บาร์เทนเดอร์หนุ่มสวมเชิ๊ตสีกรมท่าทับด้วยเสื้อกั๊กสีดำกล่าวต้อนรับขณะเช็ดแก้วไวน์หลังเคาน์เตอร์ คิ้วข้างหนึ่งของหญิงสาวกระตุกขณะเกิดคำถามในหัวเพราะใบหน้าของชายหนุ่มช่างคุ้นตาเหมือนคนรู้จักคนหนึ่ง เขามีเรือนผมดำสนิทเหมือนขนอีกาและดวงตาสีเข้มซึ่งเก็บซ่อนความลับเอาไว้ ต่างกันแค่รอยยิ้มจริงใจที่ทำให้บรรยากาศในบาร์อบอุ่นขึ้นอีก "รับเครื่องดื่มอะไรดีครับ"

"ไคล์?" เจนพูดชื่อ ทว่าอีกฝ่ายกลับเอียงคอฉงน

"..."

"..."

"คุณคงจำผิดน่ะ หมอนั่นเป็นแฝดพี่ของผมเอง"

"แฝดพี่?"

"ครับ" บาร์เทนเดอร์หนุ่มยิ้มกว้างอีกครั้ง เขาหยุดเช็ดแก้วแล้วยื่นมือมาหาหญิงสาว "ผมชื่อคีธ ยินดีที่ได้รู้จักครับ"

 

sds