4 ตอน เป็นคนอื่น
โดย GreySweater
"เจน กลับมาแล้ว~ มีเรื่องอยากคุยด้วยเต็มเลยล่ะ"
แทนตะโกนเสียงหวานเมื่อไขกุญแจห้องพักเวลาสี่ทุ่มครึ่ง เขาถอดรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อไว้หน้าห้อง หน้าห้องเต็มไปด้วยรองเท้าของสองคู่หู -- ส่วนใหญ่จะเป็นรองเท้าของแทนเพราะเขาเป็นทาสการตลาดตัวเป้ง ถ้าแทนร่ำรวย เขาอาจซื้อรองเท้าสัปดาห์ละครั้ง มือทั้งสองข้างหอบหิ้วถุงพะรุงพะรังเพราะเพิ่งซื้อวัตถุดิบมากมายสำหรับการทำอาหาร และเขาไม่ลืมซื้อเบียร์หนึ่งแพ็คเพื่อเพิ่มอรรถรสในการเม้ามอยกับเจน เจนไม่ค่อยติดเบียร์ แต่ถ้าเป็นไปได้อยากดื่มทุกคืนสุดสัปดาห์ ทว่าห้องกลับเต็มไปด้วยความเงียบอันว่างเปล่า ไม่มีเสียงตอบรับจากรูมเมตของเขา "หลับเหรอ?"
เมื่อเปิดประตูห้องนอน เขาพบว่าผ้าห่มถูกพับเรียบร้อยที่ปลายเตียง ไม่มีร่างเล็กของเพื่อนสาวตรงโต๊ะทำงาน แทนเพิ่งรู้สึกเหงาขึ้นมาแปลกๆเมื่อรูมเมตไม่อยู่ แต่เจนคงมีสถานที่และคนของเธอต้องไปหาเช่นเดียวกับเขาที่มีเดตเมื่อตอนบ่ายกับนักร้องหนุ่ม แทนพิจารณาอย่างเข้าใจดังนั้นเขาจึงไม่โทรตามเจน แค่ส่งข้อความไปหา
"กลับมาแล้ว ซื้อเบียร์มาด้วยแหละ"
ห้าชั่วโมงก่อนหน้านี้
ซิตี้เซนเตอร์ สถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านขวักไขว่ เต็มไปด้วยคนพื้นที่และนักท่องเที่ยว เสียงขับลำนำของนักร้องเปิดหมวก ฝีเท้ากระแทกลงพื้นของเหล่านักแสดงข้างทาง ลิเวอร์พูลเป็นดั่งอาณาจักรแห่งความสุขซึ่งจัดงานเต้นรำทุกวันคืนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย รอยยิ้มเปื้อนใบหน้าประชาชนบ่งบอกถึงชีวิตที่มีคุณภาพ
แม้ว่าประชาชนเหล่านั้นจะอัดมวนบุหรี่ สูดกัญชาเข้าปอดรุนแรง ผู้หญิงจุมพิตกันและกันอย่างดูดดื่ม ผู้ชายสวมกระโปรงกับรองเท้าส้นสูงเดินเฉิดฉายท่ามกลางฝูงชน ทว่าสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น ไม่มีข้อใดเป็นความผิดเพราะมันคืออิสระของการเป็นตัวเอง เพราะความรักก่อตัวโดยไร้ข้อกำหนดทางเพศสภาพ ความสงบจะมาถึงเมื่อผู้คนเลิกตัดสินกันและกันจากรูปลักษณ์ภายนอก
ยินดีต้อนรับสู่เดือนแห่งความภาคภูมิใจ เทศกาล Pride ถูกจัดในเดือนมิถุนายนเพื่อเฉลิมฉลองให้กับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศที่ถูกมองข้ามและเหยียดหยามอย่างไร้ค่า วันนี้พวกเขาคือกลุ่มคนที่มีความสุขที่สุด เต้นรำโดยไม่ต้องสวมหน้ากากปิดบังตัวตน แลกลิ้นจูบกับคนรักโดยไม่ต้องเขินอาย
ตริ๊ง!
[You got 1 message from Dad]
เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าทำลายช่วงเวลาแสนสงบของแทนในคาเฟ่เบเกอรี่แต่งร้านด้วยสีฟ้าสดใส แทนวางส้อมสแตนเลสสีเงินลงบนจานเค้กวอลนัท เมนูขนมหวานกรีกพื้นเมืองที่ทางร้านแนะนำ เขาตอบข้อความพ่อด้วยสองมือที่ถือโทรศัพท๋
(เป็นไงบ้างแทน เรียนหนักไหม ไม่ติดต่อกลับมาเลยนะ)
แทนไม่ได้ติดต่อกลับไปหาครอบครัวเป็นเวลาสองเดือน นับตั้งแต่วันแรกที่เครื่องลงสนามบินแมนเชสเตอร์ นั่งรถโดยสารมาถึงมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูลภายในเวลาชั่วโมงครึ่งและเก็บของเข้าหอพักใน เขาติดต่อกลับหาครอบครัวเพียงแค่ตนเดินทางปลอดภัยและจะตั้งใจเรียน แค่นั้น...
"เรื่อยๆครับพ่อ"
(ที่นั่นกี่โมงแล้วล่ะ)
"บ่ายสองครับ เวลาของผมเร็วกว่าพ่อหกชั่วโมง"
(อยู่นั่นก็ระวังตัวนะลูก ต่างถิ่นอันตราย)
แน่นอนว่าทุกที่ย่อมมีอันตรายทั้งที่เห็นได้และแอบซ่อน ไม่ใช่แค่เมืองนอกห่างไกลบ้านเกิด แทนถอนหายใจไม่รู้จุดประสงค์แท้จริงของพ่อที่ติดต่อหาเขา ท่านคิดถึงเขาจริงๆหรือมีเหตุผลอย่างอื่นซ่อนไว้ เกลียดความรู้สึกนี้ชะมัด... การไม่ไว้ใจคนใกล้ตัว เขานึกกำหมัดเกลียดตัวเองยิ่งกว่าที่ยังเสแสร้งเป็นคนอื่นทั้งที่ตอนนี้อิสรภาพอยู่ในมือแล้ว แทนวางโทรศัพท์บนโต๊ะโดยไม่ตอบกลับทันที ตักเค้กเข้าปากด้วยส้อมคันเดิม
แทนเป็นคนอื่นมาตลอด -- ชีวิตวัยเรียนไม่สนุกเมื่อการกลั่นแกล้งผู้แปลกแยกเริ่มก่อตัวแล้วสืบทอดต่อกันกลายเป็นวัฒนธรรมน่ารังเกียจ ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนหรือคุณครู พวกเขาล้อเลียนและหัวเราะเยาะกับสิ่งที่ไม่เข้าพวกราวกับเล่นเกมจับภาพผิดเพราะจุดด่างพร้อยจะถูกกำจัดทิ้ง ทุกปีในทุกโรงเรียนทั่วประเทศจะมีผู้สูญหายจากความทรงจำหนังสือรุ่นอย่างน้อยห้าถึงสิบคนและไม่มีใครพูดถึงพวกเขาอีกราวกับไม่เคยมีอยู่ วิธีเอาตัวรอดจากการหายตัวไปคือหลบซ่อนไม่ให้ตัวเองเป็นจุดสนใจ เด็กหนุ่มตาเศร้าพบสังคมที่มีความสุขกว่าที่สถาบันกวดวิชาขณะเรียนประถมศึกษาตอนปลายและห้องชมรมวารสารตอนกำลังขึ้นชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ขณะซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังเลนส์ เขาได้เจอกับพ่อหนุ่มกล้ามดาวเด่นจากชมรมบาสเกตบอลตอนนั้นล่ะ
เรียกว่ารักแรกพบก็ไม่ผิด หนุ่มน้อยแทนวัย 16 ปีพกกล้องตัวใหญ่ไปโรงเรียนในฤดูกาลแข่งกีฬาสี ผู้นำเชียร์และนักกีฬาเรียนครึ่งวันเพื่อซักซ้อมสำหรับการแข่งขันดุเดือด ส่วนผู้ไม่ค่อยเกี่ยวข้องอย่างเขาต้องทนรอถึงเวลาเลิกเรียนเพื่อโลดแล่นไปตามพื้นที่ในโรงเรียนพร้อมกับกล้องและเลนส์ซูมคู่ใจ
"เฮ้ย ระวัง!!" ต้นตอเสียงตะโกนมาจากสนามกีฬาตามด้วยแรงกระแทกจากลูกบาสเกตบอลสีส้ม เด็กหนุ่มหลับตาแน่นใช้แผ่นหลังแคบป้องกันกล้องถ่ายภาพของเขาซึ่งราคาเท่ากับครึ่งหนึ่งของค่าเทอม แทนเปิดตาเมื่อความเจ็บแปลบที่หลังหายไป ร่างสูงกำยำสวมเสื้อกั๊กสีน้ำเงินหมายเลข 7 ยื่นมือจับหัวไหล่ของเขาแสดงสีหน้าเป็นกังวลปนกับโมโห "เป็นอะไรรึเปล่า เจ็บตรงไหนไหม"
"ไม่ฮะ แค่กล้องไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว"
"เหอะ ถ้าบอลโดนหัวนาย จะไม่ใช่แค่กล้องที่เป็นนะ"
เริ่มต้นไม่ค่อยสวยเท่าไหร่สำหรับการสนทนากันครั้งแรก อย่างไรก็ดี... เขาไปนั่งดูการซ้อมบาสเกตบอลทุกเย็นจากอัฒจันทน์ชั้นบนสุดเพื่อหลีกเลี่ยงประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ซื้อน้ำเปล่าให้รุ่นพี่บ้างเมื่อมีโอกาสจนกระทั่งหมดฤดูกาลแข่งกีฬา ภาพถ่ายรุ่นพี่หมายเลขเจ็ดทำคะแนนสามแต้มในห้าวินาทีสุดท้ายก่อนจบเกมจากกล้องของแทนได้ถูกนำไปใช้ในวารสารเมื่อสีน้ำเงินเป็นผู้ชนะในแข่งขัน
แม้ว่าขึ้นชั้นมัธยมปลายการกลั่นแกล้งในหมู่นักเรียนจะเบาบางลงเพราะแต่ละคนเริ่มกังวลกับมหาวิทยาลัยในอนาคตและการเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ทว่าการสารภาพความรู้สึกต่อรุ่นพี่ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี สังคมโรงเรียนคาทอลิกไม่ยินดีต่อความรักที่ขัดต่อประสงค์เดิมของพระเจ้า หากเขาพูดออกไป... เขาจะกลายเป็นคนบาป เป็นหนึ่งในผู้สาปสูญและตัวตนของเขาสำคัญเกินกว่าใครจะทำให้มันหายไป จนถึงทุกวันนี้รุ่นพี่หมายเลขเจ็ดก็ยังไม่รู้ แทนยังเก็บความทรงจำเหล่านั้นไว้ในไฟล์ภาพถ่าย เก็บไว้นานจนลืมว่าความรักไม่จำเป็นต้องรอคำอนุญาตจากใครหรือหลักศาสนา
กรุ๊งกริ๊ง ประตูคาเฟ่เปิดออกเรียกสติของแทนให้กลับสู่ปัจจุบัน เสียงซาฝนเล็ดลอดผ่านเข้ามาพร้อมกับชายหนุ่มร่างสูงเรือนผมน้ำตาล มือใหญ่สางผมปรกหน้าเปียกปอน ข้างนอกฝนกำลังลงเม็ดและทิโมธีไม่ชอบพกร่ม ร่างสูงสังเกตเห็นหนุ่มเอเชียร่างเล็กกำลังนั่งกุมขมับเพียงลำพังที่โต๊ะริมหน้าต่าง แน่นอนว่าเป็นใครไม่ได้นอกจากแทน ทิโมธีมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง เขามาตรงเวลาดังนั้นเขาไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เด็กหนุ่มเครียดแน่
"สวัสดีครับ แทน"
"ไฮ ทิโมธี"
"คุณมาถึงเร็วจัง ทั้งที่ฝนตกแท้ๆ" ใบหน้าคร่ำเครียดของแทนถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มเมื่อชายหนุ่มนักร้องปรากฎตัว ทิโมธีนั่งลงตรงข้ามเขา ถอดโค้ทสีดำวางพาดไว้กับเก้าอี้ เขายกมือเรียกบริกรเพื่อขอเมนู ดวงตากวาดมองตัวหนังสือสีฟ้าในกระดาษเมนูครู่หนึ่ง ทิโมธีสั่งลาเต้เย็นกับแพนเค้กกรีกราดด้วยโยเกิร์ต แยมเชอร์รี่และน้ำผึ้ง แทนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตอบแชทพ่อไปพลางๆแต่คงจะไม่ใช้เวลานานหรอกเพราะนัดสำคัญของเขานั่งอยู่ตรงหน้าแล้ว
(วันนี้พวกตุ๊ดเกย์เขาจัดงานอะไรกันน่ะ)
เฮอะ อยากรู้ก็เสิร์ชกูเกิ้ลเอาสิ ใช้โทรศัพท์เก่งแล้วนี่ แทนย่นคิ้วเมื่อเห็นคำถามของพ่อ พ่อของแทนเป็นข้าราชการในวันจันทร์ถึงศุกร์ วันเสาร์อาทิตย์เป็นผู้เผยแพร่ศาสนา เรือนผมและเคราสีดอกเลาตามอายุอานาม ใบหน้าเคร่งขรึมไม่ค่อยเป็นมิตรแต่ยิ้มแย้มให้ผู้มีอุดมการณ์ร่วมกัน ท่านเป็นพวกอนุรักษ์นิยม ไม่ปรับตัว เคร่งศาสนาและเชิดชูเผด็จการ พ่อรังเกียจพวกแต่งหญิงและรักร่วมเพศโดยอ้างว่าพวกเขาคือผู้บิดเบือนต่อพระประสงค์เดิมของพระเจ้าเท่ากับการทำบาป -- ท่านสร้างเพศชายและหญิงเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์มนุษย์ พวกรักร่วมเพศไม่สามารถสืบพันธุ์ได้ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่อาจดำรงอยู่ แทนแสร้งทำเป็นเข้าใจทั้งที่คิดแย้งว่า พ่อไปยุ่งอะไรกับเขาด้วย พวกเขาไม่เห็นสนใจเลยว่าพระเจ้าของพ่อมีจริงไหม เช่นเดียวกับที่ไม่สนว่าสวรรค์กับนรกหน้าตาเป็นยังไงนั่นล่ะ
"ผมมีเดต แค่นี้นะพ่อ ไว้จะติดต่อกลับไป"
"ขอโทษนะฮะ พ่อทักมาหาน่ะ"
"ไม่เป็นไรหรอก คุณมาจากไหนนะครับ?"
"ประเทศไทยครับ"
ทิโมธีทำหน้าประหลาดใจเมื่อได้คำตอบจากคู่สนทนา เขาเดินทางมาไกลเชียวล่ะเพื่อล่าใบปริญญาใบที่สองในชีวิต นักร้องหนุ่มบอกว่าเขาเคยลองทานอาหารไทยอยู่บ้าง เขาชอบสีของแกงเขียวหวานไก่แต่ชอบความเผ็ดร้อนของผัดขี้เมาทะเล แทนประหลาดใจกว่าที่ทิโมธีรู้จักอาหารสตรีทฟู๊ดมากกว่าผัดไทยและต้มยำกุ้ง นั่นก็เพราะภรรยาของฟีลิกซ์เป็นคนไทย ทุกครั้งที่ทิโมธีแวะไปบ้านของฟีลิกซ์ หล่อนมักทำอาหารไทยให้ทานเสมอ
"อย่างน้อยก็ได้ทานอาหารไทยเดือนละ 7 วันเพราะผมต้องไปอัดเสียงที่บ้านฟีลิกซ์ หล่อนทำอร่อยมากเลยล่ะ"
"ผมทำให้ทานก็ได้นะ"
"ฮ่าๆ ไว้คราวหลังแล้วกันครับ"
สิบนาทีต่อมา รายการที่สั่งวางเสิร์ฟบนโต๊ะโดยบริกรคนเดิม พวกเขาพูดคุยถึงชีวิตของตัวเอง แทนพูดเรื่องชีวิตนักศึกษา ส่วนทิโมธีพูดเรื่องความรักและเพลง พวกเขาพอจะมีรสนิยมด้านดนตรีที่ตรงกันอยู่บ้างเพราะแทนชอบเพลง R&B กับฮิปฮอป แม้ว่าโลกมีแนวเพลงหลากหลายแต่เพลงสองแนวนี้คือเพลย์ลิสต์ที่แทนย้อนกลับมาฟังบ่อยที่สุด พวกเขาชอบแรปเปอร์ชาวเกาหลีคนเดียวกันด้วย
"บ้าไปแล้ว ไม่น่าเชื่อ ผมอยากทำเพลงเพราะเขาเลยนะ" ทิโมธีเผลอร้องเสียงดัง
"โลกกลมไปหน่อยนะ ว่าไหม"
"เหอะ"
ขนมและอาหารในจานหมดเกลี้ยงเหลือเพียงกาแฟลาเต้ในแก้วทรงสูง
"คุณเริ่มร้องเพลงนานรึยัง"
"อืม... เท่าที่จำได้ ผมเริ่มร้องตั้งแต่เด็กๆเลยล่ะ เข้าร่วมชมรมประสานเสียงตอนอายุ 14 แล้วก็ไปร้องเพลงในโบสถ์ ถ้าอยากรู้ว่าทำไมถึงเริ่มร้องเพลง ก็เหมือนกับใครๆที่จะฮัมเพลงตามเพลงที่ชอบแล้วเอาทำนองนั้นออกจากสมองไม่ได้จนเริ่มเปล่งเสียงร้องออกมาในที่สุด ผมคิดว่าผมตกหลุมรักเสียงของตัวเองมั๊ง"
เหมือนกับที่ผมตกหลุมรักเสียงคุณเลย แทนคิดในใจ
"แล้ว... คุณเริ่มทำเพลงเองเมื่อไหร่เหรอ"
"สองสามปีที่แล้วนี่เอง ไม่ได้โด่งดังอะไรแค่ร้องเพลงข้างทาง"
"คนติดตามคุณก็หลายหมื่นนะครับ" แทนยื่นโทรศัพท์แสดงหน้าจอแสดงผลในแอพพลิเคชั่นฟังเพลงสีเขียว ผู้ติดตามของชายหนุ่มสีม่วงขึ้นมาถึงสองหมื่นคนแล้ว ทิโมธีคลี่รอยยิ้มให้คู่สนทนาที่สนใจในตัวเขาเป็นพิเศษ "ถือว่าเยอะนะครับสำหรับนักร้องเปิดหมวกและโปรดิวซ์เพลงเองน่ะ"
"มันก็ทัชใจดีนะที่มีคนได้ยินเสียงของเราถึงสองหมื่นคนน่ะ"
"ใช่ไหมล่ะ"
"เสียงของทุกคนมีความหมายและควรค่ากับการรับฟัง ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้อง เสียงพูดหรือแม้แต่เสียงธรรมชาติ"
"เท่จัง" แทนหลุดปากชมขัดจังหวะ กว่าเขาจะรู้ตัว... คาเฟ่ก็ปกคลุมไปด้วยความเงียบ ไร้ความเคลื่อนไหวเหลือเพียงชายหนุ่มสองคนนั่งสบตากันที่โต๊ะริมกระจก แทนเขินกับการกระทำยั้งคิดของตัวเอง เขาหน้าแดงไปถึงหู ส่วนอีกฝ่ายคลี่รอยยิ้มอีกครั้ง ทิโมธีรู้สึกดีเสมอที่ทำให้คนหนึ่งคนปลื้มใจ "หมายถึงทัศนคติของคุณน่ะ มันเท่มากเลยนะ"
"อยากเปลี่ยนบรรยากาศไหม"
"เอาสิ ว่าแต่พวกเราจะไปที่ไหนกัน"
"เดี๋ยวผมพาไป"
ทั้งสองออกจากคาเฟ่เมื่อพื้นคอนกรีดแห้งสนิท ทิโมธีเดินนำลิ่วไปยังเทศกาลดนตรีซึ่งจัดขึ้นไม่ไกลจากคาเฟ่ที่พวกเขานั่ง ตลอดทางแทนเห็นคนท้องที่และนักท่องเที่ยวถูกแต่งแต้มด้วยสีรุ้ง บางคนผูกผ้าโพกหัวสีรุ้ง บางคนแปะแทททูที่ใบหน้า แม้แต่เด็กเล็กยังถือธงจิ๋วสีรุ้ง ช่างเป็นภาพที่สวยงาม
"เฮ้ คุณคงต้องรีบเดินหน่อย วันนี้คนเยอะ เดี๋ยวก็หลงกันหรอก"
"ครับ~"
โอ พระเจ้า นี่ผมกำลังเดตกับนักร้องจริงเหรอ แทนคิดขณะเดินตามชายร่างสูงกว่า กลุ่มคนพลุกพล่านขวักไขว่เดินสวนทางกันไปมาเพื่อจุดหมายของตัวเอง วันนี้เขาพูดขอโทษเกินร้อยครั้งเห็นจะได้ ขณะเบียดร่างเล็กเพื่อผ่านไปหาทิโมธีที่ห่างออกไปไกลแล้ว รอด้วย แทนตะโกนหาหนุ่มนักร้อง
"มาเร็ว"
แฮก...
แฮก...
เทรนด์วิ่งตามผู้ชายไม่เคยเป็นเรื่องสนุกโดยเฉพาะการวิ่งตามผู้ชายในงานเทศกาลแบบนี้ นึกบ่นว่าหากเขาขายาวหรือสูงกว่านี้อีกสักห้าเซน เขาอาจจะตามทิโมธีทันก็เป็นได้ แต่ตอนนี้พวกเขามาถึงงานเทศกาลดนตรีแล้ว พวกเขาถูกรายล้อมด้วยกลุ่มคนและผู้สนับสนุนชาวสีรุ้งในลิเวอร์พูล แน่นอนว่าที่อื่นก็คงเหมือนกัน แทนแหงนมองชายร่างสูงกว่าที่ยืนร้องเพลงข้างกาย
"คุณเท่จริงๆนะ"
Don't forget the words I said,
Picking you up when you're feeling down.
You keep strung on thoughts left in your head.
When you lose hope, soon you will be found.
Khalid - Know your worth
นักร้องหนุ่มวัย 21 ปีขึ้นแสดงคอนเสิร์ตร้องเพลงใหม่ล่าสุดของเขา ปลุกใจเหล่าชาวสีรุ้งและแฟนเพลงนับหมื่นแสนคนให้ร้องตามเพื่อฉลองเดือนที่เสียงพวกเขาได้รับการฟัง ปีนี้หมดยุคแล้วสำหรับการปิดหู เฮลิคอปเตอร์โผบินผ่านบนน่านฟ้าสีเทาเพื่อถ่ายทอดสดบรรยากาศเทศกาลดนตรีในลิเวอร์พูลเพื่อฉายให้ทั่วโลกได้เห็นการเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ในรอบปี นี่เป็นการร่วมเทศกาลไพรด์ครั้งแรกในชีวิตของทั้งคู่แต่ที่นี่ไม่มีใครแปลกแยกหรือเป็นคนอื่น
ทิโมธีก้มมองร่างเล็กกว่า โน้มตัวกระซิบข้างหูเพราะเสียงอื่นดังเกินไป
"ไม่ว่าคุณจะผ่านอะไรมาถึงต้องถ่อมาถึงที่นี่ จำไว้นะว่าเสียงของคุณมีค่าเสมอ"
"ขอบคุณนะครับ เสียงของคุณก็มีค่าเหมือนกัน"
เนื้อเพลงและคำพูดของทิโมธีกอดกุมหัวใจให้รู้สึกอบอุ่นเหมือนผ้าห่มนุ่มสบายบนเตียง แทนหน้าแดงอีกครั้ง ครั้งนี้ร้อนกว่าเมื่อตอนบ่ายที่เขาเผลอทำให้ตัวเองอับอาย โลกรอบตัวเรากำลังหยุดหมุน เข็มนาฬิกาที่หน้าปัดหยุดเดิน ตอนนี้คือเวลาของเราหากคุณไม่รีบร้อน ผมอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้ต่อไปด้วยจูบเดียวที่ไม่เคยมอบให้ใคร ทั้งสองสบตากันเนิ่นนานจนกระทั่งนักร้องหนุ่มเป็นฝ่ายเริ่ม เขาโน้มตัวกระซิบข้างหู เครื่องพิมพ์ดีดในจินตนาการของเขาอันตรธานเพื่อกลับสู่โลกความจริงที่ทั้งคู่ต้องตะโกนคุยสู้เสียงรอบข้าง
"คุณอยากไปที่ไหนต่อรึเปล่า"
"ผมจะตามคุณไปทุกที่เลย"
"งั้นผมจะเดินช้าๆ เผื่อคุณจะตามทัน"
เมื่อเพลงจบลง ฝีเท้าสวมรองเท้าผ้าใบสองคู่ของสองหนุ่มเดินฝ่านักท่องเที่ยวไปยังอีกซุ้มแสดงคอนเสิร์ต จากอาร์แอนด์บีเป็นเฮ้าส์อึกทึก ท้องฟ้ายังคงสว่างเป็นสีฟ้าในเวลาหกโมงกว่า ชูมือขึ้นเหนือศรีษะปรบมือตามจังหวะโชว์รอยสักชั่วคราวสีรุ้งที่ข้อมือ หัวใจ 128 บีพีเอ็มกำลังเต้นเร่ารอบตัวนักร้องหนุ่มราวกับก้อนเนื้อเหล่านั้นจะทะลักออกมาจากเนื้อหนังมังสา เขาฝันว่าสักวันตัวเองมีโอกาสได้ไปแสดงคอนเสิร์ตบนเวทีนั้น มองดูหัวใจ 128 บีพีเอ็มจากตรงนั้น
ลองนี่ไหม
อะไรน่ะ?
แลบลิ้นออกมาสิ
เม็ดยาก้อนกลมวางบนลิ้นร้อนกระดกตามด้วยเหล้าหมดแก้ว เสียงเพลงปลุกเร้าความตื่นเต้น การเต้นรำเปรียบเหมือนการทำพิธีอัญเชิญอย่างบ้าคลั่งสิ้นสติด้วยฤทธิ์ยาเสพติดไม่ทราบชื่อจากทิโมธี ร่างกายชาดิกจากปลายนิ้วสู่ปลายเท้าทว่าหยุดเต้นไม่ได้ นักท่องเทียวและคู่รักหลายคู่กำลังหลอมละลายเหมือนไอศกรีมหน้าร้อนขณะแลกลิ้นจูบ บางคนมีเขาแหลมงอกจากขมับ บางคนมีปีกประหลาดเหมือนค้างคาวงอกมาจากหลังและแทนเห็นมงกุฏเทวดาของทิโมธี
ชายหนุ่มผู้ไม่ศรัทธาหรือเชื่อเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติพยายามคว้ามือจับมงกุฎ อยากสัมผัสมันด้วยตัวเองจากร่างสูงกว่าสิบเซนติเมตร หากเขาได้สวมมงกุฎตนอาจได้เป็นเทวดาเหมือนเช่นเขาก็ได้ ทว่าจากสายตาของนักร้องหนุ่มผู้วางยากลับเห็นแทนเหมือนเด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งที่กำลังเล่นหัวของเขา
"คุณกำลังพยายามทำอะไรอยู่เหรอ"
"ผมอยากได้มงกุฎของคุณ"
"เอ๋? มงกุฎอะไรของคุณ ผมไม่มีหรอก"
"ไม่มีได้ไง ผมเห็นอยู่อะ"
"ฤทธิ์ยาหลอนประสาทน่ะ ไปจากที่นี่กันเถอะ"
แทนเลิกคิ้วทว่าไม่มีโอกาสได้ถาม อีกครั้งที่ทั้งสองเดินฝ่าฝูงชนไปยังสถานที่ที่ร้างผู้คน พวกเขาเดินออกมาจากซิตี้เซนเตอร์ไปยังถนนโบลด์สตรีทซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์เซนต์ลุค โบสถ์แองกลิแคนคริสเตียนเก่าแก่ของเมืองลิเวอร์พูลซึ่งครั้งหนึ่งในสมัยสงครามนั้นถูกระเบิดลงเมื่อปี 1941 นับตั้งแต่นั้นทำให้โบสถ์ไม่มีหลังคา แทนยังเห็นภาพหลอนอยู่ตลอดทางเนื่องจากฤทธิ์ยาหลอนประสาท ทิโมธีหยุดเดินแล้วนอนลงบนม้านั่ง ส่วนแทนยังแหงนหน้ามองความสีฟ้าเหนือหัว หยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาถ่ายภาพท้องฟ้าที่มีนกตัวใหญ่บินวนอยู่เหนือม่านเมฆ
You got me hope, you'll page me right now.
And your kiss, you got me hoping you'll save me right now.
Looking so crazy in love, you got me looking, got me looking so crazy in love
Beyonce - Crazy in Love (EDEN ft. Leah Kelly Cover)
เพลงของผู้คลั่งรักทว่าตอนนี้ผู้ขับร้องกลับกำลังเจ็บปวด แทนรู้ได้แม้อีกฝ่ายไม่มีน้ำตาแต่ด้วยเสียงสั่นเครือนั้น แทนนั่งลงกับพื้นไม่กลัวกางเกงเปื้อน เขาแตะมือลงบนอีกฝ่าย คอยดูเขาปลดปล่อยน้ำตาเมื่อถึงขีดสุดของความเสียใจ ไม่ว่าด้วยความเมามายจากยาหรือเคมีที่ตรงกันของทั้งคู่ทำให้ทิโมธีแสดงความอ่อนแอให้ชายหนุ่มที่เพิ่งเจอกันหนึ่งวันได้เห็น ตอนนี้ทิโมธีเป็นเทวดาผู้โศกเศร้าในสายตาของแทน
"คุณมีแฟนรึเปล่า"
"หย่ากันไปแล้ว" นึกไม่ออกว่าชีวิตแต่งงานเป็นอย่างไรเพราะพ่อของแทนก็หย่ากับแม่ตั้งแต่เขายังเด็ก "พวกเราเป็นคู่รักที่มีความสุขจนกระทั่งแต่งงาน ความรักสีชมพูเริ่มจืดชืดจนกลายเป็นสีขาวเหมือนกระดาษเปล่า พวกเราเบื่อ ไม่พูดกัน ผมออกไปร้องเพลงสัปดาห์ละสามวัน เธอเป็นลูกเจ้าของกิจการเบเกอรี่ เวลาที่เป็นคู่รักคือเวลาบนเตียง เซ็กส์ครั้งสุดท้ายของพวกเราคือคืนนั้นแต่ตื่นขึ้นเช้าวันต่อมา... เธอก็หายไปแล้ว ไม่บอกลาสักคำ รู้อีกที เธอก็มีคนใหม่" เขาสะอื้นไห้ เล่าไม่ปะติดปะต่อ แทนเมาฟังไม่ได้ความ รู้เพียงตัวตนของความรู้สึกโศกเศร้ายิ่งใหญ่เหมือนท้องฟ้าทั้งผืน
"เสียใจด้วยครับ ผมไม่รู้หรอกว่าชีวิตแต่งงานเป็นยังไงแต่คุณคงรักเธอมาก"
"รักเกินไป" ทิโมธีแก้คำผิด เพราะรักครั้งนั้นในปริมาณพอดีของทั้งคู่เมื่อผสมกันในภาชนะเก็บ จะไม่มีใครสักคนในพวกเขาเหนื่อยหน่ายและนอกใจ ทิโมธีโทษเป็นความผิดของตัวเองที่รักด้วยคำพูดมากกว่าการกระทำซึ่งอาจเป็นเหตุผลของการร้างรา "ฟีลิกซ์เตือนผมหลายรอบแล้วเรื่องผู้หญิงคนนี้ แต่ผมรักเธอ คำพูดของใครก็ลบล้างความรักที่ผมมีต่อเธอไม่ได้"
"ถ้าผมเป็นเธอ ผมจะทำให้คุณได้เจอกับรักที่ไม่มีวันเสียใจ"
"แปลกนะที่เรากลายเป็นคนอื่นสำหรับคนใกล้ตัว ทั้งที่ตัวตนของเราไม่ควรถูกใครหรืออะไรขโมยไป"
#จมในห้วงความคิด #ในวันที่ฝนตก
Comments (0)