จุดเริ่มต้นของทุกอย่างเกิดจากหนึ่งคำถามเสมอ ทำไม?

ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม

ฉันมักได้ยินคำถามหนึ่งดังก้องในหัวทุกวัน อย่างน้อยก็วันละครั้ง มันเป็นคำถามที่ไม่ค่อยมีใครถามฉันเท่าไรเพราะฉันไม่ค่อยเปิดเผยตัวว่าสร้างอีกตัวตนไว้ในโลกตัวอักษรนี้ด้วย

 

เขียนทำไม?

 

คำถามปลายเปิดที่ไม่ยาก แต่... บางครั้งการให้คำตอบจะช้าเป็นพิเศษในช่วงหมดไฟหรือตามหาความหมายของชีวิตไม่เจอแล้ว

 

ฉันเขียนเพื่อสร้างพื้นที่ความสบายใจและปลอดภัยให้ตัวเองในวันที่โลกถูกกลืนด้วยความน่ากลัว

เขียนเพื่อให้ตัวหนังสือที่พวกคุณเห็น เปล่งเสียงแทนฉันในยุคสมัยที่ลมปากเป็นสิ่งต้องห้าม การคิดต่างหรือเห็นโลกอีกด้านกลายเป็นสิ่งผิดบาปสำหรับยุคนี้ ฉันไม่อาจพูดสิ่งที่คิดต่อพื้นที่สาธารณะดังนั้นจึงต้องหลบซ่อนในม่านตัวอักษรเหล่านี้

เขียนเพื่อปลดปล่อยปีศาจ มันไม่ค่อยเชื่องเท่าไหร่ ออกจะหัวรั้นและรุนแรงเสียด้วยซ้ำ มันชื่อว่า ความรู้สึก... มันมักทำตัวน่ากลัวเสมอเมื่ออะไรไม่ได้ดั่งใจ ค่อนข้างเอาแต่ใจ บางครั้งก็อยากร้องไห้หรือไม่ก็หายไปอย่างไร้เหตุผล มันเหมือนสุนัขที่ถูกขังในกรง หากเก็บมันไว้นานเกินไปจะเริ่มเห่าแล้วอาละวาด ต้องปล่อยมันออกมาเดินบนท้องทุ่งของกระดาษเปล่าบ้าง หรือไม่ก็หน้าจอสีขาว มันไม่เรื่องมาก ขอแค่พื้นที่กว้างก็เพียงพอ

ฉันเกลียดมันเหลือเกิน แต่ถ้าไม่มีมัน ฉันคงเป็นคนด้านชา อาจเป็นเพราะฉันเลี้ยงความรู้สึกไว้มากเกินไป ทำให้ต้องมานั่งเขียนตอนตีสามแบบนี้เพราะมันทำให้ฉันนอนเช้ามาเกือบสัปดาห์แล้ว

 

คำตอบนี้สำคัญที่สุด

เขียนเพื่อเป็นตัวฉัน

ในวันที่ฉันจำความไม่ได้ หรือเกิดอยากหายไปอีกครั้ง เมื่อฉันกลับมาอ่านบันทึกฉบับนี้ มันจะเป็นเครื่องเตือนใจเหมือนกระจกซึ่งสะท้อนตัวตนของฉัน จะได้ไม่ต้องหายไปไหนอีก....

 

 

 

"จะตีห้าแล้ว นอนเหอะ"

เสียงแหบพร่างัวเงียของรูมเมตดังขึ้น เขาลุกขึ้นจากเตียงนอน แสงสีเหลืองนวลจากโคมไฟโต๊ะทำงานสาดกระทบใบหน้ายับของแทน มือยาวของเขาสางกลุ่มผมยุ่งเหยิง วันนี้เขาตื่นนอนก่อนเสียงนาฬิกาปลุกแบบไม่สดชื่นเอาเสียเลย

"อืม เดี๋ยวไปนอน"

"ช่วงนี้เพ้อถึงเช้าบ่อยนะ"

แทนตะโกนออกมาจากห้องน้ำ เขาบีบยาสีฟันกลิ่นมินต์ลงบนขนแปรงสีฟันนุ่ม วันนี้เขามีเรียนกฎหมายตอนสิบโมงเช้า แต่ตื่นเวลานี้ก็ไม่อาจข่มตาหลับได้อีก เขาเปลี่ยนจากชุดนอนเป็นเสื้อฮู้ดกับกางเกงขาสั้น

เจนมองบันทึกบนหน้าจอสีขาวซึ่งเต็มไปด้วยตัวหนังสือพลางหยิบแปรงหวีใหญ่สางเรือนผมยาวสีบลอนด์ แววตาเหนื่อยล้ากวาดมองตัวหนังสือเหล่านั้นเพื่อทบทวน เธอเคยเขียนได้ดีกว่านี้...

"ก็นอนไม่หลับอะ" 

"กินยา" 

"...."

"เราไม่อยากเห็นเธอทำร้ายตัวเองเหมือนตอนอยู่ที่นู่นแล้วอะ กินยาแล้วไปนอนเถอะ" ยาที่แทนพูดถึงคือยานอนหลับและยาคลายเครียด เจนไม่ชอบทานยา... ไม่มีใครชอบทาน แต่วงจรการนอนเสียสุขภาพบังคับให้ยาเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบของชีวิต 

"ก็ได้"

"หลังเรียนเสร็จเข้าเมืองไปช๊อปกัน" แทนบอกหลังจากกลั้วน้ำยาบ้วนปากทิ้งลงอ่าง 

"เอาสิ"

แทนคลี่รอยยิ้ม เขาเตรียมตัวไปยิม 24 ชั่วโมงในหอพัก เจนปิดคอมพิวเตอร์ จำใจทานยาเม็ดขมลงคอ หวังว่าฤทธิ์ยาจะแรงพอทำให้เธอหลับใหลและตื่นอย่างสดชื่นเพื่อเข้าเรียนปรัชญาการเมืองตอนบ่าย หากหลับตอนนี้เธอจะตื่นทันมื้อเที่ยงแสนเรียบง่ายซึ่งก็คือแซนวิชไข่ต้ม

 

แทน-เจน

 

คู่หูเพื่อนรักเดินทางยาวไกลนับสิบสองชั่วโมงเพื่อสานฝันที่ไม่อาจทำได้ในบ้านเกิด มันคือแผนระยะยาวเหมือนถนนยาวไกลไม่สิ้นสุด สิ่งที่พวกเขาเดิมพันคือชีวิตอันมีความสุข ใครๆก็รู้ว่าการเติบโตนั้นยากและเจ็บปวด บาดแผลระหว่างทางจะเจ็บเป็นทวีคูณเมื่อถูกพรากสิทธิ์ที่ควรมี แน่นอนว่าพวกเขาถูกพรากมันไป -- อิสระ

แทนไม่สามารถเปิดเผยตัวตนว่าตนเองเป็นชายรักร่วมเพศ เขาชอบผู้ชายแต่ต้องปิดเป็นความลับไม่อย่างนั้นจะถูกไล่ออกจากบ้านเพราะพ่อของเขาเกลียดพวกรักร่วมเพศเข้าไส้ หากเป็นตัวเขาเมื่อสิบปีที่แล้ว การถูกไล่ออกจากบ้านเป็นเรื่องใหญ่มากเพราะเด็กสิบสองขวบไม่สามารถทำงานได้ ต่อให้มีศักยภาพในการทำงานแต่ผลพลอยความซวยจะตกที่ผู้ว่าจ้างโทษฐานใช้แรงงานเด็ก

รักแรกของเขาคือรุ่นพี่ชมรมบาสเกตบอล การตกหลุกรักครั้งนั้นก็เหมือนกับคนอื่นเพียงแต่ความรักของเขากลับเป็นสิ่งต้องห้ามที่ถูกขีดเส้นแบ่งด้วยเพศสภาพ หากพ่อจับได้ว่าเขาเป็นเกย์ตอนนี้ เขาอาจถูกกระทืบปางตายจนลงหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งก็เป็นได้

ส่วนเจนเป็นความคาดหวังของครอบครัวเพราะเป็นลูกสาวคนโต ผู้จะเป็นลูกสาวแสนดีและสมบูรณ์แบบเป็นแบบอย่างให้น้องๆทั้งสองคน -- จอยและเจค สิ่งที่เจนได้ยินกรอกหูทุกเช้า เจนต้องดูแลตัวเองให้มีใบหน้าสะสวยดั่งเจ้าหญิงในเทพนิยาย ต้องมีผลการเรียนดีเยี่ยมเพื่อสร้างความภูมิใจให้ตัวเองและครอบครัว ต้องเป็นแพทย์หรือสถาปนิกเพราะเงินเดือนสูง

แน่นอนเจนเป็นได้แค่สองอย่างแรก เจนได้รับยีนความงามมาจากแม่ ได้รับยีนความฉลาดมาจากพ่อ เธอเรียนจบชั้นมัธยมปลายด้วยคะแนนที่น่าพึงพอใจแต่เธอเลือกเรียนด้านภาษามากกว่าการเรียนเฉพาะทางในอาชีพแพทย์ เธอไม่กลัวเลือดแต่เธอไม่อยากทำงานใต้ความกดดันที่มีชีวิตคนอื่นแขวนบนเส้นด้าย เจนอยากเป็นนักเขียนตั้งแต่ครั้งแรกที่หยิบนิยายของเฮมิงเวย์มาอ่านตอนอายุสิบหก พ่อแม่มักบอกว่าเป็นนักเขียนไส้แห้ง เจนอยากเถียงว่าทั่วโลกมีนักเขียนตั้งมากมายที่ไม่ไส้แห้งและโด่งดัง ทว่าทำได้เพียงปิดปากเงียบและแอบเขียนทุกคืนก่อนนอน

ทั้งสองเจอกันครั้งแรกตอนได้รับทุนคณะไปเรียนแลกเปลี่ยนที่แมนเชสเตอร์เป็นเวลาสามเดือน พวกเขาคุยกันและแลกเปลี่ยนความลับนี้จนกระทั่งสนิทใจ เมื่อพวกเขากลับมาประเทศไทย ทั้งสองวางแผนเก็บเงินสำหรับค่าเล่าเรียนในแดนไกล แอบทำงานเสริมตามร้านอาหาร กลับบ้านเฉพาะสุดสัปดาห์เพื่อค่าตั๋วเดินทางสู่ประเทศผู้ดี แชร์ห้องอยู่ด้วยกันในหอพักหรูของมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล ยืดอกอย่างภาคภูมิในการเป็นนักศึกษาทุนต่างชาติ แม้ระยะเวลาเรียนสำหรับปริญญาโทจะเป็นเพียงหนึ่งปีสั้นๆ แต่พวกเขาซื้อตั๋วเที่ยวเดียวและจะไม่มีวันกลับไปบ้านที่ไม่ใช่บ้านของพวกเขา

เจนกับแทนเที่ยวด้วยกันแทบทุกวันและกลับหอตอนตะวันลับขอบฟ้า -- ประมาณสี่ทุ่ม พวกเขาชอบไปชมนิทรรศการภาพวาดที่แกเลอรี่และถ่ายรูปด้วยกันที่พิพิธภัณฑ์ พวกเขาตกหลุมรักตัวเองในทุกภาพถ่ายเพราะรอยยิ้มในนั้นไม่ใช่การแสดง วันนี้หลังเลิกเรียนทั้งสองเดินเล่นด้วยกันที่ซิตี้เซนเตอร์ ซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนมราคาสามสิบปอนด์แล้วสนทนาปรัชญาการมีตัวตนด้วยกันในคาเฟ่ขนมหวาน ก่อนกลับหอ... พวกเขานั่งฟังนักร้องเสียงทรงพลังเปิดหมวกกลางเซนเตอร์

"I think i like him." 

แทนกระซิบบอกเจนซึ่งกำลังถ่ายวิดีโอนักร้องหนุ่มสองคน "A guy with brown hair and blue eyes." ผู้ชายคนที่แทนพูดถึงกำลังร้องไฮโน๊ตของเพลง Stay with me ขับร้องโดย Sam Smith แทนรู้สึกตกหลุมรักวินาทีที่เสียงร้องนั้นจับหัวใจของเขาจนหยุดเต้น เขาซ่อนความปลาบปลื้มเอาไว้ไม่อยู่แต่ก็อดทนรอจนกระทั่งนักร้องสองคนจบการแสดง 

"ชอบเขาก็ไปบอกเขาสิ"

"ได้เหรอ"

"ได้สิ มีอะไรที่แทนทำไม่ได้บ้าง"

เจนเป็นเพื่อนผู้คอยสนับสนุนแทนในทุกเรื่อง โดยเฉพาะความรัก เธออยากให้เพื่อนมีความรักดีๆและไม่กลัวที่จะแสดงออก เธอจึงผลักแทนให้ไปประจันหน้ากับนักร้องหนุ่มผมน้ำตาลผู้มีดวงตาสีฟ้าหายาก เธอมองทั้งสองสบตากัน ความร้อนผ่าวและเขินอายทำให้หน้าของแทนแดงก่ำไปถึงหู นักร้องหนุ่มคนนั้นคลี่รอยยิ้มเมื่อแทนเริ่มขยับปากพูด

"I like your voice. You're so amazing."

แทนยืนคุยกับนักร้องหนุ่มทั้งสองเนิ่นนานและกลับมาพร้อมกับอินสตราแกรมและช่องทางติดตามพวกเขา ก่อนออกจากซิตี้เซนเตอร์ แทนรับรู้ชื่อจริงของชายหนุ่มผมน้ำตาลคนนั้น เขาชื่อ ทิโมธี ฮาร์ทแมน นักร้องและนักเขียนเพลงชาวอังกฤษซึ่งออกอัลบั้มร่วมกับฟีลิกซ์ เพื่อนรักของเขาในนามของวง Lilac boys 

อย่างไรก็ตาม คืนนี้แทนเป็นแฟนเพลงผู้โชคดีที่สุดในโลกเพราะพรุ่งนี้แทนมีนัดดื่มชากับทิโมธี

"มึงพูดยังไงให้เขาชวนไปเดตวะ" 

"กูอยากเริ่มทำเพลงแบบเขาอะ เขาก็เลยบอกว่าพรุ่งนี้เขาไม่มีเปิดหมวก ไปคุยเรื่องทำเพลงด้วยกันได้"

"หูยยยยยย การแสดงมาก"

เมื่อทั้งสองกลับถึงหอพัก แทนรีบอาบน้ำนอนเพื่อไม่ให้หน้าโทรมสำหรับการนัดพบที่เขาทึกทักเอาว่ามันคือเดต ส่วนเจนยังคงนั่งจ้องบันทึกในคอมพิวเตอร์อยู่อย่างนั้นจนกระทั่งถึงเวลาตีสาม เธอมีความคิดบางอย่างพรั่งพรูขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ดูเหมือนความฝันแต่เธอยังไม่หลับใหล คลับคล้ายเป็นจินตนาการที่มีเสียง

เธอหลับตาและเงี่ยหูฟังเสียงนั้นที่ดังมาจากความเงียบงันของค่ำคืน เธอเห็นมือหนาของคนผิวเข้ม ไหล่กว้างของร่างกำยำ เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มแสนคุ้นเคย ทว่ากลับจำชื่อเรียกเขาไม่ได้ เจนกระหน่ำปลายนิ้วลงบนแป้นพิมพ์พรรณนารูปพรรณสัณฐานของบุคคลในภาพนิมิตเท่าที่นึกออก เธอปิดคอมพิวเตอร์และนอนลงบนเตียงนุ่มข้างแทนเพื่อพรุ่งนี้เช้าจะเขียนถึง 'เขา' คนนั้นต่อ 

 

 

#จมในห้วงความคิด #ในวันที่ฝนตก