EPILOGUE

Essay Collection of Broken Souls

 

วอดวาย/สูญสิ้น/ความเป็นมนุษย์

เขียนโดย UNCAGED STARS

 

"นี่คือเรื่องราวที่อาจไม่ถูกนำมาเล่าอีก... และคงแหลกสลายไปพร้อมกับวิญญาณของเรา เอาล่ะ... เตรียมสุรายาสูบมานั่งผิงไฟด้วยกันเถอะ คืนนี้เหน็บหนาวเหลือเกิน ว่าไหม?"

 

เรื่องราวของดินแดนไกลโพ้นทะเลเป็นเกาะอุดมสมบูรณ์ ประชาชนหกสิบสองล้านคนอยู่ใต้การปกครองของกษัตริย์ผู้ร่ำรวยและมีปรีชาสามารถรอบด้าน อีกทั้งผู้ปกครองยังมั่งคั่งและบริหารดูแลดินแดนเป็นอย่างดี

ทุกคนทำหน้าที่ของตนไม่ต่างจากประชาชนประเทศอื่น หนึ่งในพวกเขาล่วงรู้ความลับอันน่าละอายของข้าราชการชั้นผู้ปกครอง เหล่าเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบประจบประแจงเยินยอกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ด้วยความหวังว่าตนจะได้เงินเพิ่มขึ้น เจ้าหน้าที่เหล่านั้นเทิดทูนกษัตริย์เหนือหัวเป็นดั่งสมมติเทพ

เจ้าเหนือหัวกำเริบสุขพึงพอใจในเสียงเยินยอจอมปลอมจึงออกกฎเพิ่มอีกข้อเพื่อเก็บสังหารสามัญชนผู้ไม่เชื่อง

"ผู้ใดไม่โลมเลียฝ่าเท้าเราคือผิดมหันต์ ผู้ใดต่อต้านและหวังโค่นบัลลังก์เราคือกบฏทั้งสิ้น"

ทุกเช้าเย็น เสียงเห่าหอนของสัตว์ร้ายอยู่ไม่สุข หิวโหยในอำนาจไม่มีวันสิ้นสุดบนเก้าอี้ตำแหน่งของตัวเอง

ผู้ปกครองวางมาตรการในการสร้างลัทธิบูชาสมมติเทพโดยเริ่มจากกระจายเสียงเผยแพร่รูปแบบความคิดของการเป็นไพร่ทาสให้ยอมจำนนต่อผู้เป็นนาย ให้เป็นบ้าใบ้ชินชาเมื่อเห็นสิ่งผิดแปลกแล้วทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย

พวกเขาเขียนเพลงนับไม่ถ้วนเพื่อเยินยอคุณความดีซึ่งไม่มีจริงของเจ้าเหนือหัวให้ประชาชนยืนตรงแซ่ซ้องพร้อมกัน เมื่อมีสัญญาณดัง ข่มขู่ภัยอันตรายที่อาจตามมาหากกังขาในการตัดสินใจของสมมติเทพ คลื่นเสียงถูกส่งจากเมืองหลวงไปถึงทุกบ้านบนเกาะเป็นเวลากว่าร้อยปีจนกระทั่งประชาชนหัวอ่อนยอมเชื่อฟังอย่างไร้ข้อกังขา

ทว่า...

บางกลุ่มกลับขัดขืนต่อต้านต่อกฎใหม่ พวกเขาอุดหูก่นด่าไม่พอใจเป็นอย่างมากเพราะนั่นคือการลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ของตัวเองกลายเป็นเพียงฝุ่นธุลี

กฎข้อนั้นอยู่เหนือการควบคุมหัวใจให้รู้สึกเคารพรักสมมติเทพ พวกเขาจึงเปิดโปงสิ่งที่ตนรับรู้ให้ทราบโดยทั่วกันถึงการกระทำน่าสมเพช

พวกเขาวางแผนขับไล่เหล่าสัตว์ร้ายออกจากเก้าอี้ผู้ปกครองเพื่อเลือกตั้งผู้ปกครองคนใหม่ -- คนที่รับฟังและไม่ทิ้งประชาชน แต่มันยากเหลือเกินเพราะกฎหมายไม่เอื้ออำนวยต่อการขับไล่พวกทุจริต ส่งพวกเขาเข้าคุกไม่ได้ด้วยซ้ำเพราะกฎหมายไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ ไม่เป็นกลางและไร้ความยุติธรรม เงินตรากลายเป็นเครื่องมือซื้อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

นานวันเข้าก้าวสู่ยุคสมัยแห่งการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ทว่าแผ่นดินนี้กลับหยุดชะงักการเติบโตเพราะผู้ปกครองสนใจแต่การบังคับเฆี่ยนขู่มนุษย์ให้เดินสี่ขาและเห่าหอนเหมือนตน สัตว์ร้ายบนเกาะยิ่งมีมากขึ้น...

ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการสวมเครื่องแบบซึ่งเคยอ้างคำสัตย์ว่าตนเป็นกลางและอยู่ข้างประชาชน พวกเขากดขี่ข่มเหงการเห็นต่างของคนที่เกิดไม่ทันยุคล้างสมอง

ความรุนแรงทวีเพิ่มขึ้นจนเกิดการชุมนุมของมนุษย์ผู้ร้องขอให้แก้ไขกฏใหม่เพื่อคืนค่าความเป็นคน

เวลานั้นปัญหาอาชญากรรมกลายเป็นเศษขยะบนถนนซึ่งสามารถปัดหน้าที่ให้คนอื่นดูแลแทนได้ เหยื่อมากมายถูกข่มเหงล่วงละเมิดจากวิตถารผู้สำเร็จความใคร่บนร่างกายคนอื่น ทั้งในตรอกซอยและที่สาธารณะอย่างไร้อาย

ทว่าผู้ก่อเหตุลอยนวลดั่งควันเพราะตำรวจทหารละเลยหน้าที่แท้จริงของตัวเองเมื่อได้รับสินบนในราคาที่น่าพอใจเพื่อไล่ล่าผู้คิดต่างเฉกเช่นพวกเขาคือนักล่าแม่มดแห่งศตวรรษ จากเกาะอุดสมบูรณ์กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน

สัตว์ร้ายเหล่านั้นแยกเขี้ยว ทุบตี กรีดกรงเล็บทิ่มแทงมนุษย์เปลือยเปล่าไม่มีทางสู้ราวกับลืมอดีตจนสิ้นแล้วว่าตนก็เคยเป็นมนุษย์เช่นกัน การกระทำนั้นยิ่งทำให้ประชาชนลุกฮือจากร้อยคนเพิ่มขึ้นเป็นพันคนในเวลาสามเดือนและจากหมื่นคนสู่แสนคนในเวลาครึ่งปี

สมมติเทพผู้อยู่เบื้องหลังคอยสังเกตการณ์ทุกอย่างไม่ละสายตาปล่อยให้เกิดความขัดแย้งต่อไปขณะที่ตนเองเสพสุขอยู่ต่างแดน เรียกขันธีและนางบำเรอมาปรนเปรอจนหนำใจ เย้ยยิ้มร้ายในความมืดจิกทึ้งเส้นผมดำสลวยแล้วเสียบแทงแก่นกายสู่ร่างที่ถูกตรึงใต้คำบัญชา

เมื่อเสร็จสมจึงกระซิบว่าจะมองยศถาและบัลลังค์ให้นั่งเคียงข้างหากร่วมบรรเลงเพลงกามด้วยกันอีกครั้ง

ค่ำคืนแห่งความโกลาหลของดินแดนบนเกาะดำเนินต่อไปอย่างไร้จุดจบ ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงจากละอองเลือดสยดสยอง ร่างเปลือยเปล่าถูกช่วงชิงเลือดเนื้อเพื่อบูชายัญเทพสมมติจนกลายเป็นที่จับตามองของประเทศอื่น เพื่อปิดปากคนนอกและผู้พบเห็นโศกนาฎกรรม...

พวกเขาจึงกลายเป็นผู้โชคร้ายที่ถูกอุ้มหายไปยังวงกตแห่งความทรงจำซึ่งเป็นสถานจองจำผู้กระทำผิดกฎหมาย ดินแดนมนุษย์ถาโถมลุกเป็นไฟด้วยแรงแค้นของผู้โลภในอำนาจที่ไม่อาจควบคุมม้าพยศให้นิ่งสงบ

ศพพวกเขาเน่าตายในวงกตแห่งนั้นโดยไม่มีโอกาสได้เล่าความเน่าเฟะของประเทศที่ปกครองโดยสัตว์ร้าย

"น่าเศร้าจริง" วัยรุ่นก้มหน้าไว้อาลัยต่อผู้ล่วงลับ เสียงคลื่นพัดพาความหนาวเหน็บขึ้นมาสู่ชายฝั่งทะเลของเกาะ นักเล่าเรื่องผู้ไม่ประสงค์ออกนามแบ่งผ้าห่มและเหล้าให้ทุกคนดื่มเพื่อเพิ่มความอบอุ่น เขาเป็นเพียงชายหนุ่มใจดีที่นั่งเดียวดายที่หลุมศพริมทะเลแห่งนี้ กลุ่มวัยรุ่นจึงมาร่วมวงนั่งด้วยหวังคลายความเหงาให้ชายหนุ่มได้บ้าง

"แล้วเกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์บนเกาะ?" เด็กน้อยถามเพื่อขอให้เขาเล่าต่อ แววตาไร้เดียงสาของเด็กสิบขวบทำให้หัวใจของนักเล่าเรื่องอ่อนนุ่มลง เขาลืมตัวไปเลยว่าผู้ฟังของเขาไม่ได้มีแค่ผู้บรรลุนิติภาวะแต่ยังมีเยาวชนตัวน้อยที่หลงใหลในประวัติศาสตร์อีกด้วย

"มันเป็นคำสาปของประเทศที่ปกครองโดยสัตว์ร้าย มนุษย์ใช้เวลาต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ของพวกเขายาวนานร่วมสหัสวรรษกว่าจะได้รับชัยชนะ เราได้รับบาดแผลจากการต่อสู้นั้นด้วย"

นักเล่าเรื่องเลิกเสื้อยืดให้ดูร่องรอยบนร่างกายซูบผอม แผ่นหลังกว้างถูกกรงเล็บของสัตว์ร้ายจิกทึ้งและกระสุน เขารอดจากการถูกบูชายัญวิญญาณมนุษย์มาได้ราวกับปาฏิหารย์แต่เขาไม่เชื่อในสิ่งมหัศจรรย์

"คุณคงจะเจ็บมาก" หญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มถือวิสาสะแตะแผ่นหลังเย็นเฉียบ ทำให้นักเล่าเรื่องสวมเสื้อคืนดังเดิมแล้วเล่าต่อ

"เจ็บ... แต่ไม่เท่าวินาทีที่รู้ว่าคนรอบกายเรากลายเป็นหนึ่งเดียวกับสัตว์ร้ายหรอก"

"ทำอย่างไรจึงจะโค่นสัตว์พวกนั้นและทำลายคำสาปได้? เพียงศรัทธากับอุดมการณ์ไม่พอแน่"

"เวลา ความยุติธรรมและความตาย"

นักเล่าเรื่องบอกใบ้กุญแจสู่ชัยชนะให้เท่านั้น เขากระดกเหล้าหมดขวดแล้วแหงนมองท้องฟ้าสีดำ ดวงดาวนับล้านทอแสงประกายเหมือนความหวังแห่งอุดมการณ์แข็งแกร่งในค่ำคืนสุดท้าย

ภาพชัยชนะในมือของประชาชนทอดเงาสะท้อนในมหาสมุทรดวงตาของเขา กลุ่มวัยรุ่นมองตามอย่างฉงนใจ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มจากริมฝีปากบางซีดมีความสุขที่มองท้องฟ้าผืนเดียวกับพี่น้องของเขาซึ่งอยู่แดนไกล

คิดถึงพวกเธอจังเลย

เขาส่งความคิดถึงผ่านน้ำตา ชายหนุ่มปล่อยโฮไร้เสียง ข้างสุสานกลายเป็นพื้นที่แห่งความเงียบงันของเขาเพียงผู้เดียว กลุ่มวัยรุ่นมองไม่เห็นนักเล่าเรื่องอีกแล้ว มีเพียงขวดเหล้าเปล่าสีอำพัน ก้นกรองยาสูบและหนังสือเล่มบางปกสวยเล่มหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า

"นิทานชังกษัตริย์"

 

 


 

 

Breaking Smile of An Angle Whore

เขียนโดย โจเซลีน นิวัศน์วงศา

 

เรือนร่างนี้เป็นของคนอื่นมาตลอด ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งแหลกลาญเป็นผุยผง

มันเป็นของหลานชายป้าข้างบ้าน พวกเราเล่นด้วยกันตั้งแต่สมัยอนุบาล พ่อแม่บอกว่าเขาเป็นคู่หูเพื่อนเล่นของฉันเพราะพี่สาวคนโตและพี่ชายคนกลางมีโลกส่วนตัวสูงเกินกว่าจะมาเล่นกับน้องสาวคนเล็กอย่างฉัน

เวลาผ่านไปเด็กหญิงอนุบาลเติบใหญ่เป็นเด็กสาวชั้นประถมศึกษาตอนปลาย เพื่อนเล่นเริ่มมีท่าทางเปลี่ยนไป เขามักลอบช้อนสายตาเวลาฉันไม่สวมยกทรงในบ้าน

แม้ฉันปิดผ้าม่านเพื่อไม่ให้เขามองเห็นแต่ฉันรู้ว่าเขายังจดจ้องอย่างไม่วางตา ฝันร้ายมาถึงในวันที่เขาทำมากกว่าการถ้ำมองจากหน้าต่างข้างบ้าน

เขากลายเป็นความมืดที่เคลื่อนไหวภายในห้องนอน กรีดกรายเขี้ยวเล็บน่าสยดสยอง กระแทกจูบอย่างรุนแรง บดเบียดเสียงดังจ๊วบจ๊าบ สอดลิ้นร้อนเข้ามาในโพรงปากดั่งสัตว์หิวโหยเค้นเสียงโอดครางจากผู้อยู่ใต้การควบคุม

"ถ้าใหญ่กว่านี้คงเต็มมือพอดี" คำพูดแหบทุ้มเปล่งออกมาจากริมฝีปากสีแดง ขณะบีบขยำหน้าอกแบนราบของเด็กสาวบนเตียง

ฉันดีดดิ้นต่อต้านสัมผัสอันตรายของเขา พยายามกรีดร้องทว่าถูกอุดปากแน่นด้วยมือใหญ่ข้างซ้าย มืออีกข้างเลื่อนวางลงบนเอวพร้อมโน้มกระซิบบางอย่างจนต้องหลั่งน้ำตา

เขาว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้คือกล่องของขวัญวันเกิดแห่งความลับ -- คุณเป็นลูกพี่ลูกน้องที่อายุมากกว่าฉันเพียงขวบปีและเพิ่งทำลายวันเกิด 14 ปีของฉันด้วยของขวัญที่ไม่อยากได้

ฉันในวัย 14 ตะเพิดคุณออกจากห้องเพื่อร้องไห้จนหลับไป ฉันไม่ปริปากบอกใครเพราะกลัวถูกกล่าวโทษว่าเป็นฝ่ายเชื้อเชิญด้วยการอวดเรือนร่างและไม่ใส่กลอนประตูห้องนอน

ฉันนึกออกว่าใครๆคงมองฉันด้วยสายตารังเกียจหากพูดความจริงของคืนนั้นออกไป พ่อแม่และพี่ ๆ คงแสร้งทำหน้าเห็นใจอย่างจอมปลอม ส่วนคุณคงแสร้งพูดขอโทษเพื่อกลบเกลื่อนความโกรธที่มีต่อฉัน อย่างไรเสีย... ฉันรู้สึกโชคดีที่พ่อตัดสินใจขายบ้านหลังนั้นเพราะย้ายที่ทำงาน ทว่ารอยจ้ำจากการล่วงเกินคืนนั้นไม่เคยเลือนหายไปจากเนินอก

 

ร่างกายของฉันเป็นของชายหนุ่มอดีตคนรักสอดใส่ท่อนความเป็นชายของตนเข้ามาโดยไม่ขออนุญาตเมื่อปีก่อน คุณชวนฉันไปดูหนังด้วยกันในบ้านต้นไม้ซึ่งเป็นสถานที่ปลอดภัยของคุณ อบอุ่นและเป็นส่วนตัวเพราะไม่มีใครสามารถเข้าไปได้นอกจากคุณ ฉันในวัย 15 ปีไร้เดียงสาเกินคาดเดาถึงเจตนาที่หลบซ่อนใต้รอยยิ้มเป็นมิตรของคุณ

โทรทัศน์ซึ่งกำลังฉายภาพยนตร์รักโรแมนติกพลันเสียงแผ่วเบาลง เมื่อคุณกระซิบร้ายว่ามีอารมณ์จนไม่มีสมาธิดูหนัง ว่าแล้วบรรจงจูบพวงแก้มและกลีบปากทนุถนอม ความหอมหวานคือของขวัญในเดตวันนั้น ฉันซุกจมูกรั้นบนผิวแก้มขณะโอบแขนรอบคอของคุณเมื่อไม่อาจต้านทานความต้องการของคุณได้

ทุกอย่างปกติดีเพราะมันคือวิธีการแสดงความรักต่อกันจนกระทั่งพบว่าตัวเองถูกคร่อมและรู้สึกได้ถึงสัมผัสแข็งตึงตรงหว่างขา แววตาเป็นมิตรเปลี่ยนไปเป็นสิ่งดุร้ายพลันทำให้นึกถึงอดีตที่อยากลืม

"อย่านะ"

ฉันโพล่งปฏิเสธแต่ผู้อยู่เหนือกว่าไม่ยอมโดยดีเพราะเจ้าโลกของเขากำลังพรั่งพรูใต้กางเกงขายาวตัวนั้น รอยยิ้มของปีศาจผุดขึ้นมาจากมุมปาก มันคือยิ้มแบบเดียวกับความมืดในห้องนอนของบ้านหลังเก่า หนุ่มคนรักพลันปลดเปลื้องเปลือกชุดลำลองของฉันจนเหลือเพียงกางเกงในตัวเดียว

คุณสบตามองเพียงครู่หนึ่งแล้วลากริมฝีปากสีแดงจูบลงบนร่างสั่นเกร็งเพื่อทุเลาความกลัว ทว่ากลับทำให้ฉันกลัวมากกว่าเดิม ฉันร่ำไห้ขัดขืนเพราะคุณกำลังเอาเปรียบร่างไร้ทางสู้ ร้องไห้ดังเพียงใดก็เป็นเพียงเสียงไร้ค่าเมื่อคุณเกี่ยวนิ้วยาวที่ขอบกางเกงในเพื่อชื่นชมรอยสักชื่อจริงใต้ร่มผ้าแล้วบรรจงจุมพิตขณะถอดอาภรณ์ตัวจิ๋วออก

เสียงภาพยนตร์ถูกแทนที่ด้วยเสียงครวญครางของสองหนุ่มสาว คนหนึ่งเปี่ยมด้วยสุขเมื่อได้ครอบครองสิ่งที่อยากได้อย่างเอาแต่ใจ อีกคนปวดร้าวทรมาณและร้องขอชีวิต ฉันเลิกกับคุณทันทีหลังจากที่คุณเสร็จสม

ร่างกายนี้ไม่เคยเป็นของฉัน...

ฉันจึงปฏิบัติต่อคุณเหมือนลูกพี่ลูกน้อง ทิ้งความสัมพันธ์ที่เคยมีไว้ด้วยความเกลียดชังและค้างคา คุณร่ำลาด้วยการกล่าวโทษว่าการไม่สวมเสื้อชั้นในของฉันทำให้ควบคุมตัวเองไม่ได้แต่ฉันไม่มีเวลาเถียงด้วยหรอก

วันต่อมาคุณพร่ำบอกใครต่อใครเรื่องยกทรงและรอยสักของฉันโดยเมินเฉยต่อปีศาจของตนเองที่คอยย้ำเรื่องขืนใจแฟนสาว

 

ร่างกายของฉันเป็นของคนอื่นครั้งสุดท้ายตอนอายุ 18 เมื่อฉันสบถคำหยาบทุกครั้งที่พ่ายแพ้ในเกมออนไลน์ซึ่งมีชายวัยกลางคนเป็นผู้ร่วมทีม เสียงปลายสายโน้มกระซิบขู่จะมอบจุมพิตดูดดื่มจนกว่าปากของฉันจะเจ็บช้ำและพ่นคำหยาบไม่ได้อีก

มันน่าขยะแขยงยิ่งกว่าเมื่อเขาอายุเท่าน้องพ่อและเร่งเร้าขอช่องทางติดต่อมากกว่าการเป็นเพื่อนในเกมออนไลน์ เขาพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวและเชยชมใบหน้างดงามที่ซ่อนเบื้องหลังเรือนผมยาวสีดำดั่งอีกาในทุกรูปถ่าย

คำพูดหว่านแหหวานเยิ้มของชายวัยกลางคนเพียงแค่หาเหยื่อเพื่อเติมเต็มความใคร่ให้ค่ำคืนอ้างว้างของตัวเอง

เงาในกระจกถอดเสื้อยืดออกให้ฉันมองตามผิวกายทุกตารางนิ้ว ฉันเห็นเด็กสาวไร้รอยยิ้ม พวงแก้มและกลีบปากถูกย่ำยีนับครั้งไม่ถ้วนจากชายผู้มองเธอเป็นเพียงสนามอารมณ์ รอยมือแดงปรากฏบนอกเปลือยเปล่า จอยได้ยินเสียงร้องอ้อนวอนให้พวกเขาหยุดทุกครั้งที่เห็นรอยแดง

"พี่บอกแล้วว่าน้องสวย"

แว่วได้ยินเสียงปลายสายโลมเลียทั่วทั้งร่างกายจนแทบขาดใจ ค่ำคืนนี้สิ้นหวังกว่าคืนไหน ๆ เพื่อให้ชายเหล่านั้นไม่สามารถย่ำยีเธอได้อีกจึงทุบตีใบหน้าของตัวเองเต็มแรงตรงที่พวกเขาเคยทำให้เธอเจ็บ

หากฉันตาย... ฉันจะไม่ต้องเป็นวัตถุทางเพศของพวกเขาอีก

เมื่อตัดสินใจแน่วแน่จึงคว้ามีดกรีดลงบนแขนทั้งสองข้างต่อหน้าเงาสะท้อนของตัวเอง เลือดสีแดงจากท่อนแขนซีดหลอมรวมเป็นหัวใจเจ็บช้ำ สะกดเป็นชื่อจริงในรอยสักแล้วแหลกสลายไปพร้อมโครงกระดูกไร้ชีวิต

คุณเห็นอะไรบ้าง?

หญิงสาวไม่มีร่างกายเป็นของตัวเอง แม้พวกหล่อนงดงามดั่งนางฟ้าหรือเป็นเพียงมนุษย์สามัญ ร่างกายของพวกหล่อนล้วนถูกครอบครองด้วยสายตาหื่นกระหายของสัตว์ร้าย

เพียงเดินสวนกันตามทางเท้า...

พวกคุณตะโกนแซวก้นงอนของพวกหล่อนอย่างสนุกปาก ภาพถ่ายพวกหล่อนปรากฎบนหน้าจอโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ถูกส่งต่อให้กับเพื่อนพ้องของพวกคุณ

ไม่ว่าในภาพนั้นหล่อนสวมชุดลำลอง ชุดนักศึกษาหรืออะไรก็ตาม พวกหล่อนถูกเชยชมว่าเป็นวัตถุชิ้นงามเพียงชั่ววินาทีจนกระทั่งแปดเปื้อนด้วยน้ำข้นเยิ้ม

ยิ่งแย่เมื่อได้ยินเสียงครางกระเส่าของผู้เสพสุขมาจากห้องของคนใกล้ตัวและพบว่าคนในรูปภาพคือเพื่อนของฉัน พวกหล่อนไม่มีสิทธิ์เรียกร้องความยุติธรรมต่อร่างกายที่ถูกย่ำยีด้วยซ้ำ

ทำได้เพียงมองเงาในกระจกเศร้าสร้อย ภูมิต้านทานต่อการกดทับถูกพังทลายด้วยแผลล่องหนซึ่งมีเพียงตัวเองที่เห็นแล้วตายไปพร้อมกับความลับตลอดกาล

ฉันไม่หวังให้คุณบูชาผู้หญิงดั่งเทวดานางฟ้า นอกจากขอให้มองเห็นพวกเราเป็นมนุษย์เหมือนคุณ

 

 


 

 

A Kiss of the Death and Persephone

รวบรวมความทรงจำโดย Aionios Sephtis

 

กลางดึกของวันธรรมดาภายในบ้านเดี่ยวสองชั้น ลึกเข้าในห้องนอนในสุดคือรังกบดานของเด็กสาววัยบานสะพรั่ง เสียงสะอื้นไห้เล็ดลอดมาจากบานประตูท่ามกลางความเงียบงันของบ้านซึ่งไม่มีใครอยู่ด้วยกิจธุระและภาระส่วนตัว ที่มาของเสียงสะอื้นเกิดจากคมแหลมของแก้วมัคเซรามิกกรีดแทงลึกจากท้องแขนเรียบเนียนสู่ข้อมือเล็กข้างซ้าย

โจเซลีน หญิงสาวเรือนผมดำยาวถึงกลางหลังร่ำไห้หน้ากระจกให้กับความเจ็บปวดและเฮงซวยทั้งชีวิต ไม่รู้สึกผิดสักนิดกับการปลิดชีพตัวเองเพราะมันผ่านกระบวนการไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว

น้ำตาหลั่งรินฟูมฟายและภาวนาให้ความตายมาถึงโดยเร็ว ทว่าโลกความจริงกลับเหนี่ยวรั้งให้ทรมานกับความเจ็บปวดและกองเลือดสีแดงฉานซึ่งหลั่งไหลตามแนวกรีดบนแขน

เมื่อร้องไห้จนแววตาพร่ามัวด้วยแอ่งน้ำแห่งความโศกเศร้าจนแทบขาดใจ ห้องนอนสี่เหลี่ยมแต่งผนังสีครีมขนาดห้าสิบตารางเมตรพลันเย็นเยียบจับขั้วหัวใจเป็นสัญญาณการมาถึงของผู้มาเยือนใต้ผ้าคลุมสีเข้มยาวถึงพื้น นัยน์ตาสีครามจดจ้องมองผู้โหยหาความตายอย่างนิ่งเฉยขณะเดินเข้าใกล้ ต้นไม้ฟอกอากาศใบเขียวชอุ่มพลันแห้งตายและมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะบนกระถาง

“ทำไมมาช้าจังล่ะ?”

“ดีใจที่ได้เจอคุณอีกนะ”

ยมทูตไม่ตอบคำถาม ทว่ากลับกระตุกมุมปากยิ้มเยือกเย็น เขาแหงนมองนาฬิกาติดผนังในห้องของมนุษย์ที่กำลังทรมานกับการเสียเลือด

หล่อนเหลือเวลาอีกไม่ถึงห้านาทีก็จะกลายเป็นเพียงศพแห่งความทรงจำ ผู้เก็บเกี่ยววิญญาณรอคอยอย่างอดทน นัยน์ตาสีครามดั่งมหาสมุทรจดจ้องมองหญิงสาววัยผลิบานขณะเงี่ยหูฟังเสียงเข็มนาฬิกาเลื่อนผ่านหน้าปัด

ความรู้สึกหลากหลายก่อตัวในห้วงนาทีเนิ่นนานราวกับผีเสื้อกระพือบินในช่องท้องของผู้ใกล้ถึงฆาต

“คุณทรมานมาเยอะแล้ว ผมจะช่วยทำให้มันจบ” ยมทูตกล่าวเสียบแหบทุ้มพลางวางมือใหญ่บนไหล่ข้างหนึ่งเพื่อคลายกังวลและทุเลาความเจ็บปวด ร่างกายเหนื่อยล้ายอมรับสัมผัสหวังดีจากความตาย ไหล่แคบผ่อนคลายและตัวเบาลง “ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วนะ”

ว่าแล้วผู้ซ่อนตัวตนใต้ผ้าคลุมยื่นใบหน้าขาวทาบริมฝีปากนุ่มกับกลีบกุหลาบซีดของหญิงสาวเพื่อดูดกลืนลมหายใจและความรู้สึกทั้งปวงจนสิ้น

มันหนักอึ้งด้วยเลือดและน้ำตาจนขมปร่าไม่เหมือนกับจูบหอมหวานอย่างในเทพนิยาย

ยมทูตกดย้ำบนริมฝีปากคู่นั้นเมื่อภาพทรงจำเริ่มล้นทะลัก เมื่อทำแบบนั้นทำให้ไม่มีช่วงเวลาใดในชีวิตของผู้ตายหล่นหาย เขาเห็นใบหน้าของเด็กชายและผู้กระทำชำเรากระจ่างชัดผ่านมุมมองของหญิงสาว

ทั้งสองเคยพบกันแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสองปีก่อนในวันที่แฟนคนเก่าขืนใจแล้วแพร่งพรายเรื่องหญิงสาวไม่สวมยกทรงเพื่อให้ท่าใครต่อใครและรอยสักลึกลับใต้ร่มผ้า หล่อนโหยหาความตายตั้งแต่ตอนนั้นเพื่อความทรมานจบลง

ยมทูตปรากฏตัวที่หัวเตียงของชายเดรัจฉาน ลูกแก้วดำสนิทของหญิงสาวเอ่อล้นด้วยน้ำตาเห็นเงาทะมึนสวมผ้าคลุมสีเข้มพร้อมกับเคียวด้ามยาว เรือนผมดำย้อมปลายสีเทาเล็ดลอดให้เห็นจากผ้าคลุมหัวและริมฝีปากซีดบางขยับเป็นคำพูดซึ่งมีเพียงหล่อนเท่านั้นที่ได้ยิน

“ใจเย็นที่รัก ยังไม่ถึงวันของคุณ แต่อีกไม่นานเศษสวะนี่จะได้ชดใช้สิ่งที่ตัวเองทำ แล้วเราจะได้เจอกันอีก”

และหนึ่งเดือนต่อมาชายชั่วก็ถูกไล่ออกจากโรงเรียนเนื่องจากพฤติกรรมอนาจาร เขาหายสาปสูญเมื่อข่าวลือว่าเขาเป็นนักล่าแต้มแพร่กระจายไปทั้งโรงเรียน

นอกจากนี้ยังมีเรื่องครอบครัวห่วยแตกของเธอที่เห็นลูก ๆ ของตนเป็นถ้วยรางวัลไว้อวดใครต่อใคร พวกท่านปฏิบัติตนกับหล่อนเหมือนลูกจ้างบริษัทรับจ้างเรียน แม้พวกท่านบอกว่าไม่จำเป็นต้องเรียนเก่งแต่ก็เปรียบเทียบกับพี่ทั้งสองไม่หยุดปากเมื่อผลสอบออก

พี่ ๆ ของหล่อนคือที่พึ่งเดียวบนโลกโหดร้ายแต่พวกเขาก็มีบาดแผลของตัวเอง มนุษย์ผู้หวังความตายแบกความเจ็บปวดเหล่านี้เป็นแรมปีอย่างน่าสงสารจนกระทั่งมันแปรเปลี่ยนเป็นเนื้อร้ายลุกลามกัดกินหัวใจจนจบชีวิตลงอย่างที่เห็น

ยมทูตเก็บเกี่ยววิญญาณได้ทันเวลาเหมือนภารกิจที่ผ่านมา เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว ยมทูตถอนริมฝีปากและกลั่นความทรงจำทั้งหมดออกมาเป็นน้ำตาหยดหนึ่งเก็บไว้ในขวดแก้วจิ๋วเพื่อบันทึกการตาย

เขาเช็ดเลือดที่เปื้อนขอบปาก วิญญาณสาวหัวเราะในลำคอพึงใจเมื่อยมทูตนำพาความสบายใจมาให้ สภาพของเธอสวยงามไม่ต่างจากคราวที่มีชีวิตเพียงแต่เป็นร่างผ่ายผอมโปร่งแสงสวมอาภรณ์เบาบางและมีนัยน์ตาขาวโพลนไร้แววของชีวิต

“เพิ่งรู้ว่ายมทูตร้องไห้ด้วย”

“หึ แซวแบบนี้ แปลว่าสบายใจแล้วสิ” ยมทูตเก็บขวดแก้วไว้ในกระเป๋าถืออย่างระมัดระวัง เขาแหงนหน้ามองนาฬิกาติดผนังอีกครั้งแล้วสนทนาต่อกับวิญญาณมือใหม่ “แต่ว่าคุณจะยังติดอยู่ที่นี่สักพักนะ ไม่นานมากหรอก มันเป็นกฎน่ะที่รับวิญญาณฆ่าตัวตายไปโลกล่างทันทีไม่ได้ เมื่อถึงเวลา ผมจะมารับไปที่บ้านหลังใหม่ของคุณ”

“เฮ้อ แย่ชะมัด” วิญญาณสาวบ่นอุบ “แล้วฉันจะได้เจอคุณอีกไหม”

“ถ้ามีคนตายแถวนี้ เราอาจจะได้เจอกันอีก ทำไมเหรอ”

“คือว่า… จูบของคุณ” วิญญาณสาวอ้ำอึ้งเขินอายขึ้นมาเสียอย่างนั้น ยมทูตเห็นว่าหน้าและหูของหล่อนแดงไปหมดซึ่งทำให้น่าสนใจไม่น้อย “เอ่อ ฉันพูดได้ใช่ไหม”

“พูดมาเถอะ อย่าทำให้ผมทรมานเพราะความอยากรู้เลย”

“จูบของคุณ… มันอบอุ่น เต็มไปด้วยเจตนาและความหวังดี ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้จากจูบของใคร จนกระทั่งเป็นคุณ”

ความตายคว้าวิญญาณโฉมงามมาจุมพิตอีกครั้งเพื่อบอกหล่อนว่า งานของความตายมันซื่อตรงและจริงใจเพราะไม่มีใครได้ประโยชน์จากการโกหกแสร้งทำ ผมช่วยคุณจากความทรมานแล้วดังนั้นคุณจะไม่เสียใจอีก จูบครั้งนี้ดูดดื่มกว่าครั้งก่อนเพราะมันไม่ใช่การเก็บเกี่ยว ทว่าเป็นการแสดงความรักอย่างอ่อนโยนเท่าที่วิญญาณปวดร้าวควรได้รับ

“คุณมีธุระต่อจากนี้หรือเปล่า”

“ผมจะต้องกลับสู่ภพแห่งความตายทันทีที่ทำงานเสร็จ แต่ดูเหมือนคุณยังมีอะไรค้างคาอยู่” ยมทูตกล่าวขณะที่ลูกแก้วสีครามรีดเค้นให้วิญญาณสาวสำรอกความจริงเพื่อย้ำเป็นนัยว่า อย่าทรมานเขาด้วยความอยากรู้เลย ความตายไม่มีความรู้สึกซับซ้อนและเขาไม่อยากไปไหนจนกว่าโจเซลีนจะสบายใจ

“ฉันแค่ไม่อยากอยู่คนเดียวในวังวนการฆ่าตัวตายนี้ พอจะรู้บ้างว่าอาจจะต้องกรีดแขนตัวเองหน้ากระจกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนครบวาระแล้วเป็นอิสระ แต่ฉันอยากให้คุณอยู่ด้วย อย่างน้อยก็ในคืนนี้ แค่ตอนนี้ก็ได้” นั่นมันแค่เหตุผลรองของวิญญาณสาวผู้เปี่ยมล้นด้วยความรู้สึก ยมทูตมองนิ่งไม่โต้ตอบเพื่อให้หล่อนคายความจริงอีกชุดหนึ่ง “ฉันต้องการคุณ เซฟทิส”

เซฟทิสรับรู้ได้ตั้งแต่จูบแรก เพียงแต่ต้องการฟังจากเจ้าตัวมากกว่า วิญญาณผู้เปลี่ยวเหงาถูกทรยศมาทั้งชีวิตโหยหาความอบอุ่นและต้องการครอบครองไว้นานเท่านาน ยมทูตหนุ่มโอบกอดวิญญาณสาวตามที่หล่อนร้องขอ เขาอุ้มร่างผอมลงบนโซฟาโดยใช้ปีกอีกาขนาดใหญ่กั้นระหว่างโลกความจริงซึ่งเป็นภาพไม่น่ามอง เพื่อให้หล่อนมีเพียงเขาในสายตาเท่านั้น

เพราะคุณคือความอบอุ่นเดียวในโลก ฉันจึงอยากรั้งคุณไว้ด้วยสัมผัสเย็นชืดก่อนที่เราต้องเผชิญกับความจริงที่ว่าต้องแยกย้ายสู่ที่ของตัวเอง จูบของคุณทำให้ความกลวงเปล่าของวิญญาณพลันมีดอกไม้เติบโตกลางใจ

เสียงความคิดของโจเซลีนเพรียกหาแต่คุณยมทูตอย่างหมกมุ่น อ้อนวอนให้เขาสัมผัสและโอบกอดอย่างนี้จนกระทั่งถึงกาลต้องลาจาก

ทั้งสองอยู่ในความมืดมิดแห่งปีกกว้างซึ่งเป็นดั่งโลกของพวกเขาในชั่วขณะ ปีกสีดำจะพาสองหนุ่มสาวโผบินสู่ภวังค์ฉ่ำแฉะจากความรู้สึกแปลกใหม่ ความตายตอดรัดวิญญาณกลวงเปล่าด้วยจูบเยือกเย็น เขาโน้มตัวนอนเบียดและดึงดันแก่นกลางใต้อาภรณ์สัมผัสกันและกัน เจ้าหล่อนเปียกเยิ้มอ่อนไหวดึงยมทูตไว้ให้เขาสอดลึกอีกราวกับโหยหาความรู้สึกนี้เนิ่นนาน

โจเซลีนมีความสุขเหลือเกินกับช่วงเวลานี้ กับเซฟทิส เพราะความตายไม่เคยทิ้งเธอ คอยมองตามและเฝ้าดูจากมุมมืดยามกลางวันและปรากฎกายในรูปแบบของปีศาจใต้เตียงผู้หวังดียามค่ำคืนเพื่ออยู่เคียงข้างและเช็ดน้ำตา ความจริงใจแบบนั้นไม่อาจหาได้ในมนุษย์ทั้งชีวิตของโจเซลีนยกเว้นพี่ ๆ ของเธอ นอกนั้นก็เป็นพวกไร้หัวใจกันหมด

ระบายมันออกมาให้หมด ความคิดของยมทูตหนุ่มกล่าวขณะภวังค์ฉ่ำแฉะกำลังล้นทะลักในไม่ช้า พวกเขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกหลากหลายขณะร่วมรักอย่างไร้เสียงแล้วโผบินปีนป่ายไปตามผนังห้องและเพดานอย่างอิสระ

ในเวลาเดียวกันที่โลกภายนอกซึ่งกำลังวุ่นวายเพราะพี่คนกลางยืนกรานเข้าร่วมชุมนุม แม้ไม่ถูกใจบุพการีซึ่งอยู่ฝ่ายตรงข้ามประชาชน พวกเขาทะเลาะกันใหญ่โตแต่อุดมการณ์นั้นแข็งแกร่งดังหินผาไม่อาจถูกทลายง่ายดายด้วยคำพูดของคนอื่น

พี่คนกลางออกไปจากบ้านแล้ว โจเซลีนไม่รับรู้ด้วยว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้นเพราะปีกสีดำกีดกั้นเธอเอาไว้ ทำให้รู้สึกเพียงของเหลวเยิ้มที่ทะลักหลั่ง

มันคือเซ็กส์ที่ดีที่สุดของโจเซลีน ไม่ใช่เพราะยมทูตหนุ่มลีลาเด็ด เขาออกจะเหนียมอายเมื่อเธอเริ่มสัมผัสและโอบอมแก่นกลางของเขาก่อนเริ่มบรรเลงเพลงกามด้วยกันอย่างเชื่องช้า แต่เป็นเพราะมันคือความยินยอมให้อีกฝ่ายเข้ามาเติมเต็มในร่างกายและหัวใจเป็นครั้งแรก

“เซฟทิส” โจเซลีนเรียกชื่อของความตายซึ่งกำลังนอนแผ่ร่างเปลือยเปล่าขาวซีดบนเพดานอย่างกระหืดกระหอบ “ยมทูตมีอะไรกับวิญญาณแบบนี้… จะไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

“ไม่หรอก เราทำอะไรกับความรู้สึกที่เอ่อล้นไม่ได้อยู่แล้ว นอกจากปล่อยให้มันเกิดขึ้นอย่างที่มันควรเป็น” ยมทูตตอบแล้วดึงร่างเล็กมาไว้ในอ้อมแขน จุมพิตหน้าผาก จมูก พวงแก้มสองข้างและริมฝีปาก "ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้วนะ"

วิญญาณสาวตอบรับจุมพิตนั้นแล้วขอตัวไปทำธุระส่วนตัวด้วยความเคยชินหลังเสร็จกิจเหมือนคราวที่เป็นมนุษย์ เธอเดินผ่านศพแน่นิ่งของตัวเองโดยไม่สัมผัสพื้นห้อง เธอชำระล้างร่างกายของตนอย่างรวดเร็ว ล้างมือและส่องกระจกเงาจึงเห็นเพียงใบหน้าอ่อนล้าซีดเซียวของตัวเอง

ยมทูตหนุ่มรอให้อวัยวะของตนหดตัวก่อนจึงสวมอาภรณ์กลับดังเดิม เขาสังเกตได้ว่าวิญญาณสาวยังไม่ออกจากห้องน้ำเสียที เขาจึงเดินไปหาแล้วพบว่าเธอกำลังยืนร้องไห้อยู่หน้ากระจกอย่างโหยหวน น้ำตาหลั่งไหลเป็นเขื่อนแตก

วิญญาณผู้ปลิดชีวิตตนเองจะเป็นแบบนี้ทุกราย -- ฟูมฟายอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อรำลึกได้ว่าตนเสียชีวิตไปแล้ว แม้จะเต็มใจตั้งแต่แรก เซฟทิสไม่มีวิธีปลอบประโลมอื่นนอกจากสวมกอดและจุมพิต เขาทำเป็นแค่นั้น

"ฉันชอบกอดของคุณจัง" โจเซลีนพูดขณะหลั่งน้ำตาลงบนปีกกว้างของความตาย "ไม่ชอบตัวเองตอนร้องไห้เลย แต่…"

"มันเป็นเรื่องธรรมดาของวิญญาณที่เพิ่งตายจะจมอยู่ในความเสียใจ"

"อีกนานไหม"

"สองสามวันก็หายแล้ว"

เซฟทิสว่าแบบนั้น โจเซลีนสะอึกสะอื้นไม่หยุด เขาผู้ฟังเสียงร่ำไห้ของวิญญาณนับร้อยนับพันจนชินชา ลูบหัวเธออย่างอ่อนโยนแล้วปลีกตัวไปนอนรอบนเตียงนอนนุ่ม เขาถือวิสาสะหยิบหนังสือบนโต๊ะข้างเตียงของหญิงสาวขึ้นมาอ่าน มันคือหนังสือนิยายแปลเรื่อง 1984 เขียนโดยจอร์จ ออเวลล์ ว่าด้วยโลกที่ปกครองโดยระบอบเผด็จการ เจ้าหน้าที่รัฐคุกคามประชาชนโดยอ้างว่าการกระทำเหล่านั้นคือความรัก

 

มนุษย์ช่างซับซ้อนและบ้าอำนาจ

 

แม้เขาเคยเป็นมนุษย์มาก่อนแต่ก็ไม่เคยเข้าใจการกระทำของพวกเขาเลย