วินาทีสองมือของหนุ่มสาวประสานกันที่บาร์ลึกลับ ชายผู้เป็นแฝดพี่ในเสื้อยืดสีขาวสูบบุหรี่เพียงลำพังที่จัตุรัสทราฟัลการ์สามารถรับรู้ได้ว่าหญิงสาวที่เขาตามหาอยู่กับแฝดน้องของตน วิลเลี่ยมและลูกชายเพิ่งถูกส่งไปโรงพยาบาลเมื่อสิบนาทีก่อน ไคล์ทิ้งสูทและกลมกลืนกับผู้คนอีกฟากจากหอศิลป์แห่งชาติซึ่งตอนนี้กลายเป็นสถานที่เกิดเหตุ 

ขณะเดียวกันในลิเวอร์พูล เพื่อนร่วมหอพักเคาะประตูห้องของแทนเรียกให้เขาไปดูข่าวในห้องนั่งเล่นด้วยกัน -- โศกนาฏกรรมหอศิลป์ซึ่งเรียกว่าสังหารหมู่ก็ไม่ผิดเพราะมีผู้เสียชีวิตมากกว่าร้อยราย ไม่สามารถระบุตัวผู้ก่อเหตุได้เพราะไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ งานนิทรรศการศิลปะในหอศิลป์แห่งชาติถูกยกเลิกจนกว่าจะกลับสู่สถานการณ์ปกติ

"Where's on earth is your roommate, Tan? She supposed to be here."

"She was in London since yesterday."

"Like all of a sudden?"

"Yep. I'm surprised, too. She didn't talk much lately."

"Do you know anything further? I hope she's safe."

"That's all I know. I'll call her right away."

 

"รับสายสิๆๆๆ" 

 

(ฮัลโหล ว่าไง)

"กว่าจะรับสายได้ ทำอะไร อยู่ที่ไหน ยังอยู่ลอนดอนป่ะ" 

(มีอะไรรึเปล่า? ใจเย็นก่อนนะ ค่อยๆพูด)

"เอาอะไรมาใจเย็นวะ กูเพิ่งเห็นข่าวสังหารหมู่ในทราฟัลการ์ มึงอยู่แถวนั้นป่ะ?"

(ไม่ กูออกมาจากตรงนั้นตั้งนานแล้ว ออกมาก่อนจะเกิดเรื่องด้วย) เสียงปลายสายตอบกลับอย่างนั้นทำให้แทนคลายความกังวลได้บ้าง เขาผ่อนไหล่ตึงแล้วเอนหลังบนโซฟา น้ำตาเอ่อรื้นที่หางตาเพราะความตายเฉี่ยวเข้าใกล้เพื่อนสาวเพียงนิดเดียว  -- เจนพูดถึงความตายบ่อยครั้งและมักมีความตายปรากฎให้เห็นเสมอ (กูปลอดภัยดี)

"แล้วตอนนี้อยู่ไหน"

(บาร์สักแห่ง ไม่แน่ใจ เอาเป็นว่าไม่อยู่แถวๆจัตุรัสทราฟัลการ์)

"อยู่คนเดียวอ่อ"

(ในบาร์ก็มีคนเยอะอยู่นะ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวก็กลับไปแล้ว)

"จ้าๆ กลับมาตอนไหนก็บอกนะ" แทนวางสายแล้วเปิดเบียร์กระป๋องดื่ม "She said she wasn't around the crime scene and she will be back tomorrow, no need to be worried." เขาบอกเพื่อนร่วมหอพักเรื่องของเจนเพื่อความสบายใจของทุกคน เมื่อรู้แบบนั้นก็แยกย้ายกลับห้องของตัวเอง

ชายหนุ่มในชุดนอนผมน้ำตาลออัลมอนด์ยุ่งเหยิงนั่งดื่มเบียร์เป็นเพื่อนแทนมีชื่อว่า ริวเบ็น คลาวฟอร์ด ดวงตาสีฟ้าเหม่อลอยอ่อนเพลียเพราะเพิ่งตื่นนอน เขาเป็นเพื่อนร่วมคณะของเจน เขานั่งห่างจากเจนหนึ่งแถวและเป็นคู่ปรับในการถกประเด็นต่างๆโดยเฉพาะการเมือง เขาไม่คิดว่าผู้หญิงจะสามารถนั่งเก้าอี้และทำหน้าที่ผู้นำได้ดีเท่าผู้ชายเพราะผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนไหวและเรียกร้องมากเกินไป ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ทานมื้อเที่ยงด้วยกันเพื่อถกเถียงประเด็นเหล่านั้นต่อ 

เจนกับแทนเป็นที่รู้จักของทุกคนในหอพักตั้งแต่เดือนแรกที่พวกเขาเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยลิเวอร์พูลเพราะอาจารย์ตึกนานาชาติป่าวประกาศทั่วว่าพวกเขาเป็นนักเขียนจากเมืองไทย ทั้งที่ตนยังเขียนต้นฉบับไม่เสร็จ พวกเขาไม่กล้าเรียกตัวเองว่านักเขียนด้วยซ้ำ เมื่อปิดโทรทัศน์ภายในห้องนั่งเล่นส่วนกลาง หอพักเงียบเคว้งคว้างหลังจากทราบข่าวใหญ่ในลอนดอน ไม่นานก็มีประกาศเตือนจากผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยว่าให้นักศึกษาระวังตัวเองมากขึ้นเนื่องจากโศกนาฎกรรมที่เพิ่งเกิดขึ้น

"Mind if I'll be your company?" 

"ฺBe your guest."

"ํYou said Jane didn't talk much, right?"

"Yeah."

"Do you know why?"

"She might just doesn't want to talk and keep things to herself."

"Does she always hard on herself like this?"

"She speaks when she want. That's what she is."

ทิโมธีทักหาแทนชวนไปสตูดิโอด้วยกันวันพรุ่งนี้เพื่อเรียนรู้วิธีทำเพลง เขาตอบตกลงพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก เขาบอกลาริวเบ็นที่นั่งด้วยกันในเวลาอันสั้นแล้วกลับห้องไปคุยโทรศัพท์กับโปรดิวเซอร์หนุ่ม ริวเบ็นนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นเพียงลำพัง แกว่งกระป๋องเบียร์ฮัมเพลงเพื่อทำลายความเงียบ ขณะเดียวกันเจนถอนหายใจยาวจนบาร์เทนเดอร์หนุ่มสังเกตได้ถึงความเหนื่อยล้าที่หญิงสาวหนึ่งคนได้เจอในค่ำคืนนี้ เขาจึงชงคอกเทลสูตรเฉพาะของบาร์ เจนโกหกเพราะไม่อยากให้แทนกังวล หากได้รู้ความจริงว่า เธออยู่ในที่เกิดเหตุขณะเกิดสังหารหมู่และเธอหนีมาอยู่ที่ไหนไม่รู้ในลอนดอน แน่นอนว่าเจนยังไม่เคยพูดถึงการหายตัวของตัวเองด้วยซ้ำ 

"คอสมอสสำหรับคืนที่เหนื่อยล้าของคุณ" คีธเสิร์ฟเครื่องดื่มคอกเทลสีน้ำเงินเข้มเป็นประกายเหมือนสีของจักรวาลตรงหน้าหญิงสาวที่คิ้วขมวดเป็นปม "ผมรู้ว่าคุณไม่ได้สั่ง แต่คุณคงไม่มานั่งที่บาร์นี้เฉยๆแน่"

เจนไม่โต้ตอบ แค่ยกแก้วคอกเทลขึ้นจิบลิ้มรสจากเครื่องดื่มสีประหลาด เมื่อลิ้นสัมผัสรสชาติหอมหวานของเบอรรี่รวมห้าชนิด เธอฟุ้งเพ้อถึงการล่องลอยเยี่ยมชมท้องฟ้ากว้างไกลบนอวกาศ เมื่อพอใจแล้วค่อยกลับลงมาบนผืนหญ้าแล้วยืดแขนวาดกลุ่มดาวบนท้องฟ้าสีดำ เจนมองผลงานกลุ่มดาวผ่านดวงตาพร่ามัว

เมื่อลืมตากลับมาพบความจริง บาร์เทนเดอร์หนุ่มยังคงอยู่ตรงหน้าและเช็ดแก้วไวน์

"น่าเศร้านะครับ" คีธเอ่ยปากเพื่อเริ่มบทสนทนาใหม่ "สิ่งที่คุณได้เห็นเป็นแค่ห้วงภวังค์ของความสบายใจ"

"โลกความจริงมันโหดร้าย ถึงขั้นที่ความสบายใจเป็นแค่จินตนาการแล้วเหรอ?" 

"คุณหมายถึงผู้ชายคนเดียวสินะ"

บาร์เทนเดอร์พูดเดาสุ่มทว่าเหมือนอ่านใจออก เจนยักไหล่สองข้างแทนคำตอบพลางจิบคอสมอส เธอแกว่งแก้วมองดูทะเลดวงดาว คีธไม่ใช่คนสอดรู้สอดเห็นเพียงแต่ชอบฟังเรื่องราว จ้องมองการเปลี่ยนแปลงของก้อนเนื้อหัวใจของลูกค้า เขามองเห็นหัวใจสีเทาของเจนกำลังเต้นเชื่องช้าอย่างเหนื่อยล้าหมดแรง 

"อาจจะใช่"

"..."

"ตอนแรกมันก็ดีอยู่นะ เราแค่ทำตามเงื่อนไขของเขาเพื่อคงความสัมพันธ์เอาไว้ต่อ พวกเราต้องการกันและกันเมื่อโหยหาอ้อมกอดกับเรื่องอย่างว่า... ซึ่งข้อเสนอไม่ยากเลย ฉันทำได้อยู่สักพักจนกระทั่งฉันทำมันพังเพราะรู้สึกมากกว่า"

"ความรู้สึกห้ามยากนี่นะ"

"ใจนึงก็คิดว่า เออ แม่งพังซะก็ดี เพราะฉันไม่ควรบ้าไปยุ่งกับคนที่มีเจ้าของอยู่แล้ว"

"อีกใจล่ะครับ"

"ฉันอยากเป็นที่รักของเขา ตัวตนของฉันไม่ควรถูกปิดบัง ฉันยอมเป็นทุกอย่างให้เขาดังนั้นการเป็นที่รักก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่จะขอ" คำตอบเด็ดเดี่ยวมั่นใจเกินกว่าเป็นคำลวง 

เจนเผยยิ้มแปลกๆ เมื่อคิดถึงอาณาจักรจิตใจหม่นหมองซึ่งมีเพียงวัสสานฤดู ฤดูหนาวเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าของตุ๊กตาหิมะตัวโตที่สามพี่น้องช่วยกันสร้างเมื่อครั้งวัยเยาว์ ทว่าสัจจะหนึ่งอย่างคงอยู่แม้กระทั่งในดินแดนจินตนาการ นั่นคือไม่มีสิ่งใดอยู่ยั่งยืน สามพี่น้องเริ่มเติบโตแล้วฤดูแห่งความสุขก็พลันเลือนรางหายไปในที่สุด เจนจำวันนั้นได้ไม่เคยลืม วันแรกที่เริ่มหายตัวจากสถานที่ที่ไม่เหมาะกับตัวเอง เธอเปียกแฉะด้วยสายฝนและน้ำตา ส่วนฤดูร้อนไม่เคยถูกบันทึกลงในลูกแก้วความทรงจำแห่งอาณาจักรเพราะไม่เคยมีอยู่

"ฉันสร้างสถานที่หนึ่งไว้ให้พวกเราแล้ว แค่มีกุญแจ คุณก็จะเข้าไปเมื่อไหร่ก็ได้"

"คุณยอมให้เขาเข้าไป ทั้งที่มันคือการหลอกใช้เนี่ยนะ"

"ฉันรักเขานี่"

"ฟังดูเป็นความเจ็บปวดมากกว่า" คอสมอสเปลี่ยนเป็นวอดก้าสีใส เจนยกแก้วกระดกโดยไม่รู้ตัวว่าเครื่องดื่มในแก้วเปลี่ยนไป "ทำไมคุณยังเรียกมันว่าความรักได้อีก"

 

.

.

.

.

.

.

 

ฉันยังไม่เคยเล่าจุดเริ่มต้นให้ใครได้รู้มาก่อน เพราะความหวงแหนอยากเก็บคุณไว้ในความทรงจำเพียงคนเดียวอย่างเห็นแก่ตัว ถ้าฉันเล่าเรื่องของคุณให้ใครต่อใครฟัง คุณจะอยู่ในสายตาและสมองของพวกเขา นั่นหมายความว่าฉันจะมีศัตรูเพิ่มมากกว่าสิบคน อาจจะเป็นแบบนั้นหรือไม่ก็ได้...

ไม่รู้สิ เหมือนคุณเป็นพิมพ์นิยมของชายในอุดมคติเลย

แต่ฉันไม่มีมาตรฐานสำหรับชายในอุดมคติว่าจะต้องสูงเท่าไหร่หรือผิวสีอะไร เมื่อวิญญาณอิสระมีสวนดอกไม้เบ่งบานท่ามกลางหัวใจทะเลทรายแห้งแล้งดังนั้นคุณกลายเป็นคนที่ทำให้ฉันตกหลุมรักโดยปริยาย มันง่ายแบบนั้นเลย เรื่องของเรามันเริ่มขึ้นในเฮ้าส์ปาร์ตี้ที่บ้านแคเรน ฉันไม่รู้จักแคเรนหรือใครสักคนแต่โดยองชวนให้ไปทำความรู้จักพวกเขาด้วยกัน 

"แต่..."

"นี่ ชีวิตของเธอเครียดเกินไปแล้ว หาความสนุกใส่ตัวบ้างเถอะ"

โดยองพูดแค่นั้นแล้วเราก็ไปถึงบ้านหลังโตของแคเรนด้วยกันเวลาทุ่มครึ่ง ฉันไม่ชอบที่คนเยอะโดยเฉพาะที่ที่ทุกคนสนิทกันหมดและฉันมีแค่ตัวเองเพียงลำพัง -- บ้านของแคเรนคือสถานที่นั้น -- พวกเราได้เหล้าคนละแก้ว ฉันกระดกรวดเดียวหมดจนมึนหัว โดยองแนะนำเพื่อนของเธอให้รู้จักทีละคนซึ่งฉันจำชื่อพวกเขาได้ไม่หมดเพราะความไม่ใส่ใจ คิดแค่ว่าอยากกลับหอเพราะที่นี่ไม่ใช่ที่ของฉัน

ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้ ฉันเติมเหล้าอีกแก้วและเพื่อนของโดยองก็ชวนเล่นเกมจริงหรือท้า ฉันไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ พวกเขาชวนนั่งเป็นวงกลมบนพรมผืนใหญ่ใกล้เตาผิง ใครสักคนในพวกเขาสละโทรศัพท์มือถือของตัวเองวางไว้กลางวงแล้วกดสุ่มผู้โชคดี พวกเรากระดกเหล้าครั้งแล้วครั้งเล่า บางคนถูกท้าบางอย่างแผลงๆ เช่น เปลื้องผ้าเต้นหน้าบ้าน กินอาหารหมา แกล้งสารภาพรักแฟนของเพื่อน แม้แต่ จนกระทั่งปลายศรแห่งโชคชะตาชี้มาที่ฉันในเวลาสี่ทุ่ม

"Truth or Dare?" ชายหนุ่มผิวสีถาม ฉันจำชื่อของเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ รู้แค่เป็นเพื่อนสนิทของแคเรน ทุกคนจับตามองและเร่งเร้าให้ฉันตอบ ท้า เพราะฉันใช้สิทธิ์พูดความจริงครบสามครั้งแล้วและบรรยากาศปาร์ตี้จะกร่อยถ้าใครๆเลือกพูดแต่ความจริง

"Dare"

"Mmhm. What should I dare you, love." หนุ่มผิวสีคนนั้นหันซ้ายหันขวาคุยกับเพื่อนรอบตัว โดยองเองก็สนับสนุนให้ปาร์ตี้มีความสนุกมากขึ้นสำหรับพวกเขา เธอร่วมวงกระซิบกระซาบคุยและไม่นานพวกเขาก็ได้คำตอบว่าจะท้าให้ฉันทำอะไร "What about Seven minutes with random guy in the closet?"

"Whatever, it's not that hard."

ฉันไม่แคร์ว่าโลกจะเหวี่ยงใครมาร่วมชะตากรรมเจ็ดนาทีด้วยกัน ฉันแค่เมาและอยากกลับหอเต็มทน ตู้เสื้อผ้านี้กว้างมากพอสำหรับการเรียกว่าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ฉันนั่งลงสำรวจห้องเพียงลำพังสักพัก และแล้วคุณก็เข้ามา... คุณมีผมยาวปรกหน้าสวมฮู๊ตสีน้ำเงิน กางเกงขายาวสีน้ำตาลอ่อนกับรองเท้าผ้าใบสีหม่น

"Your friends dare you to play this game?" คุณสบถ ไม่สบตามองคู่สนทนา "Told them, they should have some manner. I'm fucking have a sweet dream."

"I'm sorry for them to waste your time here."

ฉันรีบขอโทษแต่คุณส่ายหัวไม่รับฟังแถมพูดเสริมขึ้นมาอีกว่า 'พวกนั้นต่างหากที่ควรขอโทษผมด้วยตัวเอง' ซึ่งก็ถูกของคุณ แต่คุณก็ด่าพวกเขาก่อนเข้ามาในห้องแล้ว คุณบ่นพึมพำเพราะถูกขัดจังหวะการนอน หลังจากนั้นพวกเราเงียบใส่กันสักพัก แต่ฉันหยุดมองคุณไม่ได้ ได้กลิ่นสายฝนผสมกับน้ำยาปรับผ้านุ่มมาแต่ไกล

"I'd like to know where you're from." คุณมองนาฬิกาข้อมือแล้วถาม ความสงสัยทำให้เสียงของคุณอ่อนนุ่มและเกรี้ยวกราดน้อยลง แพ้แล้วค่ะ แบบ... คุณพูดเสียงนั้นตลอดไปได้ไหมคะ ฉันเผลอหลุดยิ้มแปลกๆทำให้คุณเข้าใจผิด คุณพยายามแก้ต่างให้ตัวเอง "I'm just curious. I think i saw you around International Building many times."

"Actually, I'm from Thailand." ส่วนเหตุผลที่ไปตึกนานาชาติก็เพราะฉันชอบนั่งดูหนังไม่ก็อ่านหนังสือใน Learning Lounge ระหว่างรอแทนเลิกเรียนเพื่อจะได้ไปช๊อปปิ้งด้วยกันในซิตี้เซนเตอร์ บางครั้งก็เล่นบอร์ดเกมฆ่าเวลา แม้ห้องสื่อการเรียนรู้จะมีหนังสือไม่เยอะเท่าห้องสมุดแต่มันอบอุ่นกว่าหลายเท่า

"จริงดิ!? คุณเป็นคนไทยคนแรกที่ผมเจอเลยนะ" คุณเผยรอยยิ้มกว้างและเปลี่ยนภาษาเมื่อรู้คำตอบ 

"ดีจังค่ะ คุณอยู่ที่นี่นานรึยัง?"

"ตั้งแต่เดือนตุลาปีที่แล้ว ก็... ครึ่งปีแล้วนะ เป็นครึ่งปีที่ไม่เจอคนไทยเลย"

"ถ้าอยากเจอคนไทย แล้วทำไมไม่เรียนมหาลัยในไทยล่ะ"

"นั่นสินะ แต่นอกจากสตรีทฟู๊ดอร่อยกับเพื่อนเก่า ผมก็คิดถึงเหตุผลที่ควรอยู่ประเทศไทยไม่ออกเลย"

"พูดได้ไม่เต็มปากว่าบ้าน

"ว่าแต่ตอนนี้เราเหลืออีกกี่นาที"

"ห้านาที" คุณมองนาฬิกาข้อมือ "คุณอยากทำอะไรรึเปล่า? พวกเราออกไปก่อนหมดเวลาก็ได้นะ"

"ฉันยังไม่อยากออกไปเจอความวุ่นวายน่ะ" ข้างนอกเสียงดังเกินไปจนไม่ได้ยินหัวใจของตัวเองและฉันไม่ชอบแบบนั้น อยู่ในนี้ก็ไม่แย่เพราะมีคุณด้วย ความคิดเมามายฟุ้งซ่านเสียงดังจนกลัวว่าคุณจะได้ยิน ดอกไม้กำลังเติบโตท่ามกลางแห้งแล้งของอาณาจักรจิตใจหม่นหมองเมื่อเราทำความรู้จักกัน 

"งั้นเราน่าจะรู้จักกันมากขึ้นอีกหน่อย ผมเรียนปีหนึ่งโบราณคดี"

"ป.โท ปรัชญาค่ะ"

"ป.โท เรียนยากมั๊ย"

"เรียนไม่ยากเท่าทำวิจัยหรอก"

 

บอกให้ตัวเองคิดเบาๆน่าจะยากกว่าสินะ 

คุณได้ยิน?!

 

"ได้ยินทั้งหมดนั่นแหละ แค่ไม่อยากให้คุณอ้อมค้อม" 

"ถ้าฉันพูดตรงๆว่าตอนนี้ฉันโคตรอยากจูบคุณเลยล่ะ?" 

"ผมก็จะให้สิ่งที่คุณอยากได้ไง"

 

เรียกว่ารักครั้งแรกก็ไม่ถูกเพราะคุณไม่ใช่ แต่เมื่อคุณสวมกอดฉันด้วยริมฝีปาก นั่นเป็นจูบแรกของหญิงสาววัย 22 ปี ฉันกล้าเรียกมันว่า Love at first kiss เพราะฉันตกหลุมรักง่ายขนาดนั้นเหมือนเจ้าหญิงในการ์ตูนโลกสวยแต่โลกใบนี้คือนิทานของสองพี่น้องกริมม์

สัมผัสอบอุ่นรุกร้ำไร้สติ มือหนาโอบอุ้มใบหน้า ไล่ปลายนิ้วตามลำคอ คุณถอนริมฝีปากนุ่มเมื่อนาฬิกาจากข้างนอกร้องเตือนหมดเวลา คุณกระซิบแผ่วเบา 'เรื่องของเราเริ่มต้นและจบที่นี่ แต่ผมดีใจที่ได้เจอคุณนะ' ก่อนที่ประตูห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเปิดออก คุณเดินจากไป... โอบแขนรอบคอหญิงสาวเรือนผมยาวถึงกลางหลังคนหนึ่ง ฉันไม่ทันได้เห็นหน้าแต่คุณกำลังจูบหล่อนต่อหน้าทุกคนด้วยกลีบปากคู่นั้น

แม่งเจ็บใช้ได้เลยที่รู้ว่าคุณมีเจ้าของแล้ว ทว่า... ฝูงผีเสื้อโบยบินในท้องน้อยเมื่อคิดถึงจูบไร้ค่านั้น กำมือว่างเปล่าบีบขยำตัวเองแค้นเคืองที่ให้ค่าสิ่งที่อีกฝ่ายทิ้งขว้าง ทว่ายังจำสัมผัสของมือหนาฝากไว้บนแก้มได้ หลังจากสิ้นสุดงานปาร์ตี้... พวกเราเจอกันโดยบังเอิญที่อาคารเรียนนานาชาติบ่อยขึ้นราวกับคำพูดในเสียงกระซิบเป็นเพียงคำโกหกที่คุณสร้างขึ้น

ไอ้บ้า เรื่องของเรายังไม่ได้เริ่มต้นด้วยซ้ำ!

ในที่สุดก็มีวันที่คุณหยุดหลบหน้าซึ่งนั่นก็คือสิบห้าวันต่อมา คุณอ้างว่าตอนนั้นเมาจึงทำลงไปโดยไม่คิด แต่คุณยังจำได้ว่าฉันคือผู้หญิงในตู้เสื้อผ้าที่อายุมากกว่าคุณถึงสามปีและจูบคืนนั้นรสชาติเหมือนมอกเทลเบอร์รี่ ฉันสารภาพว่าแอบตั้งชื่อเล่นให้คุณเป็นชายหนุ่มในสายฝนเพราะพวกเรามักเจอกันในตอนที่ฝนตก

"ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกคุณว่าผมมีแฟนแล้ว"

"ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้มีปัญหากับหล่อนสักหน่อย" เจนในวันนั้นเป็นคนแข็งกร้าว ไม่อ่อนโยนนุ่มนิ่มเหมือนวันแรกที่พวกเขาได้เจอกัน ฉันอยากด่าคุณต่อหน้าทุกคนว่าคืนนั้นคุณทำอะไรลงไปบ้าง แต่ฉันกลับเป็นฝ่ายโอนอ่อนเมื่อเห็นหน้าคุณเปื้อนรอยยิ้มบ้าๆนั่น "ฉันมีปัญหากับคุณต่างหาก"

"ปัญหาอะไรเหรอ?"

"ฉันชอบคุณนะ ไท... คิดว่าคุณน่าจะดูออกตั้งแต่วันแรก และดูเหมือนคุณก็คิดในทางเดียวกันแต่คุณมีแฟนแล้ว ทำยังไงดีล่ะ?"

คุณมอบจุมพิตดูดดื่มแทนคำตอบราวกับคุณหาคำอธิบายให้ตัวเองและโลกที่คุณสร้างขึ้นไม่ได้ ขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่ปล่อยมือจากคุณ ฉันพ่ายแพ้ต่อคุณเพราะจูบเดียว วันนั้นจบลงบนเตียงนอนพร้อมกับป้ายชื่อเรียกความสัมพันธ์ของเราซึ่งพ่วงมาด้วยเงื่อนไขสองข้อ หนึ่ง... พวกเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน สอง... พวกเราแค่ต้องการผลประโยชน์ของกันและกัน ไม่มีอะไรลึกซึ้งกว่านั้น ซึ่งชัดแล้วว่า ยังไงคุณก็ไม่เลิกกับยัยนั่นแน่ๆ

เมื่อการเป็น Friends with benefit เป็นวิธีรับผิดชอบต่อหัวใจของทั้งสองฝาย ฉันยินยอมที่จะมีตัวตนสำหรับคุณเมื่อหล่อนไม่อยู่ เหมือนกับห้วงความทรงจำเจ็ดนาทีในตู้เสื้อผ้า... เร่าร้อนแต่มีเวลาจำกัด เพราะในตู้เสื้อผ้าเป็นสถานที่เดียวที่เราสามารถแสดงความรักต่อกันด้วยภาษากายได้ เมื่อออกไปเจอโลกความจริง พวกเราก็ใช้ชีวิตตามปกติ

ทว่าประชาชนในอาณาจักรจิตใจหม่นหมองกำลังชูป้ายเรียกร้องให้ราชินีหยุดเป็นชู้กับกษัติริย์อาณาจักรเพื่อนบ้าน ความน่ารังเกียจก็เหตุผลหนึ่งแต่มันคือการทำร้ายตัวเองที่เข้าไปเล่นกับไฟ วันที่แฟนของคุณล่วงรู้ความลับของเรา วันนั้นแหละที่ฉันถูกไฟคลอก แต่อย่าถามเลยว่าใครเป็นคนวางเชื้อเพลิง เพราะคำตอบมันไม่เคยเหมือนกันสักรอบ

 

.

.

.

.

.

.

 

"ช่างหัวแม่งเถอะ"

 

กรุ๊งกริ๊ง! 

 

"โคตรหนาวเลย บ้าจริง!" ชายหนุ่มเรือนผมดำปรากฎกายพร้อมกับคำสบถ เนื้อตัวเปียกโชกจากพายุฝนข้างนอกนั่น เสื้อยืดสีขาวเปียกจนมองเห็นเรือนร่างผอมบาง ดวงตาสีน้ำตาลประกายมรกตสบมองหญิงสาวที่นั่งดื่มเพียงลำพัง คีธได้ยินเสียงหัวใจเต้นตึกตักเมื่อเจนมองหน้าแฝดพี่ของเขา เธอเป็นคนตกหลุมรักง่ายอย่างที่บอกและการขัดขวางความรักก็ไม่หน้าที่ของเขา "บังเอิญจังเลยนะ"

"ค่ะ"

คีธโยนผ้าขนหนูสีขาวให้ผู้เป็นพี่ นิ่วหน้าไม่พอใจเพราะบาร์เปียกปอนด้วยการมาถึงของไคล์ เจนมองคู่แฝดเงียบๆ

"เจน...นี่คีธ แฝดน้องของผม" ไคล์แนะนำแฝดน้องขณะเช็ดผมดกดำ "บาร์เทนเดอร์ที่ชงเหล้าอร่อยที่สุดในลอนดอน"

"ค่ะ เราทำความรู้จักกันแล้ว"

"งั้นเหรอ? หวังว่าเขาจะไม่ทำตัวแปลกๆใส่คุณนะ"

"พูดดีๆนะ ไคล์" คีธค้อนใส่แฝดพี่ "คนที่ทำตัวแปลกน่าจะเป็นนายมากกว่า" ไคล์หัวเราะร่วนเพราะแค่พูดแหย่ 

"ไม่หรอก เขาอยู่เป็นเพื่อนแก้เหงาได้ดีเลยล่ะ" เจนห้ามทัพของคู่แฝด

"งั้นผมปล่อยให้พวกคุณคุยกันดีกว่า"

บาร์เทนเดอร์หนุ่มปล่อยให้สองหนุ่มสาวอยู่ด้วยกัน กระดิ่งหน้าร้านสั่นไม่หยุดเพราะบาร์กลายเป็นสถานที่หลบฝนสำหรับคืนนี้ เจนมองตามคีธเห็นว่ารอยยิ้มนั้นทำให้ค่ำคืนที่ฝนตกไม่ได้แย่อย่างที่คิด เธอเบือนหน้ามาหาไคล์ซึ่งกำลังอยากพูดบางอย่าง เขาถอนหายใจเสียงดัง เจนได้กลิ่นคาวเลือดเมื่อพุ่งความสนใจมาที่ไคล์ -- เขาทำบางอย่างที่หอศิลป์ -- เธอก้มหน้าสบตามองไคล์ อยากให้เขาพูดสิ่งที่คิดในใจ

"ผมขอโทษ ผมไม่น่าชวนคุณมางานวันนี้เลย" 

"คุณไม่ผิดหรอก ฉันไปก็เพราะความอยากรู้ของตัวเอง" 

"งั้นก็... ผิดคนละครึ่ง"

"แล้ว... ที่นั่นเป็นไงบ้าง"

"ไม่เหลือซากเลย" ไคล์แบมือสองข้างที่มีคราบเลือดติดอยู่ เจนกุมมือของเขาขณะที่ฟังสิ่งที่เกิดขึ้นในหอศิลป์ เธอปล่อยน้ำตาหลั่งรินลงบนมือคู่นั้น มันเป็นภาพความทรงจำที่เต็มไปด้วยความตาย "พวกเขาส่วนใหญ่กลายเป็นปีศาจแล้วเข่นฆ่ากัน คนที่ไม่เป็นปีศาจก็ตกเป็นเหยื่อของความบ้าคลั่ง ผมไม่มีทางเลือกนอกจากส่งพวกเขากลับไปที่ของตัวเอง โชคดีแล้วที่คุณไม่ได้เห็นเหตุการณ์บ้านั่น"

"โชคดีที่คุณไม่เป็นอะไร แล้วคุณจะทำยังไงต่อเหรอ?"

"ไม่รู้สิ พรุ่งนี้ก็คงคิดออก"

ชายหนุ่มใช้หัวแม่มือเช็ดน้ำตาให้หญิงสาว ทั้งสองมองออกไปข้างนอกซึ่งพายุยังคงโหมกระหน่ำ ค่ำคืนยาวนานถูกเติมเต็มด้วยเสียงคุยจ๊อกแจ๊กของลูกค้าและเสียงเพลงแจ๊สจากลำโพงตัวเล็ก ดนตรีโรแมนติกในบาร์ทำให้จิตรกรนึกบางอย่างขึ้นมาได้ "ผมอยากขอโอกาสแก้ตัวอีกครั้งได้ไหม?"

"คะ?"

"เดตของเราน่ะ"

"อ๋อ จริงด้วย แล้วคุณจะแก้ตัวยังไงคะ?"

"พวกเราจะไปที่ที่คุณอยากไปกัน" ไคล์เป็นฝ่ายกุมมือออดอ้อนหญิงสาวบ้าง คีธซึ่งแอบมองอยู่ห่างๆได้เห็นด้านนุ่มฟูของแฝดพี่ครั้งแรก ไคล์ไม่เคยพูดจาอ่อนหวานใส่ใครแม้แต่แม่ของเขา หัวใจของทั้งสองเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน ต่างกันแค่ของเจนเป็นสีเทาแม้ว่าเธอกำลังอมยิ้มกับการกระทำของเขา น่ารักจังเลย เธอคิดในใจและเขานึกดีใจว่าเจนจะพาพวกเชาไปที่ไหนจนกระทั่งเธอเอ่ยปากพูด

"แต่วันนี้เหนื่อยมากแล้ว แถมพรุ่งนี้ฉันมีเรียนด้วย... ไว้วันหลังค่อยไปกันนะคะ"

"แล้วคุณจะกลับไปยังไง ตอนนี้ฝนตกหนักมากเลยนะ"

เจนเดินออกไปจากบาร์พร้อมกับยืดแขนไปสัมผัสความชื้นในอากาศ เมื่อท้องฟ้าที่เธอเห็นแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าดังเดิม ไคล์เดินตามออกมาด้วยความสงสัย พายุฝนอันตรธานหายไปราวกับเข็มนาฬิกาเที่ยงคืนเตือนให้ซินเดอเรลล่ากลับสู่โลกแห่งความจริง ถึงเวลาที่เจนต้องกลับแล้ว

"ฝนหยุดตกแล้วค่ะ"

"ก่อนคุณจะไป..." จิตรกรหนุ่มรั้งเดตแรกของเขาเอาไว้ ปล่อยให้เข็มนาฬิกาเลื่อนผ่านไปอีกสักพัก

"คะ?"

"ก่อนคุณจะไป ผมขอจูบคุณได้มั้ย?"

เธอใจอ่อนยินยอมให้อีกฝ่ายมอบจุมพิตแทนคำบอกลาเพราะคำขออนุญาต ไคล์แค่ประกบริมฝีปากและผละตัวออกเมื่อรู้สึกว่าตนรั้งหญิงสาวไว้นานเกินไป เจนหายกลับไปสู่โลกความจริงที่ต้องเผชิญในลิเวอร์พูล จิตรกรหนุ่มยกยิ้มมุมปากแล้วเดินกลับเข้าไปในบาร์ลึกลับ สั่งเหล้าดื่มกับแฝดน้อง ไคล์เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทราฟัลการ์ราวกับมันเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่ง

"วันนี้โคตรเกินคาดเลย"

"เจนเหรอ?" 

"เปล่า... กูไม่คิดว่าแบล็คจะสร้างสถานการณ์อะ" ไคล์เล่าย้อนถึงวินาทีแห่งความโกลาหลเพียงแตะนิ้วกับแฝดน้อง คีธถึงกับสะดุ้งเมื่อเห็นภาพบุคคลปริศนาใช้มีดจ้วงนักแสดงอย่างบ้าคลั่ง "กูแค่อยากพาสาวไปเดต ชมงานศิลป์ด้วยกัน แต่ไอ้เชี่ยนั่นเสือกสร้างสถานการณ์ให้เดตของกูวุ่นวาย แม่ง!"

"แล้วมึงรู้ได้ยังไงว่าเจนจะไปเดตด้วย ห้ะ?"

"หน้าตากูก็หล่อใช้ได้นะ"

 

 

 

#จมในห้วงความคิด #ในวันที่ฝนตก

 

 

sds