Trigger Warning: 

- การฆ่าตัวตาย (Suicide)

- การบิดเบือนแนวคิดให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลส่งผลให้เกิดความสับสนในความเป็นจริง-ตรรกะความถูกต้อง (Gaslighting)

โปรดอ่านอย่างมีวิจารณญาณและขอให้มีความสุขค่ะ


 

 

"เออ จริงสิ ผมสงสัยมาสักพักแล้ว พวกคุณคบกันได้ยังไงนะ?" 

ทิโมธีเอ่ยถามขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน ขณะนี้พวกเขาทั้งสี่มาหลบฝนในพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งในเอดินเบอระ หลังจากรถไฟเที่ยวเก้าโมงพาพวกเขามาถึงในเวลาบ่ายโมงกว่า ๆ แม้จะดูพยากรณ์อากาศมาอย่างดีก่อนเดินทาง ทว่าเมฆครึ้มและเม็ดฝนก็มาเยือนอย่างไม่คาดคิดอย่างนั้น มองแง่ดี... พวกเขาก็ได้เที่ยวตามแพลนที่วางไว้แค่เปียกฝนเล็กน้อย

แน่นอนว่าทิโมธีพูดถึงหนุ่มศิลปินกับสาวนักศึกษาจบใหม่ นัยน์ตากลมของทิโมธีสบมองที่ไคล์ราวกับจะเขมือบทั้งร่างเพื่อเค้นความจริงออกมาจากปาก แต่เขาไม่ได้มองด้วยสายตาแบบนั้นเพียงคนเดียวเพราะไคล์ก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน เจนกับแทนซึ่งนั่งข้างคนรักรู้สึกได้ถึงความร้อนหนาววูบวาบ

"เอ่อ คืองี้นะ..." เจนเริ่มพูด

"มันเป็นการตกหลุมรักน่ะ" ไคล์พูดแทรก "แน่นอนว่าผมเป็นฝ่ายตกหลุมรักก่อน ผมรวบรวมความกล้าขอเธอไปเดต หลังจากจบวันถึงได้ขอมอบจูบแรกในชีวิตของผมให้กับเธอ"

เขาเล่าแบบคร่าว ๆ พอให้อีกฝ่ายรู้ถึงจุดเริ่มต้น แต่นั่นไม่ทำให้ทิโมธีหยุดถาม เขาอยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้เพราะวิธีเล่าของไคล์แทบไม่ต่างจากการอ่านเรื่องย่อหลังปกหนังสือ เขาอยากรู้เนื้อหาข้างในที่ซ่อนไว้ในหนังสือของไคล์

"ไม่เอาน่า ไคล์... ผมคาดหวังอะไรมากกว่านี้จากคุณนะ ไม่เห็นมีอะไรต้องปิดบังกันเลย ผมเป็นเพื่อนคุณนะ" คำพูดและสายตาคาดเค้นนั้นกำลังทำให้ราชาแห่งอาณาจักรจิตใจหม่นหมองเสื่อมอำนาจเพราะอีกฝ่ายพยายามรีดความลับไม่หยุด "เจนบอกว่าคุณเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงในลอนดอน ผมก็พอจะได้ยินชื่อเสียงของคุณอยู่บ้าง ผมก็เลยอยากรู้ว่าคุณชอบเจนตรงไหน มันต้องมีเหตุผลบ้างล่ะ"

"อืม... นั่นสิที่รัก คุณชอบอะไรในตัวฉันเหรอ" 

คราวนี้ไม่ใช่แค่ทิโมธีที่คาดหวังในคำตอบของไคล์แล้ว แต่เป็นทุกคน โดยเฉพาะเจน คนรักของเขาที่ตั้งแต่คบกันหลายเดือนก็ยังไม่เคยได้รู้เหตุผลที่แท้จริงของความรักครั้งนี้ ขณะที่กำลังคิดหาข้ออ้างที่ฟังขึ้นนั้นเองก็มีเสียงกระซิบจากแอลป์จากหลังคอ อยู่กับนางแล้วเจ้าเป็นตัวเองดีนะ ไม่เสแสร้งเหมือนทุกที 

"ผมชอบทุกอย่างที่เป็นคุณ คุณเป็นคนลึกซึ้ง มุ่งมั่น รู้ว่าตัวเองชอบหรือต้องการอะไร ใส่ใจแถมยังรักครอบครัวอีก แต่ผมก็ได้รู้เรื่องราวพวกนั้นหลังจากไปเดตด้วยกันแล้ว" แอลป์กลอกตาเซ็งเมื่อสุดท้ายเจ้านายก็เลือกใช้คำโกหกล่อลวงให้มนุษย์เชื่อแทนการพูดความจริงเสียอย่างนั้น "แล้วคุณชอบอะไรในตัวผมเหรอ เจน" 

"ความจริง ฉันก็เริ่มชอบคุณหลังจากไปเดตแล้วนั่นแหละค่ะ คุณดูเป็นคนลึกซึ้ง อ่อนไหว ฉลาดแต่ช่วงหลังมานี้ ฉันก็ได้เห็นอะไรหลายอย่างมากขึ้น" เจนตอบแบบนั้นพลางแอบส่งกระดาษแผ่นเล็กให้ไคล์ แต่ขณะเดียวกันก็ส่งยิ้มให้เขาด้วย เขาคลี่แผ่นกระดาษดูก็ต้องกำหมัดแน่นเพราะข้อความในนั้น

 

ตอแหล คิดว่าดูไม่ออกเหรอ?  

 

"แบบนี้นี่เอง ขอให้พวกคุณคบกันนาน ๆ นะครับ ว่าแต่เจน... คุณได้เล็งทำงานที่ไหนไว้มั้ยครับ? แทนบอกว่าพวกคุณเรียนจบกันแล้ว"

"อืม ยังเลยค่ะ ฉันยังไม่รู้ว่าตัวเองจะทำงานอะไรเลย แต่ฉันกำลังมีโปรเจกต์เขียนหนังสือของตัวเองกับแปลหนังสือของน้องชาย"

"ว้าว คุณเป็นนักเขียนงั้นเหรอ? เก่งจังเลยนะครับ ผมอยากอ่านบ้างเลย" ทิโมธีกล่าวชื่นชมทำให้หัวใจของเจนพองโตด้วยความตื่นเต้นและประหม่าในเวลาเดียวกัน "ไว้ส่งมาให้ผมอ่านได้นะ"

"ถ้าคุณได้อ่านแล้ว อย่าเพิ่งกลัวฉันไปก่อนนะ" เจนหัวเราะในลำคอ ไคล์กับแทนไม่พูดอะไรปล่อยให้พวกเขาสนทนากันเรื่องหนังสือต่อไป "ไคล์ได้อ่านไปบ้างแล้ว เขาอ่านงานเขียนที่มีความรุนแรงได้เพราะงานวาดของเขาก็มีความรุนแรงด้วย ฉันไม่รู้ว่าคุณจะรับไหวรึเปล่านะคะ"

"อืม... คุณนักเขียนเกริ่นมาขนาดนี้แล้ว ขอลองแง้มอ่านสักหน้าได้ไหมครับ? ขอเป็นหน้าที่คุณชอบมากที่สุดก็ได้" 

"มันคล้าย ๆ กับไดอารี่ที่ฉันจะเขียนตอนตัวเองฟุ้งซ่าน" เธอกล่าวอย่างถ่อมตัวพลางส่งสมุดไดอารี่ให้กับทิโมธี "ลองดูก่อนนะคะ" 

ไคล์มองตามมือเรียวของเจนด้วยความสงสัยและต้องการจับผิด เขาระแวงว่าตนจะถูกหยามหน้าอีกเป็นครั้งที่สองโดยคนรัก เขาไม่ได้อ่านงานเขียนของเจนมาสักพักแล้วและไม่รู้ว่าเธอเขียนอะไร ไคล์พยายามซ่อนสีหน้าหวาดระแวงเอาไว้ขณะที่แทนกับทิโมธีเริ่มอ่านไดอารี่ของเจน แอลป์ปีศาจผู้ภักดีกระซิบอาสาไปแอบอ่านเนื้อหาในหนังสือแทนเจ้านายเพื่อให้เขาสบายใจมากขึ้น 

 

 

ครั้งหนึ่งคุณเคยพูดว่า ชอบทุกอย่างที่เป็นฉัน 

และครั้งหนึ่งฉันเคยบอกว่า คุณคือบ้านหลังใหม่

ตอนนี้ถึงเวลาคิดทบทวนดูใหม่ เมื่อหลายอย่างเริ่มเปลี่ยนไปกลายเป็นอะไรที่น่ากลัว กลายเป็นสิ่งที่แม้แต่ตัวฉันก็ยังหาคำอธิบายมานิยามไม่ได้

แม้ไม่มีคืนฝนพรำในใจอีกต่อไป และฉันไม่ต้องเสียน้ำตาเป็นเวลาหลายเดือน ทว่าสิ่งที่มาแทนที่กลับเป็นพายุหิมะหนาวเหน็บจนแทบแข็งตาย ฉันยังจมในห้วงความคิดอยู่ราวกับทุกอย่างกำลังแย่ลง ก้นบึ้งหัวใจยังนึกถึงอารมณ์รุนแรงที่เคยเล่าให้คุณฟัง -- การเป็นฆาตกรสาว ความคิดที่ว่าหากฉันจำเป็นต้องฆ่าใครสักคน คนนั้นคงเป็นคุณ

ใช่... ฉันหมายถึงคุณ คุณผู้เป็นราชาแห่งอาณาจักรจิตใจหม่นหมองซึ่งฉันแต่งตั้งตำแหน่งนั้นให้ด้วยตัวเองโดยหวังว่าคุณจะช่วยประคองให้ฉันดีขึ้น หวังว่าพวกเราจะได้พบเจอสิ่งดี ๆ ด้วยกัน ความรักของพวกเราจะเป็นฤดูร้อนที่ดวงอาทิตย์สุกสกาวแผดเผาความเหน็บหนาวให้วอดวายและอาณาจักรจะเปี่ยมไปด้วยความสุข 

ทว่าคุณอีกนั่นแหละที่หลอกลวงและยึดอำนาจความเป็นราชาย่ำยีอาณาจักรเสียป่นปี้ไม่เหลือสิ้นดี มันกลายเป็นฝันร้ายยิ่งกว่าร้าย ปีศาจมากมายถูกปลดปล่อยเพ่นพ่านราวกับบ้านป่าเมืองเถื่อนไร้ขื่อแปร หากจะเนรเทศคุณออกจากอาณาจักรตอนนี้คงสายเกินไปแล้ว

ฉันจะโค่นบัลลังก์นั่นคืนมา แม้จำเป็นต้องฆ่าคุณก็ตาม 

 

 

"ว้าว ขนลุกแฮะ" ทิโมธีคืนสมุดให้กับเจนพร้อมกับลูบแขนสองข้างของตัวเอง แม้คำพูดของเขาจะฟังดูไม่ค่อยดีแต่ใบหน้านั้นกลับเปื้อนรอยยิ้มราวกับถูกใจอะไรบางอย่างในสมุดเล่มนั้น "ขอให้ราชินีโค่นบัลลังก์คืนมาได้สำเร็จนะครับ ผมจะรออ่านตอนจบ ว่าแต่... คุณตั้งชื่อไว้รึยังเหรอ?"

"ดีใจจังที่คุณชอบ ตอนแรกคิดว่าคุณจะกลัวซะอีก" เจนรับคำชมอย่างถ่อมตัว "ฉันยังไม่ได้คิดชื่อเรื่องเลยค่ะ" 

"ผมนึกถึงชื่อหนึ่งที่ตัวละครเพิ่งจะพูด" แทนพูดขึ้น "จมในห้วงความคิด

ขณะที่คนอื่นกำลังคุยเรื่องหนังสือของเจนอย่างมีความสุข ไคล์แสร้งทำเป็นหัวเราะด้วย ทั้งที่ตอนนี้ใบหน้าเย็นเฉียบราวกับเพิ่งถูกลากไปตบอย่างน่าอับอายโดยคนรักของตัวเอง แอลป์หายไปเลยหลังจากอ่านเนื้อความในสมุดของเจนแล้ว มันคงกลัวหัวหดว่าเจ้านายจะฟาด ข้อหาสอดรู้สอดเห็นเป็นแน่

 

[INCOMING CALL... KEITH]

 

โชคดีว่าก่อนที่ไคล์จะทำอะไรบ้า ๆ เสียงเรียกเข้าจากน้องชายฝาแฝดช่วยชีวิตเอาไว้ได้ก่อน ไคล์ขอตัวคุยโทรศัพท์ ปล่อยให้อีกสามคนคุยกันไปก่อน เขาเดินไปคุยโทรศัพท์ห่าง ๆ จากพวกเขาเพราะพอเดาได้ว่าน้องชายตัวดีจะโทรมาเรื่องอะไร เขาพอรู้สึกได้จากความเย็นยะเยือกเมื่อจับโทรศัพท์ 

"ว่าไง" ผู้เป็นพี่ตอบกลับปลายสายอย่างสั้นห้วน 

(บอกแล้วว่ายังไงเขาก็รู้ แฟนพี่ไม่โง่นะ แล้วพี่จะทำยังไงต่อ)

"ยังไงกูก็ต้องหนีไปจากที่นี่ ไปตั้งตัวที่ใหม่ พอจะมีเงินติดตัวอยู่"

(อ่า เรื่องเงิน ผมไม่ห่วงหรอก จะไปที่ไหน? คิดแล้วเหรอ?)

"ประเทศไทย แอลป์บอกว่าที่นั่นแค่ติดสินบนนิดหน่อยก็แทบจะล่องหนที่นั่นได้แล้ว" เมื่อเขาให้คำตอบกับน้องชาย อีกฝ่ายกลับผุดยิ้มมุมปากและแค่นหัวเราะใส่ "อะไร? ไม่ดีเหรอ? ที่นั่นไม่ตรวจผู้ร้ายข้ามแดนนะเว้ย"

(อ่าห้ะ แล้วตอนนี้แฟนพี่รู้แล้ว... พี่จะทำยังไงต่อ?)

"เรื่องนั้นเดี๋ยวจัดการเองน่ะ ไม่ต้องห่วง"

(อย่าลืมว่าพี่ฆ่าใครอีกไม่ได้แล้วนะ คิดดี ๆ ล่ะ โอ๊ะ! ลูกค้ามาแล้ว โทรกลับมาหาผมด้วยนะ)

คีธตัดสาย ไคล์จับน้ำเสียงของน้องได้ เขาดูสะใจคล้ายเยาะเย้ยที่ได้เห็นพี่ชายล้ม แต่นี่ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ของเขาเพราะเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นยังสามารถจัดการได้ เขาเชื่อว่าตัวเองสามารถทำให้เจนกลับมาเชื่อใจเขาได้อีกเพราะที่ผ่านมาตนยังไม่เคยทำอะไรให้เจนเสียใจเลย เขาไม่เคยนอกใจไปหาใคร ไม่เคยมีปากเสียงกับเพื่อนคนอื่นของเจน สิ่งที่อยู่ในสมุดเป็นเพียงจินตนาการของสาวนักเขียนช่างฝัน และที่สำคัญ... อาณาจักรจิตใจหม่นหมองเป็นเพียงโลกที่เธอสร้างขึ้นให้ตัวเองกับความทรงจำปลอดภัย 

ไคล์ไม่ผิด... เจนเป็นคนอนุญาตให้เขาเข้าถึงได้เอง นับตั้งแต่วันที่รับตั๋วชมงานศิลปะที่ทราฟัลการ์ 

 

"ที่รัก โอเคมั้ยคะ?" เจนเรียกไคล์จากภวังค์ความคิดด้วยจุมพิตที่แก้ม ทำให้เขาสะดุ้งและกลับสู่ปัจจุบัน "ฝนซาแล้ว ไปกันเถอะค่ะ" 

สี่วัยรุ่นพาตัวเองเดินบนถนนเปียกชุ่ม ชมนกชมไม้และถ่ายภาพที่สวนดอกไม้ แวะร้านอาหารเมื่อหิว และเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ตามแพลนเที่ยวที่วางไว้แล้วไปเช็คอินที่โฮสเทลเพื่อพักผ่อนกันในตอนเย็น ก่อนจะเที่ยวชมเมืองอีกครั้งตอนค่ำ แทนบอกว่ามีปราสาทน่าสนใจในเมืองคิดว่าทุกคนน่าจะชอบกัน 

หลังจากเดินทางกันทั้งวัน พวกเขาเช็คอินที่โฮสเทลซึ่งอยู่กลางเมืองเอดินเบอระ บรรยากาศสงบเมื่อมองเห็นพระอาทิตย์ตกจากที่นี่ พวกเขาแสดงบัตรประจำตัวเพื่อยืนยันตัวตนแล้วสะพายกระเป๋าไปยังห้องนอนของตัวเองแล้วกลับมาพบกันอีกครั้งเวลาสองทุ่ม 

แทนได้จองสองห้องนอนสำหรับสองคู่เดตเพื่อให้ได้มีเวลาส่วนตัวกับคนรัก เขาจัดการได้ดีมากสำหรับการมาเดตคู่ครั้งแรกในชีวิต พวกเขาทิ้งตัวลงบนเตียงทันทีที่ไขกุญแจเข้าห้องนอน ไคล์ถอนหายใจเหนื่อยล้า โยนกระเป๋าลงกับพื้นแล้วทิ้งตัวนอนบนเตียง เจนเข้าไปสำรวจความสะอาดของห้องน้ำ จัดแจงเครื่องสำอางออกจากกระเป๋าใส่ของอเนกประสงค์ ก่อนจะล้างหน้าและเครื่องสำอางออก หลังจากนั้นก็นอนบนเตียงข้างไคล์ 

"แสบมากนะ ที่รัก" 

"ใครทำอะไรไว้ก็ต้องได้รับผลไม่ใช่เหรอ?" เจนไม่ทำไขสือ กลับสบตาไคล์ด้วยความจริงใจ วางมือเล็กลูบไล้ใบหน้าคมคายของคนรัก "แสดงว่าที่คุณทำก็เป็นจริงทุกเรื่องเลยใช่มั้ยคะ?"

"ผมทำอะไรเหรอ?"

"ไคล์..."

"ผมได้ทำอะไรด้วยเหรอ?" น้ำตาเอ่อรื้นเมื่อสิ้นเสียงคำพูดของไคล์ เจนแทบไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง คำพูดของเขาพรั่งพรูจากกลีบปากบางเพื่อแก้ต่างให้ตัวเอง "คุณคิดมากไปเองจนระแวงเรื่องไม่เป็นเรื่อง คุณคิดว่าผมเป็นคนเห็นแก่ตัวขนาดนั้นเลยเหรอ? เรารู้จักกันมากี่เดือนก็น่าจะรู้ดีว่าผมเป็นคนแบบไหน ไม่ว่าคุณคิดว่าผมเป็นคนยังไง ผมไม่ใช่คนเลวแบบที่คุณเขียนในหนังสือแน่ ๆ"

"..."

"ถ้าคุณรักผม คุณจะไม่ทำแบบนั้น คุณจะไม่เขียนให้ผมกลายเป็นคนร้ายในเรื่องราวของคุณ คุณจะไม่ทำร้ายผมแบบนั้น"

"ฉันเริ่มสงสัยแล้วสิว่า คุณยังรักฉันบ้างรึเปล่า" 

"แน่นอนสิที่รัก ผมรักคุณตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกัน ผมรู้ทันทีว่าเป็นคุณ" ไคล์ตอบด้วยเสียงหนักแน่น เขาประทับจูบบนริมฝีปากของเจนเพื่อให้เธอเชื่อใจเขา แต่เจนรู้สึกได้ว่ามือข้างหนึ่งของไคล์วางแนบกับลำคอจนอดระแวงไม่ได้ว่า เขาจะบีบคอหรือไม่ "แล้วคุณล่ะ รักผมรึเปล่า"

"ฉันรักคุณ แต่ฉันก็ต้องรักตัวเองด้วย"

"ดีมากที่รัก หวังว่าจะไม่มีเรื่องแบบนี้อีกนะ" ไคล์จุมพิตเธออีกครั้ง ก่อนจะสวมกอดเจนไว้ในอ้อมแขนของเขา 

 

 

ผิดเหรอที่อยากทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง

 

 

เจนพยายามห้ามเสียงของความคิดไม่ให้ดังจนเกินไป แต่พยายามเหมือนยิ่งฝืน เธอผละตัวออกจากกอดของไคล์แล้วเข้าไปในห้องน้ำ มองตัวเองในกระจก เห็นเพียงหญิงสาวผ่ายผอม ใบหน้าเหนื่อยโทรม เครื่องสำอางซีดจางไปหมด เงาสะท้อนมองกลับมาด้วยสายตาเย้ยหยันในความน่าสมเพช 

"เจน คุณโอเครึเปล่า?" เสียงของไคล์ตะโกนถามจากห้องนอน

"ฉันโอเคค่ะ" เธอตะโกนตอบกลับไป ขณะเดียวกันก็มีเสียงข้างหูกระซิบว่า "ไม่โอเคเลยสักนิด มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าไม่ไหว" และแล้วเงาในกระจกก็เปลี่ยนไปเป็นใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างที่เคยเห็นในอาณาจักรจิตใจหม่นหมอง นัยน์ตาของมันขาวโพลนไร้แวว คอหักเหมือนคนถูกแขวนคอและรอยยิ้มแสยะนั้น เจนขนลุกเกลียวตั้งแต่ขาไปถึงหัวเมื่อเห็นแบบนั้น

แต่ร่างแฝดไม่หยุดเพียงแค่การปรากฏตัว มันแหวกผ่านกระจกเงาเพื่อประจันหน้าของเจน ขณะที่กำลังตะลึงงันพูดไม่ออกอยู่นั้น แววตาของทั้งสองประสานกัน มันขยับปากพูดอะไรสักอย่างขณะคืบคลานเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ เจนได้ยินของมันไม่ชัดเพราะความกลัวทำให้หยุดการรับรู้ไปครู่หนึ่ง เธอกลับมาได้ยินเสียงรอบตัวอีกครั้งหลังจากที่ร่างแฝดประทับจุมพิตและรวมเป็นหนึ่งกับเธอแล้ว

 

ฉันก็คือเธอ หนีให้ตายก็ไม่พ้นหรอก... เจน

หยุดพยายามหนีได้แล้ว

 

ขณะเดียวกัน ไคล์นอนเกาท้องเจ้าแมวสีดำบนเตียง มันคือแอลป์และพวกเขาถอนหายใจหลังจากเหนื่อยด้วยกันมาทั้งวัน แอลป์เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในลิเวอร์พูลให้ฟังเพื่อให้เขาระวังตัวมากขึ้นเพราะเวทมนตร์ของมันมีขีดจำกัดในแต่ละวัน ความโศกเศร้าของเจนและความโลภของไคล์เป็นเพียงอาหารในการประทังชีวิตวันต่อวัน มันต้องการมากกว่านี้อีกแต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ แน่นอนว่าแอลป์เอียนอาหารแมวจะแย่แล้ว

"งั้นกลับไปได้แล้ว" ไคล์เอ่ยปากตะเพิดปีศาจของตน 

"เดี๋ยวนี้เลยเหรอ?"

"ใช่" ไคล์หยุดมือเกาท้องแล้วมองอีกฝ่ายด้วยสายตาชินชา "กลับไปเฝ้าบ้านซะ แถวนั้นน่าจะมีอะไรให้แกกินมากกว่าอยู่ที่นี่" 

"ได้ เจอกันที่ลิเวอร์พูล"

"อืม"

ไคล์เป็นกังวลกับเรื่องที่แอลป์เล่า เขาอาจจะต้องหนีไปตลอดชีวิต ถ้าไม่สามารถพาตัวเองไปถึงประเทศไทยได้ภายในเดือนถึงสองเดือนนี้ เขาจำเป็นต้องพึ่งเจนมากกว่าเดิม ยิ่งปล่อยไว้นาน ตำรวจและเจ้าหน้าที่สืบสวนยิ่งทำงานหนักขึ้นและอาจเจอหลักฐานที่สาวมาถึงตัวเขาได้

เมื่อปีศาจชั้นต่ำอันตรธานหายไป เจนก็ออกมาจากห้องน้ำพอดี ไคล์กวาดสายตามองก็พอเดาได้ว่ามีบางอย่างแปลกไปเกี่ยวกับตัวเจน เธอดูอ่อนแรง ก้มหน้ามองพื้น ดูสับสนนิดหน่อยราวกับยังตัดสินใจอะไรบางอย่างไม่ได้ ทั้งสองไม่พูดอะไร ห้องตกอยู่ในความเงียบสักพักจนกระทั่งเจนผุดคำพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง

"เมื่อกี้คุณคุยกับใครเหรอ?" เธอเงยหน้าสบตาคู่สนทนา ไคล์เห็นแววตาของเจนเป็นประกายหยาดเยิ้ม 

"เปล่าครับ"

"อย่ามาโกหกฉัน คุยกับแอลป์ใช่ไหมคะ?" น้ำเสียงจริงจังนั้นทำให้ไคล์รู้สึกระแวงเล็กน้อย เขาแยกความต่างระหว่างเจนกับปีศาจของเธอไม่ค่อยออกเพราะไม่ค่อยได้พบเจอกับตาตัวเอง เว้นแต่เวลาอยู่ด้วยกันในอาณาจักรแห่งจิตใจหม่นหมอง แต่นัยน์ตาคู่นั้นยังคงทอประกายต่างกับเจนคนก่อนหน้านี้ "ว่าไงคะที่รัก คุณจะโกหกฉันอีกเหรอ? เราคบกันด้วยความจริงได้ไหม? ฉันบอกความจริงกับคุณไปหมดแล้ว ทีนี้ตาคุณบ้างแล้ว... ต้องการอะไรก็บอกฉัน ฉันจะทำให้ มันก็แค่นั้นเองค่ะ ไม่เห็นจะยากเลย"

"ยอมแล้วครับ" ไคล์พูดเสียงหงอยเหมือนสุนัขที่ยอมต่อเจ้านาย ขณะเดียวกันก็ผุดยิ้มขึ้นเพราะตอนนี้ได้เจอกับปีศาจของเจนแล้ว มันคือตัวเธอที่มีความเกรี้ยวกราด ต้องการเอาชนะ ขณะเดียวกันก็มีความต้องการในการทำลายตัวเองด้วยการทำอะไรสักอย่างเกินพอดี "เมื่อกี้ผมคุยกับแอลป์ มันเล่าว่าที่ลิเวอร์พูลเริ่มตามหาตัวผมแล้ว ต่อไปผมคงออกจากอพาร์ทเมนต์ไม่ได้เลยจนกว่าคดีจะถูกลืม แต่ทำแบบนั้นมันจะกระทบกับการงานของผม กระทบกับคุณด้วย"

"แบบนั้นก็แย่สิ"

"ใช่ หลังจากกลับจากเดตครั้งนี้ ผมต้องหนีไปสักที่ไกล ๆ มันจะเป็นการหนีครั้งสุดท้าย จะมีแค่ผมกับคุณ ผมยังมีเงินก้อนเหลืออยู่สำหรับการหนี ขอแค่มีที่ไปก็พอ"

"แสดงว่าคุณคิดไว้แล้วว่าจะไปที่ไหน ไปที่ไหนคะ"

"ผมไปบ้านคุณได้ไหม? คือผมรู้นะว่าคุณไม่ค่อยถูกกับพ่อแม่ แต่-"

"ได้สิคะ ยังไงฉันก็อยากพาแฟนไปแนะนำให้พ่อแม่รู้จักอยู่แล้ว แต่คุณรอจนถึงช่วงรับปริญญาก่อนได้มั๊ยคะ"

"ครับ แต่ผมจะรบกวนคุณมากหน่อยนะ"

"ไม่เป็นไรเลยค่ะ"

เจนสวมกอดเขาด้วยความรักทั้งหมดที่มีให้ ไคล์รู้สึกประหลาดใจนิดหน่อยแต่ในเมื่อเธอไฟเขียวก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว เขาดึงร่างของเจนมานั่งบนตักพร้อมมอบจูบเร่าร้อนให้เป็นรางวัลสำหรับการเป็นปีศาจว่านอนสอนง่าย พวกเขายังมีเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนไปเที่ยวต่อกับแทนและทิโมธี ดังนั้นพวกเขายังพอทำสิ่งที่ใจต้องการได้อยู่ ไคล์ปลดกระดุมกางเกงของเจน ขณะไล้จูบจากริมฝีปากไปที่ลำคอแล้วฝังเขี้ยวลงไปให้อีกฝ่ายผ่อนเสียงครางให้ได้ยินพอชื่นใจ แก่นกายกระสันพรั่งพรูใต้กางเกงของไคล์สัมผัสกับกลีบฉ่ำแฉะของเจน

เจคมองเห็นภาพตรงหน้าก็ขนพองสยองเกล้าจนถึงหัว เขารู้ว่าคนที่อยู่กับไคล์ไม่ใช่พี่สาวของเขา แต่เป็นคนที่มาแทนที่ใช้ร่างกายของเธอ เจคไม่สามารถทนมองพวกเขาร่วมรักกันได้จึงหนีเข้าไปในห้องน้ำ ที่นั่นเขาได้เจอกับพี่สาวของตัวเองติดอยู่ในกระจก ร้องไห้ฟูมฟายและเจ็บปวดทรมาน

"เจน!"

"เจค เธอกลับมาแล้ว! ช่วยพี่ด้วย! คนข้างนอกมันไม่ใช่พี่ แล้วพี่ไม่รู้ว่ามันทำอะไรได้บ้าง!" เจนแนบหน้าเข้ามาโวยวายไม่หยุดเพราะควบคุมสติอารมณ์ไม่ได้ ความเจ็บปวดของพี่สาวทำให้เจครู้สึกเสียดจุกไปด้วยแต่เขาทำได้เพียงวางมือทาบกับกระจก 

"ผมตายไปแล้ว จะช่วยพี่ได้ยังไงได้อะ"

"อีคนข้างนอกนั่นไม่ใช่คน! แกน่าจะทำอะไรได้บ้างสิ!"

"งั้นผมจะช่วยเท่าที่ทำได้นะ"

เจคยังไม่หายไปไหน เขากลับสะอึกสะอื้นหนักขึ้นเรื่อย ๆ อยู่หน้ากระจก เจนสังเกตได้ว่าน้องชายมีบางอย่างในใจเพราะเขาไม่ใช่คนที่ร้องไห้ง่าย ๆ ครั้งสุดท้ายที่เจนเห็นเจคร้องไห้คือวันนั้นที่ฝนตก จากสะอื้นเปลี่ยนเป็นปล่อยโฮซึ่งมีเพียงพวกเขาที่ได้ยิน เจนอยากออกไปจากกระจกนี้แล้วกอดน้องชายเอาไว้แต่ทำไม่ได้

"เจค มีอะไรที่ยังไม่ได้บอกพี่อีกรึเปล่า? อย่าเก็บไว้คนเดียวนะ แกร้องไห้เรื่องอะไร?"

"วันนี้ผมเจอแต่ข่าวร้าย มันน่าจะเป็นข่าวร้ายที่สุดสำหรับพี่เพราะพี่เป็นคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่" คำพูดพรั่งพรูพร้อมน้ำตาของเจค เจนนิ่งงันเพื่อตีความสิ่งที่เจคพูด "จอยตายแล้วพี่ พ่อกับแม่แทบจะตรอมใจตามเพราะที่บ้านเราไม่เหลือใครแล้ว จอยมันขังตัวเองในห้อง ไม่ออกมาข้างนอก ไม่กินข้าว... ผมเห็นมันจมกองเลือดที่หน้ากระจก"

"..."

"ใจหนึ่ง ผมแอบสมน้ำหน้าพ่อแม่นะที่ต้องอยู่ในสภาพนี้ พวกเขาเห็นเราเป็นถ้วยรางวัลไม่ก็ใบประกาศฯที่น่าอวด ถ้าพวกเราไม่เก่งก็จะกดดันและพูดจาทำร้ายจิตใจ พวกเขาคิดว่าตัวเองทำถูกแล้วทั้งที่ผมได้แต่คิดว่า พวกมึงไม่ใช่คนเรียนเองนี่! อีกใจหนึ่ง ผมก็เสียใจที่ยังไม่ได้ลาพวกเขาเลย"

"เจค... เธอตายยังไง?" เจนเอ่ยขึ้นหลังจากตั้งสติได้ 

"ผมโดนพวกทหารยิงเข้าอวัยวะสำคัญตอนไปชุมนุมที่จัตุรัสกลางเมือง ผมตายที่โรงพยาบาลสามวันหลังจากโดนยิง หมอพยายามยื้อไว้สุด ๆ แล้ว ที่น่าขำคือพ่อกับแม่เชื่อว่าผมไปทำรายงานบ้านเพื่อนจริง ๆ ก็ไม่รู้ว่าผมตาย กว่าพวกท่านจะรู้ก็ผ่านไปแล้วสัปดาห์หนึ่งแล้ว" เจคเล่าขณะที่ยังสะอึกสะอื้นไม่หยุด เจนเข้าใจว่าน้องชายต้องรับความสูญเสียขนาดไหนในฐานะพี่คนกลาง 

"จอยล่ะ?"

"อย่างที่บอกว่ามันล๊อคห้อง" เจคทำใจเล่าไม่ได้จึงอ้อมค้อมเล่าทีละหน่อย เขาพยายามเซฟหัวใจแตกสลายของตัวเองและพี่สาวให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ "ผมพยายามพังประตูเข้าไปจนพ่อแม่รู้ว่าผีเจคมาที่บ้าน พอประตูเปิดออก พวกเขาเห็นว่าจอยนอนจมกองเลือดหน้ากระจก ส่วนผมเห็นมันกรีดข้อมือครั้งที่ร้อย... ผมเห็นมันอยู่กับผู้ชายใส่ผ้าคลุมด้วย แต่คิดว่านั่นก็ไม่ใช่คนเหมือนกันเพราะเท้าของเขาไม่แตะพื้น"

"พี่ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ด้วย ไม่งั้นพวกแกคงไม่ตาย อย่างน้อยมันอาจจะดีกว่านี้ ถ้าพี่อยู่กับพวกแกด้วย"

"ไม่... ไม่ต้องขอโทษหรอกเจน พี่ไม่ได้ทำอะไรผิด อีกอย่างพี่ห้ามความตายไม่ให้มาถึงไม่ได้ โลกไม่ได้ทำงานแบบนั้น" สองพี่น้องพยายามไขว่คว้ากอดกันผ่านกระจกที่คั่นพวกเขาเอาไว้ "ที่บ้านจะจัดงานศพของผมกับจอยในสัปดาห์หน้า ผมจะช่วยให้พี่ได้ออกมาแล้วเราจะได้ไปเจอกันนะ"

นัยน์ตาของเจนแดงก่ำ เธอไม่มีเวลามาร้องไห้ฟูมฟายแล้ว เธอจะต้องทวงบัลลังก์คืนจากปีศาจให้ได้

 

เวลานี้อาณาจักรแห่งจิตใจหม่นหมองยังคงหลับใหลเพราะราชายังคงอยู่ในห้องบรรทม งานเฉลิมฉลองยังคงมีอยู่แต่นักเต้นรำลดน้อยลงเพราะพวกเขาเต้นกันจนสิ้นลมหายใจ เจนรักษาตัวในกระท่อมนายพรานสักพัก เขาอธิบายให้ฟังว่าความโกลาหลที่เกิดขึ้นมาจากภายในปราสาทเพราะนับตั้งแต่แต่งตั้งไคล์เป็นราชาและคีธเป็นผู้ปกครอง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปและประชาชนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย นอกจากเป็นเหยื่อจากระบบโครงสร้างที่มีปัญหา

ภรรยาของนายพรานกล่าวเสริมว่า เครื่องดื่มที่คู่แฝดบาร์เทนเดอร์ชงให้ดื่มนั้นเป็นน้ำแห่งการตื่นรู้ ซึ่งสกัดมาจากดอกจันทราสีฟ้าหายากที่เติบโตตามธรรมชาติในป่าลึกเฉพาะฤดูหนาวเท่านั้น คู่แฝดตั้งใจแบบนั้นเพื่อทำให้เจนรู้ตัวว่าตอนนี้อาณาจักรของตนเองเปลี่ยนไปในทิศทางที่ไม่ปกติและต้องรีบแก้ไขก่อนจะสายไป

"การทำสงครามเวลานี้ มีแต่จะเสียเปรียบเพราะไคล์ควบคุมประชาชนได้หมดแล้ว" เจนถอนหายใจ

"ไม่ใช่ทุกคนหรอก รวมถึงแฝดน้องของราชาด้วย"

"มันจะดีเหรอ?" เธอเลิกคิ้วสูง "เจ้ารู้ได้ไงว่าคีธไม่ได้ถูกไคล์ควบคุม?"

"ท่านก็รู้ว่าคีธไม่ได้เห็นด้วยกับไคล์ทุกเรื่อง ข้าคิดว่ามันก็คุ้มจะเสี่ยงเพื่อทวงอาณาจักรของตัวเองคืนนะ" นายพรานพูดเสริม นั่นพอจะเรียกกำลังใจให้เจนได้บ้าง อย่างน้อยการไปพบคีธอาจทำให้ได้อะไรมากกว่าการเพิ่มแนวร่วม นับตั้งแต่ไคล์ได้ครองบัลลังก์เป็นราชา เธอก็ไม่ค่อยได้มีบทสนทนากับคีธเท่าไหร่นัก เธอรู้เพียงว่าคีธเป็นผู้ช่วยหัวดี ฉลาดพูด รอบคอบและคาดเดาได้ยาก

"แต่เราจะเข้าไปเฉย ๆ ไม่ได้"

"เรื่องนั้นเราค่อยวางแผนกันกับเจ้าคู่แฝด พวกเขาช่วยเราได้" นายพรานกล่าว "ตอนนี้ท่านควรพักผ่อนก่อน อาการท่านไม่สู้ดีเลย หน้าก็ซีด ผ่ายผอมไม่มีแรง ท่านทำสงครามสภาพนี้ไม่ได้"

"ไม่ ข้าพักมาพอแล้ว"

 

 

#จมในห้วงความคิด