18 ตอน Chapter 17
โดย T.mines
Chapter 17
Number nine My Sun
หมายเลขเก้าของดวงตะวัน
#IXMYSUN
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูก่อนจะเปิดเข้ามาของผู้จัดการสาขาหัวหิน และพ่วงมาด้วยกับเลขาอีกหนึ่งคน หลังจากที่คุยสรุปเรื่องภายในกันหมดแล้ว เลขาส่วนตัวของไนน์ค่อยโทรเรียกผู้จัดการให้เขามาร่วมประชุมต่อกับพวกเขาทั้งสี่คน ส่วนตัวเองปลีกตัวไปโทรสอบถามเรื่องทีมงานที่จะเข้ามาสำรวจพื้นที่ได้วันไหน
เชิญครับ รอเลขาผมสักครู่นะครับค่อยเริ่มประชุมกัน” เขากล่าวต้อนรับคนที่มาใหม่ระหว่างที่บอดี้การ์ดของเขาไปเปิดประตูให้แขกเข้ามา
“ครับ เอ่อคุณไนน์ครับ ผู้หมวดอาทิตย์ให้แจ้งว่ารออยู่ที่ล็อบบี้นะครับ”
“ครับ? อืมๆ” เสียงตอบรับอย่างุนงง
เขาหยิบโทรศัพท์ที่ปิดเสียงการแจ้งเตือนระหว่างประชุม พบว่าไม่ได้รับสายอยู่จำนวนมาก หนึ่ง โฟร์ นานะ ทู ทาซอท ยอซอท ทรัว ฮาจิ พี่เขาครบทุกคน รวมถึงว่ามาที่ปนมาคือผู้หมวดอาทิตย์สองสายที่ไม่ได้รับ เขาหยิบขึ้นมาและกดส่งข้อความไปหาคนที่บอกว่ารออยู่
IX : ขอโทษที่ไม่ได้รับสาย ผมติดประชุมอยู่
Ar-Thid : ไม่เป็นไรครับ พี่แวะมาขอโทษเรื่องเมื่อวานนี้
Ar-Thid : พี่จะรอเราอยู่ที่ล็อบบี้นะครับ
IX : ครับ
ส่วนตัวไนน์เองคิดว่าเรื่องมันควรจะจบตั้งแต่โทรมาขอโทษและเขาก็คุยจบไปแล้ว ไม่คิดว่าจะมาหาถึงที่ซ้ำอีกครั้ง โดยมีอีกคนนอนเป็นหมาหวงก้างอยู่ข้างบนอีก งานเยอะอยู่แล้วยังจะต้องมาจัดการปัญหาคนอีก เขาต้องรีบจบเรื่องส่วนตัวสักที งานก็สุ่มหัว ปัญหามากกว่าที่ต้องรอให้จัดการอีกเยอะ
หลังจากที่เลขาของเขากลับมาจากการไปคุยโทรศัพท์ได้แจ้งว่าทางทีมสามารถจะเข้ามาดูพื้นที่ในช่วงประมาณบ่ายโมง ประชุมที่ต้องสรุปรายละเอียดสภาพของความเสียหาย ประเมินความเสียหาย รวมถึงการโยกย้ายการจัดงานไปยังห้องอื่น ถ้าหากมีการใช้ห้องที่ชนกัน อาจจะต้องเลือกย้ายไปเช่าโรงแรมที่อยู่ใกล้เคียง เขาให้ทางนี้จัดการแผนเรื่องนี้คร่าวๆ ไว้สักสามเดือนก่อน ต้องรอดูการประเมินทางทีมในช่วงบ่าย ถ้าหากมันนานกว่านั้นคงต้องเพิ่มระยะเวลาเข้าไปอีก
ประชุมลากยาวมาถึงช่วงบ่ายและได้รับแจ้งว่าทีมที่จะประเมินมาพร้อมแล้ว ตอนนี้รออยู่ที่ด้านบนห้องแล้ว ทางทีมที่คุ้นเคยกับกลุ่มเขาเป็นอย่างดี
“สวัสดีครับคุณไนน์ ผมมาแทนพี่ต๋องพอดีแกต้องไปเที่ยววันเกิดลูกสาว” วิศวกรอายุสามสิบปลายยกมือไหว้เขา
“สวัสดีครับคุณจั๋ย ไม่ต้องยกมือไหว้ผมนะครับ ผมอายุน้อยกว่าต้องเยอะ คุณต๋องแกโทรบอกผมแล้วแหละ ตอนแรกอยากมา แต่ผมห้ามเอาไว้ให้ไปเที่ยวกับลูกสาวดีกว่า”
“สวัสดีครับคุณไนน์” สถาปนิกหนุ่มกล่าวทักทาย
“ครับคุณเชี่ยว งานนี่เจ้าของบริษัทมาทำเองอย่างงี้ผมจะมีเงินจ่ายค่าจ้างพอไหมล่ะครับเนี่ย” เขาพูดจาแซวทั้งสองหุ้นส่วนบริษัท
ต๋อง อัครพงษ์ จั๊ย ธีรภัทร และเชี่ยว ภูเบศ สามหนุ่มของบริษัท A.P.T. Engineering ที่เพิ่งเปิดตัวมาได้แค่ห้าปี แต่ได้รับงานใหญ่ในการก่อสร้างคอนโดมิเนียมโครงการเดอะทัช ในเครือศิริกิจวัชรโชติ ด้วยความที่เขาชอบการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงการดีไซด์เทคโนโลยีที่เอาเข้ามาใช้ได้อย่างเหมาะ พวกเขาจึงค่อนข้างเกรงใจไนน์อย่างมากที่มอบโอกาสนี้ให้แก่พวกเขา
เริ่มต้นคือไนน์อยากหาบริษัทที่มีความสามารถและแนวความคิดใหม่ เขาแบกโครงการไปหาสถาปนิกในบริษัทต่างๆ โดยที่ไม่บอกว่าทำให้โครงการภายใต้ใครเพียงแค่บอกว่าเขาคือผู้รับผิดชอบ โครงการที่มีตัวเลขการก่อสร้างเป็นพันล้านกับนักศึกษาจบใหม่ แม้บริษัทที่ใหญ่โตยังพูดดูถูกดูแคลน มีเพียงแค่ที่นี่ยอมปฏิบัติกับเขาเหมือนลูกค้าทั่วไป วันที่ เชี่ยว ส่งแบบมาให้มันคือคำตอบที่เขาอยากได้ทั้งหมด เขาจึงตัดสินใจให้ทาง A.P.T. Engineering เสนอราคาการก่อสร้างมา และเขาเอามานำเสนองานต่อปู่เบื้องต้น และอีกสองอาทิตย์ต่อมาปู่สั่งให้ทั้งทีมมานำเสนองานทั้งหมด
เขายังจำได้ว่าตอนที่พาทั้งทีมมาที่บ้าน ทีมงานทั้งหมดแทบจะลมจับ หนึ่งในนั้นคือ จั๋ย เพราะทุกคนไม่คิดว่าโครงการนี้คือโครงการนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศ ทุกคนลนลานสุดๆ ในฐานะคนดูแลโครงการนี้ต้องคอยนั่งปลอบให้กำลังใจและการพรีเซนงานก็ผ่านไปด้วยดี ทั้งสามจึงถือว่าเขาคือคนที่ช่วยสร้างชื่อเสียงให้แก่บริษัทเขาเป็นอย่างมาก หลังจากวันที่ตอกเสาเข็มและติดป้ายชื่อโครงการ งานก็มีมาอย่างต่อเนื่องจนตอนนี้บริษัทขยายใหญ่โตขึ้น ครั้งนี้เขาออกปากขอให้มาช่วยดูทั้งสามจึงรีบมาทันที
“คุณไนน์พูดเกินไปครับ ลูกค้าคนสำคัญทาง A.P.T ต้องดูแลอย่างดีครับ”
เขาปล่อยให้ทั้งสองคนถ่ายรูปและเก็บรายละเอียดไปในแต่ละจุด รวมถึงการพูดคุยการเปลี่ยนวัสดุบางส่วนภายในห้องด้วย ไม่นานเขาก็พาทั้งสองมาให้ห้องประชุมก่อนหน้านี้ แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ให้ผู้จัดการและเลขาของทางโรงแรมเข้าร่วมด้วย โดยให้เหตุผลว่ามีแค่คุยเรื่องแบบคร่าวๆยังไม่สรุป ค่อยมาฟังตอนสรุปอีกที ที่เข้าร่วมยังคงมีแค่สี่คนเดิมบวกอีกสองจากคนที่มาเพิ่มเท่านั้น
“ผมกับทาง A.P.T. ทำงานร่วมกันมานาน ทำงานร่วมกับผมตั้งแต่ผมยังไม่มีชื่อเสียง ยังไม่มีตำแหน่งใหญ่โต พอดีว่าผมต้องการคนที่ไว้ใจได้ เพราะงานที่ทำในครั้งนี้มันส่งผลต่อชื่อเสียงของบริษัทเราอย่างมาก คุณสองคนในฐานะหุ้นส่วนต้องกลับไปตัดสินใจก่อนไหม” เขายกมือประสานไว้ที่คางหยั่งเชิงดูท่าทีของทั้งสองคนตรงหน้า ทั้งสองคนมองหน้ากันไปมา “ผมไว้ใจพวกคุณสองคนได้ไหมที่จะบอกสิ่งนี้ให้ฟัง” เขาเปลี่ยนท่ามานั่งกอดอกไว้บนโต๊ะและโน้มตัวไปข้างด้วยใบหน้าที่จริงจังแสดงความกดดันให้ทั้งสองคน
“...” ทั้งสองไม่ตอบเพียงแต่พยักหน้ารับ
“ที่นี่มีการก่อสร้างที่ผิดแบบจากที่แจ้งไว้ และผมอยากแก้ไขให้มันถูกต้อง”
“...”
“สิ่งที่ผมอยากให้ทำคือแก้ไขส่วนห้องที่ไฟไหม้ให้เร็วที่สุด และออกแบบเพื่อที่รีโนเวตข้างต้นที่ผมบอกไปด้วยนะครับ”
“...”
เขาปรับน้ำเสียงให้เบาบางลงไร้ความกดดันแบบก่อนหน้านั้น “ให้ตัดสินใจสักคืนดีไหมครับ ถ้าโอเคพรุ่งนี้ผมจะได้พาไปดูส่วนที่มีปัญหาครับ เพราะว่าวันจันทร์ผมต้องเอาเรื่องเข้าที่ประชุม” รอยยิ้มที่จริงใจที่ใช้แทนแรงกดดัน “หวังว่าเราทั้งสองจะได้ร่วมงานกันนะครับ”
“งั้นพวกผมทั้งสองขอกลับไปปรึกษากันภายในก่อนนะครับ แล้วจะรีบให้คำตอบเร็วที่สุด ลาแล้วนะคุณไนน์” เชี่ยวที่บอกกล่าวและจั๋ยที่ยกมือไหว้ตามมา ทั้งสองเดินออกไปจากห้องประชุม
ทันทีประตูปิดลง เขาทั้งสี่ก็ผ่อนคลายสีหน้าลง รวมถึงอาการกดดันที่แบกกันมาตั้งแต่เช้าแล้ว
“โห ไม่รู้เลยว่าคุณไนน์จะเล่นบทกดดันแบบนี้ด้วย” มาแล้วบอดี้การ์ดตัวดีเริ่มพูดอีกแล้ว
เลขาธีขมวดคิ้วอย่างสงสัย “แล้วถ้าทาง A.P.T. ไม่ทำละครับ เราจะทำไง”
เขายกยิ้มที่มุมอย่างเจ้าเล่ห์ “งานนี้ใครทำก็ได้ขอแค่มีเงินจ้างและปิดปากเท่านั้น”
“...” บาย
"หื้อ” คีน
“ทำไมครับ?” ธี
“ผมแค่อยากได้ทีมวิศวะหรือในอีกแง่หนึ่งผมอยากได้บริษัทรับเหมาที่ไว้ใจได้อยู่ในมือสักที ที่มันสามารถตรวจสอบโครงการอื่นให้ด้วย และงานต่อไปที่จะทำสามารถวางใจได้ระดับหนึ่ง อยู่กันแบบพึ่งพาอาศัยกัน” เขาไหวไหล่
มันคือหนึ่งในเหตุผลที่เขาเลือกที่จะให้บริษัทที่เพิ่งเติบโตมาในสายนี้ อย่างว่าการช่วยให้บริษัทที่ไม่มีชื่อโด่งดังขึ้นมาจากงานที่ใหญ่ย่อมมองเป็นบุญคุณอยู่แล้วด้วยแบบนิสัยแบบคนไทยที่เน้นความเกรงใจเป็นหลัก แต่พวกเขาลืมไปว่าเขาคือพาเนอร์ชิปนะ ต่างคนต่างได้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน แต่เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วผลประโยชน์ย่อมเป็นของผู้ที่อยู่เหนือกว่าและมองเกมได้มากกว่า และเขาจะให้มันทุกทางอย่างแน่นอน
ซันที่เบื่อๆ กับการนั่งรออยู่แต่ภายในห้องเลยคิดว่าจะออกมาหากาแฟดื่มและเดินสำรวจการตกแต่งโรงแรมสักหน่อยเพื่อจะช่วยออกมาคิดเห็นเล็กน้อยเวลาน้องถาม แต่พอเดินมายังข้างล่างกับเห็นคนที่อยากจะชกหน้าซ้ำอีกรอบนั่งที่ล็อบบี้ อาการอยากกินกาแฟหมดลง
“สวัสดีครับหมวดอาทิตย์ ไม่ทราบว่าทำไมเหรอครับ?” เขาทักทายด้วยเสียงที่แข็งกระด้างหยาบยิ่งกว่าหินรุงรังเสียอีก
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่นัดเจอกันน้องไนน์เท่านั้นเอง” ผู้หมวดหนุ่มยกยิ้มอย่างผู้ชนะ
“อ๋อเหรอครับ แน่ใจนะว่านัดไม่ใช่บังคับนัดเหรอครับ” เขาก็ไม่แน่ใจว่าน้องตั้งใจนัดหรือเปล่า แต่พอเห็นสีหน้าที่กระตุกขึ้นมา เขาก็แน่ใจว่าเขาเดาถูก และดีใจที่ตัดสินใจมาเฝ้าปล่อยไม่ได้เลย หมามันจ้องจะคาบตลอด
“นั่นแล้วแต่คุณจะคิดก็แล้วกัน” ผู้หมวดไหวไหล่ และไม่พูดคุยกันต่ออีกพวกเขาทั้งสองนั่งรออยู่ด้วยกัน เฝ้ามองทางคนที่พวกเขารอจะเดินมา และหันมาจ้องหน้ากันเป็นพักๆ ด้วยอารมณ์ไม่พอใจกันทั้งคู่
คนที่เพิ่มเลิกประชุมพากันเดินมายังทางที่ไปรับประทานอาหารที่ห้องอาหารของโรงแรม โดยที่ไนน์พอนึกขึ้นได้ว่ามีคนรอเขาอยู่ที่ล็อบบี้ เขาจึงคิดว่าจะเข้าไปคุยให้รู้เรื่องค่อยเรียกอีกคนลงมา เพราะถ้าเผชิญหน้ากันคงตีกันแน่ นี่กูต้องมาห้ามศึกอะไรว้า พี่เขาถึงจะตีเรื่องเขาบ่อยแต่ก็ไม่จริงจัง แต่พอสองคนนี้ เฮ้ยเพลีย เขาได้แต่ลอบบ่นอยู่ในใจ
พอมาถึงเห็นสองคนที่เขาบ่นถึง พูดถึงหมู หมูก็มา เขาว่าเวลาเข้าป่าอย่าพูดถึงเสือ เวลาว่ายน้ำอย่าพูดถึงจระเข้ ที่กูได้มาถึงสองอย่างเลย แม้จะนั่งโซฟาคนละชุด แต่สายตาที่ฟาดฟันกันในอากาศ คนรอบข้างเริ่มถอยหนี
ขายาวก้าวมาหยุดที่โซฟาและเขาย่อมต้องเลือกไปยืนใกล้คนที่เขาเรียกว่าแฟนอยู่แล้ว ซันยกยิ้มอย่างสะใจให้อีกคนที่มองอย่างเข่นเขี้ยว ไนน์พออ่านสถานการณ์ออก รีบบอกทันที “ไปกินข้าวกันครับ ไปกันทั้งหมดเลย” เขาเดินนำออกมาก่อนและเดินชิดไปกับคีน “คีนหาร้านที่ส่วนตัวให้หน่อย ถ้าจะตีกันก็อย่าให้คนอื่นเห็น”
ห้องที่ส่วนตัวและเร็วที่สุดก็ไม่พ้นในโรงแรมของเจ้านายเขานิแหละ โดยเลือกห้องที่มีกระจกใสกั้นห้องสองห้องที่เชื่อมติดกัน ส่วนใหญ่ห้องนี้มักจะเอาไว้เจรจาธุรกิจและรวมถึงมีพวกคุมกันดูแลอยู่อีกห้องที่พอมองเห็นแต่ไม่ได้ยินเรื่องที่อยู่ภายใน
มาถึงทั้งสามก็ยังไม่ได้เริ่มพูดคุยอะไรกัน เพราะไม่รู้ว่าใครควรจะเริ่มยังไง ซันที่หงุดหงิดสมาชิกที่เพิ่มมาบนโต๊ะบวกด้วยอาการน้อยใจที่น้องเป็นคนเชิญให้มานั่งร่วมโต๊ะ อาทิตย์ที่ไม่พอใจด้วยตั้งใจจะมาง้อและขอโทษต้องมาทำต่อหน้าอีกเหรอไม่มีทางเขาอยากเห็นมุมน่ารักของน้องคนเดียว ไนน์คือคนกลางในเรื่องนี้เขาอยากเริ่มคุยกับผู้หมวดแต่กลัวอีกคนจะงอนและเข้าใจผิด ทั้งสามเลยมองหน้ากันไปมา
อาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟและลูกน้องเขาที่รู้ใจที่สุดสั่งของโปรดอย่างติ๋มซำมาให้กิน เขาหันไปยกนิ้วให้พวกนั้นที่นั่งอยู่อีกห้อง พร้อมกับพยักหน้าให้บอกว่า ทำดีมาก แต่ยังไม่ทันตักเข้าปาก คนที่ทำลายความเงียบคือซันนั้นเอง
“ถ้ามีธุระอะไรก็รีบพูดซะ จะได้ไม่รบกวนเวลาของคนที่เขาเป็นแฟนกัน”
“ตอนนี้ยังเป็นได้แค่แฟน รอให้เป็นมากกว่าอย่างอื่นก่อนค่อยมาหวงก้าง น้องควรได้เจอคนที่เหมาะกับน้อง”
“คิดจะแย่งแฟนคนอื่น มันสมควรแล้วเหรอ คนดีๆ เขาไม่ทำกันนะ”
“ไม่ได้แย่งแค่เปิดโอกาสให้น้องได้เลือกมากกว่า”
“คนมันหน้าด้านยังไงก็หาข้ออ้างอยู่ดีแหละ”
ก ารถกเถียงเริ่มจะทวีความรุนแรงมากขึ้นจากแค่เสียงดังตอนนี้กลับกลายเป็นตะคอกใส่กัน ไนน์ที่คว้าซาลาเปาไส้หมูสับไข่ต้มยัดเข้าปาก รีบกลืนลงไปด้วยคำโต ถ้าจะไม่ดีแล้วแหละเขาต้องทำอะไรสักอย่าง วุ่นวายจริงโว้ย...
เริ่มต้นด้วยการถอนหายใจหนึ่งเฮือก “หยุดทะเลาะกันครับ หยุด!” เสียงดังประกาศิตจากคนตรงกลาง พวกเขาจึงสงบปากลง “ไนน์จะพูดครั้งเดียวและฟังให้เข้าใจตรงกันด้วย ผมขอรับคำขอโทษจากหมวดอาทิตย์นะครับ แต่ขอรับปากว่าจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้อีก เพราะถ้าเกิดขึ้นอีกแน่นอนผมไม่ไว้หน้านะครับ ผมไม่ชอบการบังคับฝืนใจใคร รวมถึงเรื่องที่จะบอกต่อไปด้วย ผมเป็นคนที่ไม่ชอบอะไรที่ซับซ้อน ถ้าผมจะคุยกับใครผมก็คุยทีละคน ควงทีละคน แต่ตอนนี้ผมกับพี่ซันกำลังคบกัน ผมต้องให้เกียรติคนของผมด้วยการไม่คุยกับคนอื่น ถ้าหากผู้หมวดคงสถานะผมไว้แค่น้องชายแบบเดิมผมก็โอเคแต่ถ้ามากกว่านั้นผมคงจะขอเสียมารยาทด้วยนะครับ” วันนี้เขาได้พูดสิ่งที่อยากจะบอกกับหมวดอาทิตย์คือเริ่มต้นด้วยการที่บังคับจูบเขาและพยายามที่จะเข้ามาแทรกกลางระหว่างเขากับพี่ซัน ทั้งที่เขาว่าเวลาอยู่ด้วยกันมันค่อนข้างชัดเจนในการกระทำอย่างมาก
“ส่วนพี่ซันใจเย็นลงบ้างครับ เชื่อใจผมบ้าง ผมพูดชัดเจนแล้วนะครับ” เขามองหน้าทั้งสองคนสลับไปมา “หวังว่าทั้งสองคนคงเข้าใจนะครับ ผมเหนื่อยมากแล้ว กินข้าวเถอะครับกินด้วยกันดีๆ คุยกันดีๆ แค่พี่ผมก็แย่ อุ๊บ!” สิ่งที่เขาบ่นหามักจะมาในรูปแบบตัวเป็นๆ
“แนกอจ๋า...” ทาซอท
“วังจาคร๊าบบบบ” ยอซอท
สองฝาแฝดเกาเดินอาดๆ เข้ามาให้น้องพร้อมกับเก้าอี้ที่ลากติดมือมาที่เอามาเสียบระหว่างเขากับแขกทั้งสองแบบว่ากูจะแทรกพวกมึงจะทำไม กูจะเสียมารยาทพวกมึจะทำไม กูคือพี่ชายที่หวงน้องพวกมึงต้องขยับไป
“ไอ้สองคนนี้มึงมาทำไร?” เสียงถามที่ดูอารมณ์เสียอย่างมากของทาซอท
“ใครสน” ยอซอทไหวไหล่ “กินนี้นะครับ เฮียตักให้นะครับ” ตอนแฝดเกาเข้ามาทำหน้าที่แทนอีกสองคนที่ตีกันก่อนหน้านี้ ไนน์ได้แต่กลอกตาขึ้นบน ลาก่อนชีวิตที่สงบสุขแห่งติ๋มซำ
เช้าวันจันทร์แห่งการทำงานเริ่มต้น คีนเข้ามาทำหน้าที่ผู้ช่วยเลขามันคืองานที่เพิ่มเติมมาจากบอดี้การ์ด สีหน้าที่ถือไอแพดที่เลขาเขาเอามาให้พร้อมกับตารางของเขาที่ใส่เข้ามาด้วย คีนที่ยืนรายงานด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
“วันนี้ช่วงเช้าตอนเก้าโมงมีสรุปแบบกับทีมงาน APT ครับ ส่วนช่วงบ่ายนำเสนอแผนเรื่องการแก้ปัญหาและการปรับปรุงที่สาขาหัวหินครับ” บอกกล่าวไปด้วยสีหน้าเซ็งๆ
“ทำได้ดีมาก คีนมึงรู้ไหมว่าทำไมกูถึงให้มึงทำตรงนี้” เขาถามขณะตักข้าวต้มกินไปด้วย
“??”
“มึงคือคนที่กูไว้ใจที่สุดรองจากตัวเอง มึงรู้ว่ากูต้องการอะไรและอยากทำอะไร เพราะงั้นมึงจัดการตารางกูดีที่สุด ฮ่า ฮ่า” น้ำเสียงหัวเราะอย่างสบายใจที่จัดการบอดี้การ์ดคนสนิท
“!!” คีนยืนมองด้วยสีหน้าบอกบุญ ไม่รับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สองประโยคยืดอกด้วยความภาคภูมิใจ แต่เจ้านายกลับฉุดกระชากลงมาด้วยประโยคสุดท้าย
“เออวันศุกร์เย็นจัดตารางให้ด้วยว่ามีนัดกินข้าวบ้านผู้ชาย และวันเสาร์พาผู้ชายไปกินข้าวบ้าน” น้ำเสียงที่เหมือนเป็นการล้อเล่นระหว่างเขากับคีน
“ครับ?”
“...” ไนน์หันหน้าไปมองคีนแล้วพยักหน้าหนึ่งที บอกให้รู้ว่าที่พูดไปเรื่องจริงนะ
“ได้ครับ ผมจะลงตารางวันศุกร์ให้ครับ” คีนกดเพิ่มงานในตาราง แอบยกยิ้มเล็กน้อย งานนี้แหละผมขอเอาคืนบ้างนะครับ เขากดส่งตารางให้ในกลุ่มลับของพี่เจ้านาย เอาจริงเขาโดนบังคับให้ร่วมกลุ่มนี่ต่างหาก พอมีคนอ่านแล้วสองคนเขาเข้าไปลบข้อความออก และบอกว่าส่งผิดกลุ่มครับ สีหน้าที่เรียบเฉยมองไปคนที่นั่งกินข้าวอย่างไม่รู้เรื่องแต่ในใจโห่ร้องอย่างสะใจ
การประชุมที่ลากอยากตั้งแต่เช้า ทางทีมของ APT ยินดีให้ความร่วมมือแต่โดยดี วันนี้แค่เพียงเอาแบบที่ร่างคร่าวๆ มานำเสนอและรีบข้อมูลที่ทางนี้จะเสนอเข้าไปอีก และจะเอามาเสนออีกภายในสัปดาห์หน้า ด้วยงานที่รีบเพราะตอนนี้คิวงานทางโรงแรมรันยาวไปถึงกลางปีหน้า ในที่สุดประชุมที่ยืดเยื้อก็จบลงที่เวลาสิบหกนาฬิกาสามสิบสี่นาที เขาและเลขารวบเอกสารและบอกลาทีมงานรวมถึงคนที่ร่วมประชุมออกไปทันที
ทั้งสองมาถึงหน้าห้องและพยักหน้าเรียกคีนกับบายที่นั่งรอตรงด้านหน้าเข้าห้องทันที เลขาหนุ่มเล่ารายงานประชุมให้สองคนนั้นฟังพอประมาณ
“คีน บาย หาทางไปซื้อคนในแต่ละแผนก ทำทุกทางที่จะได้ข้อมูลภายในมาให้ได้” เขายกมือประสานกันเท้าโต๊ะยกมาปิดและจ้องมองไปที่ลูกน้องทั้งสองคน
“ทำไมครับ/ครับ”
“...” เปรยตามองไปทางเลขาให้เป็นคนอธิบายแทน
“เหมือนทางนู้เขาไม่อยากให้ทางเราเข้าไปยุ่ง พยายามเสนอตัวว่าให้ทางทีมเดิมที่เคยทำมาแก้งานดีกว่าและคุณไนน์คิดว่ามันอาจจะมีเกี่ยวข้องกับหลายๆ ฝ่ายด้วย เพราะดูแล้วหลายๆ คนจะเห็นด้วยกับความคิดนี้กันแบบพร้อมเพรียง แบบนี้ใช่ไหมครับ”
“อืม ไปได้แล้ว ช่วงนี้เหนื่อยกันมาเยอะแล้ว เลิกงานกันได้แล้วกลับกันเถอะ” เขาลุกรวบของจำเป็นแค่ไม่กี่อย่างและเดินออกจากห้องทำงานกลับไปยังคอนโด
ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านเขากับการแก้แบบงานที่หัวหิน รวมถึงประชุมที่ถี่ยิบเรื่องความคืบหน้าของโครงการเดอะทัช ส่วนนัดที่ไม่สำคัญเขาให้คีนเตะโด่งไปก่อนให้มันจัดการให้เขาเอง และนัดของเขากับซันก็มาถึง ถามว่าตื่นเต้นไหม แม้คนเราไปบ้านเจอพ่อกับแม่แฟนครั้งแรกใครไม่ตื่นเต้นก็บ้าแหละ
ย้อนกลับเช้าวันจันทร์
อาหารมื้อเช้าที่บ้านหน้าของบ้านอัศวธาดานนท์ที่พร้อมหน้าตากันในรอบหลายสัปดาห์ คนที่ไม่ค่อยจะเจอหน้าเจอตาเท่าไหร่อย่างลูกชายคนโตของบ้านที่กำลังเดินลงมาจากชั้นสองเข้านั่งลงที่โต๊ะ
“เมื่อคืนมานอนบ้านเหรอ เข้ามานอนไหน” มารดาเอ่ยถามเพราะเธอและสามีเข้านอนช่วงสี่ทุ่มเจ้าลูกชายก็ไม่ได้โทรมาบอก
“เกือบเที่ยงคืนแหละครับ พอดีว่ามีเรื่องจะคุยกับพ่อแม่หน่อย ขอกาแฟอย่างเดียว” เขาตอบ ประโยคหลังเขาบอกกับแม่บ้านที่ยืนรออยู่
“งานมีปัญหาเหรอ?” บิดาถาม
“ไม่ใช่เรื่องงานครับ พอดีว่าเย็นวันศุกร์ผมว่าจะพาแฟนผมมาทานข้าวที่บ้านแล้วจะมาบอกให้พ่อกับแม่ให้ทราบ” เขารู้สึกเขินอายอย่างบอกไม่ถูกนี่เป็นครั้งแรกที่จะพาแฟนมากินข้าวพร้อมหน้ากับครอบครัว
“ดีสิ ลูกเต้าเหล่าใครแม่จะได้ทำความรู้จักเอาไว้” น้ำเสียงที่ตื่นเต้น แต่ในใจแอบผิดหวังคนที่ลูกเลือกไม่ใช่คนที่ตนเองหวังไว้
“น่ารักไหมคะ สวยไหมพี่” น้องสาวเริ่มซักไซ้ไล่ เรียง
“จะว่าน่ารักก็น่ารักนะ เอ่อ...เอ่อ...” เขาไม่กล้าที่บอกประโยคที่คิดไว้ในใจได้ ใจหนึ่งเขากลัวทำพ่อแม่ผิดหวังแต่ถ้าจะให้เปลี่ยนใจตอนนี้คงยาก
“จะเอ่ออะไรเจ้าซัน” บิดาเริ่มรำคาญอาการของลูกชายที่ไม่ยอมพูด
“แฟนผมเป็นผู้ชายครับ” เขาบอกออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำและยึดอกรับด้วยความจริงใจ
“...” ทั้งสามเงียบลงและมีท่าทีแปลกใจ คนหนึ่งอ้าปากตกใจ คนหนึ่งขมวดคิ้ว อีกคนหน้านิ่งไป
“แต่เท่าที่เจ้าจันทร์รู้ว่าพี่ซันไม่เคยไปกับผู้ชายคนไหนเลยนะคะ” เจ้าจันทร์ถามไปด้วยเสียงที่เบาบาง มองหน้าพี่ชายด้วยความแปลกใจแต่ไม่ใช่ว่าเธอจะรับเรื่องนี้ไม่ได้
“ผมแค่อยากจะมาบอกให้ทราบก่อนเพราะกลัวว่าถ้าพามาแล้วทุกคนจะตกใจ เพียงแค่ผมอยากให้ทุกคนรับรู้เรื่องราวของผมกับน้องก่อน” คำบอกเล่าที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“เดี๋ยว! ใช่ผู้ชายที่ซันแม่เคยเจอพร้อมกับวีว่าคนนั้นใช่ไหม” มารดาขมวดคิ้วถามลูกชายสุดรัก
“ใช่ครับ” คำตอบที่ชัดเจน “ผมคบกับน้องเขามาได้สักระยะหนึ่งแล้ว ผมเลยอยากแสดงความจริงใจกับน้องว่าความรักที่มีให้ไม่ใช่แค่ฉาบฉวยนะ”
“...”
“ความจริงแล้วผมเจอน้องเมื่อสี่ปีที่แล้ว ก่อนไปเรียนต่อครับ” เขาเงยหน้ามองบุคคลภายในครอบครัวที่รอฟัง “น้องคนคนที่ช่วยผมจากอุบัติเหตุครับ น้องคือคนที่ผมตามหามาตลอดเลยแต่เรื่องนี้ผมยังไม่ได้บอกน้องนะครับ อย่างที่เจ้าจันทร์ถามว่าที่ผ่านมาผมคบแต่ผู้หญิง แต่ก็ไม่ใช่จะไม่เคยคบกับผู้ชาย แต่มันไม่เคยไปถึงเรื่องนั้น เพียงแค่ทุกครั้งที่คิดว่าน้องเป็นคนแรกคงจะดี”
“กับน้องนี่กินกันแล้ว” ผู้เป็นบิดาถามขึ้นมา
“ครับผม”
“คุณจับฉันที นี่แม่ต้องเตรียมสินสอดเท่าไหร่” แม่ของเขายกมือมาทาบที่อก ตบปลอบตัวเองเบาๆ
“นี่บ้านเราต้องมาคุยเรื่องแบบนี้บนโต๊ะอาหารเหรอคะ” หญิงสาวที่อายุน้อยที่สุดถามขึ้นพร้อมแก้มที่แดง
“เรื่องแบบนี้พ่อว่าเราเรียนรู้ไว้ก็ดีนะ เรื่องเซ็กซ์มันคือเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ เราเกิน20แล้วนะในอนาคตเจ้าจันทร์เองก็ต้องไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ รู้จักเรียนรู้ รู้จักป้องกัน รู้จักอันตรายที่จะตาม มันก็ไม่เสียหายนิลูกที่เราจะพูดกัน” คำสอนจากผู้เป็นพ่อส่งต่อให้ลูกสาวคนเล็ก
“ขอบคุณค่ะ” เจ้าจันทร์ยกมือไหว้ขอบคุณคำสอน
“ซันแม่ถามหน่อย ที่เราไม่ชอบหนูวีว่าเพราะตัวเองชอบผู้ชายหรือเปล่า?” มารดาถามพร้อมกับสบตาไปยังลูกชาย เธอไม่ได้คาดคั้นคำตอบ เพียงแค่อยากได้คำตอบที่จริงใจถ้าวันหนึ่งเธอจะต้องเอาเรื่องนี้ไปคุยกับเพื่อนสนิทที่เป็นแม่ของวีว่านั่นเอง
“ความรักที่ผ่านมาของผมมีทั้งผู้หญิงและผู้ชายครับแม่ ผมไม่ได้เลือกว่าต้องเพศไหน เพียงแค่ว่าผมเลือกว่าคนไหนมากกว่าและครั้งนี้ผมเลือกน้อง ยังไงผมก็มองวีว่าเป็นคนรักไม่ได้ครับ” น้ำเสียงที่ทุ้มลึกราวกับว่าสิ่งนี่คำตอบที่ชัดเจนสำหรับมารดาเขา
รอยยิ้มส่งตอบมา “ค่ะ ไม่ว่าซันจะรักใครแม่กับพ่อก็รักคนนั้นด้วย”
“เจ้าจันทร์ด้วยค่ะ” หญิงสาวที่นั่งปั้นยิ้มด้วยความดีใจที่มีชายกำลังจะมีความรักครั้งใหม่ “แต่ว่า...พี่สะใภ้ใช่ไหมคะ”
เพียะ! เจ้าจันทร์โดนฝ่ามือของแม่ตีเข้าไปที่แขนหนึ่งที โทษฐานละลาบละล้วงเกินงาม “เจ้าจันทร์!” หญิงสาวได้มือลูบแขนพร้อมยิ้มแห้งตอบแทน “ไปทำงานกันได้แล้วค่ะทั้งสามคนเลย สายมากแล้ว”
เขาลุกไปหอบแก้มมารดาพร้อมกับกระซิบ ขอบคุณเบาๆ วันนี้ที่ได้เปิดใจบอกเรื่องของไนน์กับพี่บ้านก็เบาใจว่าทางครอบครัวไม่ได้รังเกียจการที่เป็นชายรักชายและไม่ต่อต้านกลับยินยอมด้วยความเต็มใจ ต่อไปนี้อีกคนจะก้าวเข้ามาในชีวิตเขาอีกก้าวหนึ่งและเขาพยายามที่ก้าวเข้าไปอยู่ในชีวิตน้องด้วยเช่นกัน
ซันอาสารับไนน์ที่บริษัทจะตรงเข้าไปบ้านเลย ตอนแรกว่าจะนัดทานข้าวกันน้องบ้าน เพราะตัวซันเองวางแผนว่าจะให้ไนน์นอนค้างที่บ้านต่อไม่ต้องไปส่งที่ไหน ซันเห็นสภาพไนน์วันนี้ดูเหนื่อยและเหมือนจะไม่ค่อยได้นอนด้วย เขากับน้องคุยโทรศัพท์กันบ้างแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น
“นอนพักก่อนไหม รถติดแบบนี้กว่าจะถึงบ้านพี่อีกตั้งชั่วโมงแหละ” เขากดปรับเอนเบาะให้น้องนอนสบาย
“อืมๆ” เสียงรับในลำคอพร้อมกับตาที่จะปิด “พี่ซันของเสื้อหน่อย” พูดด้วยอาการที่ละลืมละลือ
“ครับ” เขาอดยิ้มในความขี้อ้อนของน้องไม่ได้ เสื้อตัวเองก็มีแต่อยากได้เสื้อเขามาห่มแทน เขาถอดเสื้อมาคลุมตัวคนที่ตอนนี้หลับไปตั้งแต่ ‘อืมๆ’ แล้วมั่ง ขอสักทีเถอะ จุ๊บ ริมฝีปากประทับที่หน้าผากคนหลับ
หนึ่งชั่วโมงครึ่งพอดี ที่รถขับมาจอดที่ลานหน้าบ้าน และคนข้างๆ รู้สึกตัวตื่นที่รถจอดสนิทโดยที่ไม่ต้องปลุก เขาหยิบน้ำดื่มให้คนที่เพิ่งตื่นดื่ม น้องรับไปดื่มไปหลายอึกและควานหาทิชชูเปียกมาเช็ดหน้าอีกรอบ ก่อนจะยกมือขึ้นมาตบแก้มเบาๆ อีกหลายทีแบบเรียกสติตัวเอง
คนเพิ่งตื่นหันมามองหน้าคนขับถาม “ผมดูดี โอเคยังครับ” พร้อมกับขยับตัวไปส่งที่กระจกมองหลัง
“ดูดีที่สุดแล้วครับ กังวลอะไร หื้อ!” ซันเลิกคิ้วถาม
“ก ก็มาบ้านแฟนทั้งทีไง ต้องดูดีไว้ก่อนดิ” เขาพูดแบบเขินอายเล็กน้อยแก้มมีสีชมพูระเรื่อแต่ถ้าหากไม่ติดว่ามันเริ่มค่ำอีกคนคงจะมองเห็นอย่างง่ายดาย
“ป่ะครับ นู้มีคนมาชะเง้อคอรอแล้วครับ” เขาพยักหน้าไปทางประตูบ้านที่หญิงสาวยืนรออยู่
เขาทั้งคู่ก้าวขาลงรถและพร้อมประตู ได้ยินเสียงตะโกนของน้องสาว “แม่ค่ะพี่ซันกับแฟนมาแล้วค่ะ”
“ป่ะไปกัน” ซันจูงมือไนน์พาเดินเข้ามาในบ้าน
“นี่เจ้าจันทร์น้องสาวพี่เอง” ลูกชายเจ้าของบ้านแนะนำน้องสาวให้แก่เขา
ทั้งสองสบตากันและมองหน้าด้วยการตกตะลึง
“...” ไนน์
“...” เจ้าจันทร์
ซันมองหน้าระหว่างแฟนหนุ่มกับน้องสาวสลับไปมา กว่าทั้งคู่จะหาเสียงกันเจอผ่านไปหลายนาที
“เอ่อ..เจ้าจันทร์”
“พี่ไนน์!! ไนน์จริงๆ ด้วย” หญิงสาวถามด้วยความท่าทางดีใจ
“...” ส่วนคุณแฟนเอาแต่ยิ้มรับให้น้องสาวเขาที่ดีใจเกินเบอร์ไปแล้ว เขาขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ เขาพยายามเค้นสมองนึกถึงเรื่องที่น้องสาวเคยเล่าว่ามีผู้ชายที่ชื่อไนน์ปนอยู่ในนั้นบ้างหรือเปล่า แต่ก็ไม่เคยผ่านหูสักครั้งนะ
เขาคว้ามือแฟนของตัวเองและดันไปไว้ข้างหลังด้วยความหวงพร้อมกับชี้นิ้วไประหว่างสองคน “รู้จักกันเหรอ หรือว่าเคยเป็นอะไรกันมาก่อน?”
“...” ไนน์
“...” เจ้าจันทร์
ทั้งสองมองหน้าซันด้วยสายตาที่บอก หนึ่งชายบอกว่านี่น้องสาวตัวเองนะคิดบ้าอะไรวะ ส่วนน้องสาวไอ้พี่บ้าถอดความคิดสกปรกออกจากสมองเดี๋ยวนี้นะ และทั้งคู่ที่เพิ่งจะพบหน้ากันหันมาสบตาและเดินเข้าไปข้างในด้วยกัน ทิ้งอีกคนให้ยืนมองพวกเขาเดินไปด้วยกัน ก่อนจะได้สติและวิ่งตามไปอย่างทันควัน
“พี่ไนน์ไปล้างมือกันก่อนค่ะ พ่อกับแม่รออยู่ที่โต๊ะกินข้าวแล้วเดี๋ยวจันทร์พาไปค่ะ”
น้องสาวของแฟนหนุ่มของเขารับหน้าที่รับรองแขกอย่างเขา ชวนคุยบ้างด้วยความน่ารักและร่าเริงของเจ้าจันทร์อาการตื่นเต้นคลายลงไปมาก
“แม่ค่ะ จันทร์พาแฟนมาแล้วค่ะ อุ๊บ! แฟนพี่ซันมาแล้วค่ะ” สีหน้ายิ้มเยาะให้พี่ชายป่วนได้
“ไนน์มานั่งนี่ครับ นั่งข้างๆ พี่” ซันเลื่อนเก้าอี้ให้แฟนหนุ่มนั่ง หันไปถลึงตาใส่เจ้าน้องสาวตัวดี
ครบองค์ของที่บ้านและแขก โดยมีพ่อของซันนั่งหัวโต๊ะด้านขวามีแม่กับน้องสาว ส่วนซันและไนน์นั่งอยู่ฝั่งซ้าย
“สวัสดีครับคุณลุงคุณป้า” ไนน์ยกมือไหว้ผู้อาวุโสของบ้านทั้งสอง
“สวัสดีลูก เรียกพ่อกับแม่เหมือนเจ้าซันเถอะ เราเป็นแฟนเจ้าซันพ่อกับแม่ถือว่าเราเป็นลูกชายอีกคน” น้ำเสียงและรอยิ้มที่ประดับบนใบหน้าพ่อของแฟนเขาเต็มไปด้วยความเอ็นดู
“ครับ ขอบคุณครับ” รอยิ้มกว้าง ที่กว้างมากจนคุณแฟนอดถามไม่ได้
“ยิ้มดีใจอะไรขนาดนั้นเหรอครับ” อย่างที่บอกไว้ รอยยิ้มนี่พอมีคนเห็นมักจะยิ้มตามเสมอ รอยยิ้มที่สดใสขนาดนี้ นั่นสิดูพ่อเขาขนาดไม่ค่อยจะยิ้มยังยิ้มไปด้วย
“คือจะว่าไงดีล่ะ ไนน์ ผมไม่เคยเรียกใครว่าพ่อกับแม่ พอมีคนให้เรียกในฐานะลูกชายมันอดดีใจไม่ได้” ไนน์ตอบ
“โถลูก...” มือของมารดาทาบที่หน้าอกด้วยความปลาบปลื้ม “แต่แม่เคยเจอเรามาก่อนหน้านี่ใช่ไหม”
“ครับแค่เจอกัน ตอนที่อยู่บริษัทไงครับ แต่ตอนนั้นไนน์รีบไปทำธุระต่อเลยไม่ได้ทักทาย ขอโทษด้วยนะครับที่เสียมารยาทในวันนั้น” พร้อมโค้งหัวลงเป็นการขอโทษ
“ไม่เป็นไรลูก แม่เข้าใจว่าแต่เราเป็นลูกเต้าเหล่าใคร” คนเป็นแม่อ่ะเน้อย่อมอยากรู้พื้นเพแฟนของลูกชายบ้าง
“ขอโทษครับ ผมลืมแนะนำตัวไป ผมทวิชากานต์ ศิริกิจวัชรโชติครับ”
ทั้งสามคนนิ่งเงียบสนิท คนพ่อสะบัดหัวไปหนึ่งครั้ง ส่วนคนแม่รับจานข้าวที่แม่บ้านตักมาให้ค้างไว้ ส่วนเจ้าจันทร์อ้าปากค้าง
“อะแฮม” บิดาของซันเรียกสติของทุกคนกลับมาด้วยเสียงกระแฮม “พ่อขอนามสกุลอีกรอบสิ ขอชัดๆ นะ”
ซันไหวไหล่และตอบแทน “ศิริกิจวัชรโชติครับ” เขาเน้นย้ำที่จะพยางค์ให้ฟัง
“โห...” เจ้าจันทร์ยกมือขึ้นมาปิดปากด้วยความตกใจอีกรอบ
“...” ประธานของบ้านยกมือมานวดหว่างคิ้ว
“ตายแล้วซัน แม่จะเอาเงินที่ไหนไปขอหนูไนน์ให้แก บ้านเราก็จัดว่ารวยนะแต่ถ้าเทียบกับบ้านนั้นมันต่างกันเยอะนะลูก” เธอตบอกเบาๆ ไปหลายที
“เอางี้สิคุณ ก็ยกลูกชายเราให้บ้านนู้ไปเลยง่ายจะตาย”
“โอเคครับ ผมตกลง” เสียงที่ตอบมาจากลูกชายเจ้าของบ้าน
“!!!” ไนน์งงกับบ้านนี้ แค่มากินข้าวไหงลามไปถึงขึ้นไปสู่ขอ “เอ่อ ไนน์หิวแล้วกินข้าวกันเถอะครับ” เขาเปลี่ยนเรื่องไปทันควัน
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยครับ พ่อกับแม่ยกพี่ให้แล้ว เราต้องรับพี่ไปดูแลแล้วนะ พ่อครับแม่ครับเย็นนี่ผมเก็บเสื้อผ้าไปเลยนะครับ”
“ไม่เอา ถ้าพี่ซันย้ายออกไปแล้วจันทร์ก็อดเจอพี่ไนน์ดิ” หญิงสาวขมวดคิ้วพร้อมถลึงตาใส่พี่ชาย
ซันหรี่ตามองน้องสาวและหันไปมองหน้าคนรักของตัวเองก่อนจะถามออกไปว่า “พี่สงสัยมาตั้งแต่เจอกันแล้ว สรุปเราสองคนเราเจอหรือรู้จักกันมาก่อนใช่ไหม ผมขอคำอธิบายครับคุณว่าที่ภรรยา หรือไม่ก็คุณน้องสาวคนใดคนหนึ่งพูดมา” น้ำเสียงที่พูดออกมาด้วยเสียงเข้ม และเน้นย้ำตรงคำว่า ‘ว่าที่ภรรยา’ ใบหน้าของคนที่ถูกกล่าวถึงแดงอย่างชัดเจน
“...” ไนน์หันไปถลึงตาโตใส่กลบความเขินอาย พูดออกมาได้ไม่อายพ่อกับแม่ตัวเองหรือไง “เจ้าจันทร์จะเล่าหรือให้พี่เล่าค่ะ” ไนน์ถาม
“จันทร์เล่าเองก็ได้ค่ะ” หญิงสาวยกมือมาปิดหน้าพร้อมกับพูดด้วยเสียงอู้อี้ “ทุกคนห้ามล้อจันทร์นะ จันทร์อาย” เอามือออกค่อยๆ สูดลมหายใจ “พี่ไนน์คือคนที่จันทร์ไปสารภาพรักค่ะ รักแรกของจันทร์เลยนะ ตอนที่จันทร์อยู่ปีสองพี่ไนน์มาลงเรียนวิชาเดียวกันและได้จับคู่ทำรายงานด้วยกัน พี่ไนน์ทำงานเก่งมากค่ะ และตอนนั้นจันทร์รู้ว่าพี่ไนน์เรียนทั้งวิศวะกับบริหารควบคู่กัน ยิ่งทำให้ปลื้มในความเก่ง ความหล่อ ความใจดี จันทร์จะไม่หวั่นไหวได้ไงคะจันทร์เลยสารภาพออกไปว่าชอบพี่ไนน์”
“แล้วไงต่อ” พี่ชายใจร้อนรีบซักไซ้ทันที ที่น้องสาวหยุดกลางคัน
“ก็ไม่มีอะไรครับ น้องจันทร์คือเด็กที่สดใส ร่าเริงอยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจ แต่จะให้มาคบกับไนน์ก็ไม่ดีกว่า ตอนสมัยเรียนก็นิสัยไม่ดีเท่าไหร่ ตามสไตล์เด็กกินและเที่ยวเลยไม่อยากทำลายความน่ารักของเจ้าจันทร์ ก็เลยขอให้เจ้าจันทร์เป็นรุ่นน้องที่น่ารักแบบนี้ตลอดไปดีกว่า” พูดเสร็จยกมือเกาแก้มอย่างอายที่ต้องมาเล่าประวัติ
“แค่นี่แหละค่ะ จบไหมคุณพี่ชาย”
“ทานข้าวกันดีกว่า ไนน์พอทานได้ไหมลูก”
“ทานได้ครับ ผมเป็นคนที่กินง่ายอยู่ง่ายทานได้ทุกอย่าง แต่สิ่งที่ผมชอบคือบรรยากาศ ผมชอบการทานข้าวที่บ้าน มันดูอบอุ่น ด้วยความที่บ้านผมครอบครัวใหญ่การที่จะทานข้าวร่วมกันมันยากมาก”
“งั้นก็มากินข้าวที่บ้านนี้บ่อยสิลูก คือสะว่าเป็นบ้านเราอีกหลังก็แล้วกัน”
หลังจากทานข้าวเสร็จ ซันของตัวไนน์ขึ้นไปบนห้องเพราะเห็นว่าระหว่างที่นั่งกินของว่างและพูดคุยกันระหว่างย่อยอาหาร คนน้องมีอาการเหมือนเพลียและจะพามาพักผ่อน ส่วนใหญ่เรื่องที่ถามจะเกี่ยวกับคนของเขามากที่สุด
“วันนี้ทำไมคุยเยอะจังครับ” ซันสวมกอดไนน์ทันทีเข้ามาให้ห้อง เอาหน้าซุกคอสูดกลิ่นจากคนรัก เขารู้สึกดีที่คนรักเข้ากับที่บ้านได้ดี แต่ก็อดหวงไม่ได้ที่คนอื่นได้รับรอยยิ้มอันสดใสของไนน์ไปด้วย
“ที่บ้านพี่น่ารักทุกคนเลย คุณแม่กับเจ้าจันทร์คุยสนุกทั้งคู่เลย ฟังเพลินมากเลยครับ” ไนน์พูดไปก็อดจะยิ้มตอบซันไปด้วยไม่ได้
“ดีแล้วครับ ไปอาบน้ำก่อนเลยครับ เดี๋ยวพี่เตรียมชุดให้ ของทุกอย่างในห้องน้ำใช้ได้หมดเลย”
คล้อยหลังเขาจัดแจงเสื้อผ้าชุดนอนของเขาให้น้องใส่ หากวันที่น้องหลับไปเขาจะไม่ยอมให้แม่บ้านเอาชุดนี้ไปซักจนว่าคนของเขาจะมาใส่ชุดตัวใหม่อีกครั้ง ร่างโปร่งที่อาบน้ำและแต่งตัวจนเสร็จถึงคิวเขาไปรายต่อไป เขาใช้เวลาอาบน้ำพอสมควรเพราะจนขจัดบางอย่างออกจากร่างกาย ด้วยที่ว่าคนน้องเหนื่อยล้า หากจะรังแกคงดูใจร้ายเกินไป
พอเขากลับมาพบว่าอีกคนนอนหลับสลบไสลไปบนที่นอนเรียบร้อยแล้ว เขาทำไงได้ เดินไปปิดไปและขึ้นนอนกอดอยู่ข้างๆ
“หลับฝันดีครับรอยยิ้มของผม”
ไนน์และซันขับรถมายังบ้านใหญ่ ช่วงสายๆ เพราะตั้งใจว่าจะพาซันเดินเล่นภายในบ้านและพาเข้าไปทำความรู้จักปู่และนมแย้มคนสำคัญในชีวิตของเขา ประตูรั้วเปิดต้อนรับเข้ามา แต่ภายในบ้านกลับมารถจอดเต็มโรงรถ เขาว่าแล้วทำไมพี่เขาถึงเงียบเฉียบมาเป็นสัปดาห์ วันที่เขาไปกินข้าวบ้านพี่ซันก็ไม่โทรตาม ตงิดใจอยู่ลึกๆ แต่นี่คงมากันหมดแน่
เขาทั้งสองลงจากรถและพากันเดินแขกของเขาเดินเข้าไปในบ้านที่ตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงโวยวายของคนที่มานั่งรอ
“ไปเรียกไอ้คีนมาดิ ให้มันโทรตามคนเก่งว่าจะมาตอนไหน” หนึ่ง
“มึงโทรไปดิทรัว ลองโทรไปดิ” ทาซอท
“มึงไม่โทรไปเองล่ะ น้องโกรธกูมึงรับผิดชอบไหม สัด” ทรัว
“ไอ้คีนบอกว่าน้องจะเข้ามาสาย สายของที่รักกูเนี่ยกี่โมงว่ะ” ทู
“แล้วทำไมพวกมึงยอมให้น้องไปกินข้าวบ้านมันด้วยว่ะ อย่างงี้เท่ากับต้องยอมรับว่ามันคบกับคนดีแล้วเหรอ” โฟร์
“อย่าเพิ่งคิดไปไกล แค่ไปกินข้าวที่บ้านเอง ครั้งที่แล้วยังไปกินบ้านไอ้หมวดนั่นอยู่เลย” นานะ
“แต่มันไม่เหมือนกันนะโว้ย นี่ไนน์เล่นพามากินข้าวที่บ้านเราด้วย” ยอซอท
“อ่ะ! คุณไนน์มาแล้ว” เสียงร้องทักจากสาวใช้ในบ้านที่เห็นเขากำลังยืนฟังพวกพี่เขาบ่นกับซัน
“อืม” เขาตอบรับ
ก่อนจะพาซันไปยังห้องทำงานของปู่ เพราะปู่เขาบอกว่าถ้ามาแล้วให้พาเข้าไปหาก่อน อยากคุยกับซันเป็นการส่วนตัวก่อน คนที่เดินด้วยปลิวพร้อมกับเมินคนที่เหลือ ที่ตาละห้อยมองตามน้องชายสุดที่รัก ซันได้แต่ผงกหัวให้คนที่นั่งรวมตัวกันอยู่ และไนน์ที่อดทนสงสารพวกพี่ได้ไม่นาน หันมายิ้มให้และบอกว่า
“ไปส่งพี่ซันก่อนแล้วจะกลับมาหานะ” ทุกคนต่างพากันถอนหายใจแบบโล่งอก พวกเขาต่างคิดว่าน้องจะโกรธซะอีกที่มาป่วนแบบนี้
“ปู่ครับไนน์มาแล้วครับ” เขาร้องบอกปู่ที่หน้าประตูและเคาะก่อนจะเปิดเข้าไปด้านใน ปู่นั่งในที่ประจำในท่าประจำที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็ก ด้านหน้ามีกองแฟ้มเอกสารวางเรียงเป็นตั้งๆ เอาไว้เหมือนเดิม เพียงแค่ในครั้งนี้ที่มองเห็นมีแค่ไม่กี่แฟ้มเอง เพราะเขาบังคับให้ปู่โยนงานมาที่เขาส่วนใหญ่ ส่วนที่อยู่ตรงหน้าคืองานที่ปู่เขาดูแลรับผิดชอบค้างอยู่
“มานั่งสิ” ปู่เงยหน้าเรียกเขาทั้งสองให้ไปนั่ง
“สวัสดีครับเจ้าสัว” ซันยกมือไหว้และยังคงเรียกปู่ของไนน์ว่าเจ้าสัวเหมือนคนอื่นเพราะยังไม่ได้รับอนุญาตให้เรียกขานคำอื่น
“มาส่งแล้วก็ไปสิ” ปู่โบกมือไล่เขาออกไป นี่เป็นเพียงไม่กี่ครั้งที่ปู่ออกปากไล่เขาออกจากห้อง ตั้งแต่เด็กจนโตจำได้ว่าไม่ถึงสิบครั้งด้วยซ้ำ
“ปู่ห้ามรังแกพี่ซันนะ” เขากล่าวล้อเล่นกับปู่
“ปู่นะเหรอทำ ไปคอยปรามพวกพี่เราดีกว่า รวมตัวกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
“ครับ งั้นไปหาพวกนั้นก่อนดีกว่า แล้วเจอกันครับพี่ซัน” เขายิ้มให้คนรักและเดินออกไปพร้อมกับปิดประตู
“น้องไนน์”
“ที่รัก...ของทู”
คนที่หันมาเห็นว่าเขาออกจากห้องคนแรกคือทรัว และตามมาด้วยทูที่วิ่งกันเข้ามารวบตัวกอดเขา ส่วนคนที่เหลือฉุดกระชากลากถูกันมาจนถึงโซฟาที่พวกพี่ๆ นั่งอยู่ก่อนหน้านั่น “มึงออกไปดิ” “มึงนะกอดพอแล้วกูกอดมั่ง” “น้องของกูพวกมึงอย่ายุ่ง” “น้องมึงที่ไหนของกูต่างหาก” “ปล่อยเบบี้นะพวกมึงทำเบบี้กูอึดอัด” “คนดีขอโฟร์กอดหน่อยหลบไปดิพวกมึงนะ” “หลบไปเลยก่อนที่จะถีบพวกมึงออกจากซูก้าของกู” “พวกมึงพอเลยคนเก่งดูหน้าน้องดิรำคาญจะตายแหละ” พี่ๆ น้องที่ต่างพากันยื้อแย่งตัวไนน์มาครอบครอง เป็นเรื่องที่คนทั้งบ้านเห็นกันจนชิน
“พอแล้ว... พอกันได้แล้ว! จะพอหรือยัง!! จะพอกันยัง!!!” ระดับเสียงที่ค่อยไล่ระดับความเข้มขึ้นมาจนถึงจุดสูงสุด “มารวมตัวกันทำไม” เขาหรี่ตามองพี่แต่ละคน กระเตงนานะกับโฟร์ที่กอดแขนคนละข้างลงนั่งที่โซฟายาวที่ว่างอยู่
หนึ่งเริ่มพูดก่อนคนแรกด้วยน้ำเสียงน้อยใจ “ได้ข่าวว่าคนเก่งจะพาใครบางคนมากินข้าวที่บ้าน พี่เลยต้องมาดูให้เห็นกับตาตัวเอง ตอนนี้รู้สึกปวดใจเหมือนมีคนเอามีดมากีดที่หน้าอก” ยกมือกำด้ามมืดอากาศกรีดไปที่อกข้างซ้าย ทาซอทและฮาจิ ทำท่าหยิบผ้าอากาศมาซับน้ำตาให้พี่ชายคนโต
“...” ส่วนที่เหลือทำท่าร้องไห้กันหมด
“โกรธไนน์ไหมครับที่พามา?” เขาถามพี่ด้วยเสียงที่เรียบนิ่ง ไม่สนใจท่าทางการละครของแต่ละคน
ทุกคนหยุดชะงักกับท่าทีที่เล่นกัน โฟร์พูดขึ้นมากับมือที่ลูบหัวไนน์ “ไม่มีใครโกรธไนน์หรอกค่ะ ทุกคนตรงนี้รักและห่วงไนน์ รวมถึงหวงด้วย แต่ถ้าเขาคนนั้นรักไนน์ดูแลไนน์ได้ดีเท่ากับพวกพี่ก็พอจะรับได้อยู่” ท้ายประโยคเสียงสูงไปนิดกับตาที่กลอกตาขึ้นบนกับปากที่เบะเล็กน้อย
“ก็คงต้องพิสูจน์ให้เฮียเห็นแหละ ถึงจะยอมรับได้” ทาซอทยกมือขึ้นกอดอกหลังพูดจบ
หนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำแฝงไปด้วยความห่วงใย “แค่จำไว้ว่าถ้ามันทำให้ไนน์เสียใจเมื่อไหร่ มันต้องเสียใจกว่าเราเป็นพันเท่า” ทุกคนตอบรับด้วยยกยิ้มแบบที่แฝงไปด้วยความร้ายกาจที่ซ่อนอยู่ข้างใน
ภายในห้องทำงานเจ้าสัวชัช
คล้อยหลังหลานชายสุดที่รักออกไป บรรยากาศที่อบอุ่นเหมือนกับแสงแดดในฤดูหนาวได้สิ้นสุดลงฉับพลัน โยกย้ายจากกลางวันเป็นกลางคืนที่หนาวเหน็บ ห้องทำงานนี้ซันรู้สึกว่าเขาเหมือนนั่งอยู่ในห้องสอบสวนที่มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่กำลังสอบปากคำอยู่น้ำเสียงที่เรียบนิ่งราวกับน้ำใบบ่อ หากใครสักคนโยนหินลงไปคงก่อคลื่นขนาดใหญ่ได้เลย ท่าทางของเจ้าสัวคือแบบนั้น
“เข้าเรื่องเลยละกัน เรื่องของเรากับหลานฉันก็พอจะรับรู้มาบ้าง”
ภายในใจซันคือว่าคำว่า พอรับรู้มาบ้าง บ้างขนาดไหนครับแต่ผมว่าสืบลึกว่าเสาเข็มคอนโดสักทีแน่
“ที่ให้มาในวันนี้ฉันแค่อยากให้แน่ใจว่าคุณจะดูแลดวงใจของศิริกิจวัชรโชติได้ยังไง” ชายชราจ้องหน้าเขาด้วยแววตาที่ดุดัน น้ำเสียงที่ดูเหมือนพูดน้ำนิ่งที่แฝงไปด้วยหวงแหนอย่างทที่สุด
“ผมยอมรับว่าผมไม่สามารถดูแลเรื่องความปลอดภัยได้ดีกว่าคนของที่นี่ เพราะทีนี่มีทั้งอำนาจและความสามารถมากกว่าผม แต่สิ่งที่ผมจะให้ไนน์ได้ความจริงจังและความรักที่ไม่น้อยกว่าใครในที่นี้”
น้ำเสียงที่มั่นคงและแววตาที่จ้องมองไปยังชายที่กำลังทดสอบเขาอยู่ เขาเงียบไปชั่วขณะก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่มีความสุข
“ผมเฝ้ารอไนน์มานานมากพอแล้ว กว่าผมจะได้ไนน์มาอยู่ในอ้อมกอด ผมจะไม่มีวันทำให้ไนน์เสียใจ แต่ในอนาคตผมไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น วันที่ไนน์เสียใจคือวันที่ผมเสียใจยิ่งกว่าเพราะผมไม่ใช่มนุษย์ที่เพอร์เฟคร้อยเปอร์เซ็นต์ที่จะไม่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้ เมื่อผมเลือกที่จะรักไนน์อย่างสุดหัวใจ ผมต้องการให้ไนน์มีความสุขที่สุดในชีวิตครับ”
“...”
“ผมจะขออนุญาตเจ้าสัวให้ผมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของไนน์ครับ ผมจะทำให้ไนน์มีรอยยิ้มในทุกๆ วัน”
“อยากที่เคยพูดไป เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับไนน์เท่านั้น แต่ที่จะบอกไว้เรื่องหนึ่งคือ ไนน์ฉันเลี้ยงมากับมือ ถ้าวันไหนแกทำลายหัวใจดวงนี้ อย่าว่าแต่แก รวมถึงทุกอย่างที่แกมีฉันย่อมทำให้มันย่อยยับไปในพริบตา”
“ขอบคุณครับ” ซันยกมือไหว้อย่างดีใจ ถึงแม้จะไม่หลุดคำว่าอนุญาตออกมาจากปากแต่บอกว่าขึ้นอยู่กับไนน์แค่นั้นคือว่าอนุญาตแล้ว
“ออกไปได้แล้ว จะดีใจอะไรนักหนายังไม่อนุญาตสักหน่อย” เจ้าสัวชักสีหน้าหงุดหงิดโบกมือไล่เขาออกมา
ประตูห้องทำงานเปิดออกมาอีกรอบ ไนน์เด้งตัวขึ้นวิ่งไปรับคนที่เดินออกมาอย่างเร็ว เขาอยากรู้ว่าปู่จะคุยอะไรกับคนรักของเขา แต่มีเสียงดังลอกมาจากข้างใน
“ไนน์เข้ามาหาแป๊บนึง” เสียงเรียกที่อบอุ่นดังมา
“ครับ” เขาขานรับและเดินเข้าไปพร้อมกับปิดประตูตามด้วย
เขาเดินลงไปนั่งในเก้าอี้ตัวเดิมก่อนหน้านี้ “ครับปู่”
ชายชราทอดสายตามองไปยังคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า นึกถึงวันที่เด็กชายตัวน้อยถูกอุ้มวางบนเก้าอี้จนถึงวันนี้ที่ตัวโตขึ้น แต่สำหรับตัวเขาแล้วยังมองเห็นเด็กชายคนนั้นซ้อนทับอยู่เลย
ชายสูงวัยยกยิ้มอย่างเอ็นดู “ไม่อยากรู้เหรอว่าปู่คุยอะไร ขู่อะไรมากกว่าใช่ไหม”
“อ้า...” เขาร้องออกแบบว่าถูกจับได้ สำหรับคนอย่างปู่หรือเจ้าสัวชัชที่หลายคนเรียกขาน ราวกับว่าสามารถมานั่งอ่านใจใครหลายคนได้ “โดยจับได้ซะงั้น ปู่โกรธไนน์ไหมที่ชอบผู้ชายด้วยกัน” สำหรับไนน์ปู่คือคนที่เลี้ยงเขามาเปรียบเสมือนพ่อคนหนึ่ง การที่รักชอบพอผู้ชายด้วยกันอาจจะทำให้คนที่เปรียบเสมือนพ่อนั้นผิดหวังก็ได้
ปู่เขาส่ายหัว “ไม่เลย ปู่แค่คิดว่าการที่เราได้อยู่กับคนที่เรารักมันดีแค่ไหน เพศสภาพไหนไม่สำคัญแค่หลานปู่มีความสุขก็พอ ที่ถามว่าโกรธไหมเรากำลังคิดมากเรื่องทายาทใช่ไหม”
“!!!” เดาถูกอีกแหละ
“วันก่อนพ่อกับแม่เจ้าหนึ่งโทรมาบ่นเรื่องว่ามันจะไปจ้างคนอุ้มบุญที่เมกาอยู่นะ”
ปู่เขาลุกขึ้น “ไปข้างนอกกันคนอื่นรอเราสองคนอยู่ แต่กว่าจะถึงวันนั้น” ปู่เขายกยิ้มที่มุมปาก “คนนั้นต้องทำให้ปู่แน่ใจก่อนว่าจะทำให้เรายิ้มอย่างมีความสุขตลอดไป”
“ว่าแต่เรานะ แน่ใจแล้วเหรอว่าเป็นคนนี้” ปูถามเข้าขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะออกจากห้อง
“ครับ แน่ใจแล้วครับ”
ภายในห้องที่ปราศจากไนน์
“เฮ้ย! มึงนะ” ยอซอทเรียกพร้อมพยักหน้าใส่ ด้วยสีหน้าที่กวนบาทาที่สุด หากทำแบบนี้ในผับที่ไหนสักทีคงโดนไปแล้ว อ๋อลืมไปแฝดเกาก็ทำท่าทางแบบนี้อยู่บ่อย แต่ด้วยความเป็นมาเฟียตระกูลเลยไม่มีใครลากพวกเขาไปกระทืบ “พวกก..พวกทั้งหมดนี้อยากดูความสามารถของ ของมึงน่ะว่าดูแลน้องพวกกูได้ไหม” เขาหันนิ้วมือและขยับไหลแบบพร้อมขึ้นชกแบบนักมวย
และทาซอทที่เป็นแฝดพี่พูดต่อ “ไม่ได้วัดผลแพ้ชนะ แต่ดูสภาพยังไงก็แพ้” เขามองด้วยสายตาที่เหยียดจากหัวจรดเท้า “แค่ลองประเมินก็พอมั่งพวกมึง” ทาซอทหันไปถามบรรดาพี่น้อง
โพร์ที่มาสภาพพร้อมออกกำลังกายยืดตัวขึ้นถาม “แล้วใคร?”
“กู กู กู กู กู” ฮาจิ/ทู/ทรัว/ทาซอท/ยอซอท ต่างพากันประสานเสียงออกมา
หนึ่ง “พวกมึงหยุด! ในฐานะที่กูเป็นพี่คนโตเรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่กู”
“พวกมึงหยุดกันทุกคน กูเอง” นานะที่นิ่งเงียบมานานในที่สุดก็อดทนต่อบรรดาพี่ไม่ไหว “ระดับกูคงประเมินได้ที่สุดมั่ง ใครมีปัญหาวัดกับกูก่อนก็ได้นะ” ไล่สายตามองไปยังทุกคนพร้อมยักคิ้วให้หนึ่งที
โฟร์ “เอาตามนานะว่าแล้วกัน จบเร็วดีห้านาทีพอไหม”
แล้วทุกคนที่อยู่ตรงนั้นลุกขึ้นพร้อมและเริ่มทยอยเดินออกไปเป็นกลุ่มก้อน และนานะเป็นคนหันมาบอกซัน “อ้าวลุกตามมาดิ”
“...” เขาลุกเดินตามไปอย่างไม่มีทางเลือก ในใจก็บ่นไม่ถามผมสักคำเลยนะครับ ตัดสินใจกันเอาเองแล้วผมมีทางเลือกไหมครับ
“พี่หนึ่ง!!” เสียงหนุ่มน้อยตัวเล็กที่ตะโกนเรียกจากบันได
“ขา...น้องวีตื่นแล้วเหรอคะ” เสียงหวานทักทายคนรักของพี่ชายคนโต คนอื่นได้เบะปากและกลอกตาด้วยความเลี่ยน
“ตื่นแล้วครับ นี่จะไปไหนกันครับ อ่ะ! พี่ซันสวัสดีครับ” วียกมือไหว้คนที่แขก เมื่อก่อนเขาก็ยกมือไหว้บรรดาพี่ของเพื่อนสนิทอย่างไนน์ แต่นั่นก็ช่วงปีแรกที่เข้ามาบ้านหลังนี้ หลังจากนั้นพี่ๆ ก็บอกว่าไม่ต้องไหว้ให้ทำตัวเหมือนน้องชายคนหนึ่งก็พอ ไนน์ทำแบบไหนวีก็ทำแบบไนน์ได้เลย
“ยิมค่ะ หนูไปด้วยไหมคะ”
“...” วีส่ายหัว
“งั้นหนูรออยู่นี่นะคะ พี่ไปไม่นานหรอกค่ะ เดี๋ยวก็มาแล้ว ไปนะคะ” ตอนนี้เหลือเพียงหนึ่งคนเดียวที่ยืนร่ำลาคนรักอยู่ที่เหลือเดินนำหน้าไปไกลโขแล้ว
ประตูห้องทำงานของประมุขของบ้านเปิดออกมา ไนน์และปู่ที่เดินมาควบคู่กัน ทั้งคู่มองหากลุ่มคนที่สลายตัวไปกันหมดรวมทั้งแขกที่มาด้วย เหลือเพียงเพื่อนสนิทหรือหลานสะใภ้คนโตที่นั่งอยู่เพียงคนเดียว
“ปู่สวัสดีครับ ไนน์มาแล้วเหรอ” ประโยคแรกทักทายและยกมือไหว้คนที่อาวุโส ส่วนประโยคหลังทักทายเพื่อนสนิท
“สวัสดีลูก” ทั้งสองก้าวขาเข้าไปนั่งที่โซฟา
“เมื่อคืนนอนนี่เหรอ” ไนน์ที่หย่อนตัวลงข้างเพื่อน พร้อมดึงคอเสื้อแหวกดูสภาพ “ตัวลายเป็นตุ๊กแกเลยว่ะ”
“ยุ่ง” วีรีบดึงคอเสื้อกลับมา “ไม่ไปที่ยิมเหรอ?”
“ยิม?”
“ก็เห็นทุกคนพากันไปที่ยิมรวมถึงพี่ซันด้วย” วีหันมาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นตกใจเมื่อไนน์ร้องสวนกลับมา
“หา..”
ขาก้าวสับวิ่งตรงไปยังส่วนของยิมที่อยู่ถัดไปทางข้างหลังบ้าน คนงานและคนรับใช้ต่างพากันมองที่เจ้านายคนเล็กของบ้านวิ่งหน้าตาตื่น และยังมีอีกสองคนที่เดินตามมา หนึ่งคนประมุขของบ้านและอีกคนหลานสะใภ้คนโต ทุกคนเลิกลักก่อนจะโค้งคำนับประมุขของบ้าน
ส่วนคนที่วิ่งนำไปนั้นเปิดประตูดังปัง เรียกทุกคนที่อยู่ตรงนั้นให้หันมามองคนเข้ามาเพิ่มด้วยสายตาเดียวกัน สิ่งที่ไนน์มองเห็นคือ นานะที่สาวคนเล็กที่อายุมากกว่าเขาแค่ปีเดียวแต่งตัวด้วยชุดเสื้อกล้ามกับกางเกงวอมยืนอยู่บนลานซ้อมที่เบาะวางอยู่บนพื้น ส่วนอีกคนที่ถอดชุดออกเสื้อเพียงเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น ดูแล้วน่าจะมีใครให้ยืมมาใส่ รอบข้างเต็มไปด้วยหน่วยบอดี้การ์ดที่ไม่ได้ทำหน้ามาออกกำลังกาย รวมถึงบอดี้การ์ดของเขาที่ยืนอยู่อีกฝั่งแค่สองคน อ่านจากภาพน่าจะโดนแบ่งฝ่ายรับพนันกันเรียบร้อยแล้ว
“ทำอะไร!!” ไนน์เดินเข้ามาถามด้วยเสียงกดต่ำของไปยังพี่เขา รวมถึงคนที่อยู่กลางเบาะ
“เปล่า....” เปล่าที่เสียงสูงพอสมควรมาจากนานะ เขาก็พอจะรู้แหละว่าทำอะไร เผลอเป็นไม่ได้เลย
“...” ไนน์เอียงคอไปถามคนของเขา
ซั นยิ้มแห้งตอบกลับมา “แค่ชวนกันมาออกกำลังกายครับ” เขาตอบกลับ อ่านจากสีหน้าแล้วไนน์พอจะเดาออก แค่แถเอาพอประมาณไม่ให้น่าเกลียดพอแล้ว
“ไม่ต้องออกแล้วกำลังกาย ไปอาบน้ำล้างตัวเตรียมกินข้าวกันเถอะ” เสียงที่ดังมาจากทางด้านหลังช่วยสงบศึกของบ้านจากปู่ของพวกเขานั้นเอง “ป่ะซันไปกับปู่ พาปู่ไปกินข้าวที”
นี่คือเสียงที่ประโยคที่เด็ดขาดที่สุดในวันนี้ คือการประกาศยอมรับคนรักของน้องชายเข้ามาอยู่ภายในครอบครัวศิริกิจวัชรโชติโดยคนที่มีอำนาจที่สุด
TBC…
Comments (0)