เมื่อพ้นฤดูกาลธีสิส สองนักศึกษาปริญญาโทจึงได้เที่ยวสมใจอยาก พวกเขายังมีเวลาอีกสองเดือนกว่าจะถึงวันรับปริญญา เจนจองตั๋วรถไฟไปเอดินเบอระ แทนจองโรงแรมที่พักและวางแผนตารางเที่ยว พวกเขาทั้งคู่รู้ดีว่าคนรักของตนไม่ใช่คนเรื่องมาก กินง่ายอยู่ง่าย แต่ในเมื่อมันเป็นเดตคู่ทั้งทีก็อยากสร้างความทรงจำดี ๆ ร่วมกัน เดตคู่ครั้งนี้ใช้เวลาทั้งหมดสองวันหนึ่งคืน

"เจน" แทนทักขึ้นมาท่ามกลางความเงียบของห้องนอนในหอพักนักศึกษาปริญญาโท 

"ว่าไง"

"มะรืนนี้แล้วนะ ที่พวกเราจะได้ไปเที่ยวด้วยกัน"

"อืม" เจนตอบอย่างเรียบนิ่ง แทบจะไร้อารมณ์จนแทนรู้สึกได้ถึงความแปลกพิลึกมากกว่าเดิม "ช่าย" เธอเคาะนิ้วมือทั้งสิบบนแป้นพิมพ์ไม่หยุดเช่นเดียวกับความคิดที่หลั่งไหลพรั่งพรูจากสมอง แทนชะเง้อหน้ามองจากบนเตียง เจนเขียนไม่หยุดตั้งแต่ยี่สิบนาทีก่อนจนถึงตอนนี้ความยาวหน้ากระดาษประมาณ 30 หน้าแล้ว

"เธอเป็นอะไรรึเปล่า"

"ไม่ได้เป็นอะไรนี่"

"งั้นสักพักก็เตรียมนอนได้แล้วนะ มีมาส์กตาอยู่ในตู้เย็น จะใช้ก็ได้"

"โอเคจ้ะ เธอนอนเถอะ"

ทันใดนั้นเจนหยุดมือ ถอยตัวห่างออกจากแล็ปท๊อปของตัวเอง กวาดสายตาอ่านทุกอย่างที่ตัวเองเขียนไว้อย่างเร็วแล้วพับหน้าจอ สัญญากับตัวเองว่าจะไม่กลับไปเขียนอีกเพราะไม่งั้นเวลานอนจะถูกแทนที่เสียหมด แทนพยายามข่มตาหลับ เธออยากทำแบบนั้นบ้าง จึงไปล้างหน้าและหยิบมาส์กตาสูตรแตงกวาจากตู้เย็น ฉีกซองแล้วแปะบนเปลือกตาเหนื่อยล้าทั้งสองข้างขณะที่เอนหลังนอนข้างแทน 

"ฉันห่วงเธอนะ รู้ใช่มั๊ย" แทนพูดทั้งที่หลับตาอยู่ 

"รู้สิ รู้มาตลอดนั่นแหละ"

"ดังนั้น มีอะไรช่วยบอกกันตรง ๆ ได้มั๊ย ฉันคงจะเสียใจมากเลย ถ้ามารู้อะไรเกี่ยวกับเธอทีหลัง" 

"อืม ฉันอยากจะบอกเธอทุกเรื่องเลย"

 

แปลว่าบอกไม่ได้เหรอ? แทนขมวดคิ้ว ทำไมถึงบอกไม่ได้ล่ะ? 

แทนหยุดความคิดไว้เท่านั้น เมื่อเจนลูบหัวเขาอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน หากนี่เป็นสัญญาณและแทนไม่ได้เข้าใจผิด เขาจะกอดเธอไว้เพื่อไม่ให้เธอหายไป หากกอดครั้งนี้สามารถเข้าถึงเธอได้มากขึ้นก็คงดี แต่แทนได้แค่คิดในใจ แตะมือของเธออย่างแผ่วเบา ทำแบบนั้นเพื่อเป็นการเคารพพื้นที่ส่วนตัวของเธอ เขาไม่คิดว่าการกระทำออกไปแบบนี้เป็นความคิดที่ถูกด้วยซ้ำเพราะตนยังระแวงถึงลางสังหรณ์

"ฝันดีนะ"

"จ้ะ ฝันดี"

 

เจนเหม่อมองเพดานห้องอย่างเลื่อนลอย สำรวจอาณาจักรของตนอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้เข้าปราสาท ราชินีแอบหนีออกมาเพียงลำพัง ไม่ได้บอกนางกำนัลไว้ มีเพียงข้อความว่า 'เดี๋ยวกลับมา' ในกระดาษแผ่นเล็กวางไว้บนหัวเตียงขณะที่ไคล้กำลังหลับอยู่ เธอกำลังพาตัวเองไปสู่ความอันตรายภายในป่าลึก ไม่มีเหตุผลว่าเพื่ออะไร ฝีเท้าเยื้องย่างลงบนหิมะขาวโพลนอย่างไม่มีจุดหมาย แต่แล้วเธอก็หยุดเท้าเมื่อเห็นใครบางคนปรากฎอยู่ตรงหน้า 

เธอมีเรือนผมสีน้ำตาลความยาวประบ่า เรือนร่างเล็กบอบบางถูกห่อหุ้มไว้ด้วยอาภรณ์ผ้าดีทั้งเสื้อแขนยาวสีเหลืองมัสตาร์ด โค้ทขนเป็ด กางเกงขายาวกับรองเท้าบูทหุ้มข้อสีดำ สายลมเยือกเย็นพัดรุนแรงจนแทบหอบหิ้วร่างบางของทั้งสองได้ ทว่าหญิงสาวผู้นั้นกลับยืนนิ่งไม่ไหวติง ทำไมหน้าตาคุ้นแปลก ๆ เหมือนเคยเจอที่ไหน เจนคิดขณะย่างเท้าเข้าไปใกล้มากขึ้นเพื่อมองให้มั่นใจ เธอมีใบหน้าเรียวเล็ก ผิวขาวเหลืองและดวงตาตี่เล็กอย่างสาวเอเชีย จมูกและริมฝีปากเล็กเข้ารูป ความรู้สึกเมื่อมองลึกลงไปในนัยน์ตาว่างเปล่าคู่นั้นยิ่งทำให้กระจ่างชัดขึ้นมาว่าผู้อยู่ตรงหน้าคือ

เจน... อีกคน 

"ไฮ" ร่างแฝดกล่าวทักทายพร้อมแสยะยิ้ม เจนไม่รู้ความหมายของรอยยิ้มนั้นแต่มันจะตราตรึงตราบเท่าที่เธอยังความจำดีและมีลมหายใจ นัยน์ตาอีกฝ่ายทอประกายเมื่อรู้ว่าเจนกำลังกลัวสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ ร่างแฝดเป็นฝ่ายเข้าใกล้บ้างขณะที่เจนยืนตะลึงงันพูดไม่ออก "ฉันขอเข้าไปได้มั๊ย?" 

 

ฉันรู้วิธีการฆ่า... รู้ดีพอๆกับเธอเพราะฉันอ่านหนังสือและดูซีรี่ส์ฆาตกรรมมาไม่น้อย ความจริงก็คือเราเรียนรู้เรื่องพวกนี้ไปพร้อมกัน ฉันชอบเหลือเกินตอนเธอเลือกหาหนังสือกายวิภาคกับตำรานิติวิทยาศาสตร์ในห้องสมุดกลางมหาวิทยาลัย โอ้ที่รัก เธอตั้งใจอ่านมันยิ่งกว่าบทเรียนวิชาปรัชญาอะไรของเธออีก อาจเป็นเพราะมันคือความปรารถนาแรงกล้า บ่อน้ำแห่งความโศกเศร้าเปลี่ยนเป็นท้องฟ้าในคืนเดือนมืดที่มีดาวนับล้านทอประกาย ส่วนฉันจะเป็นเสียงกระซิบของฝนฟ้าคะนองที่จะมาถึง

ฉันสังเกตมาตลอดนั่นแหละ 

สาบานได้เลยว่าฉันเห็นนัยน์ตาคู่นั้นของเธอเปล่งประกายเมื่อเรียบเรียงวิธีการฆ่าสุดแยบยลด้วยปลายนิ้วกระหน่ำเคาะบนแป้นพิมพ์บนหน้ากระดาษสามสิบสี่สิบหน้าหรือหนึ่งร้อย สาบานได้เลยว่าฉันรู้ดี เธอกระหน่ำพิมพ์ไม่หยุดเหมือนที่เค้นแรงมหาศาลหลอมรวมไว้ที่สองมือ กดมันลงบนใบหน้าด้วยหมอนอิงสีขาวขณะที่หญิงชราดิ้นเร่าของชีวิตจากเธอ

... หรือฉัน? 

 

เฮือก!!! 

 

เม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามไรผม ดวงหน้าและแผ่นหลัง เจนสะดุ้งเฮือกเด้งตัวขึ้นจากเตียงเพราะเสียงกระซิบใกล้ราวกับอยู่ข้างกาย เธอวิ่งเข้าห้องน้ำเพื่อสำรอกฝันร้ายลงในชักโครก สัมผัสอบอุ่นลูบแผ่นหลังมาจากเจค น้องชายคนกลางที่ไม่ปรากฏตัวสักพักใหญ่นับตั้งแต่เจนคบกับไคล์ เขาสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นเหมือนทุกที เขานั่งยองและลูบหลังรอให้เจนอาเจียนออกจนหมดไส้หมดพุง ทำอย่างนั้นอยู่ร่วมห้านาที เธอถอนหายใจพิงหลังกับผนังห้องน้ำอย่างเหน็ดเหนื่อยหมดสภาพ เจคยื่นทิชชู่เช็ดปากพี่สาวแล้วเริ่มพูด

"อาการหนักแล้วนะ รู้ตัวรึเปล่า"

"ยุ่งน่ะ"

"ผมเป็นห่วงพี่นะ ถึงมาหาเนี่ย"

"ห่วงตัวเองก่อนเถอะ"

เจคเลิกคิ้วเมื่อสิ้นคำพูดจากพี่สาว เขากำหมัดแน่นเพราะตนพูดดี ๆ ด้วยแต่กลับถูกตอกหน้าด้วยการปฏิเสธความหวังดี เจนพยายามยันตัวลุกขึ้นไปล้างหน้าแต่เพราะร่างกายอ่อนแรงเหลือเกินจึงลุกไม่ไหว เจคช่วยพยุงตัวแม้อีกฝ่ายไม่ต้องการความช่วยเหลือ แต่เขามาเพื่อคุย

"พี่รู้เหรอว่าผมกำลังเจอกับอะไร" เจคถามไขข้อข้องใจขณะที่เจนกำลังวักน้ำล้างหน้า

"รู้สิ แกเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองนะ และแกกำลังจะโดนหมายฝากขังพร้อมกับคนอื่น... รวมถึงแฟนแกด้วย" เจนตอบพลางเช็ดหน้าด้วยผ้าขนหนู "เหอะ โชคร้ายชะมัดที่เกิดมาในประเทศห้ามพัฒนา สถานการณ์ของแกตอนนี้น่าห่วงกว่าฉันอีกนะ"

"พี่รู้ได้ไงก่อน ผมไม่เคยบอก"

"มึงลงในไอจี" 

เจคโพสต์ในอินสตาแกรมถึงความรู้สึกของการได้รับหมายฝากขัง เขาไม่หยุดเคลื่อนไหวเพื่อความหวังว่าประเทศจะก้าวหน้าไปในทางที่ดีขึ้น ทว่าความหวังเหล่านั้นกลับถูกขโมยหายไปดั่งเปลวเพลิงปลายเทียนที่ถูกสายลมลักซ่อนจนเหลือเพียงควัน ถึงอย่างนั้น... เจคก็ไม่หยุด แฟนของเขาก็เช่นกัน "เนี่ย มึงโพสต์สั่งลาขนาดนี้ จะไม่รู้ได้ไง อ่านปราดเดียวก็รู้แล้ว"

 

edited: Unfold+

 

"พี่รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ผมอยากรู้เรื่องของพี่บ้าง"

"คุยข้างนอก"

เจนคว้าเสื้อฮู๊ตสีเทาออกจากตู้เสื้อผ้าแล้วสวมรองเท้าแตะ เธอเดินออกจากหอพักในสภาพชุดนอนทับด้วยฮู๊ตที่สวมใส่อย่างเร่งรีบโดยที่ไม่ลืมกุญแจห้องและโทรศัพท์มือถือ มุมมองของกล้องวงจรปิดที่หอพักนักศึกษาเห็นเพียงเจนเดินออกไปเพียงลำพังแต่ท่าทางเหมือนคุยกับใครบางคนอยู่ตลอดทางจนไปถึงมินิมาร์ต 24 ชั่วโมงข้างหอ

"เลือกสถานที่คุยได้ดีมาก ทุกคนจะคิดว่าพี่เป็นบ้าหมด" เจคถากถางขณะเดินขนาบข้างพี่สาวพลางกวาดสายตามองเจนที่หยิบตะกร้าใบเล็กจากหน้าประตูอัตโนมัติ เวลานี้ไม่ค่อยมีใครเข้าร้านสะดวกซื้อ มีก็แต่พนักงานกะดึกที่นั่งตาปรือหน้าเคาท์เตอร์คิดเงิน หากเขาไม่ใช่พนักงานที่หมดไฟก็คงง่วงเต็มทีแต่ยังไม่หมดกะ มือเล็กของเจนคว้าห่อขนมขบเคี้ยว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชนิดถ้วยและกระป๋องเบียร์อย่างละจำนวนมากจนเต็มตะกร้า "นี่ พี่ดื่มเบียร์แทนข้าวเหรอ" แม้เจคพยายามปัดมือเจนให้ละมือจากตู้แช่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทว่าเจนกลับมองค้อนใส่แถมยังนำกระป๋องเบียร์ใส่ตะกร้าเพิ่มอีก เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู

"แกไม่ต้องห่วงฉันเลย ว่าแต่เราคุยกันถึงไหนแล้วนะ"

 

เหอะ! ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าจะทำแบบนี้ เจคคิดในใจ

 

"ผมกำลังซวยด้วยคดีทางการเมืองแต่ผมก็ไม่รู้จักพี่สาวของตัวเองเลย... ตลอดสิบเก้าปีที่ผ่านมา ผมรู้แค่พี่สาวชื่อว่าเจน พี่เรียนเก่ง พี่ได้ยีนเด่นของพ่อแม่ไปเต็ม ๆ แต่ผมอยากรู้จักพี่มากกว่านี้ ทีนี้หยุดเบี่ยงประเด็นแล้วเล่าทุกอย่างให้ผมฟังได้แล้ว" เจคตอบกลับด้วยน้ำเสียงฉะฉานฟังชัดเหมือนเวลาที่ตนขึ้นเวทีปราศรัยกลางเมือง เขากำลังทำเสียงแบบนั้นใส่พี่สาวของตัวเองโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเสียงของตนกังวานไปทั่วทั้งมินิมาร์ต เจนมองน้องชายด้วยสายตาเรียบนิ่ง

"ก็ได้"

"ทุกอย่างเลยนะ"

เธอจึงเล่าถึงฝันร้ายเมื่อครู่ให้ผู้เป็นน้องรับฟัง เล่าถึงจิตรกรซึ่งเป็นแฟนหนุ่มคนปัจจุบัน บอกว่าเขาเป็นคนดีมากเท่าใดสำหรับเธอและเขาเป็นชายคนที่เธอไว้ใจให้ขึ้นครองบัลลังก์แห่งอาณาจักรจิตใจหม่นหมองเคียงข้างเธอ แน่นอนว่าเขาทำได้ดีเพราะประชาชนไม่อดตายและมีแต่ความสุข เธอเล่าถึงเรื่องสั้นที่กำลังเขียนและรายละเอียดว่าเธอสุขใจขนาดไหนที่เห็นวิญญาณละร่างผู้เป็นบุพการีแม้เป็นเพียงความฝัน เขาขนลุกเกรียวเมื่อรับรู้ถึงความเก็บกดภายในใจของเจน หวาดผวาอย่างบอกไม่ถูกโดยเฉพาะแววตาที่เปลี่ยนไปของเธอราวกับว่าไม่เป็นตัวเอง ใครบางคนเข้ามาแทนที่เธอเหรอ?  เจคไม่กล้าทักท้วงสิ่งที่เห็น ได้แต่รับฟังเพราะเขาเพิ่งเห็นตัวตนที่น่ากลัวของพี่สาว

"พี่หนีมาไกลถึงนี่แล้ว พี่ดื่มด่ำชีวิตอิสระของตัวเองเถอะ" 

"อิสระเหรอ?"

"ใช่ ตอนพี่อยู่ไทย... พี่ไม่มีอิสระเลยนะ ไม่ใช่แค่ความเห็นทางการเมืองแต่การใช้ชีวิตของพี่ด้วย ผมรู้ว่าพี่เกลียดพ่อกับแม่ขนาดไหน แต่เชื่อเถอะ... พี่ไม่ต้องแคร์พวกเขาแล้ว"

"ก็ได้"

"แต่พี่สัญญาอะไรหน่อยสิ" เจคกล่าวพลางยื่นนิ้วก้อยเกี่ยวกับเจน เธอสบตามองและเลิกคิ้ว

"สัญญาอะไร"

"ไม่ว่าจะเกิดเรื่องแย่ ๆ ขนาดไหน พี่จะไม่ทำอะไรบ้า ๆ กับตัวเอง"

สองพี่น้องเกี่ยวก้อยกัน แต่สำหรับพนักงานคิดเงินหน้าเคาน์เตอร์คิดว่าเธอเป็นบ้าเพราะยืนเพียงลำพัง เธอคลี่ยิ้มให้และวางตะกร้าคิดเงิน จ่ายด้วยการรูดบัตรเดบิตก่อนจะออกมาจากร้านสะดวกซื้อ พวกเขานั่งด้วยกันที่ม้านั่งข้างหอ เจนแกะขนมห่อหนึ่งและแบ่งเบียร์ให้เจคหนึ่งกระป๋องแม้รู้ว่าร่างโปร่งแสงของเขาดื่มยังไงก็ไม่เมา

"ก็ได้ แต่ไม่รับปากนะ"

"ไม่ใช่เรื่องตลกนะ เจน! ผมเสียใครไปไม่ได้แล้ว!!"

 

 

ฉันตายไปนานแล้ว... เจค

ทำไมยังดูไม่ออกอีก ?

 

 

"มาทำอะไรที่นี่คนเดียวเหรอ?" ใครบางคนร้องทักขึ้นมาทำให้เจนหันขวับไปมอง เขาคือชายหนุ่มผิวเข้มคนเดิมที่ห่างหายจากชีวิตเธอสักพักใหญ่ "ขอนั่งด้วยได้ไหม?" เขาถามพร้อมคลี่ยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร เจนแปลกใจกับการมาหาของไทที่นี่เวลานี้เพราะเธอรู้จักเขาดี เขาไม่ใช่คนตื่นเช้าแม้มีเรียนเช้า นี่มันหกโมงเช้า... เวลาแสนทรมานของคนที่นอนไม่หลับพยายามข่มตานอน ถึงอย่างนั้นเธอก็ยอมให้ไทนั่งด้วยเพราะหวังว่าบทสนทนาครั้งนี้จะจบโดยเร็ว 

"มีอะไรเหรอ?"

"เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ทำไมทักกันแบบนี้ล่ะ?"

"รีบเข้าประเด็นเถอะ มีอะไร?"

"ผมคิดถึงคุณ" ไทตอบเสียงเศร้า มองหน้าเจนด้วยดวงตาเอ่อล้น

"มาเอาอะไรตอนนี้ ตอนที่ฉันไม่มีความรู้สึกอะไรให้แล้ว" ทว่าเธอกลับไม่มีความรู้สึกเห็นใจสักนิดให้ชายหนุ่มที่ตนเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วย 

"แน่นอนว่าเราไม่จำเป็นต้องกลับมาคบกันก็ได้ แค่อยากให้รู้ไว้ว่าคิดถึง นับตั้งแต่วันนั้นที่เราเจอกันครั้งสุดท้าย ผมเป็นห่วงว่าคุณจะเป็นอะไรไปรึเปล่าเพราะอยู่ ๆ ก็หายไป ผมรู้สึกว่าบางอย่างขาดหายไปเมื่อไม่มีคุณ"

 

จำได้ด้วยเหรอ? 

 

"ฉันไม่ได้หายไปไหน คุณแค่ไม่เห็นแล้วคุณแค่มีอารมณ์ตอนเราอยู่ด้วยกันแล้วก็เคยชินกับการมีอยู่ของฉันมากกว่า ยอมรับนะว่าตอนนั้นก็เป็นเวลาที่ดีของเรา แต่อย่างเดียวที่แย่คือ ฉันเป็นความลับที่คุณต้องปิดบังไว้ แค่นั้นเลย... ฉันไม่ควรเข้าไปวุ่นวายในชีวิตคุณตั้งแต่แรก"

"ไม่ใช่ความผิดคุณ"

"เราก็ผิดกันทั้งคู่นั่นแหละที่ไม่หักห้ามใจ ที่เป็นคนเห็นแก่ตัวและฉันคิดว่ามันดีแล้วที่เราไม่กลับไปเป็นคนแบบนั้น" เจนตอบกลับพลางยื่นเบียร์กระป๋องหนึ่งให้ไท แม้ตอนแรกอยากผลักไส แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูกจึงให้กระป๋องเบียร์แทนการพูดดี ๆ ว่าต้องการให้เขานั่งเป็นเพื่อนสักพัก เธอไม่เข้าใจตัวเองด้วยซ้ำ 

"ขอบคุณ" ไทรับไว้แล้วยกกระดกดังเอื้อก "เออใช่ ผมรู้เรื่องน้องชายคุณแล้วนะ"

"หืม? รู้เรื่องอะไร"

"เขาจะไม่เป็นอะไร ทนายฝ่ายประชาชนจะช่วยให้เขาชนะคดี"

"เหอะ เรื่องนั้นน่ะเหรอ? ฉันไม่กล้าคาดหวังอะไรเยอะกับระบบยุติธรรมไทยเลย มันดูเป็นคำขอที่มากเกินไปที่จะให้พวกเขาปกป้องประชาชน จริงอยู่ที่มีทนายฝั่งประชาชนพร้อมช่วยเหลือแต่ผู้ตัดสินคดีไม่ได้เข้าข้างเราสักหน่อย" เธอสบตามองไท ถามหาความเข้าใจจากเขาในฐานะเพื่อน "อย่างดีที่สุดคือติดคุกไม่กี่เดือน แต่คุณก็รู้ใช่ป่ะว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ออกมา"

"มีความหวังเข้าไว้นะ"

#จมในห้วงความคิด