อีกฟากหนึ่งของเรื่องราว

 

เจนถูกหอบอุ้มโดยโฮมเลสผู้พบเห็นการปรากฎตัวของเธออย่างมหัศจรรย์มายังตึกสลัมสักแห่งในลอนดอน ก่อไฟเพื่อแบ่งปันความอบอุ่นให้ร่างเปียกปอน แม้กำลังหลับใหลจากความเหนื่อยล้าทว่ามือเล็กทั้งสองข้างกลับกำแน่นมืดมิด เล็บยาวจิกฝ่ามือจนกระทั่งเลือดไหลซิบ สะอื้นไห้เป็นระยะราวกับติดอยู่ในฝันร้ายนิรันดร์

"มึงพาสาวที่ไหนมาวะ" โฮมเลสสวมโค้ทหนาถาม นัยน์ตาสีน้ำตาลเอ่อล้นเมามาย มือข้างหนึ่งถือมวนกัญชา อีกข้างถือเหล้าขาวที่เดนนิสฝากซื้อ ผู้มาใหม่ยกยิ้มละลาบละล้วงสายตากวาดมองเรือนร่างของแขกผู้ไม่ได้รับเชิญในนิทรา เขาถือวิสาสะทัดผมน้ำตาลไว้หลังหูของหญิงสาวเพื่อมองความงามเปื้อนคราบน้ำตา "สภาพดูไม่ได้เลย"

"ไม่รู้เหมือนกันว่ามาจากไหน เห็นหล่อนโผล่มาแล้วก็เป็นลมไป"

"อธิบายดิ๊ เชี่ยอะไรคือโผล่มาวะ" โฮเมอร์พ่นคำหยาบพร้อมกับหมอกควันจากปล่องปากร้อน คิดว่าตนเองสูบจนเมาแล้ว ทว่าเพื่อนกลับเมายิ่งกว่าถึงขั้นพูดจาเพ้อเจ้อ "มึงเมาขนาดไหนแล้วเนี่ย"

"กูเห็นจริงๆนะ หล่อนโผล่มาแบบเทเลพอร์ตอย่างกับมีเวทมนตร์"

"ถ้ามึงไม่เมาจัด ผู้หญิงคนนี้ก็คงเป็นแม่มด"

แม่มดงั้นเหรอ ผู้หันหลังต่อพระเจ้าและศรัทธาต่อพลังธรรมชาติและบำเพ็ญตนจนมีเวทมนตร์แก่กล้า สองโฮมเลสไม่เชื่อในการมีอยู่ของแม่มด พวกเขากับโฮมเลสอีกจำนวนหนึ่งจับกลุ่มดูดปุ๊นเจรจาหาคำนิยามให้การปรากฎตัวของเธอ แม่มดเป็นเพียงข้อสันนิษฐานลมๆที่เป็นไปได้ของโฮเมอร์เพราะคนไม่สามารถหายตัวได้ อย่างไรก็ดีโฮเมอร์และเดนนิสนอนเฝ้าหญิงสาวแปลกหน้าทั้งคืน ขณะที่ข่าวลือเกี่ยวกับตำนานที่มีชีวิตของแม่มดกลับฟื้นคืนชีพและเป็นที่พูดถึงทั่วทั้งลอนดอน

รุ่งสางมาถึงเวลาตีห้า เจนสะดุ้งตื่นเมื่อฝันร้ายจบลงพร้อมกับความรู้สึกปวดร้าวไปทั้งร่างกาย ดวงตาพร่ามัวกวาดมองทั่วจึงพบว่าตนเองไม่ได้อยู่ที่หอพักในมหาวิทยาลัย กลิ่นของเหล้าบุหรี่และกัญชาอบอวลในสถานที่ที่เธอไม่รู้จัก เจนพยายามลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างลำบากเพื่อสำรวจพื้นที่เผื่อมีเบาะแสทราบได้ว่าที่นี่คือที่ไหน

พื้นที่รกร้างมีผู้คนอยู่ตามซอกมุมประมาณ 3-4 คนมีทั้งหญิงและชาย พวกเขากำลังหลับใหล

"คุณสลบไปทั้งคืนเลย" ชายแปลกหน้าปิดปากหาวขณะพูด เจนพอจะเดาได้ว่าเขาเป็นคนพาเธอมาที่นี่จากคำพูดนั้น เจนอาจจะมีคำถามมากมาย ทว่ามีหนึ่งคำถามที่พูดข้างหูดังมากที่สุด ทำไมฉันไม่ตายไปเลยนะ? เจนคิดขณะสบตามองคนตรงหน้า ชายแปลกหน้ายื่นถ้วยกาแฟร้อนมาให้

"ขอบคุณค่ะ"

"ผมชื่อเดนนิส คุณมาจากไหนเหรอ"

"ฉันชื่อเจนค่ะ มาจากลิเวอร์พูล" เจนจำใจดื่มกาแฟรสขมปร่าเพราะความเหน็บหนาว

"ยินดีต้อนรับสู่ลอนดอน"

 

!?

 

จากเมืองท่าลิเวอร์พูลสู่เมืองหลวงแห่งอังกฤษใช้เวลาในการเดินทางด้วยรถไฟประมาณสามชั่วโมงกับอีกสิบนาที เท่าที่เจนจำได้ เธอไม่ได้จองตั๋วรถไฟสักใบแถมเห็นตัวเองจมในกองน้ำตาขณะวิ่งหนีจากไท ไม่อยากอยู่แล้ว เอาฉันออกไปจากที่นี่ อยากหายไปสักที...ความคิดในการหายตัวเป็นผลอย่างไม่น่าเชื่อ เจนเหม่อลอยทบทวนกับตัวเองจนไม่ได้ยินคำพูดของเดนนิส ทว่าบรรยากาศเงียบเกินไปและเหน็บหนาวทำให้ได้สติ

"ห้ะ อะไรนะคะ"

"ผมถามว่าคุณกำลังหนีอะไรอยู่รึเปล่า" การปรากฏตัวกะทันหันไม่มีการวางแผนเป็นสัญญาณของความเร่งรีบ เป็นใครก็คงคิดแบบนั้น ชายวัยกลางคนดูเป็นกังวลกับเธอมากในฐานะของคนแปลกหน้า "ถ้าต้องการให้ช่วยเหลืออะไรบอกได้นะ"

หนีเหรอ? ฉันควรบอกคุณรึเปล่าว่าฉันหนีอะไร? 

"ฉันแค่หนีจากคนที่ฉันไม่อยากเจอ" เจนอ้ำอึ้งแง้มเหตุผลกับเดนนิส เขารับฟังโดยไม่ตัดสิน "หนีจากเรื่องที่ไม่อยากเจอ ตอนนี้ก็หนีมาไกลพอแล้ว แค่นี้ก็พอแล้วค่ะสำหรับความช่วยเหลือ"

"ทานอะไรหน่อยไหม คุณน่าจะหิว"

"ไม่เป็นไรค่ะ" เจนรีบปฏิเสธแม้จะแสบท้องด้วยนิสัยขี้เกรงใจของคนไทย ทว่าเสียงท้องร้องโครกครากร้องคำรามเสียงดังจนหญิงสาวเสียหน้า เดนนิสส่งขนมปังแถวให้เผื่อประทังความหิวหลังจากผ่านค่ำคืนเหน็บหนาว เจนรับไว้แล้วสัญญาว่าจะไม่อยู่นานเกินไป เธอมีอย่างอื่นต้องทำ... อย่างน้อยก็การผจญภัยในลอนดอนรอเธออยู่

เจนบอกลาเดนนิสเมื่อทานมื้อเช้าเสร็จ แม้ไม่อิ่มท้องแต่โชคดีที่ทรัพย์สินติดตัวและในกระเป๋าไม่ถูกขโมย ผืนฟ้าสดใสกล่าวอรุณสวัสดิ์เธอด้วยแดดจ้า เวลานี้ไม่มีร้านค้าเปิดบริการ เจนหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงพบสายไม่ได้รับสิบครั้งจากแทน แบตเตอรี่โทรศัพท์เหลือ 50 เปอร์เซ็นต์เพราะไม่ค่อยได้ใช้ทว่ากลับร้อนราวกับถูกใช้งานต่อเนื่อง 

 

(TAN IS CALLING YOU)

 

เธอไม่รีรอรีบรับสายแนบโทรศัพท์ข้างหู

"ไง"

(อยู่ไหน ทำไมไม่กลับหอ)

"ลอนดอน"

(ลอนดอน?) ปลายเสียงขึ้นเสียง เขาดูโกรธและกังวลมากเพราะเธอไม่เคยไปไหนแล้วไม่บอก แทนไม่รู้เรื่องรุ่นน้องของเธอเพราะเธอไม่เคยพูดถึงราวกับเขาไม่มีตัวตน แทนกุมขมับแน่นขณะโทรคุยกับเจน เขาหย่อนก้นนั่งลงบนเตียง (ไปทำอะไรแล้วจะกลับมาเมื่อไหร่)

"เอาจริงๆก็ไม่รู้หรอก เดี๋ยวก็กลับไปแล้ว"

(รีบกลับมานะ กูเหงามากเลย)

"อืม"

เจนไม่อยากพูดอะไรอีก ทว่าแทนกำลังปริปากแต่เสียงกลับถูกกลืนไปก่อน แทนเป็นห่วงเจน อะไรก็เกิดขึ้นได้กับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะคนต่างสัญชาติ แม้คนอังกฤษไม่ค่อยเหยียดแต่ในลอนดอนไม่เป็นมิตรเท่าลิเวอร์พูล อย่างตอนปีสอง... ขณะเดินเล่นในไชน่าทาวน์ลอนดอน

"สาวเอเชียคนอื่นง่ายกว่านี้" คำพูดน่าขยะแขยงพ่นมาจากริมฝีปากอวบอิ่มสุขภาพดี ดวงตาสีน้ำตาลเข้มประกายเย้ยหยันมองสาวผิวเหลืองราวกับอีกฝ่ายเป็นเพียงวัตถุสิ่งของ สายตาแทะโลมพร้อมกับมือใหญ่สัมผัสเอวคอด มันคือการเข้าหาที่ไม่ได้รับอนุญาต

"คนอื่นที่คุณเจอไม่ใช่ฉัน ถ้ามีอารมณ์ขนาดนั้นก็เก็บมือไว้ช่วยตัวเองเถอะ"

แทนจำเหตุการณ์ทั้งหมดได้เพราะเห็นกับตา เจนพูดเสียงดังให้ชายคนนั้นอับอายอย่างกล้าหาญ เธอไม่พูดถึงหมอนั่นอีกเพราะมันไม่ควรค่าแก่การสนใจ ส่วนแทนด่าไล่หลังและทวิตเตอร์รีวิวประสบการณ์ให้เหล่านักท่องเที่ยวระวังตัว มันคือความกล้าหาญที่สุดของแทนในตอนนั้น ตอนนี้เขาเลื่อนนิ้วตามหน้าจอโทรศัพท์หาเบอร์โทรของเพื่อนหรือรุ่นพี่ในลอนดอนเพื่อให้ดูแลเธอ แต่คิดดูอีกที

มันอาจจะดีกว่าถ้าปล่อยให้เจนอยู่คนเดียว เธอไม่ชอบคนจู้จี้

ขณะเดียวกันเจนในลอนดอนกำลังหลงทาง กลิ่นกายคละคลุ้งด้วยสารมึนเมาและความเหม็นอับ ร่างกายเหนอะหนะเหนียวตัวอยากอาบน้ำแทบขาดใจจึงหยิบโทรศัพท์เข้าแอพพลิเคชั่นจองโรงแรม เธอเจอโฮสเทลราคาถูกย่านถนนนิวเคนท์ซึ่งเดินทางง่ายๆโดยนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปสี่สถานีจากตรงนี้ มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตและบริการอาหารเช้าซึ่งดีพอสำหรับโฮสเทลสองดาว เธอตัดสินใจจองห้องพักหนึ่งคืนในราคาสี่สิบปอนด์

"เสียตังง่ายอีกแล้ว" เสียงหัวเราะดังขึ้นไม่ไกล เธอมองเห็นเด็กหนุ่มสวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นยืนห่างออกไปสองเมตร เขามีใบหน้าคมคายผิวขาวเหลืองอย่างคนเอเชีย ผมสั้นดกดำ ดวงตาตี่สองชั้น จมูกรั้นเผยแววความดื้อ ริมฝีปากสีชมพูสุขภาพดี สิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้ว่าเป็นเจคคือรอยสักไม้กางเขนคว่ำที่ข้อมือทั้งสองข้าง

"เจค?"

"เออสิ พี่คิดว่าใคร?" เจคพูดห้วนและหัวเราะดังขึ้นอีก "ตกใจอะไร?"

"ตกใจสิ มาที่นี่ทำไมเนี่ย"

"ทุกคนเป็นห่วงพี่ก็เลยส่งให้ผมมาดูแล โตขนาดนี้แล้วนะ ใข้ไม่ได้เลย"

"แล้วมาได้ยังไง"

"ไม่สำคัญหรอก ไปกันเถอะ"

"ไปไหน"

"โรงแรมที่พี่จองไว้ไง จะไม่อาบน้ำอ่อ? โคตรเหม็นเลย" เจคสูดดมกลิ่นจากแขนเสื้อและข้อมือพี่สาวก็ได้กลิ่นแปลกปลอมเต็มไปหมด เจนตบหัวน้องชายทีหนึ่งเพราะเขาเริ่มลามปาม "นอกจากจะไม่อาบน้ำแล้วยังเล่นยาด้วยเหรอ ถามจริงเหอะ ผมฟ้องพ่อแน่"

"ฟ้องไปเถอะ ยังไงก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว"

สองพี่น้องเดินออกจากสลัมด้วยกัน แม้เจนกำลังมึนงงกับเหตุการณ์ปัจจุบันแต่เธอก็เดินคุยกับน้องขายตลอดทางโดยไม่ใส่ใจว่าเขาเดินเท้าเปล่า เจคเป็นฝ่ายพูดเยอะกว่าเพราะมีหลายอย่างเกิดขึ้นในประเทศไทยขณะที่เจนไม่อยู่ ค่าฝุ่นอบอวลเหนือชั้นบรรยากาศเปลี่ยนสีท้องฟ้าให้กลายเป็นส้มเหลืองเหมือนอยู่กลางทะเลทราย การสวมหน้ากากอนามัยกลายเป็นเรื่องปกติของทุกวัน เจคบอกว่าที่นี่ -- อังกฤษมีบรรยากาศดีกว่าเยอะเลย การวิ่งจ๊อกกิ้งนอกบ้านดูไม่ใช่เรื่องลำบากเพราะอากาศบริสุทธิ์ กฎหมายและกฎจราจรเข้มงวดทำให้ประชาชนปฏิบัติตามและเมืองน่าอยู่

"แค่มาถึงก็รู้สึกอยากอยู่ที่นี่แล้วอะ"

"ก็มาอยู่สิ"

"พ่อกับแม่จะยอมเหรอ?"

"ก็ลองขอดูสิ แล้วทุกคนเป็นไงบ้าง" 

เจนตั้งคำถามใหม่เมื่อมาถึงสถานีรถไฟฟ้า เวลาเจ็ดโมงผู้คนพลุกพล่านขวักไขว่เพราะกำลังเร่งรีบ ผู้คนเหล่านั้นแต่งกายด้วยชุดสีสันจัดจ้าน เจคกระซิบบอกว่าเทศกาลไพรด์อลังการกว่าที่ไทยเยอะเลย มีแค่การแสดงภาพเขียนภาพวาดในพิพิธภัณฑ์ซึ่งศิลปะในประเทศไทยไม่ค่อยได้รับการเชิดชูเท่าที่ควร เป็นเหมือนเสียงกระซิบเล็กๆที่ต้องเงี่ยหูฟังเพราะมันไม่ใช่ความเห็นที่ป๊อปปูล่า เจนแค่นหัวเราะขณะแตะบัตรโดยสารแล้วเดินตามพวกเขาไป แหงสิ... คนเจ็นเก่าห้วโบราณยอมฟังใครที่ไหน ชาวสีรุ้งกลายเป็นตัวประหลาด การแสดงออกจึงเป็นเรื่องยากทั้งที่มันคือความรัก ขนาดแฟชั่นผู้ชายใส่รองเท้าส้นสูงยังรับไม่ได้เลย

"จนถึงตอนนี้ผมก็ยังบอกพ่อไม่ได้ว่าผมเป็นเกย์ แต่ไม่บอกก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่มากหรอก.... มั๊ง" เจคหูแดงขวยเขินอาจเป็นเพราะนึกถึงชายหนุ่มคนหนึ่งในดวงใจ เจนไม่จำเป็นต้องถามเพราะน้องจะเล่าเอง เขาบอกว่าชายหนุ่มผู้ครอบครองหัวใจของเขาเป็นเดือนคณะรัฐศาสตร์การปกครอง เขาเป็นคนเรียบร้อยไม่ย้อมผมไม่เจาะหู เป็นนักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง เดตแรกของพวกเขาในโรงภาพยนตร์เป็นแรงกระเพื่อมเล็กๆของคนที่ไม่แสดงความเคารพเมื่อเพลงสรรเสริญฯดังขึ้น อีกไม่นานวัฒนธรรมการยืนในโรงหนังคงไม่มีอีกต่อไปเพราะมันไม่ใช่เรื่องจำเป็น "ก่อนหน้านี้พี่ถามว่าทุกคนเป็นไงอ่อ... พ่อแม่ทำงานไม่ได้พักผ่อนเลย ไอ้จอยมันได้ทุนไปเรียนม.ปลายที่สิงคโปร์"

"เก่งจัง งั้นต่อไปก็เหลือแกอยู่บ้านกับพ่อแม่อะดิ"

"อืมใช่ แค่คิดก็รู้ว่าโคตรเหงา วันนี้ก็เลยรีบมาหาพี่ก่อน"

เมื่อมาถึงสถานี สองพี่น้องลงจากรถไฟฟ้ามุ่งหน้าไปยังโรงแรมที่จองไว้ เจคพูดเป็นต่อยหอย เขาพูดเก่งขึ้นมากหรืออาจเป็นความสบายใจที่ได้เจอพี่สาวแต่ความอดทนของทุกคนมีขีดจำกัดเหมือนปรอทวัดไข้ที่ถึงขีดความร้อนสูงสุด 

"หุบปากน่ะ เจค"

เจนตวาดไปทีหนึ่ง ผู้เป็นน้องทำท่ารูดซิปปากทว่าไม่อาจกลั้นขำได้เพราะพนักงานต้อนรับกำลังสงสัยว่าเจนพูดอะไร เธอยื่นบัตรประชาชนยืนยันตัวตนเพื่อรับกุญแจห้อง พนักงานทำความสะอาดมองเห็นรอยเท้าเปียกปอนบนพื้นจากหน้าประตูไปจนถึงตรงที่หญิงสาวผู้เข้าพัก ทว่ากลับเห็นหญิงสาวเพียงคนเดียว ขนอ่อนตามแขนและขาลุกชูชันขณะกำไม้ถูพื้นแน่น เจนกล่าวขอบคุณและมุ่งหน้าไปยังห้องพักโดยมีรอยเท้าเปล่าตามไปด้วย 

เจนมาถึงชั้นสาม มันเป็นห้องนอนรวมที่สามารถจุได้ถึงยี่สิบคน ลักษณะที่นอนเป็นเตียงสองชั้น เธอเห็นคนในห้องพักประมาณสี่ห้าคนนอนอยู่ต่างเตียงเพราะพวกเขาไม่ได้มาด้วยกัน เจคโบกมือทักทายเสียงดังแต่พวกเขาไม่สนใจราวกับไม่เห็นและไม่ได้ยิน เจนจองเตียงล่างริมประตูเพราะเข้าออกสะดวก

"เฝ้าเตียงไว้นะ"

"ใช้น้องเก่ง" 

"ทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อยสิ ฉันไม่อยากแย่งที่กับคนอื่นทีหลังนะ"

"อ่าๆๆ"

"น่ารักมาก ถ้าเข้าเมืองจะใช้เธอหนักกว่านี้อีก"

"ไอ้เชี่ยพี่"

เธอไม่ได้คาดหวังความหรูหราของสิ่งอำนวยความสะดวกในโฮสเทลสองดาว นอกจากความสะอาดกับเตียงนอนนุ่มสำหรับหนึ่งคืน เจนไม่คิดจะอยู่ลอนดอนนานเพราะมะรืนนี้ก็ต้องไปเรียนตามปกติ เมื่อคิดถึงอนาคตก็ไม่อยากเจอหน้าใคร อยากชโลมตัวเองด้วยน้ำอุ่นจนกว่าร่างกายจะจมหายไปใต้น้ำ ซ่า! 

ความร้อนจากน้ำฝักบัวปะทะกับความหนาวเย็นหลังฝนตกภายนอกทำให้กระจกภายในห้องน้ำขึ้นฝ้า เจนออกมาจากห้องอาบน้ำในยี่สิบนาทีต่อมาพร้อมกลิ่นหอมสบู่ กลับห้องพักก็ไม่พบน้องชายเพราะเขานอนเล่นโทรศัพท์อยู่ที่เตียงชั้นบน ผู้ร่วมห้องคนอื่นหลับไปหมดแล้ว เธอถอดรองเท้าวางไว้ข้างเตียง

"ไว้เราค่อยเข้าเมืองตอนสายได้ไหม" เจคหยุดกดโทรศัพท์แล้วห้อยหัวลงมาจากชั้นบนถามพี่สาวที่กำลังหวีผม "เดินมาตั้งไกล ตอนนี้ขี้เกียจไปไหนมากเลยอะ"

"อืม ขี้เกียจเหมือนกัน"

สองพี่น้องหลับใหลทันทีที่หัวถึงหมอนและตื่นขึ้นมาอีกครั้งเวลาสิบโมงเช้า ทว่าเจคไม่อยู่แล้วเหลือเพียงน้ำหอมกลิ่นแป้งทิ้งไว้ให้คิดถึงแต่ควรรู้ตัวสักทีว่าตัวตนของน้องชายที่เห็นและคุยด้วยมาตั้งนานไม่มีอยู่จริง เธอสร้างเขาขึ้นมาจากความเหงาเดียวดาย บุคคลในจินตนาการจะหายไปเมื่อเธอไม่ต้องการ น่าเศร้าที่เจนยังหาวิธีมีความสุขด้วยตัวเองไม่ได้... อย่างน้อยก็ในตอนนี้ 

เจนออกไปจากโฮสเทลเต็มไปด้วยความคิดฟุ้งซ่าน อยากเจอใครสักคนที่ทำให้เธอลืมไทแต่มันไม่ง่ายขนาดนั้น หัวใจของเจนถูกล็อคแน่นหนา มีทหารยามเฝ้าดูแลประตูสู่ปราสาทจิตใจหม่นหมองถึงสิบนาย การเข้าหาและเปิดรับใครไม่ใช่เรื่องง่ายแต่เธอกลับโหยหาเขาเหลือเกิน 

แต่เรื่องผู้ชายต้องพักไว้ก่อน

เจนฝากท้องที่ร้านอาหารใกล้ๆโฮสเทลแล้วมุ่งหน้ากลับเข้าเวสต์มินสเตอร์ด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน จัตุรัสทราฟัลการ์คือจุดหมายปลายทางสำหรับเช้านี้ที่สถานีพิคคาดิลลี่ ขณะมีเสียงขับลำนำไพเราะและเสียงดีดสายป่านกีตาร์ของนักร้องเปิดหมวกเมื่อออกมาจากสถานี เสียงคนเดินเท้าคือจังหวะของเพลง เจนเดินเข้าเอาต์เล็ตแบรนด์เนมราคาถูกแถวนั้น เธอซื้อเสื้อยืดครอปสีขาวราคาสามปอนด์ กางเกงขาสั้นสีดำขลับเหมือนรองเท้าบูทส้นเตี้ยของเธอและเสื้อคลุมเนื้อบางลายทางสีน้ำเงินราคาเจ็ดปอนด์ จ่ายเงินหน้าเคาน์เตอร์แคชเชียร์แล้วเปลี่ยนชุดทันที

จัตุรัสทราฟัลการ์ตั้งอยู่ใจกลางเมืองลอนดอนเป็นอนุสรณ์สถานของยุทธนาวีทราฟัลการ์และสงครามวอเตอร์ลูระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศษในปีค.ศ. 1805 นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่สำหรับการเฉลิมฉลองและการชุมนุมหลายครั้ง เจนแหงนหน้ามองเสาหินอนุสาวรีย์สูงตระหง่านสง่างาม เจนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพอนุสาวรีย์คู่กับผืนฟ้าที่มีควันสีรุ้งจากเครื่องบินไอพ่น

 

แชะ!

แชะ!

แชะ!
 

 

เมื่อเยี่ยมชมความยิ่งใหญ่จัตุรัสทราฟัลการ์จนหนำใจแล้ว เจนตัดสินใจเดินไปตามถนนกว้างไกลไม่สิ้นสุดที่เต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่ซึ่งเยอะเกินไปสำหรับเธอ แอพพลิเคชั่นแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวพาเธอไปยังโคเวนท์การ์เด้น-- ถนนคนเดินน่าเที่ยวอันดับสองในลอนดอนซึ่งห่างจากจัตุรัสทราฟัลการ์เพียงการเดิน 7 นาที เวลาสิบนาฬิกาสิบห้านาทีเป็นเวลาของการแสดงเพื่อออดิชั่นที่เวสต์ เพียซซาสำหรับผู้ประสงค์เข้าวงการละครสัตว์

ส่วนใหญ่ผู้เข้าสมัครเป็นผู้ชายไม่สวมเสื้อ มีรอยสักเต็มตัวทว่าการแสดงของพวกเขากลับแตกต่างกันสิ้นเชิง บางคนแสดงเต้นระบำงู บ้างเป็นกายกรรมผาดโผน คนกินไฟ เจนปรบมือให้กับทุกการแสดงที่จบลงจนกระทั่ง... ชายหนุ่มร่างสูงผิวซีดเผือดผมเผ้าดกดำกระเซอะกระเซิงย่างกรายเข้าไปยืนอยู่ตรงกลางพร้อมกับผืนผ้าใบสามเมตรและอุปกรณ์สำหรับวาดภาพ ผู้เข้าชมอยู่ในความสงบเพราะงุนงงกับสิ่งที่ผู้มาใหม่ต้องการแสดง เขาวางผ้าใบขนาดสามเมตรบนขาตั้งเตรียมวาดภาพ จรดปลายพู่กันลงบนถาดสีแดง-น้ำตาล-ดำของเขาอย่างปราณีต ดวงตานับร้อยคู่จดจ่อไปที่มือซีดของชายหนุ่มที่กำลังรังสรรค์ผ้าใบ เจนได้ยินเสียงซุบซิบของผู้ชมพูดถึงหนุ่มนักวาด

"หมอนี่วาดแต่ภาพน่ากลัว เขาตระเวนไปทุกถนนคนเดินในลอนดอน"

"จริงเหรอ"

"อืม วาดตั้งแต่เช้าถึงเย็น เขาไม่จำเป็นต้องกินข้าว แค่แอปเปิ้ลลูกเดียวก็อยู่ท้อง ภาพวาดของเขามีแต่เลือดและคนตาย เห็นแล้วก็ขนลุกชะมัด"

เจนแค่นหัวเราะครั้งหนึ่งไม่เชื่อเสียงนินทาเหล่านั้นจนกระทั่งเห็นว่าคู่สีโทนร้อนแต่งแต้มเต็มผืนผ้าใบดูเหมือนเลือดข้นคลั่กของสัตว์ จิตรกรหนุ่มวางพู่กันแล้วพูดพึมพำกับตัวเองเป็นภาษาบางอย่างแผ่วเบา ทันใดนั้นสีเลือดข้นจึงหลอมละลายออกมาจากผ้าใบค่อยๆรวมตัวเป็นร่างสิ่งมีชีวิตใต้ผ้าคลุมสีแดง

"น่ากลัว"

เด็กชายคนหนึ่งตะโกนเสียงดังท่ามกลางเสียงฮือฮาของผู้ชม บ้างปรบมือประทับใจในการแสดงมายากลของเขา บางคนเป็นลมเมื่อเห็นโฉมหน้าสยดสยองใต้ผ้าคลุม ทว่าหนุ่มจิตรกรกลับยกยิ้มมุมปากเดินไปหาเด็กชายสวมเชิ๊ตสีขาวกับเอี๊ยมยีนส์ที่มีน้ำตาเอ่อล้น ร่างสีแดงล่องลอยในอากาศตามชายหนุ่มผู้อัญเชิญมันทำให้ผู้ชมกรีดร้อง พวกเขาทั้งหวาดกลัวและประหลาดใจ จิตรกรหนุ่มไม่อธิบายสิ่งที่เขาเรียกออกมาเพราะกำลังจะสั่งสอนเด็กหนุ่มที่วิจารย์งานของเขา

"หึ ไอ้หนู ไว้เธอโตกว่านี้อีกหน่อยก็จะเห็นปีศาจในหมู่พวกเราชัดขึ้นเองแหละ" 

"พ่อ!!"

 

ปีศาจ?

 

เจนแคลงศีรษะหวังว่าตัวเองได้ยินไม่ผิด เด็กชายตัวจ้อยร้องไห้โฮไปกอดชายร่างท้วมสวมสูทติดยศดูเหมือนนักการเมือง ชายหนุ่มนักวาดภาพไม่ใส่ใจปฏิกิริยาของผู้ชม เขาโค้งตัวจบการแสดงแล้วยกอุปกรณ์ของเขาออกไปเพื่อให้ผู้เข้าสมัครคนอื่นแสดงต่อ ทันใดนั้นดวงตาของเจนสบเข้ากับร่างใต้ผ้าคลุม มันยกยิ้มกว้างเหมือนผู้อัญเชิญ ขยิบตาครั้งหนึ่งราวกับเชิญชวน สิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ตามหลักวิทยาศาสตร์น่ากลัวเสมอทว่ามันก็เป็นโอกาสดีที่จะเรียนรู้

เธอรีบตามจิตรกรคนนั้นไปเพราะต้องการหาคำตอบให้คำถามที่ค้างคาใจ แต่เธอกลับเห็นว่าชายสวมสูทคนนั้นกำลังคุยกับจิตรกรหนุ่มโดยลูกชายกอดขาแน่น เจนทำได้แค่ยืนรอและแอบมองเพราะมันการเสียมารยาทที่เข้าไปขัดจังหวะการสนทนา อย่างไรก็ตาม, เจนยังเห็นปีศาจสีแดงตนนั้นล่องลอยอยู่ไม่ห่างจากจิตรกรหนุ่มจนกระทั่งพวกเขาบอกลากันและกัน ชายสวมสูทอุ้มลูกชายของเขาไปเที่ยวที่อื่น 

"คุณยังเห็นมันอยู่เหรอ" 

"ค่ะ" 

"แอลป์คงชอบคุณ เขาไม่ค่อยชอบแสดงตัวให้ใครเห็นเท่าไหร่ ปกติเขาจะโกรธผมเสมอที่เรียกเขาออกมาตอนกลางวัน" ปีศาจใต้ผ้าคลุมเขินอายเมื่อถูกพูดถึงต่อหน้าหญิงสาว มันหายกลับเข้าไปในผืนผ้าใบของจิตกรหนุ่มที่ยังไม่แนะนำตัว ถ้าไม่เมายา... เขาก็คงมีเวทมนตร์ เจนตะลึงในสิ่งที่เพิ่งเห็น "ไม่ใช่เวทมนตร์หรอก" ชายหนุ่มตอบกลับเรียบนิ่งราวกับได้ยินเสียงความคิดของเจนซึ่งความจริงใครๆก็ต้องตกใจและคิดแบบนั้นอยู่แล้ว

"หมายความว่ายังไงที่จะเห็นปีศาจในหมู่พวกเราชัดขึ้นน่ะ"

"ความจริงแล้วทุกคนก็มีปีศาจกันหมด อาจเป็นความรู้สึกหรือตัวตนดำมืดที่ซ่อนไว้เนิ่นนาน" จิตรกรอธิบายขณะเดินออกจากโคเวนท์การ์เด้น เจนเดินตามชายแปลกหน้าที่ตนไม่รู้จักชื่อ ทว่าเรื่องราวปรัชญาถึงตัวตนของปีศาจช่างน่าสนใจเหลือเกิน เธอหยุดฟังเขาพูดไม่ได้ "อาจเป็นความลับที่เก็บไว้ก้นบึ้งหัวใจ ผมบอกไม่ได้หรอกว่าปีศาจของคุณเป็นอะไรเพราะมีเพียงคุณที่จะรู้จักมันดีที่สุดแต่ผมมองเห็นความเศร้าในแววตาของคุณ"

"แสดงว่าคุณมองเห็นปีศาจของทุกคนเลยสิ"

"จะว่างั้นก็ได้ อ้อใช่! ผมชื่อไคล์"

"เจนค่ะ"

ทั้งคู่พูดคุยถกเถียงกันเรื่องปีศาจตลอดทาง ปีศาจในความหมายของไคล์คือความดำมืดภายในจิตใจ แต่สำหรับนักศึกษาวิชาปรัชญามันคือความชั่วร้ายที่หลอกลวงให้ทำบาปเปรียบเหมือนงูในสวนเอเดน จิตรกรหนุ่มเล่าให้ฟังถึงปีศาจของชายสวมสูทที่เพิ่งคุยกับเขาเมื่อครู่ ท่านคือเศรษฐีตระกูลแบล็คซึ่งจัดว่าร่ำรวยอันดับต้นๆ ใครๆก็รู้จักเขาในฐานะของผู้สนับสนุนรายใหญ่ของแกเลอรี่ทั่วประเทศ ทว่าปีศาจตนนั้นส่งกลิ่นความโลภเหม็นหึ่งจนไม่สามารถเก็บตัวตนนั้นเป็นความลับ หากลูกชายของเขาโตขึ้นจะเห็นความโลภน่าขยะแขยงของพ่อเขาแต่ไคล์ไม่ยอมบอกว่าปีศาจตนนั้นต้องการทำอะไรแต่อยากให้ไปดูด้วยกันคืนวันพรุ่งนี้ที่หอศิลปะ

"ไม่รู้สิ ฉันยังไม่กล้าไว้ใจคุณ"

"ไม่เป็นไรครับ" 

"คือ..."

"เผื่อว่าคุณเปลี่ยนใจ" ไคล์ยื่นบัตรชมนิทรรศการภาพวาดให้เจนใบหนึ่ง เขาเป็นหนึ่งในศิลปินที่จัดแสดงงานในหอศิลป์แห่งชาติภายใต้หัวข้อตัวตนแห่งความภาคภูมิใจ เนื่องในโอกาสของการฉลองเดือนแห่งความหลากหลายทางเพศซึ่งนิทรรศการนี้จะจัดเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มนับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ "นี่เป็นบัตรวีไอพี คุณสามารถชมทุกโซนในงานโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย"

มากเกินไป... มากเกินไป ฉันรับไว้ไม่ได้หรอก 

"..."

"ผมแค่คิดว่าถ้ามีคนไปด้วยกันก็คงดี"

 

 

sds

 

 

 

 

 

#ในวันที่ฝนตก #จมในห้วงความคิด