Trigger Warning: 

- เลือด (Blood)

- ตัวละครตาย (Character dead)

 

โปรดอ่านอย่างมีวิจารณญาณและขอให้มีความสุข


 

 

Rise and Shine, Sweetheart 

 

ไคล์ส่งข้อความหาแฟนสาวเวลาตีห้า เขายังวาดงานส่งลูกค้าไม่เสร็จเพราะมัวแต่คร่ำเครียดกับข่าวโศกนาฏกรรมที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะทราฟัลการ์ เขาเชื่อมาตลอดว่าการหลบมากบดานที่ลิเวอร์พูลจนกว่าเรื่องจะเงียบลงเป็นเรื่องดี แต่เขาลืมไปเลยลูกชายของแบล๊คเห็นทุกอย่างพอ ๆ กับกล้องวงจรปิดซึ่งทำงานตลอด 24 ชั่วโมงในพิพิธภัณฑ์

โศกนาฏกรรมยังคงเป็นคดีที่ปิดไม่ลงโดยมีเด็กหนุ่มทายาทเศรษฐีเป็นพยานเห็นเหตุการณ์ ด้วยความเป็นเด็ก... เด็กไม่เคยโกหก เขาตอบคำถามสื่อเท่าที่ตัวเองจำได้อย่างไร้เดียงสา เขากล่าวถึงศิลปินหนุ่มคนหนึ่งในงานซึ่งมีปัญหากับพ่อของเขาถึงขั้นใช้มีดแทงจนเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล นับว่าโชคดีของไคล์ที่เจ้าหนุ่มน้อยนั่นจำชื่อเขาไม่ได้เพราะหลังออกจากที่เกิดเหตุก็ตกอยู่สภาวะช๊อค ทำให้ความทรงจำในเหตุการณ์นั้นขาดหายไปบ้าง แต่สื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่สืบสวนไม่หยุดเท่านี้ พวกเขาจะสืบจนกว่าจะเจอตัวผู้ก่อเหตุและคนร้ายที่ทำร้ายเศรษฐีตระกูลแบล๊ค 

"แล้วจะทำยังไงต่อล่ะ?" แมวดำพูดพลางเลียขนตัวเอง "ถ้าเจ้าจะหนี คราวนี้อยู่ในประเทศไม่ได้หรอก ออกนอกประเทศเถอะ หนีไปประเทศไทยดีไหม? ประเทศบ้านเกิดคนรักของเจ้าน่ะ ที่นั่นเป็นแหล่งกบดานชั้นดีเลย ตำรวจที่นั่นได้เงินใต้โต๊ะสักหมื่นสองหมื่นก็ยอมเป็นทาสใต้ตีนเจ้าแล้ว"

"ฉันทำงานอยู่ ไม่มีเวลามาคิดเรื่องอื่นหรอก"

"ตามใจ ข้าแค่อยากช่วย"

"ช่วยอยู่เงียบ ๆ จนกว่าฉันจะทำงานเสร็จจะขอบคุณมาก"

แอลป์เชิดหน้าไม่พอใจแต่ก็ไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเจ้านายผู้เอาแต่ใจ เขาไม่เห็นประโยชน์ของการอยู่ตรงนี้จึงบิดขี้เกียจยืดยาวและกลายร่างเป็นมนุษย์หนุ่มผิวเข้มสวมเสื้อยืดกับกางเกงสีดำ เขาลุกไปที่ห้องครัว ค้นหาของกินจุกจิกแล้วไปนอนแผ่บนโซฟาในห้องนอนพร้อมกับเปิดโทรทัศน์ดูช่องสารคดีสัตว์โลก 

"เจ้าจะให้ข้าไปด้วยไหม" แอลป์ตะโกนถามไคล์ขณะที่ขนมเต็มปาก 

"ไปไหน"

"เอดินเบอระไง" 

"ไม่ต้องหรอก อยู่เฝ้าบ้านเถอะ แกไปก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว"

เมื่อได้ยินคำตอบก็กลอกตาเซ็งแซ่ เขากรอกคุกกี้เข้าปากปริมาณมากจนหกเต็มเสื้อแต่สิ่งมีชีวิตกักขฬะไม่สนใจ เขายังคงกินขนมและนอนเล่นบนโซฟาต่อไป เศษขนมร่วงลงพื้นถูกเก็บกวาดด้วยเครื่องดูดฝุ่นอัจฉริยะดังนั้นแอลป์จึงทำบ้านเละเทะโดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกไคล์ด่าในภายหลัง 

ไคล์ทำงานจนเสร็จในชั่วโมงต่อมา เขาส่งงานให้ลูกค้าทางอีเมลแล้วผล็อยหลับไปดัวยความเหนื่อยล้า ข้อมือปวดระบมจากการใช้งานหนักไปโดยไม่ยืดเส้นสาย แอลป์กลอกตาเมื่อเห็นภาพเจ้านายพักผ่อนไม่เป็นเวลา แอลป์ในร่างมนุษย์ถือวิสาสะหยิบเครดิตมาจากกระเป๋าสตางค์ของไคล์เพื่อแวะไปร้านขายยาใกล้อพาร์ตเมนต์

"ซัพพอร์ตมือสองชุดนะคะ" เภสัชกรหลังเคาน์เตอร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม "ปวดข้อมือนานรึยังคะ?"

"ไม่นานครับ... ความจริงก็เพิ่งเป็นเมื่อเช้า"

"พยายามยืดเส้นบ่อย ๆ นะคะ"

"ครับ" แอลป์ตอบกลับพลางส่งบัตรเครดิตให้เภสัชสาว เขากดหมายเลขโทรศัพท์ของไคล์เพื่อยืนยันชำระเงินและเซ็นกำกับใบเสร็จแล้วออกจากร้านไปพร้อมของฝากให้เจ้านายของตัวเอง

ระหว่างทางกลับอพาร์ทเมนต์ก็ผ่านไปเห็นป้ายประกาศภายในละแวกซึ่งเป็นรางวัลนำจับผู้ต้องสงสัยคดีทราฟัลการ์ เป็นผู้ชายสองคน แอลป์ไม่คุ้นหน้าชายในรูปซ้าย ส่วนรูปขวาค่อนข้างลักษณะใกล้เคียงกับไคล์แต่ผมสั้นเรียบแปล่ เชี่ยละ ไม่รู้ตัวบ้างรึไงนะ? ปีศาจชั้นต่ำอย่างแอลป์มีพลังไม่มากแต่มันจะปกป้องเจ้านายเท่าที่ทำได้ มันหลับตาครู่หนึ่งแล้วชายหนุ่มในแผ่นแปะทั้งเมืองก็เปลี่ยนเป็นชายคนอื่น ข้าคงช่วยได้แค่นี้และต่อไปเจ้าต้องจัดการเอง คือความคิดของปีศาจผู้จงรักภักดีก่อนที่มันจะกลับอพาร์ทเมนต์

ขณะเดียวกัน ไคล์ก็หวนกลับสู่อาณาจักรซึ่งบัดนี้อยู่ใต้การดูแลของตนและน้องชายฝาแฝด ปีศาจในหมู่ประชาชนกำลังเติบใหญ่ทีละน้อยในทุกวันคืน เขานั่งจิบชาโดยมีแมวดำนั่งอยู่ด้วย ผู้เป็นราชาคิดไม่ตกเรื่องสถานที่ที่ไม่อาจเข้าถึงในอาณาจักรซึ่งคีธพูดถึงครั้งก่อน ราชินียังคงอยู่ในอาณาจักรทว่าหนีห่างไม่ยอมเข้าราชวังมาสองวันแล้วจนเริ่มเป็นกังวล

"แผนนี้จะดีเหรอ? เจ้าทำให้นางกลัว" 

"ยังไงก็ต้องกลับมา"

เจนหลบหนีความกลัวเข้าสู่ความมืดมิดของพงไพร ภายในป่าลึกมีบ้านของครอบครัวนายพรานซึ่งปลีกวิเวกออกจากอาณาจักรและปกครองตัวเองไม่ขึ้นตรงต่อใคร หล่อนยังคงหลับใหลไม่ฟื้้นแถมยังตัวร้อนจับไข้อย่างน่าเป็นห่วง ผู้เป็นหมอต้มยาสมุนไพรซึ่งหาเก็บได้รอบบ้านพร้อมทั้งกำชับบุตรให้คอยสังเกตอาการราชินีอย่างใกล้ชิด ส่วนนายพรานผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวออกไปล่าสัตว์เป็นอาหารสำหรับสัปดาห์นี้ 

"แม่ ทำไมราชินีมาอยู่ที่นี่เหรอ? ทำไมนางไม่ตื่นสักที?" เด็กไร้เดียงสาถามผู้เป็นแม่ที่กำลังโขลกใบไม้ชนิดหนึ่งซึ่งมีสรรพคุณในการลดไข้ "นี่ก็จะวันที่สองแล้วนะ"

"ราชินีไม่ค่อยสบาย ดูสิ... หน้าแดงแล้วตัวร้อนจี๋เลย" 

"เหมือนนางกำลังอยู่ในฝันร้ายเลย ขยับปากพึมพำอะไรก็ไม่รู้"

"แต่พวกเราก็เป็นความฝันของนางนะ"

ทันใดเสียงเปิดประตู ปั้ง ของผู้เป็นพ่อขัดจังหวะการสนทนาของพวกเขา นายพรานกลับเข้าบ้านพร้อมกับกวางป่าตัวใหญ่ วันนี้เขาใช้เวลาล่าสัตว์นอกบ้านนานเป็นพิเศษเพราะเข้าไปสืบเสาะเรื่องราวในเมือง เขามองว่ามันเป็นเรื่องแปลกที่ราชินีหนีออกมาจากปราสาทด้วยท่าทางหวาดกลัวและเป็นไข้แบบนี้ และความสงสัยนำเขาไปสู่ความเข้าใจเมื่อได้เห็นเองกับตา นักท่องเที่ยวและประชาชนเต้นกันสามวันเจ็ดวันไม่หยุดพักจนกระทั่งล้มตาย ศพของพวกเขาไม่ต่างจากรูปปั้นแกะสลักน้ำแข็งที่น่าสยดสยอง ราชาองค์ใหม่ไม่ดูดำดูดีคนพวกนี้เลยรึไงนะ? คือสิ่งที่นายพรานก่อนจะสาวเท้ากลับบ้านมาโดยไม่สุงสิงกับใครในอาณาจักรเลย 

"ข้ารู้แล้วว่าเป็นเพราะอะไร" เมื่อนายพรานเริ่มพูด ราชินีก็เบิกตาโพลงตื่นขึ้นมาสำรอกฝันร้ายที่เพิ่งพบเจอ หมอต้มยำและลูกสาวช่วยกันรวบผม เตรียมผ้าชุบน้ำให้เพื่อลดไข้ นายพรานหนุ่มพอจะเดาได้ว่าราชินีในโลกความจริงก็คงมีอาการไม่ต่างกันเพราะในฝันของตัวเองยังอาการหนักขนาดนี้เลย แต่พวกเขาจะไม่เริ่มไถ่ถามอะไรมากจนกว่าราชินีจะรู้สึกดีขึ้น 

 

"เจน พร้อมมั้ย"

แทนซึ่งกำลังมาสก์หน้าสูตรแตงกวาเพิ่มความชุ่มชื้นฉ่ำน้ำให้ผิวหน้าถามเจนด้วยความตื่นเต้น เจนพยักหน้าขณะแปรงฟันอย่างใจเย็นเพราะยังมีเวลาอีกราวสองชั่วโมงก่อนที่ถึงเวลาออกเดินทาง พวกเขาเลือกวิธีเดินทางไปเอดินเบอระทางรถไฟเพราะไม่อยากเบียดกับใครในรถโค้ชและแน่นอนว่าพวกเขาไม่มีรถส่วนตัว "แล้วแฟนเธอเป็นไงบ้าง"

"ส่งข้อความมาปลุกตอนตีห้า น่าจะไปหลับต่อมั้งเพราะทักไปก็ไม่ตอบ"

"อืม นี่แหละนะ ชีวิตฟรีแลนซ์" แทนรำพึงรำพัน "ว่าไป... ทิโมธีตื่นรึยังนะ" 

"ลองโทรไปหาดูสิ"

ว่าแล้วแฟนหนุ่มของแทนก็ติดต่อมาหาพอดีราวกับตั้งเวลาเอาไว้ ทิโมธีบอกว่าเขาออกจากบ้านแล้วและกำลังไปที่สถานีรถไฟแถมยังแนะนำให้ทั้งคู่แต่งตัวด้วยชุดหนา ๆ ไว้เพราะวันนี้อากาศหนาว ถ้าไม่มีชุดคลุมก็ควรสวมถุงมือเอาไว้ด้วย ความห่วงใยผ่านน้ำเสียงและคำพูดเหล่านั้น ทำให้ทั้งสองยิ้มกว้าง แทนกล่าวขอบคุณและตอบกลับอีกฝ่ายไปว่า ตนกำลังเสริมสวยและอาจใช้เวลาอีกสักพักเพื่อไปพบกันที่สถานีรถไฟ แน่นอนว่าแทนจะแต่งกายให้ตัวเองอบอุ่นตามคำแนะนำของคนรัก ก่อนจะวางสาย

"ฉันล่ะเบื่อจริง ๆ"

"อะไรของเธอ... เจน" แทนรู้ว่าเจนแซวจึงยิ้มไม่หุบมากกว่าเก่า "คู่ฉันไม่หวานเท่าเธอนะ"

"ไม่ต้องเลย ๆ เมื่อกี้ถ้าทิมอยู่ด้วย เธอคงพุ่งไปกอดเขาแล้วอะ ฉันอ่านรอยยิ้มแบบนั้นออกนะ แต่ยังไงก็เถอะ ทิมน่ารักกับเธอมาก ๆ เลยนะ เธอโชคดีจังที่ได้เจอเขา"

"อืม... คิดแบบนั้นเหมือนกัน ไปเดตคู่จบแล้วแต่งงานเลยได้มั้ย? ฉันรักเขา"

พวกเขาพูดคุยถึงคนรักของตัวเองสักพักในห้องน้ำแล้วแยกย้ายกันเตรียมตัวก่อนออกเดินทาง เจนอาบน้ำชำระร่างกาย ขณะที่หยดน้ำจากฝักบัวหลั่งไหลสู่เรือนร่างของเจน เธอได้ยินเสียงความคิดของเจคอย่างแผ่วเบาจากข้างหลัง เขาพูดว่า "ผมคิดถึงพี่จังเลย" เจนรู้สึกได้ว่ามันใกล้ราวกับกระซิบแต่มันอาจเป็นเพียงความคิดของน้องชายเท่านั้น เธอหันไปข้างหลังก็พบเพียงผนังห้องน้ำว่างเปล่าและไอสีขาวจากฝักบัวที่เปิดน้ำอุ่น 

"เจค กลับมาหาพี่ก่อนสิ"

"ตอนนี้ผมยังคุยกับพี่ไม่ได้ ไว้ผมจะมาหาใหม่"

มีเพียงคำพูดตอบกลับจากเจคเท่านั้น ตัวตนของเขาไม่ได้ปรากฏให้เห็นเหมือนทุกที เจนทำใจยอมรับอย่างนั้นแล้วล้างสบู่ออก ใช้ผ้าเช็ดตัวห่อร่างกายแล้วสวมชุดชั้นในกับเสื้อยืด กางเกงขายาวที่เตรียมไว้ เธอแขวนผ้าเช็ดตัวไว้ดังเดิมก่อนจะออกมาจากห้องน้ำ ถามหาโทรศัพท์กับแทนเพื่อส่งข้อความไปหาครอบครัวที่ประเทศไทย 

 

"ทุกคนสบายดีมั้ยคะ? ที่นั่นตอนนี้เป็นยังไงบ้าง? ตอบกลับมาหน่อยน"

เจนกระหน่ำนิ้วมือบนแป้นพิมพ์โทรศัพท์ด้วยความร้อนใจ ก่อนจะลบทิ้งเหลือเพียง

"ทุกคนสบายดีมั้ย? ที่นั่นตอนนี้เป็นไงบ้าง?" แล้วกดส่ง

 

"โอเคมั้ย?" แทนสังเกตอาการของเจนได้จึงรู้สึกกังวลตามไปด้วย "นี่..."

"ไม่... เมื่อกี้เจคมาหาฉัน เหมือนเขามาเตือนอะไรสักอย่าง ฉันกลัวเกิดเรื่องไม่ดีกับน้อง"

ทีแรกแทนนิ่งไปเมื่อได้ยินสิ่งที่เจนพูดถึงน้องชายของเธอ มันจะเป็นไปได้ด้วยเหรอที่น้องชายซึ่งอยู่ประเทศไทยจะมาหาเจนเมื่อไม่กี่นาทีก่อน แถมยังส่งสารข้อความมาให้อีก แต่คิดอีกแง่คือ เจนเป็นห่วงน้อง ๆ มากถึงได้คิดมากจนเป็นแบบนี้ 

"ใจเย็นก่อนนะ เธอส่งข้อความไปหาเขาแล้วนี่ ถ้าเขาตอบกลับมาก็คงไม่มีอะไรต้องห่วง ใช่มั้ยล่ะ?"

"อืม แต่ก็อดคิดไม่ได้อะ เข้าใจใช่มั้ย?"

"เข้าใจ ทีนี้ก็พยายามทำตัวสดใสไว้นะ วันนี้จะเป็นวันดี ๆ อีกวันของเธอ"

แทนดึงแก้มทั้งสองข้างของเจนเพื่อยกมุมปากให้เป็นรอยยิ้ม เขาสวมกอดร่างบางนั้นไว้แล้วสวมผ้าพันคอสีดำไว้ให้ เจนฝืนยิ้มให้เพื่อนเห็น ทำให้แทนสบายใจว่าเธอไม่เป็นอะไร ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมสีดำตัวหนึ่งออกมาจากตู้เสื้อผ้ามาสวม แล้วทั้งสองก็ออกเดินทางจากหอพักไปยังสถานีรถไฟไลม์สตรีท 

 

วันนี้จะเป็นวันดี ๆ อีกวันของเธองั้นเหรอ หวังแบบนั้นเหมือนกัน เจนคิดแบบนั้นตลอดทาง

 

สองคู่รองเท้าบูทผ้าใบสีดำย่ำไปตามทางฟุตบาทเรียบสีเทา ท้องฟ้าจากสีมืดแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าพร้อมแสงสีทองของรุ่งสาง แทนฮัมเพลงทำนองคริสต์มาสอย่างมีความสุขจนสังเกตได้ รอยยิ้มของแทนทำให้เจนรู้สึกดีขึ้นเพราะเป็นพลังบวกเดียวใกล้ตัว ยี่สิบนาทีจากหอพักมาถึงสถานีรถไฟ ทั้งสองเห็นว่าทิโมธีมารออยู่แล้วพร้อมกับกาแฟร้อนในมือสำหรับสี่คน

"ไคล์ยังไม่มาอีกเหรอ" เจนถามคำถามที่ตัวเองรู้คำตอบเพราะไม่มีแม้แต่เงาหัวของคนรัก 

"ลองทักไปถามดีมั้ยครับว่าตอนนี้ถึงไหนแล้ว" ทิโมธีแนะนำพร้อมกับยื่นแก้วกาแฟร้อนให้เจน เธอกล่าวขอบคุณและรับแก้วไว้พลางส่งข้อความไปหาไคล์ "แต่ความจริงก็ไม่ต้องรีบก็ได้นะ ยังมีเวลาอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาขึ้นรถไฟ ระหว่างนี้ไปหาที่นั่งกันเถอะครับ"

เจนฉุกคิดได้ว่า ทำไมทิโมธีและแทนถึงคบกันได้ เพราะพวกเขาเป็นคนใจเย็นและปลอบใจคนเก่งเหมือนกัน อย่างน้อยพวกเขาก็ทำให้คนรอบข้างสบายใจได้ ขณะที่กำลังรอให้ไคล์ตอบกลับมาหา ทางฝั่งครอบครัวที่ไทยก็โต้ตอบกลับมาแล้ว พวกเขาบอกว่าสบายดี ไม่มีอะไรต้องห่วง แม้นั่นจะทำให้เจนรู้สึกสบายใจขึ้นบ้างแต่เธอยังสงสัยอยู่ว่า เจคมีอะไรจะบอกกับเธอรึเปล่า 

ทั้งสามนั่งรอไคล์ที่ร้านกาแฟ พวกเขาอังมือไว้กับแก้วกาแฟร้อนของตัวเองและพูดคุยเรื่องจิปาถะ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยจนเกือบได้เวลาขึ้นรถไฟแล้ว ไคล์ยังคงไม่ปรากฎตัวให้ได้เห็น 

"นานเกินไปแล้วนะ ฉันไม่อยากคิดหรอกว่าเขาจะยังไม่ตื่นหรืออะไรที่แย่กว่านั้น แต่ถ้าสิบห้านาทีนี้ ไคล์ยังไม่มา เราคงต้องเจอเขาที่เอดินเบอระแล้วล่ะ" เจนบ่นอุบอย่างหัวเสีย ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เมื่อไม่เห็นวี่แววของคนรักเลย ทั้งที่ซื้อตั๋วรถไฟและเตรียมแผนสำหรับท่องเที่ยวไว้แล้ว 

"ที่รัก อย่าใจร้ายแบบนั้นสิ แบตโทรศัพท์ผมหมดน่ะ" ไคล์โผมากอดเจนจากข้างหลังทันทีหลังจากที่เธอพูดจบ 

"ฉันใจร้ายเหรอ?" เธอหันไปถามทิโมธีและแทน ทั้งสองยิ้มแห้งแทนการให้คำตอบ "ก็ติดต่อคุณไม่ได้เลย แถมคุณยังมาช้าจนเกือบตกรถไฟ ฉันกลัวว่าเราจะไม่ได้ไปด้วยกัน แค่นั้นเอง"

"ไม่ต้องดุแล้วนะ ผมอยู่นี่แล้ว" ไคล์โอบใบหน้าเล็กของแฟนสาวแล้วประทับจูบบนริมฝีปาก ลิ้มรสกาแฟจากลิ้นชมพู ก่อนจะถอนริมฝีปากออก

"อ้อ ไคล์ นี่ทิโมธี แฟนของแทน และทิโมธีคะ นี่คือไคล์ แฟนของฉันเองค่ะ"

"ยินดีที่ได้รู้จักครับ"

สองหนุ่มจับมือทำความรู้จักกัน แม้ไคล์ยิ้มทักทายอย่างเป็นมิตร แต่ทักษะการมองคนของทิโมธีก็รู้สึกได้ทันทีว่า ไอ้หมอนี่มีบางอย่างแปลก ๆ แต่เขาจะไม่ใช้สัญชาตญาณของตัวเองทำลายเดตคู่ครั้งนี้แน่ จนกว่าจะถึงเวลาเหมาะสม พวกเขาทั้งสี่สะพายกระเป๋าเป้พร้อมเดินทางสู่เอดินเบอระ เมืองเรื่องราวประวัติศาสตร์แห่งสกอตแลนด์ 

 

#จมในห้วงความคิด