6 ตอน Chapter 5
โดย T.mines
Chapter 5
Number nine My Sun
หมายเลขเก้าของดวงตะวัน
#IXMYSUN
“ไนน์ ตื่นได้แล้วลูก เมาหนักเลยนะเรา” ประมุขของบ้านขึ้นมาปลุกหลานรัก ด้วยเสียงอันนุ่มนวลและเอามือลูบหัวคนที่นอนหลับบนเตียง
ชายหนุ่มตื่นเมื่อได้ยินเสียงและสัมผัสอันคุ้นเคย เขาลุกขึ้นมานั่งเอามือมาขยี้หัวที่ตอนนี้ฟูจนไม่เหลือทรงอะไรเลย เขายกมือมาลูบหน้าไล่ความง่วง ก่อนจะไถลตัวลงไปนอนบนตักปู่ของเขา
“ขอนอนต่ออีกหน่อยนะครับ”
“งั้นไปนอนบนที่นอนดีๆ สิเรา ใกล้ๆ ถึงเวลาจะให้คีนขึ้นมาปลุกอีกที”
“ไม่เอาครับ ขอนอนแบบนี้อีกแป๊บเดียว ปวดหัวจังเลยครับปู่” ชายหนุ่มเอามมือมานวดที่ขมับ
“ขี้อ้อนเหมือนแม่เราไม่ผิดเลย” ประมุขของบ้านปล่อยให้หลานสุดที่รักนอนหนุนตักไป มือที่คอยลูบหัวสร้างความอบอุ่นแก่ปู่และหลานชาย
“ปู่ครับ ทำงานเหนื่อยไหมครับ”
“อะไรน่ะเรา ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะ”
“คือไนน์รู้สึกว่าไนน์ไม่ได้ช่วยอะไรปู่เลย เอาแต่อยากทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ แล้วทุกคนก็ปล่อยให้ไนน์ทำตามใจตลอด”
“ทุกคนอยากเห็นหลานมีความสุข ทำในสิ่งที่อยากทำเลยไม่มีใครห้าม รวมถึงปู่ด้วย หลานปู่ทุกคนเลือกทำในสิ่งที่รักทุกคน แม้บางคนจะเลือกในสิ่งที่มันอันตรายและลำบาก เหนื่อย แต่อย่างน้อยพวกเรายังอยู่ด้วยกันและสนับสนุนกันตลอดใช่ไหมลูก” น้ำเสียงที่อบอุ่นปลอบประโลมหลายชายคนเล็ก
“ครับ ขอบคุณนะครับที่เลี้ยงไนน์มาอย่างดี รักปู่ที่สุดเลย” หมุนตัวเอาหน้าเข้าและแขนไปโอบเอวปู่สุดที่รักของเขา
ตามจริงเจ้าคนที่นอนอยู่คือลูกของลูกสาวคนเล็กของเขา แต่ด้วยความที่มีพี่ชายทั้งสี่คน เมื่อจับพวกหลานๆ มารวมตัวกัน เจ้าพวกพี่ๆ ที่เรียกเขาว่าปู่ เจ้านอนอยู่บนตักเลยเรียกตามพี่ๆ ตั้งแต่หัดพูดจนถึงตอนนี้ยังเรียกปู่เหมือนเดิม และยังจำประโยคที่หลานตัวเล็กถกเถียงกับเขาอยู่เลยเรื่องเรียกชื่อ
“ไนน์ต้องเรียกปู่ว่าตานะ เข้าใจไหมครับ” เขานั่งคุกเข่าลงสอนหลานให้เรียกเขาใหม่
“ทำไมไนน์ต้องเรียกจาจ้วย ทีปี้ๆ ยังเรียกว่าจู่เลย ไนน์ต้องเรียกจู่ด้วยจิ” เสียงหลานชายที่กอดอกพร้อมกับทำหน้ามู่ทู่อธิบายให้ฟังในตอนวัยสองขวบกว่าๆ ที่พูดชัดบ้างไม่ชัดบ้าง
“ฮ่า ฮ่า ครับ เรียกปู่ก็ปู่ครับ” เขาเอามือจับที่หัวขยี้ผมด้วยความเอ็นดู
“เย้ยยย จู่ จู่” เสียงร้องตะโกนดีใจและกระโดดเข้ากอดเขาทันที
…เจ้าเด็กน้อยในวันนั้น โตขึ้นแล้วสินะ...
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณไนน์ครับ ได้เวลาตื่นแล้วครับ” เสียงเคาะประตูก่อนที่เปิดเข้ามาภายในห้องของบอดี้การ์ดประจำตัว
“ขอโทษครับ ผมไม่รู้ว่าเจ้าสัวอยู่ในห้อง” คีนโค้งคำนับขอโทษ
“ไม่เป็นไร มาปลุกเจ้านายเราหรอก”
“ถึงเวลาตื่นเลยจริงๆ แล้ว” ชายหนุ่มลุกขึ้นจากตักและมานั่งเกาหัวข้างๆ ประมุขของบ้าน
“ครับ คุณไนน์จะรับอะไรแก้แฮงเลยไหมครับ ผมจะได้ไปสั่งแม่บ้านไว้ให้”
เขาเอาแต่มือถูหน้าไปมา “เมื่อคืนใครแบกกูมาว่ะ มึงเปล่าคีน”
“ครับ คุณยอซอทแบกมาส่งที่รถ แล้วผมก็พามาส่งที่ห้องครับ”
“ปู่สงสัย ทำไมเราไม่ยอมให้พี่ๆ เขาแบกเรามาส่งที่ห้อง เจ้าคีนมันโดนพี่ๆ เข้าเหม็นขี้หน้าหลายรอบแล้ว”
“ใช่ครับ เจ้าสัวเวลาทำดูแลคุณไนน์ทีไร ต้องเจอสายตาพิฆาตตลอด” คีนทำขนลุกตัวสั่น
“พวกพี่เขาก็นิสัยเหมือนพ่อเขานะแหละ ลุงเราทั้งสี่คนหวงน้องสาวคนเล็กอย่างกะอะไรดี มีหนุ่มมาจีบนะล่ะกระทืบกลับบ้านแทบทุกราย ยกเว้นพ่อเราคนเดียว”
“ทำไมเหรอครับ?” ทั้งสองคนในห้องจ้องหน้าเจ้าสัวที่ไม่ยอมเล่าต่อ
“ก็แม่เราเล่นแอบตามจีบเองนะ แอบทำลับหลังพวกลุงๆ เราด้วย พามาเปิดตัวที่บ้าน และขอให้ปู่ไปสู่ขอผู้ชายให้ด้วย ตอนนั้นพวกลุงๆ โกรธกันหัวฟัดหัวเหวี่ยงเลย กันคนอื่นแทบตายสุดท้ายน้องก็หนีไปตามจีบผู้ชายแทน ฮ่าๆๆ” ปู่หัวเราะเสียงดัง
“Really?” คนที่นั่งฟังถึงกับตาโต
“ก็พ่อเรานะทั้งหล่อ แสนดี เท่ สาวๆ นี่ตามขายขนมจีบเต็มเลย แม่เขาก็เลยตามจีบตั้งแต่มหาลัยจนติดตอนเรียนจบนั่นแหละ”
“โห!!! แม่เนี่ยรักมั่งคงมาก” เจ้าหลานรักทำตาโตและปากเป็นรูปตัวโอ
“พ่อเรามาสารภาพกับปู่ตอนที่แม่เขาพามาแนะนำตัวที่บ้านแหละ ว่าจริงๆ ก็แอบชอบแม่เรามาตั้งแต่เข้าเรียนมหาลัยก่อนที่แม่เราจะมาตามจีบ แต่พอรู้ว่านามสกุลอะไร รู้ตัวเองว่าไม่คู่ควรเลยเลือกที่จะถอยออกไป จนแม่เราน่ะตามตื๊อจนใจอ่อนยอมคบด้วย แม่เรายังมาบ่นเลยว่า ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้จีบยากชะมัด คนอื่นนะพอรู้ว่านามสกุลอะไรรีบเข้าหาทันที พ่อเราพยายามทำตัวให้คู่ควรกับแม่โดยการสอบชิงทุนไปเรียนโทที่อเมริกา ทั้งทำงานส่งตัวเองเรียนทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นแค่เด็กกำพร้า พ่อเราให้แม่เกียรติเรามาก และที่สำคัญเค้าทั้งสองรักและดูแลกันเสมอ นั่นคือเหตุผลที่ทั้งปู่และลุงยอมรับในตัวพ่อของเรา”
“...”
“และที่สำคัญพวกเค้ามีหลานที่น่ารักและขี้อ้อนให้ปู่ตั้งหนึ่งคนนี้ไง” ประมุขของบ้านเอามือมาถึงแก้มของหลานชาย แต่ตัวเขามองเห็นในแววตาที่ดูเศร้าของปู่เขาที่เล่าเรื่องแม่ของเขาให้ฟัง ทุกคนรับรู้ว่าปู่ยังแม่ของเขามาก
“ขอบคุณครับปู่ที่เล่าเรื่องแม่กับพ่อให้ฟังนะครับ” ไนน์เลือกที่ทำลายความหม่นหมองในแววตาของปู่ด้วยการยิ้มให้ ซึ่งเป็นยิ้มที่ยกแก้มขึ้น ตาหยี่ลงนิดหน่อยและเห็นฟันด้วย เป็นรอยยิ้มที่สดใส ใครที่ได้เห็นรอยยิ้มนี้มักจะยิ้มตามทันที
“สงสัยเจ้าคีนมีเรื่องจะคุยด้วย มันยืนรอนานแล้ว ปู่ลงไปดูแลความเรียบร้อยข้างล่างก่อน” ปู่เขาลุกขึ้นเดินไปตบบ่าเจ้าคีนแล้วเดินออกจากห้องไป
เจ้านายเสมองขึ้นไปยังบอดี้การ์ด และพยักหน้าใช้เชิงตามว่ามีอะไร
“คือเมื่อคืน..”
“เมื่อคืน?”
“...” สีหน้าคีนดูกังวลผิดปกติ
“เล่ามาอย่าเรื่องมาก กูยังแฮงค์ๆ อยู่นะมึง อย่าลีลา รำคาญ” เขาปิดปากหาว “ถ้ามึงยังไม่เล่ากูไปอาบน้ำก่อนและจะได้ตื่น” เขาทำท่าจะลุกไปยังห้องน้ำ
“เมื่อคืนคุณซันเจอคุณไนน์แล้วนะครับ ที่งานวันเกิดนะครับ แต่รายละเอียดมากกว่านั้นผมไม่รู้นะครับ ล่าถอยออกมาก่อน” คีนถอนหายใจและพูดต่อ “พวกพี่ๆ คุณไนน์ตามมาซักผม ผมบอกไว้ตามที่คุณไนน์สั่งไว้ครับ”
“อ้าวจริงดิ กูคิดว่าตาฝาด” เจ้านายของเขาพูดราวกับว่ามันคือเรื่องปกติ
“ห๊ะ!! คุณไนน์เห็นเหรอครับ? แล้วยังไงต่อครับ?”
“มึงนิ ติดเชื้อมาจากพวกนั้นเหรอว่ะ ซักกูจัง ที่เหลือกูไม่รู้กูเมาหลับแล้วมั่ง”
“แล้วผมต้องทำไงต่อล่ะครับ พวกพี่คุณไนน์ไม่เอาผมตายเลยเหรอ”
“เดี๋ยวกูจัดการเอง ดูท่าทีพวกมันก่อนค่อยว่ากัน งั้นวันนี้มึงกูตามติดกูแล้วกันหรือไม่ก็ห่างพวกมันไว้แล้วกัน จะได้ไม่โดนพวกมันซักมา กูรำคาญ”
“ครับ งั้นผมลงไปเตรียมเครื่องดื่มแก้เมาให้คุณไนน์ก่อนนะครับ”
เจ้านายโบกมือไล่ให้บอดี้การ์ดลงไปรอข้างล่าง ตอนนี้ตาเขาแทบจะปิดอีกรอบแล้ว ตนนี้สมองเขาไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้ทั้งสิ้น เขาต้องการกาแฟอย่างมาก ใช่แล้วเขาไม่ได้ตาฝากเห็นภาพหลอนในเมื่อคืน ภาพที่เขากำลังนัวเนียกับผู้หญิงก็เรื่องจริงสินะ
...แล้วอาการที่กูเป็นคืออะไรวะ โกรธ? หวง? หึง? อันหลังๆ นะไม่ใช่แน่ๆ แต่เอ๊ะ! กูจะมาใส่ในพี่มันทำไมว่ะ...
พลางคิดอธิบายเรื่องในหัว เขาไหวไหล่เบาๆ ราวกับว่ามันไม่น่าจะใส่ใจอะไร เขาจึงลุกไปอาบน้ำและแต่งตัวลง ด้วยวันนี้จะมีพิธีทำบุญประจำครอบครัว เขาจึงแต่งตัวแบบสุภาพ เป็นเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนและกางเกงสแลกสีน้ำเงินเข้มเข้ารูป และจัดแต่งทรงผมเปิดหน้าผาก
“หล่อสุดๆ เลยว่ะ” ยืนชมตัวเองที่หน้ากระจก
“ไนน์ลูก ลงมาแล้วมาหาป้าครับ” ป้าดาหลาเรียกเขาเมื่อเดินลงมาจากชั้นสอง เขาจึงเดินเข้าไปหา “กอดหน่อยลูกชายคนเล็กของป้า คิดถึงจังเลยไม่ยอมไม่เที่ยวหาป้าเลยนะเรา” ป้าเอามือมาบีบจมูกเป็นการลงโทษที่ไม่ยอมไปหา
“ผมทรงใหม่เหรอครับ อันนี้เรียกทรงอะไร เดี๋ยวให้ลุงเราไปตัดจะได้หล่อเหมือนเรา” ป้าดาหลาเอามือมาจับหน้าเขาหมุนซ้ายหมุนขวา
“ทรงอันเดอร์คัตครับ” ทรงผมของเขาเป็นอันเดอร์คัตไถด้านข้างไว้ยาวด้านบนสามารถมัดได้ครึ่งหัวหรือหวีเปิดไปด้านหลังได้
เขาพละออกจากป้าดาหลา และหันไปมองบรรยากาศในบ้าน ตอนนี้ทุกคนอยู่กันครอบหมด ต่างพานั่งคุยกันถามทุกข์สุขเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เขาเริ่มจำความได้ มันเหมือนเป็นวันรวมญาติ ทุกคนจะต้องสละเวลางานสุดสัปดาห์นั้นมาอยู่รวมกัน มาเต็มไปด้วยความอบอุ่นเสมอ และคนที่น่าจะมีความสุขนั่นคือปู่ของเขา เขาเห็นปู่ยิ้มและยอมทิ้งงานทุกอย่างไว้ข้างหลัง
“มาให้ลุงกอดหน่อย” ลุงมังกรอ้ามือให้เขาไปสวมกอด และหอมที่หัวเขาหนึ่งครับ
“ซูก้าลงมาแล้ว” เป็นนานะที่เห็นเขาก่อนและร้องทักขึ้นมา
ไนน์ไม่ตอบอะไรเขาเลือกเดินจะไปหาปู่ของเขาที่ยืนอยู่กลางบ้านก่อนที่สวมกอดและตามไปพี่ๆ ที่ต่างแย่งกรูเขามาสวมกอดเขาและกอดกันต่อเป็นทอดๆ กลายเป็นก้อนกลมรวมกัน ไนน์และปู่จะเป็นจุดศูนย์กลางเสมอและจากนั้นลุงทั้งสี่คนจะเข้ามาโอบกอดหลังสุด ตั้งแต่เล็กจนโตจะกอดกันแบบนี้ทุกครั้งและเป็นการกอดที่ไนน์ชอบที่สุด มันคือการบอกกับไนน์และลูกๆ ทุกคนว่ายังไงคนที่เป็นเราจะดูแลกันและกัน ไม่ว่ายังไงพวกเราคือรอบครัวเดียวกัน วันนี้บ้านเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความอบอุ่น
คนทั้งบ้านไม่ว่าจะคนรับใช้ บอดี้การ์ดและสะใภ้ทั้งสี่ และหลานสะใภ้อีกหนึ่งต่างอมยิ้มในภาพที่ทุกคนกอดแบบนี้ทุกๆ ปี แต่จะมีคนเดียวที่ยืนซับน้ำตาคือนมแย้ม ก้อนกระจุกกอดกันไปสักพัก ทั้งหมดแยกออกจากกันไปร่วมรับประทานอาหารเช้ามื้อแรกที่รวมตัวกันที่ห้องอาหารใหญ่ หัวโต๊ะคือประมุขของบ้าน ถัดมาทางด้านขวามือคือลุงมังกรลูกชายคนโตและป้าดาหลา ลุงพยัคฆ์ลูกชายคนที่สามและป้าดาริน ส่วนฝั่งซ้ายจะเป็นลุงกิเลนลูกชายคนที่สองและป้าดวงดาว และสุดท้ายคือลุงสิงห์ลูกชายคนสุดท้ายกับป้าเฟยหมิง ส่วนหลานๆ เหลือนั่งตามลำดับที่จัดไว้กันตั้งแต่เด็กมีแทรกเพิ่มขึ้นมาตรงที่ข้างๆ หลานชายคนคือวีสะใภ้ใหญ่
พิธีสงฆ์เริ่มในเวลา 10.30 น. ทุกคนนั่งประจำที่ที่ตัวเอง ส่วนเขาเลือกนั่งอยู่ข้างๆ วี ใช้ไหล่มันเป็นหมอนหนุน หัวเขามันหนักมาก
“ไนนืนั่งดีๆ แล้วอย่างงี้จะได้บุญไหม เกรงใจพระเกรงใจเจ้ามั่ง” เสียงบ่นกระปอดกระแปดกระซิบให้เขาฟัง
“เออ นี่ดีแล้วไง ถ้าอีกนิดหัวกูทิ่มแล้วนะมึง”
“แล้วใครบอกให้กินเยอะขนาดนั้นว่ะ กินเหมือนเมียทิ้ง” วีบ่นเขาไปเรื่อยๆ แต่คนที่สะอึกคือเขาเอง
...เมียทิ้งที่ไหน ผัว แม่งเอ๋ย ไม่โว้ยคนอย่างไอ้ไนน์จะไม่ยอมให้ใครเสียบอีกแล้ว ครั้งเดียวเกินพอ...
“...” เขาเลือกจะไม่โต้ตอบอะไร ดันตัวขึ้นจากการพิงไหล่ กลัวว่าถ้าพิงนานกว่านี้จะโดนมันด่าอะไรที่เข้าตัวอีก
การทำบุญวันนี้เป็นการทำบุญภายในครอบครัว และยังเป็นการทำบุญให้แก่ย่า รวมถึงพ่อกับแม่ของไนน์ด้วย แต่ด้วยที่พ่อกับแม่จากไปตั้งแต่เขายังเล็ก เขาจึงไม่ค่อยรู้เรื่องราวต่างๆ ของพ่อและแม่เขา ต้องอาศัยคนภายในครอบครัวเล่าให้ฟังอีกที แต่ส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่เล่าให้ฟัง เพราะเรื่องที่แม่เขาจากไปค่อนข้างสะเทือนใจปู่เขาอย่างมาก และเขาก็รับรู้กลายๆ ว่าไม่ควรพูดถึงเก็บไว้ในความทรงจำมากกว่า
เขายังจำได้ดีวันนี้ช่วงที่เขายังวัยรุ่น เขาเลือกที่จะถามปู่ว่าพ่อกับแม่เขาตายอย่างไร ปู่จึงตัดสินใจเล่าให้ฟัง วันเกิดเหตุคือวันเกิดของเขาครบ1ขวบ พ่อกับแม่เตรียมงานวันเกิดที่จะถึงทั้งวันและช่วงบ่ายจะออกไปเขาเค้กวันเกิดที่สั่งไว้ที่ร้าน แต่ด้วยที่วันนั้นพี่ๆ มาเยอะเล่นกันนาน เด็กชายตัวน้อยเจ้าของวันเกิดในวัยหนึ่งขวบจึงไม่ร้องงอแงตามไปด้วยทั้งที่ปกติติดพ่อกับแม่อย่างกะอะไรดี เลือกที่จะเล่นอยู่กับพี่ๆ แทน ทั้งสองขับรถออกจากบ้านรับเค้กจนขากลับ แต่กลับมาไม่ถึงรถสิบล้อที่ผ่านอายุการใช้งานมานานไม่ได้ดูแลรักษา แต่ยังเอามาใช้งานอยู่บนท้องถนนเกิดยางแตกเบรกไม่อยู่พุ่งชนเข้าที่รถของทั้งคู่ อาการสาหัสนอนอยู่ไอซียูและจากไปพร้อมกันในวันที่สองหลังจากอุบัติเหตุ
และเขาเข้าใจปู่ทันทีว่าทำไมถึงไม่ยอมบอกเขา เพราะกลัวว่าเขาจะโทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุให้พ่อแม่ตัวเองต้องตายและเขาเองก็คิดแบบนั้น แต่สิ่งที่ปู่บอกเขาอย่างหนึ่งคือ “ลองนึกนะว่าถ้าวันหนึ่งเราเป็นพ่อกับแม่คน ในวันที่ลูกครบหนึ่งขวบเราอยากจัดงานวันเกิดลูกไหม แต่ถ้าถามปู่แค่เป็นหลานปู่ก็ยังอยากจัดให้ อย่าไปโทษตัวเองเลยว่าเป็นสาเหตุให้พวกเขาเสียชีวิต ไนน์ฉลองวันเกิดกับเพื่อนๆ กับครอบครัวให้คนที่อยู่บนฟ้าดูแทนนะว่าเรามีความสุขมาแค่ไหน พวกเขาจะได้มีความสุขเหมือนเรา” พอได้รับรู้ความจริงทั้งหมด และสิ่งหนึ่งที่เขารับรู้อีกคือพ่อกับแม่เขาจากไปหลังจากย่าเสียได้ไม่ถึง6เดือน เท่ากับว่าบ้านเรามีงานสีดำสองงานภายในปีเดียว และสองในสามนั้นคือคนที่ปู่รักสุดหัวใจคนที่จะเสียใจที่สุดคนไม่พ้นคนคนนี้ เขาจึงพยายามทำตัวให้มีความสุขและใช้ชีวิตให้มีความสุขนับแต่นั้นเป็นต้นมา อยู่เป็นรอยยิ้มให้แก่ปู่เขาตลอดเวลา
หลังจากพิธีต่างเสร็จสิ้นถึงเวลาปาร์ตี้ช่วงเย็น ทุกคนภายในบ้านหลังนี้จะสนุกสนานและมีการแจกรางวัลให้แก่ทุกคนที่ทำงานมาหนักตลอดปี รางวัลใหญ่ปีนี้คือ
รางวัลที่1 เงินสด 100000 บาท 2 รางวัล
รางวัลที่ 2 เงินสด 50000 บาท 5 รางวัล
รางวัลที่ 3 เงินสด 20000 บาท 20 รางวัล
ส่วนรางวัลที่เหลือก็จะเป็นน้ำหอม กระเป๋า ของใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ นาฬิกา ของแต่ละอย่างมีมูลค่าหนึ่งหมื่นอัพทุกชิ้น และทุกคนที่มีชื่อทำงานในบ้านใหญ่ได้ทุกคน
แต่งานนี้จะจัดเป็นการภายในแม่บ้านจะเป็นคนทำอาหาร ส่วนดนตรีบนเวลาเป็นหน้าที่ของพวกที่มีความสามารถเล่นกันเอง และถ้าเล่นถูกใจมีรางวัลให้อีก นั่นเป็นการที่พวกคนงานในบ้านแอบทุ่มซ้อมกันก่อนถึงวันงาน แต่จะมีบางส่วนยังคงต้องทำงานดูแลความปลอดภัยของเจ้านายอยู่ดี พวกนี้จะได้รับโอกาสไปฉลองหลังจากจบงาน เจ้านายบ้านนี้ถือคติว่าต้องเลี้ยงลูกน้องด้วยใจ เขาถึงจะซื่อสัตย์ต่อเราด้วยใจ
ไนน์เดินหาของของกินไปเรื่อยๆ ตามซุ้มต่างๆ ที่จัดและมีคนดูแลอยู่ วันนี้จะไม่มีใครคอยบริการเจ้านายเพราะพวกเขาอยากให้ทุกคนสนุกจึงเลือกที่ช่วยเหลือตัวเอง แต่ก็จะมีบางส่วนที่ยังคงดูแลอยู่ไม่ขาด
“สวัสดีครับน้าเบญ เพิ่งมาเหรอครับ เมื่อเช้าไม่เจอเลย” น้าเบญเป็นลูกบุญธรรมอีกคนที่ปู่กับย่ารับเลี้ยง เพราะอยากแม่ของเขามีเพื่อนเล่นในวัยเด็ก
“อ้าวไนน์ ใช่น้าจ๊ะเพิ่งมาถึง เมื่อเช้าน้าไม่ค่อยสบายเลยงานช่วงเย็นแทน” น้าเบญตอบแบบยิ้มๆ ให้
“แล้วดีขึ้นหรือยังครับ”
“ดีขึ้นมาแล้วล่ะ แล้วเมื่อคืนจัดงานวันเกิด ได้ข่าวว่าเมาหนักเลยนะเรา เบาๆ มั่งก็ได้นะ”
“ใครมาฟ้องครับ เดี๋ยวกลับจัดการเลย” เขาตอบกลับด้วยท่าทีขึงขัง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า น้าแค่เดาเอง สงสัยจะเรื่องจริงสินะ” น้าเบญหัวเราะที่แกล้งหยอกหลานคนเล็กของบ้าน
“ช่วงนี้งานยุ่งเหรอครับ ไม่ค่อยได้เจอเลย” เขาถามน้าเบญต่อระหว่างที่ถามเขาหยิบบาบีคิวที่ปิ้งสุกแล้วมาวางบนจาน
“ก็เพิ่งเริ่มโปรเจคโรงแรมที่เวียดนาม ต้องบินไปบินมาเนี่ยแหละ” น้าเบญบ่นพร้อมกับมือนวดที่หัวคิ้ว
“ครับ ดูแลสุขภาพด้วยนะครับ”
“แล้วเราจะเข้ามาช่วยงานหรือยัง หรือยังอยากสนุกต่อล่ะ”
“คงตามกำหนดเดิมล่ะครับ” ขาเลือกจะไหวไหล่แบบสบายๆ
“แล้วตำแหน่งล่ะ ปู่เราวางไว้ไหม หรือจะให้น้าช่วยดูให้ก่อน” น้าเบญหันมามองหน้าถามแบบไม่จริงจัง
“ยังเลยครับ ผมว่าน่าจะเริ่มจากตำแหน่งเล็กๆ ก่อน ค่อยๆ เรียนรู้งานไปล่ะครับ”
“ดีน้าก็เห็นด้วย ค่อยหัดทำไป เรียนรู้จากตำแหน่งเล็กไปก่อนค่อยโต”
“ยังไงผมต้องให้น้าเบญช่วยสอนผมอีก เพราะตอนนี้น้าเบญก็ทำงานแทบจะแทนปู่อยู่แล้ว” น้าเบญขมวดคิ้วทันทีที่บอกให้สอนงาน และรีบคลายออกทันที
“ปู่เรานะไม่ค่อยปล่อยงานให้ใครทำหรอกถ้าไม่ไว้ใจ น้าทำเฉพาะส่วนที่ได้รับมอบหมายมาเท่านั้นเอง” น้าของเขาเริ่มตอบแบบสีหน้านิ่งเรียบเฉย
“...”
“นี่เราไปเปลี่ยนนามสกุลมาแล้วใช่ไหม” คนถูกถามขมวดคิ้วสงสัย คนที่รู้เรื่องนี้มีไม่กี่คนเอง แต่น้าเบญก็คนในครอบครัวจะรู้ก็ไม่แปลกหรอกหรอกมั่ง เขาจึงพยักหน้าตอบรับ
“ครับ”
“ดีน้อ คนที่นามสกุลดังๆ ทำอะไรก็ง่ายไปหมด” น้าเบญพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่เขากลับรู้สึกว่าคำพูดนี่เป็นประชดประชันอย่างไงไม่รู้
“ครับ บางครั้งเราต้องใช้อะไรบางอย่างเบิกทางในการทำงาน และสิ่งที่ดีสำหรับบ้านเราที่ดีที่สุดคือนามสกุลนั่นเอง” เขาตอบความจริง มีใครบ้างที่มีอำนาจในมือแล้วจะไม่ใช้ เขาไม่ใช่คนดีที่จะทำทุกอย่างให้ขาวสะอาด อะไรที่ต้องแลกก็แลกถ้ามันคุ้มก็ต้องทำ
“อืม มันก็ใช่อย่างที่เธอพูด” น้าสาวของเขาเริ่มตอบเสียงนิ่งๆ นามสกุลที่เธออยากใช้แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ทั้งๆ ที่เป็นก็เป็นบุตรบุญธรรมคนหนึ่ง เธอเลยต้องใช้ความพยายาม ความสามารถที่มีเพื่อให้มาถึงจุดนี้ แต่สำหรับบางคนมันได้มาง่ายแทบไม่ต้องออกแรงอะไรเลย
“งั้นน้าเข้าไปหาปู่เรากับคนอื่นๆ ก่อนนะ”
“ครับ” น้าสาวเดินตรงไปให้ยังโต๊ะของประมุขบ้าน ส่วนเขาก็หยิบของกินอีกนิดหน่อยก่อนจะเดินตามไปอีกคน
ทู ทรัว ทาซอทและยอซอท ยืนหลบมุมสูบบุหรี่คุยกัน เรื่องที่ได้รับรายงานจากคนสนิทที่ให้ไปสืบประวัติของซันมา และแน่นอนการทำงานทั้งหมดมาถึงเมื่อเช้า หลังจากที่น้องปลีกตัวออกไป เขาทั้งสี่จึงเข้ามาหารือกันอย่างเคร่งเครียด
“แม่งมันอยู่ใกล้น้องกว่าที่คิดว่ะ พวกมึงว่าไง เอาไงดี” ทาซอทถามคนที่เหลือ
“สั่งเก็บเลยไหมว่ะ รำคาญฉิบหาย” ทูเป็นคนเริ่มเสนอ
“กูว่ามึงไม่ควรทำงานเป็นธุรกิจร้านอาหารนะ มึงน่าจะมาทำงานแบบพวกกูมากกว่า ใจร้อนสัด” ยอซอทพ่นควันออกจากปากพร้อมกับส่ายหัว
“ถ้าพวกเราไปขอให้น้องลาออกจากที่นั่นน้องจะยอมไม่ว่ะ” ทรัวถาม
“…”
“...”
“...”
ทั้งสามส่ายหัวพร้อมกัน ก่อนที่ทั้งสี่คนจะถอนหายใจพร้อมกัน “เฮ้ยย!”
“ในเมื่อเราจัดการทั้งน้องเราและไอ้...มันชื่อไรวะ” ทาซอทเริ่มออกความคิดเห็น “ซัน” ทูเป็นคนตอบมา “งั้นต้องให้คนของเราจัดการข้อมูลน้อง และสั่งคนตามประกอบว่ามันไปจ้างใครสืบ แล้วค่อยมาคิดกันต่อ แผนนี้เป็นไง”
คนที่เหลือขมวดคิ้ว นิ่วหน้าครุ่นคิด และเมื่อได้คำตอบในหัวต่างพากันพยักหน้า
“เออ เอาตามที่มึงว่าแล้วกัน ส่วนไอ้พวกที่เหลือค่อยคุยกันทีหลัง จัดการไปก่อน อย่าให้ข้อมูลรั่วไปถึงมันได้”
คนที่จะสั่งงานคือทาซอทและยอซอท เพราะพวกเขามีคนที่คนจัดการเรื่องนี้ในมือ พวกพี่ๆ เขาที่มีปัญหาเรื่องที่ต้องใช้อะไรที่มันเกี่ยวกับสิ่งที่จัดการแบบทั่วไปไม่ได้ คนที่อยู่เบื้องหลังจะเป็นสามคนพี่น้องแฝดเกาและนานะทั้งหมด
“จัดการข้อมูลไนน์ทั้งหมด สั่งคนตามประกอบมันด้วยว่ามันจ้างนักสืบคนไหน แล้วลากตัวนักสืบมาก่อนที่ให้มันไปรายงาน” ทอซอทสั่งงานลูกน้องคนสนิท
“ครับนาย ผมจะรีบจัดการให้” ลูกน้องคนสนิทยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรสั่งการต่ออีกที
“พ่อจะขึ้นไปนอนยังครับ” ลุงมังกรถามเมื่อวานเห็นมันเลยเวลานอนของพ่อเขานานแล้ว
“ดีเหมือนกัน เริ่มง่วงแล้ว ที่เหลือพ่อฝากด้วยล่ะ” เจ้าสัวชัชลุกออกจากเก้าอี้จะเดินเข้าไปให้บ้าน
“ไนน์ไปส่งนะปู่” หลายชายคนขันอาสาลุกขึ้นพยุงปู่เดินไป
“น้องไนน์ไม่ต้องก็ได้ค่ะ เดี๋ยวน้าดูคุณปู่เราให้แทน อยู่สนุกกันต่อเถอะ” น้าเบญเข้ามาประคองแทน
“งั้นไปพร้อมกันเลยครับ ไนน์ไม่ค่อยมีเวลาดูแลปู่เท่าไหร่ อันไหนพอที่ผมพอจะทำให้ปู่ได้ผมจะทำครับ น้าเบญจะได้ไม่เหนื่อยด้วย” น้าสาวเหลือบมองเขาด้วยหางตา ก่อนจะเสมองไปทางอื่นและไนน์ประคองปู่ไปแทน ส่วนน้าสาวทำได้เพียงเดินตามไป
หลังเขาส่งปู่ที่ประตูหน้าห้องที่เหลือก็ให้น้าสาวจัดการดูแลต่อ เขาเดินมาร่วมมาเลี้ยงต่อ และทันช่วงที่บอดี้การ์ดของเขาขึ้นไปร้องเพลง เพลงยามของลาบานูน เพราะคีนเคยเปรยกับเขาช่วงที่เขาเริ่มไปทำงานแรกๆ ที่มันต้องยืนเฝ้าอยู่หน้ารั้วโรงงานทั้งวัน อยู่จนบางวันยามเดินมาคุยด้วยตลอด มันแกล้งมาง้อแฟน
...มึงร้องเพลงเหมือนประชดกูเหรอไอ้คีน ได้คีนเดี๋ยวจัดให้...
“ขอบคุณสำหรับคีน นักร้องที่ขึ้นมาร้องเพลงยามให้พวกเราฟังนะครับ” เสียงพิธีกรกล่าวขอบคุณนักร้องรับเชิญ “มีรางวัลมาจากเจ้านายที่แสนใจดีด้วยนะครับ 5000 บาท” พิธีกรกรีดแบงก์ธนบัตรใบละพันให้ผู้ชมดูก่อนที่จะพูดต่อ “และคุณไนน์ยินดีเลื่อนตำแหน่งด้วยนะครับ.....จากบอดี้การ์ดเป็นรปภ..เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป”
จากนั้นมีเสียงโฮ่ฮาตามมันกันเป็นระลอก ส่วนเจ้าตัวแกล้งทำหน้าเศร้า สร้างเสียงหัวเราะกันทั่วหน้า
ห้าทุ่มครึ่งชายหนุ่มร่างโปร่งอาบน้ำและแต่งตัวลงมานอนยังเรือนกระจกที่อยู่ทางปีกขวาของบ้านและเป็นที่นอนประจำเมื่อพวกหลานมารวมตัวกัน แม่บ้านจะจัดที่นอนให้เต็มห้อง
“ขยับไปดิไอ้ฮาจิ กูจะน้องไนน์กูนอนตรงนี้” ทรัวบอกและใช่เท้าถีบไปที่ฮาจิให้ขยับตัวไป
“มึงแหละออกไป กูจะนอนกับเบบี้” ฮาจิกับทรัวเริ่มจะตีกัน
“ที่รักมานอนตรงนี้ค่ะ” ทูเอามือตบที่เบาะข้างๆ ตัว
“คนดีมาน้องเจ๊น้า เจ๊จะกอดเรา” โฟร์อ้ามือให้ตัวเขาเข้าไปกอด
“ซูก้า ทางนี้ค่ะ นอนข้างๆ เค้านะ” นานะกวักมือให้เขา
“แนกอมานอนตรงกลางระหว่างเฮียนี่”
“ใช่ๆ มาตรงนี้เลยวังจา” ฝาแฝดเกาตบเบาะที่อยู่ระหว่างกลางทั้งคู่ให้เขาดู
เมื่อหาข้อตกลงกันไม่ได้ สงครามหมอนก็เริ่มต้นขึ้น น้องคนเล็กหันไปมองที่พี่ชายคนโตและแฟนหนุ่มที่มานั่งร่วมอยู่ในห้อง “ทำไมไม่รีบมีแฟนแบบหนึ่งกันว่ะ จะได้ไปใช้ชีวิตกับแฟนมั่ง ลำบากน้องจริงๆ เลิกตีกันโว้ย!!!!” ตั้งแต่หนึ่งมีแฟน หนึ่งเลือกจะให้ความสำคัญแก่แฟนมากขึ้นแต่ก็ยังไม่เคยละเลยน้องคนนี้
“ไปเอาฉลากมาจับเลยว่าใครจะนอนไหน ทำกันทุกปี ยังจะมาตีกันทุกปี”
“ก็พวกมันอยากรู้ว่าคนเก่งจะเลือกใครไงครับ” หนึ่งเริ่มบ่นพวกน้อง
“งั้นเลือกวีนะ แล้วหนึ่งไปนอนรวมกับพวกนั้นเลย ปะวีไปนอนข้างบนกัน” ไนน์คว้าแขนเพื่อนให้ลุกขึ้น เขายังชอบที่แกล้งพี่ชายตัวเองตลอดเรื่องแฟนคนนี้
หนึ่งรีบตะครุบตัวแฟนหนุ่มทันที “นี่เมียเฮียจะไปนอนกับเราได้ไง น้องวีครับเราไปนอนเถอะ ปล่อยให้พวกนี้มันตีกันไปแย่งคนเก่ง พี่ว่าเราไปทำลูกกันเถอะ” หนึ่งรีบอุ้มแฟนในท่าเจ้าสาวทันที
“ไอ้พี่บ้า ใครเค้าพูดกันตอนนี้เล่า อายเค้า” เพื่อนสนิทเขาใบหน้าแดงกร่ำราวกับมะเขือเทศ เอามือทุบไปที่หน้าอกแฟนหนุ่ม
“โว้ย!! อย่าปล่อยฟีลเตอร์สีชมพูแถวนี้นะไอ้เชี่ยหนึ่ง” และเสียงที่ตะโกนด่าและหมอนที่ใช้เป็นอาวุธเริ่มปาใส่พี่ชายคนโต ส่วนหนึ่งแค่ไหวไหล่และอุ้มเจ้าสาวเดินออกไปจากห้อง
“อ่ะ จับฉลากมาจะได้นอนสักที” และกระดาษที่มีลำดับเลข1ถึง8 โดนส่งต่อมาเรื่อยๆ โดยเมื่อก่อนจะจับเรียงจากหนึ่งแล้วมาทู ตามลำดับ จนมาถึงไนน์คือคนสุดท้าย ตั้งแต่พี่ชายคนโตที่ไปมีเวีย คนที่เริ่มคนแรกจะกลายเป็นทู เมื่อจับเสร็จเรียกตามการนอนในสุดจนมานอกสุดคือ ฮาจิ นานะ ไนน์ โฟร์ ทู ทาซอท ทรัวและยอซอท
“สรุปตอนนี้มีใครมาจีบกันมั่ง หรือไปจีบใครบ้าง ใครจะเล่าก่อน” นอนคว่ำเอาคางเกยหมอนถามพี่ๆ ระหว่างเล่นเกมไปด้วย
“นานะเลย ลูกเจ้าพ่อที่เมืองจีนมาจีบตอนบินไปมาเก๊ารอบที่ก่อนนู้น มันขยับบินไปกับไทยจีนว่ะ” ทรัวรีบฟ้องคนแรก
“จริงดิ?” เคียงคอมองพี่สาว
“ซูก้าอย่าไปฟังมันเยอะ ไม่อยากยุ่งด้วย รำคาญชะมัด” นานะรีบแย้งขึ้นมาทัน
“ไม่ชอบ? ไม่ชอบผู้ชาย? หรือไม่ชอบมัน?” ฮาจิรีบถามต่อ
“ไม่ได้ไม่ชอบผู้ชาย คือกูไม่ยังไม่อยากมีแฟนไง” นานะรีบอธิบาย “นั่นโฟร์นู้นตามจีบนางแบบอยู่ ไปเกาะขอบเวลางานแฟชั่นของคุณเธอล่าสุด มีเอาดอกไม้ไปให้ด้วย” นานะรีบเปลี่ยนไปเล่นงานโฟร์แทน
“ก็ปกติคนเราต้องบริหารเสน่ห์บ้าง กูออกจะหน้าตาดีขนาดนี้ ต้องหลงกูบ้างล่ะว้า” โฟร์ยักคิ้วใส่น้องสาว “ส่วนแฝดเกานั่น เปลี่ยนคนควงไปซ้ำหน้า ยังไม่มีใครบ่นพวกมันเลย”
“ไอ้ทรัว หนุ่มนักศึกษาที่มึงตามเลี้ยงอยู่นะ เกิน20ยังวะ กูขี้เกียจไปประกันตัวนะมึง” ทูเริ่มหันบอกน้องชาย
“แล้วทูล่ะ ไม่มีใครเหรอ” ไนน์ถามถึงพี่ชายคนที่คนอื่นไม่พูดถึง
“เค้ารักอยู่กะตะเองอยู่ไงคะ จะนอกใจใครได้ไงล่ะที่รัก” ยังส่งมือรูปไอเลิฟยูมาให้เขาเป็นของแถมอีก
“...” ทุกคนกลอกตามองบนและเบะปากทันทีเมื่อจบประโยค ส่วนคนถามรีบเอาหน้ากระแทกใส่หมอน
“ไนน์เมื่อไหร่จะลาออกจากงานครับ” ทาซอทหันมาถามคนน้องอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“มีอะไรเหรอ? ” เขาขมวดคิ้วถาม
ทู ทรัว ยอซอทหันไปถลึงตาใส่ “เปล่าครับ กลัวไนน์เหนื่อย เฮียอยากให้เรามานอนใช้เงินอยู่บ้านเฉยๆ”
“ใช่ๆ พวกเฮียเลี้ยงเราได้สบายเลย”
“จะบ้าเหรอ ใครๆ เขาก็ทำงานกัน สตีเฟน ฮอว์กิ้ง* ขนาดเขานั่งรถเข่น เขายังใช้สมองทำงานแทนเลย นี่ครบ32จะให้อยู่เฉยๆ จะสปอยเกินไปแล้ว ไอ้พวกพี่บ้า” เขาแวดใส่พวกพี่ๆ “พอแล้วนะ เดี๋ยวอีกไม่นานจะมาทำกับปู่แล้ว” พวกรู้ว่าพวกพี่รักเขา ยิ่งที่เขาต้องไปทำงานเป็นลูกน้องคนอื่น แทนจะทนกันไม่ได้ที่น้องชายสุดรักโดนคนอื่นใช้งาน พวกเขาแทบจะไม่เคยใช้เลย ทุกอย่างแทบจะประเคนให้ นั่นเป็นสาเหตุที่เขาอยากไปลองทำงานที่เป็นลูกน้องนั่นเอง
“เดี๋ยวน้องสงสัย สัดทาพูดออกมาได้ เสียแผนขึ้นมามึงโดนตีนพวกกูแน่” เสียงกระซิบทาทอกันของพวกจอมวางแผนทั้งสี่ ส่วนที่เหลือที่รู้เรื่องหันไปมองหน้าทาซอท
“ปิดไฟเลยไหม ไนน์นอนแล้วนะ ฝันดีครับทุกคน” น้องคนเล็กหยิบรีโมทมาปิดไปในห้อง
“ฝันดีครับที่รัก”
“ฝันดีน้องไนน์ของทรัว”
“ฝันดีนะคะคนดีของโฟร์”
“ฝันดีครับแนกอ”
“ฝันดีวังจาของยอซอท”
“สวีตดรีม ซูก้า”
“ฝันดีนะเบบี้”
คำพูดที่บอกฝันดี จะออกมาเกือบๆ พร้อมกัน ขอบคุณอีกวันที่ทำให้เขานอนหลับฝันดีและลืมใครบางคนไปจากหัวได้ รักจังเลยครอบครัวนี้
Tbc…
*สตีเฟน วิลเลี่ยม ฮอว์กิ้ง (Stephen William Hawking) นักฟิกส์ทฤษฎี นักจักรวาลวิทยา
ผลงานวิทยาศาสตร์สำคัญ การบัญญัติทฤษฎีบทเกี่ยวกับภาวะเอกฐานเชิงความโน้มถ่วงในกรอบของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปร่วมกับโรจอร์ เพนโรส และการทำนายเชิงทฤษฎีที่ว่าหลุมดำควรปล่อยรังสี ซึ่งปัจจุบันมีชื่อว่า รังสีฮอว์กิ้ง (บางครั้งเรียกว่า รังสีเบเคนสไตน์-ฮอว์กิ้ง)
ในต้นทศวรรษที่ 1960 (ประมาณ พ.ศ. 2503-2508) สตีเฟน ฮอว์กิงก็มีอาการที่เรียกว่า amyotrophic lateral sclerosis (ALS) อันเป็นอาการผิดปกติของระบบประสาทโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยมีผลกับประสาทสั่งการ (motor neurons) นั่นคือ เส้นประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของ กล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อส่วนนั้นจะอ่อนแอลงจนเกือบเป็นอัมพาต แต่เขายังคงทำงานวิชาการต่อไป
อ้างอิง www.wikipedia.org/wiki/ฮอว์กิ้ง