12 ตอน Chapter 11
โดย T.mines
Chapter11
Number nine My Sun
หมายเลขเก้าของดวงตะวัน
#IXMYSUN
เสียงฝีเท้าที่วิ่งดังตึงตังตรงมายังหน้าห้องไอซียูของโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ ใบหน้าสีซีดปนด้วยความกังวลหยุดลงตรงหน้าชายสูงวัยอายุราว 50 ปี สีหน้ากังวลไม่ต่างกันมาก
“คุณธานินปู่เป็นไงมั่งครับ” เสียงสั่นเครือจนแทบจะไม่เป็นคำ น้ำตาคลอเบ้าอยู่ตลอด
“เจ้าสัวอยู่ข้างในครับ คุณหมอเข้าไปดูอาการยังไม่ออกมาเลยครับ” ทั้งสองหันไปดูยังประตูห้องด้านหน้า
ซันเดินขึ้นมาพร้อมกับยื่นน้ำดื่มให้ และนั่งข้างๆ ไนน์ที่นั่งเขย่าขา ก้มหน้าลงบีบมือตัวเองแน่น เขาเอื้อมมือไปกุมมือคนน้องไว้ พูดด้วยเสียงที่เบาแต่หนักแน่น พี่อยู่ตรงนี้นะครับ สิบนาทีที่ผ่านไปมันดูเนิ่นนานแทบจะกลายเป็นปี เขาได้แต่นั่งภาวนาให้มีหมอสักคนเดินออกมา แม้แต่พยาบาลก็ได้ช่วยมาบอกอะไรสักอย่าง เขาไม่ชอบแบบนี้เลยที่ต้องทนรอด้วยความกลัว ความกังวล
“คุณธานิน คุณพ่อเป็นไงมั่ง” ไนน์เงยหน้าขึ้นมาดู จากน้ำเสียงที่คุ้นเคย ลุงมังกรที่มาพร้อมกับป้าดาหลาเดินไปสอบถามอาการกับเลขาคนสนิทของพ่อเขา
“จู่ๆ อาการก็กำเริบครับ หมอประจักษ์เข้าไปดูอาการอยู่ครับ” เสียงพูดคุยที่เบาแต่ทุกคำเขาได้ยินชัดเจนทุกคน
“ทำไมกำเริบได้ คุณพ่อไม่ได้ทานยาเหรอ” คำถามที่ไปยังเลขา
“ผมไม่แน่ใจครับ ปกติคุณเบญจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้ครับ” ธานินตอบคำถามเสร็จก้มหน้าลงลุแก่โทษ
ปึก กำปั้นใหญ่ทุบลงเข้าที่กำแพง “ให้มันได้อย่างนี้สิ ไม่ได้เรื่องสักคน” เสียงแหบห้ามด้วยความโกรธ
คนที่ภรรยาลูบเข้าไปที่ต้นแขนผู้เป็นสามี “คุณค่ะใจเย็นก่อน”
เสียงดังอึกกระทึกของรองเท้าส้นสูงกับรองเท้าผ้าใบหลายคู่เข้ามายืนรวมตัวกันอยู่หน้าห้อง หลานทั้งหมดห้าคนหนึ่ง นานะ โฟร์และฝาแฝด เสียงพูดคุยกับด้วยความตึงเครียด หลานคนเล็กของบ้านที่นั่งหลบมุมอยู่ เงยหน้าเอียงหูฟังทุกคำพูดที่ทุกคนกำลังพูดคุยโดยไม่มีใครสังเกตว่ามีคนสองคนที่ไม่ได้รับการสนใจร่วมอยู่ด้วย
“ลุงค่ะ ปู่เป็นไง คุณพ่อกำลังจะมาค่ะ” นานะรีบพูด ส่วนฝาแฝดยืนเตะบ่าคนน้องอยู่
“ทำไมไม่มีใครดูปู่เหรอว่ะ ทำอะไรกันอยู่!!” หลานคนโตของบ้านโวยวายใส่คนที่ยืนอยู่รอบข้าง
“หนึ่งมึงจะโวยวายทำไม นี่โรงพยาบาลนะมึงเกรงใจคนอื่นบ้าง” โฟร์เดินไปบอกคนพี่
คนที่อยู่นอกบทสนาอย่างเขา ความโกรธเริ่มเข้าครอบงำ มือที่กำแน่นเรื่อยๆ จนเล็บจิกเข้าไปที่ฝ่ามือเป็นรอบทั้งสี่เล็บแล้ว กัดกรามแน่นข่มตัวเองไม่ให้โวยวาย ...นี่เขาไม่รู้อะไรเลยเหรอทุกคนรู้หมดว่าปู่ป่วยแต่ไม่มีใครบอกเขา เห็นเขาเป็นตัวอะไร ยังเป็นคนในครอบครัวนี้อยู่ไหม... น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว ปากบางเม้มกลั้นเสียงไม่ให้มันเล็ดลอดออกมา
“ทุกคนรู้เรื่องที่ปู่ป่วยกันหมดเหรอครับ?” น้ำเสียงแผ่วเบาเรียบนิ่งดังมามุมที่ทุกคนมองผ่านไป
น้ำเสียงของน้องรักและหลานรักที่จดจำได้ เรียกให้หันไปมองยังต้นเสียง “ไนน์..” เสียงร้องเรียกเบาบ้าง เสียงตกใจบ้างดังออกมาแทบจะพร้อมกัน
“ไนน์หนูมาอยู่ตรงนั้นได้ไงลูก?” หญิงวัยกลางคนดาหลาถามออกมาด้วยสีหน้าตกใจ
เขามองไปยังทุกคนด้วยสีหน้าเสียใจ หัวเราะในความสมเพชตัวเอง “ทำไมทำหน้าตกใจแบบนั้นล่ะครับ ไนน์ไม่ควรอยู่ตรงนี้เหรอครับ” เขาเว้นจังหวะก่อนจะพูดต่อ “งั้นขอไนน์อยู่ต่อจนกว่าปู่ปลอดภัย แล้วไนน์จะออกไปเองครับ” เขาไม่เคยรู้สึกเสียใจแบบนี้มาก่อน ปู่คือคนสำคัญที่สุดในชีวิตเขาแต่ทุกคนกลับทำแบบนี้กับเขา
“ไม่ใช่แบบนั้นนะลูก” คนเป็นป้ารีบก้าวมาหาหลานรักจับมือขึ้นมา “ป้าไม่ได้หมายความแบบนั้น ไนน์อยู่ได้นั่นคือปู่ของหลาน”
“นานแค่ไหนแล้วครับ?” เขาไม่ถามได้ถามป้า แต่กลับมองไปยังลุงที่ยืนห่างไป
“ตั้งแต่เราย้ายไปอยู่เชียงใหม่กับลุง”
“ครับ” เขาตอบรับเพียงคำเดียวและค่อยหลับตาลง ยกมือเช็ดน้ำตาและนั่งมองไปข้างหน้าอย่างนิ่ง
“ไนน์...” ผู้พี่ที่อยู่รวมตรงหน้าพยายามจะเดินเข้ามาหา แต่พอเห็นสีหน้าน้องพวกเขาได้แค่มองเท่านั้น
เสียงประตูห้องไอซียูเปิดออกด้วยหมอเจ้าของไข้พร้อมกับไฟที่หน้าห้องเปลี่ยนเป็นสีเขียว บอกถึงสภาวะของคนไข้ที่พ้นขีดอันตรายแล้วอยู่ในระดับปลอดภัย
“หมอครับ คุณพ่อผมเป็นไงบ้าง” ลูกชายคนโตรีบถามถึงอาการของผู้เป็นพ่อกับหมอ ไนน์กับซันที่นั่งอยู่ไกลลุกขึ้นมาฟังคำตอบของหมอด้วย
“ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ แต่ยังคงต้องอยู่ในการดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ไปก่อนนะครับ”
ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก “ขอบคุณมากนะครับหมอ”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับไปดูคนไข้ต่อนะครับ” คุณหมอเดินกลับเข้าไปยังในห้องอีกรอบ
คนสองคนที่ยืนกุมมือกันอยู่หันมายิ้มให้กันด้วยความโล่งอก ซันคว้าคนคนน้องที่ยืนร้องไห้กดลงซบลงบนบ่าเขา ลูบหัวเบาปลอบใจ
“ปู่เราปลอดภัยแล้วนะ ไม่ต้องร้องแล้วครับคนเก่ง” น้ำเสียงทุ้มลึก อ่อนโยน ช่วยปลอบประโลมคนในอ้อมกอด
“อื้อ...” คนน้องแอบอิงซบลงบ่าพลางสูดขี้มูกเล็กน้อย
“หนึ่ง ปู่เป็นไงมั่ง สวัสดีครับลุง” ทูที่เดินเข้าถามพี่ชายพร้อมกับยกมือไหว้ลุงคนโตของบ้าน
“พ่อเป็นมั่งเฮีย รีบมาที่สุดแล้ว สิงห์กับหมิงเฟยอยู่มาเก๊า โทรไปบอกหรือยัง?” กิเลสที่มาพร้อมดวงดาวผู้เป็นภรรยาเดินเข้ามาคุย และตามสมทบด้วยน้องชายคนที่สามอย่างพยัคฆ์และภรรยาญาริน
“พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ต้องอยู่ในการดูแลของหมอไปก่อน”
“เฮ้ย...โล่งอกไปที” กิเลส
“คุณพระคุณเจ้าคุ้มครอง” ดวงดาว
“เฮ้ย...หายห่วงสักที” พยัคฆ์
“ไนน์...!!!” ญารินหันไปหลานชายที่กำลังมองพวกเขาอยู่
“เอ่อ...สวัสดีครับ” ไนน์เองก็ไม่รู้ตัวว่าจะพูดอะไรในสถานการณ์อย่างนี้ ได้แต่ยกมือไหว้ญาติผู้ใหญ่ที่ยืนอยู่
แต่คนพี่อย่างทูที่ใจร้อนเกินคนอื่น ตรงไปคว้าตัวน้องชายสุดที่รักออกจากการกอดของแฟนหนุ่มของเขา เขาโมโหจนไม่ได้อ่านบรรยากาศรอบข้างเลย ว่าทำไมคนอื่นถึงไม่กล้าเข้ามาขวางคนอย่างซันไว้
“พวกมึงไม่ดูไนน์เลย ปล่อยให้แม่งกอดที่รักกูอยู่ได้” น้ำเสียงที่ตวาดใส่คนอื่น ส่วนไนน์ที่ไม่ระวังตัวเซไปปะทะอกของทูตกอยู่ในอ้อมกอด
พอตั้งตัวได้คนน้องดันตัวออกมาทันที ตวัดสายตาไม่พอใจและก้าวไปยืนข้างซันทันที ตอนนี้เหมือนมีเส้นสีแดงแบ่งเขตระหว่างเขาสองคนกับคนอื่นตรงหน้าห้อง
“มึงมานี่เลย” ทาซอลและยอซอลเข้าไปกอดคอและเอามือปิดปากพี่ชายคนที่สองก่อนจะพูดมาและโวยวายออกมา
“อวกอึงอ่อยอูนะ อูอะอักอัง” (พวกมึงปล่อยกูนะ กูจะอัดมัน) เสียงโวยวายที่อู้อี้ของทูโดนลากออกไปจากตรงนั้น
“ไนน์ขอตัวก่อนนะครับ” เขาเลือกทำลายความเงียบ เขาไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้มันกระอักกะอวน จะโกรธก็โกรธไม่เต็มที่เพราะใจลึกเขารู้ดีว่าทำไปทำไม
“ไนน์จะกลับมาฟังพวกลุงกับป้าอธิบายไหมลูก ลุงจะรอนะ” น้ำเสียงที่อ่อนโยนส่งไปยังหลานรัก
“งั้นผมขอถามคำถามเดียวนะครับ เป็นคำสั่งจากปู่ใช่ไหมครับ” เขาส่งสายตาอย่างคาดหวังขอให้มันเป็นแบบนั้น เขาจะได้รู้สึกว่าเขายังคนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวอยู่ แต่ถ้าไม่ใช่เขาคงใจสลาย
“...” ทุกคนเลือกที่เงียบ หันมองหน้ากันก่อนจะค่อยๆพยักหน้าตอบรับ “แต่พวกลุงกับป้าก็ผิดแหละ ทั้งๆ ที่มีโอกาสจะบอกตั้งหลานรอบแต่ก็เลือกที่จะไม่บอก ลุงกับป้าขอโทษไนน์ด้วยนะลูก” มังกรกล่าวคำขอโทษมายังหลานรัก
เขายิ้มตอบไปยังญาติผู้ใหญ่ตรงหน้าและยกมือไหว้ “ไนน์ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะครับ ลุงมังกรกับป้าดาหลาที่ผมเสียมารยาทด้วยนะครับ พวกเฮียกับเจ๊ด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรลูก ไม่มีใครผิดทั้งนั้นแหละ เราทุกคนต่างหวังดีซึ่งกันและกัน ลุงและป้ารวมทั้งพี่ทุกคนรักเราที่สุดนะ” คนเป็นป้าทั้งสามเดินเข้ามาลูบหัวหลานคนเล็ก
“ครับ” ไนน์กลั้นน้ำตาและสูดน้ำมูกไม่ไหลออกมา “งั้นไนน์ขอตัวไปเอาเสื้อผ้ามานอนเฝ้าปู่ที่นี่นะครับ”
“ป่ะลูก ตามใจเราเลย” กิเลสตบที่บ่าหลาน และหันไปมองหน้าซัน “ฝากด้วยนะ เราซันใช่ไหม”
“ครับ?” ซันตอบรับด้วยน้ำเสียงงุนงง แต่สายตาที่คนเป็นลุงส่งมาให้มันไม่ใช่สายตาที่เอ็นดูแต่เป็นสายตาที่บ่งบอกว่าฉันรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวแกทั้งหมดแล้ว ซันกลืนน้ำลายอึกเหนียวข้นลงคออึกใหญ่ “ผมจะดูแลน้องอย่างดีเลยครับ”
“...” คนพี่ที่เหลือทำหน้ากับขยับปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่โดนสายตาของลุงสิงห์ที่บอกว่า ปล่อยไปก่อนส่งมาให้ ถึงยอมลงแต่โดยดี
หลังจากออกจากโรงพยาบาลกลับมาถึงห้องเขาขอตัวมาอาบน้ำและจัดแจงเสื้อผ้าเล็กน้อย ซองบุหรี่ ไฟแซค บุหรี่ไฟฟ้าอีหลายแท่งวางกองอยู่ตรงมุมหลังห้อง เขาเลือกหยิบบุหรี่ไฟฟ้ากลิ่นแอปเปิลเขียวเปิดประตูเดินนั่งลงเก้าอี้หวายสานเอนตัวพิงหัวพาดที่พนักเก้าอี้ ระเบียงห้องตกแต่งด้วยกระถางดอกไม้ที่เขานำมาจากบ้านลุงกับป้าที่เชียงใหม่ครั้งที่ย้ายกลับมาตอนเรียนมหา’ลัย บางต้นตายไปถูกนำมาเปลี่ยนใหม่ ตรงนี้จะพื้นที่ส่วนตัวที่สุดไม่มีใครเข้ามาได้หากเข้ามาต้องผ่านห้องนอนของเขา ระบบรดน้ำอัตโนมัติถูกติดตั้งไว้เพื่อไม่ให้มันตายเพราะเขาคงไม่มีเวลารดน้ำตลอดเวลา
ควันสีขาวพร้อมกับกลิ่นจางของแอปเปิลลอยฟรุ้งในอากาศ ความรู้สึกโกรธตัวเองขึ้นมา เขาปล่อยเวลาเสียเปล่าไปเกือบสองปี ถ้าหากรู้ว่าปู่ป่วยไม่แข็งแรงเขาคงไม่เที่ยวเล่นทำตัวตามใจแบบนี้ มัวแต่จมอยู่กับความสนุกสนานในสิ่งที่ตัวเองชอบ ลืมมองหรือสังเกตคนรอบข้าง ยิ่งคนที่เขารักที่สุดอย่างปู่ทำไมเขามองไม่เห็นอาการไม่เคยเห็นแม้แต่นิดเลยเหรอ ขอเพียงใครบางคนบอกเขาสักนิดเขาจะเลิกทำตามใจตัวเอง หันมาทำงานช่วยทันทีที่เรียนจบ ไม่อีกอย่างเลิกจะเรียนต่อและกลับมาทำแทนอย่างเต็มที่
ทำไม ทำไม ทำไม คำถามนี้ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ ใช่เขาคือคนที่ไม่เคยได้รับการคาดหวังในการงาน ทุกคนอยากให้เขาทำในสิ่งที่ชอบ แต่ใครจะรู้บ้างไหมว่าไนน์เนี่ยอยากให้ทุกคนคาดหวังในตัวเขาบ้าง เขาอยากทำให้ทุกคนภูมิใจยินดีในความสำเร็จ ชื่นชมในสิ่งที่ทุกคนหวังไว้ หรือบางครั้งดุด่าในสิ่งที่เขาทำไม่สำเร็จ ทำโทษในสิ่งที่ผิดพลาด ในช่วงเวลาเยาว์วัยเวลาที่เขาทำผิดชกต่อยกับคนอื่น ไร้การทำโทษเพื่อแค่บอกว่าอย่างทำอีกหละ แต่คนที่โดนหนักคือบรรดาพี่ๆ เขา ผลคือทำไมไม่ดูน้องปล่อยให้น้องมีเรื่องได้ไง แต่ก็ไม่เคยโกรธหรือพาลใส่เขาเลย เพียงแค่รู้ว่าพวกพี่รักเขาและยอมเจ็บตัวมากกว่าให้น้องเจ็บ เพราะฉะนั้นใครที่มีปัญหากับเขาจะโดนจัดการก่อนจะมาถึงตัว มันเลยกลายเป็นว่าตัดเรื่องวุ่นวายออกไปจากตัวเพราะไม่อยากให้พี่ๆ มาเจ็บตัวเพราะเขา จนมันฝังลึกจนเป็นนิสัยปัดทุกอย่างออกไปจากตัวทำในสิ่งที่ชอบมาตลอด เรื่องอะไรที่จะวุ่นวายในชีวิตหรือจะก่อให้เกิดปัญหาเขามักจะหลีกเลี่ยงโดยปริยาย
“ทำไมว่ะ ทำไมไม่บอกกัน ไอ้ไนน์คนนี้มันอ่อนแอจนคนอื่นเลือกจะพึ่งไม่ได้เลยเหรอว่ะ” เสียงสบทด้วยน้ำเสียงโกรธปนความน้อยใจ
“ไนน์...” ซันที่เห็นว่าคนน้องหายไปนานจึงเดินขึ้นมาตาม เข้ามาให้ห้องเห็นว่าอยู่ในห้อง แต่พอได้ยินเสียงตะโกนเขารีบเปิดประตูมาดูทันที
“พี่ซัน ไนน์มันดูไม่เอาไหนมาเลยเหรอครับ ปู่จึงไม่ยอมบอกเรื่องนี้?”
“พี่คงตอบอะไรเราไม่ได้นะครับ รอปู่เรามาตอบคำถามนี้ดีกว่า แต่ถ้าให้พี่ตอบแทนพี่บอกได้ว่าอย่างเดียวพวกท่านห่วงความรู้สึกเรามากกว่า” ซันนิ่งเงียบไปสักพัก “พี่ว่าเราคงต้องรอปู่เราตอบตอบคำถามนี้นะ อีกสักก็ได้คำตอบแล้วนะครับ”
“พี่ซัน! ไนน์มัวแต่ยุ่งกับเรื่องปู่ ผมลืมลางาน”
“พี่จัดการให้หมดแล้วครับ ตอนที่พี่ลงไปซื้อน้ำมาให้เราพี่โทรไปบอกฝ่ายบุคคลให้แล้ว ไม่ต้องห่วงแต่ถ้าจะลาเพิ่มก็โทรไปแจ้งอีกทีแล้วกัน” คนพี่เดินมานั่งลงข้างๆ แย่งบุหรี่ไฟฟ้าในมือไปสูบ รสสัมผัสคล้ายจูบน้องทางอ้อม
“ผมจะลาออกครับพี่ซัน” น้ำเสียงเรียบนิ่ง สายตาทอดมองไปข้างหน้าคล้ายครุ่นคิดอะไรในหัว
“อืม” คำตอบรับสั้นๆ
ร่างโปร่งตัดสินใจจะเข้าไปทำงานแทนปู่เต็มตัว เขาต้องแบ่งเบาภาระช่วยงานปู่ จะมัวแต่เที่ยว ทำอะไรตามความชอบแบบเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว มันคือหน้าที่ต้องรับผิดชอบเขาหนีมันมานานเกินไป ทั้งที่ควรจะเข้าไปทำตั้งแต่เรียนจบยังช้าไปด้วยซ้ำ คอยเอาแต่ถาม ปู่ว่าเหนื่อยไหม ให้ไนน์เข้าไปช่วยหรือยัง แต่ไม่เคยคิดที่เข้าไปทำอย่างจริงจังอย่างที่บอกพูด คิดว่าขอทำงานที่รักก่อนเล่นสนุกก่อน เพียงรับรู้ว่าทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้แค่นั้น รอแค่ให้เขาไปทำแค่นั้น
“พี่ซันครับ ไนน์จะเข้าไปทำงานแทนปู่ทุกอย่าง ต่อไปนี้คงไม่ได้มาเล่นสนุก ถึงเวลาที่คนอย่างผมจะโต เลิกทำตามตัวเอง” คนน้องหันไปสบตาคนผู้พี่
“...” คนพี่ไม่ตอบอะไร เพียงแค่ยิ้มให้กำลังกอบกุมมือให้กำลังใจ
ทั้งสองเดินลงมายังชั้นล่าง พบคีนที่นั่งรอพร้อมกับบอดี้การ์ดอีกสองคน ที่ไนน์จะพอคุ้นหน้าอยู่บ้าง เพราะคีนเคยเอามาแนะนำแจ้งว่าจะมาอยู่ในทีมดูแลเขา และน่าจะมีมาเพิ่มอีกหลายคนถ้าในวันที่เขาเข้าไปทำงานในบริษัท การที่เขาต้องก้าวออกมายืนในที่สว่างหลังจากหลบอยู่ในเงามานาน ย่อมเป็นที่สนใจตกเป็นเป้าได้ง่ายเมื่อก่อน ธุรกิจของบ้านเขาไม่ใช่ธุรกิจที่ขาวสะอาด การที่จะถือครองที่ดินจำนวนมากๆ หลายร้อย หลายพันไร่ต้องใช้วิธีไหนบ้าง อันนี้เขาเรียนรู้มาหมด
“นี่ โต้งกับชาญ ที่ผมเคยแนะนำให้คุณไนน์มาก่อนครับ” คีนแนะนำบุคคลมาใหม่ให้เขารู้จัก “ส่วนนั่นคุณซัน คนสนิทของคุณไนน์” คีนเลือกจะแนะนำอย่างตรงไปตรงมา
“...” ไนน์และซันมองหน้าคีนและอีกสองคนในห้อง
“คุณไนน์จะไปโรงพยาบาลเลยหรือเปล่าครับ” คีน
“เดี๋ยวมาพาไปเอง” ซันบอกกับคีน
“คงไม่ได้ครับ ตอนนี้ข่าวที่เจ้าสัวเข้าโรงพยาบาล สื่อให้การสนใจและจับตาอยู่อย่างมาก ผมต้องระวังความปลอดภัยครับ” คีนบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“อืม เข้าใจล่ะ” เจ้านายอย่างไนน์พอจะมองออกว่าครั้งนี้คีนคงได้รับคำสั่งโดยตรงจากคนที่มีอำนาจตัดสินใจมากสุดในตอนนี้คือลุงมังกร “พี่ซันครับ วันนี้พี่กลับไปก่อนนะ ผมต้องไปจัดการอะไรหลายอย่าง พรุ่งนี้ผมจะเข้าไปยื่นใบลาออกค่อยเจอกันก็ได้ครับ”
“งั้นก็ได้ครับ แล้วเจอกันพรุ่งนี้ ถึงโรงพยาบาลบอกพี่ด้วยล่ะ ถ้ายุ่งส่งข้อความบอกพี่ได้นะครับ”
ไนน์เดินเข้ามายังห้องผู้ป่วยชั้นบนสุดของโรงพยาบาลห้องที่ดีที่สุด ภายในห้องมีชายผู้เป็นที่รักนอนหลับใส่หน้ากากออกซิเจนอยู่ เครื่องที่คอยวัดระดับอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ข้าง ภายในห้องที่แยกมาออกมามีบรรดาลุง ป้า และพี่ของเขานั่งกระจายอยู่เต็มห้อง บอดี้การ์ดจัดการวางสัมภาระของเขารวมทั้งเอกสาร คอมพิวเตอร์โน้ตบุค ไอเพด ลงบนโต๊ะ และเดินออกไปจากห้อง
“สวัสดีครับ มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า ทำไมหน้าเครียดกันจังเลย” หลายชายคนเล็กของบ้านเอ่ยปากถามทุกคน
“กำลังคุยกันเรื่องจัดการแถลงข่าวอาการป่วยของปู่นะ แล้วว่าจะคุยเรื่องเปิดตัวเราด้วย” ลุงมังกรตอบมา
“ครับ” เขาตอบรับแค่คำสั้น
เรื่องนี้เขาพอจะรู้เรื่องราวอยู่บ้างระหว่างที่นั่งรถมายังโรงพยาบาลเขาโทรหาเลขาส่วนตัวให้จัดการนำเอกสารที่เกี่ยวกับงานมาให้เขาที่นี่ และระหว่างนั้นเลขาเขาได้แจ้งเรื่องที่เจ้าสัวได้จัดการทำเอกสารมอบอำนาจและแต่งตั้งเขาในตำแหน่งรองประธานขึ้นมา คำสั่งออกไว้ตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว เพียงแต่ยังไม่นำมาประกาศเท่านั้น
ธานินยื่นเอกสารแต่งตั้งมาให้กับเขา “นี่ครับคุณไนน์” เขารับมาและบรรจงอ่านทุกตัวอักษรทันที
“ผู้ที่ถือหุ้นและกรรมการบริหารรับทราบหรือยังครับ” ถามพร้อมกับส่งเอกสารกลับไปยังธานิน
“ยังไม่ทราบครับ เจ้าสัวจะเอาเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นไตรมาสสามนี้ครับ จะตรงกับที่คุณไนน์จะเข้ามาทำงานพอดี ท่านเตรียมการไว้ก่อน”
“เตรียมการไว้ก่อน?” เขาขมวดคิ้วสงสัย
“ไนน์สรุปเราจะเอาไง จะให้ลุงจัดการเลยไหม” ลุงที่เงียบฟังมานานถามขึ้น “ลุงให้เราตัดสินใจ เพราะต่อไปต้องทำอะไรด้วยตัวเอง”
เขานิ่งเงียบครุ่นคิด “ผมว่าแถลงอาการป่วยของปู่อย่างเดียวพอครับ ส่วนเรื่องผมประกาศเป็นการภายในก่อน ผมยังไม่อยากให้ชีวิตวุ่นวาย ขอทำงานก่อนค่อยมาว่ากันทีหลังครับ”
“งั้นตามนั้นแหละ ธานินจัดการเรื่องนักข่าวและให้หมอประจักษ์มาเป็นคนแถลงข่าวร่วมกับเรา ได้แจ้งให้ทุกคนทราบด้วย” ลุงคนโตตัดสินและสั่งงานอย่างรวดเร็ว “ทางเราจะมีแค่ผมกับเจ้าหนึ่งจากฝั่งทางเรา มีใครจะแย้งอะไรไหม”
“...” ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
หลังจัดการเรื่องวุ่นวายหมด ทุกคนแยกย้ายไปจัดการงานในส่วนของตัวเอง แม้จะมีเรื่องมากมายแต่ธุรกิจและงานที่ต้องรับผิดชอบต้องเดินต่อ ยังมีลูกน้องอีกหลายชีวิตที่ต้องดูแลรับผิดชอบอยู่ นั่นคือหน้าที่ของผู้บริหาร และพวกพี่เขาก็ทำได้อย่างดีเยี่ยมถึงแม้บางครั้งจะแอบเอาเรื่องของน้องชายอย่างเขามาแอบอู้มาบ้างก็เถอะ
“ไนน์ให้วีอยู่เป็นเพื่อนไหม” วีเพื่อนสนิทหันมาถามระหว่างที่แฟนตัวเองเดินไปส่งญาติผู้ใหญ่รวมถึงพ่อกับแม่เจ้าตัวด้วย
“มึงกลับไปพักผ่อนเถอะ กูอยู่ได้”
“แต่...” วีมองหน้าเพื่อนด้วยสีหน้ากังวลใจ วีเองรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น และเขากลัวว่าเพื่อนคนนี้จะคิดมาก
“กูโอเค ไม่ต้องมาคิดมากแทนเลย” เขาเอื้อมมือไปขยี้หัวเพื่อนตัวเล็กของเขา “กูไม่โกรธใครแล้ว” เขาตอบและยิ้มให้เพื่อน
“ดีแล้วพี่หนึ่งกลัวมากเลยนะ ตั้งแต่ไนน์ออกไปทุกคนเอาแต่โทษตัวเอง แม้กระทั่ง... ป๊ามังกรและม๊าดาหลา...” น้ำเสียงของวีบ่งบอกถึงความลังเลที่จะเล่าให้เพื่อนตัวเอง
“อืม กูผิดด้วยแหละที่พูดตัดพ้อตัวเองต่อหน้าทุกคน เลยพลอยทำให้คิดมากกัน” เขาถอนหายใจ “เอาเถอะเรื่องนี้กูจะจัดการเอง มึงไปบอกหนึ่งตามนี้แล้วกันจะได้สบายใจกัน”
“อืม...” รอยยิ้มหวานจนตาหยี่เล็กลงจากเพื่อนสนิทจนทำให้คนใครที่ได้เห็นจะอดยิ้มตามไม่ได้
“วีครับได้เวลากลับบ้านแล้วครับ” พี่ชายคนโตของบ้านเปิดประตูมาเรียกแฟนหนุ่ม
“ครับ ไนน์กลับก่อนนะ เฝ้าปู่แต่อย่าลืมพักผ่อนด้วยนะล่ะ”
“เออ มึงไปได้แล้ว” เขาเดินไปส่งเพื่อนที่หน้าประตูตรงที่พี่ชายยืนรอยู่ “หนึ่งพรุ่งนี้จะไปลาออก มาเฝ้าปู่แทนหน่อยดิ” เขาบอกกับพี่ชายด้วยอาการกึ่งๆ ง้อไปตัวด้วย
“ได้ดิ พรุ่งนี้เฮียจะมาแต่เช้าเลย” คนที่หน้าเศร้าเมื่อกี้ สับเปลี่ยนสีหน้าอย่างเร็วกลายมาเป็นเริงร่า
ช่วงเย็นเลขาส่วนตัวเขากลับเข้ามาพร้อมกับอาหารมื้อเย็น ตามมาด้วยธานินที่หอบเอกสารกองใหญ่ที่ต้องอนุมัติเรื่องเร่งด้วยมาให้เขาจัดการ โดยก่อนหน้าที่เขาได้ส่งเอกสารแต่งตั้งไปทางอีเมลให้ทุกคนรับทราบ แต่แจ้งทราบฝ่ายบุคคลให้แจ้งพนักงานที่เหลือให้ทราบภายในรุ่งขึ้น
เขาทั้งสามจัดการกินอาหารและช่วยกันตรวจสอบเอกสารทั้งหมด โดยธานินเป็นหัวเรือใหญ่ในการให้คำปรึกษาผู้บริหารมือใหม่อย่างไนน์ พวกเขาจัดการเสร็จทุกอย่างเกือบๆ สามทุ่ม ไนน์จึงไล่ทั้งสองกลับบ้านไปพักผ่อนกับครอบครัว ส่วนตัวเขาเองเข้าไปอาบน้ำและเดินไปนั่งตรงเก้าอี้ข้างปู่
“ปู่ครับ นอนนานไปแล้วนะครับ ตื่นมาสอนงานไนน์ได้แล้ว” เขากอบกุมมือปู่ที่มาสายน้ำเกลือเจาะไว้ เขาเพิ่งได้สัมผัสมือของปู่ที่ตอนนี้มันเหี่ยวไปตามกาลเวลา กระดูกปูดโปนตามอายุ มือนี้ที่คอยประคับประคองเขาตลอดเวลา
“ไนน์สัญญานะครับปู่ ต่อไปนี้ไนน์จะดูแลปู่เอง ไนน์จะทำแทนปู่ทุกอย่าง” เขาลุกขึ้นหยิบผ้าห่มขึ้นมาปู่ และเอามือซุกเข้าในผ้าก่อนจะกลับไปนอนดูปู่ที่โซฟา
เช้าวันรุ่งขึ้นชายหนุ่มเดินมาพร้อมกับชุดบอดี้การ์ดถึงสิบคน ก่อนจะออกมาได้เขาต้องทะเลาะกับพี่ชายคนโตอีกรอบ กะอีแค่ไปลาออกจะเอาไปทำไมเยอะแยะขนาดนี้ พากันไปยังกะไปปล้นชาวบ้านเขานิ
รถSUV สองคันที่ประกอบหน้าหลังรถจากัวร์สีขาวเข้ามาจอดยังโรงงานผลิตรถยนต์อันดับต้นของเอเชีย เพราะความที่เป็นโรงงานขนาดใหญ่กำลังผลิตที่สูงตามความต้องการของตลาดทั้งในและนอกประเทศ การทำงานสามกะของโรงงานจึงเป็นเรื่องปกติ เมื่อมีรถที่หรูเข้าภายในจึงกลายเป็นจุดสนใจ
ผู้บริหารมือใหม่ที่ต้องมาลาออกจากการเป็นพนักงานบริษัท วันนี้เขาใส่ชุดสูทเข้ารูปแบรนด์ดังทั้งชุด รวมไปถึงเครื่องประดับอย่างคิฟลิงค์ นาฬิกา ทั้งตัวราคารวมที่สามารถซื้อรถยนต์ซักคันได้สักคัน เขาสั่งลูกน้องที่เหลือให้นั่งรอที่รถ ส่วนที่ตามไปได้เพียงแค่บอดี้การ์ดประจำกายอย่างคีนเพียงคนเดียว
ชายหนุ่มในชุดสูทเดินตรงไปที่นั่งรอโต๊ะผู้จัการแผนกที่มีฉากพาแนลกั้นไว้เพื่อความเป็นส่วนในการทำงาน ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาทำงาน เอกสารใบลาออกเขียนแล้วถูกพับเอาไว้ในซองขาว วางลงตรงด้านหน้าและรอเพียงแค่สายเซ็นของพี่เกื้อทุกอย่างจะเรียบร้อย
“เฮ้ย!! ไอ้ไนน์มึงใส่สูทมาทำงานเลยเหรอว่ะ หยุดงานไปวันเดียวมาซะหล่อจนพวกกูดรอปไปเลยมึง” เสียงผู้จัดการแผนกอย่างเกื้อร้องทักมาอย่างตกใจ ส่วนพวกที่เหลือได้แต่ชะโงกหน้า ยืดคอขึ้นมาดู
“สวัสดีครับพี่เกื้อ” ไนน์ยกมือไหว้คนที่ผู้ใหญ่กว่า
“เอ่อ.. กูว่าต้องมีอะไรแน่ๆ มึงเข้าเรื่องมาเลยดีกว่า” เกื้อเดินไปนั่งยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ผมจะมาลาออกครับ” ไนน์เลื่อนซองสีขาวที่ไปยังตรงหน้า “นี่ครับใบลาออก ขาดแต่ลายเซ็นของพี่เท่านั้น”
“อะไรของมึง กูงงไปหมดแล้ว มึงลางานเมื่อวานเรื่องที่ปู่มึงเข้าโรงพยาบาล วันนี้มึงมาลาออก?” เกื้อยกมือมานวดที่หน้าผาก เงยหน้าขึ้นมาลูกน้อง เสียงถอนหายใจออกมา “บอกเหตุผลมา ขอแบบกูต้องยอมเซ็นให้มึงเลย”
“ผมขึ้นเป็นรองประธานบริษัท ระหว่างที่ปู่นอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลครับ”
...รองประธานเลยเหรอว่ะ...
“แล้วถ้ากูไม่ยอมให้ออกล่ะ”
“ผมไม่ได้มาขอการอนุมัติ ผมแค่มาแจ้งให้ทราบเท่านั้น”
“พี่เข้าใจนะ แต่การจะออกมันไม่สามารถทำได้บุบปับแบบนี้ คนอื่นเขาจะทำงานต่อจากเรายังไง แล้วที่เราพูดมันดูไม่เคารพที่เราทำงานมาเลย แกยังเห็นหัวคนอย่างฉันไหม” เกื้อเริ่มโต้ตอบลูกน้องอย่างไม่ไว้หน้า และอารมณ์เริ่มโกรธที่เจ้าลูกน้องที่ไม่เห็นหัวเขา อย่าคิดว่าตัวเองคั่วกับรองประธานบริษัทแล้วจะไม่เห็นหัวเขาได้เหรอ
“ครับผมยอมรับ แต่ยังไงตั้งแต่วันนี้ผมก็มาทำงานไม่ได้แล้ว งานที่สอนน้องไว้ น้องทำเองได้ไหมแล้วแต่คงต้องฝากผู้จัดการแผนกให้หาคนตามประกบดูน้องเป็นระยะหน่อยนะครับ ผมยอมรับว่าน้องคนนี้เก่งสอนงานเข้าใจง่าย” ประโยคยืดยาวออกมาจากปากลูกน้องตรงหน้า
“...”
“ผมต้องขอโทษพี่ด้วยนะครับ ผมยอมรับว่าเห็นแก่ตัวมากที่ทำแบบนี้ เพราะสิ่งที่ผมต้องไปรับผิดชอบต่อจากนี้มันคือสิ่งที่ผมละเลยมานานแล้ว ผมจะไม่ขอให้พี่เห็นใจหรือเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องทำ ผมต้องไปแล้วจริงๆ ครับ ลาก่อนนะครับพี่เกื้อ ขอบคุณสำหรับสิ่งดีและมิตรภาพที่มีให้แก่ผม สวัสดีครับ” ไนน์ยกมือไหว้ลาคนที่หัวหน้า
“ได้กูจะเซ็นให้ แต่มึงเอาไปให้ฝ่ายบุคคลเอง” เกื้อคว้าซองสีขาวขึ้นมาเปิดและบรรจงเซ็นชื่อตรงตำแหน่งที่ระบุว่าผู้จัดการแผนก ยื่นคืนให้ไนน์
เกื้อรู้สึกแปลกใจกับเด็กคนนี้อย่างมาก อะไรที่ทำให้เด็กคนนี้ตัดสินใจลาออกแบบกะทันหัน เขายอมรับว่าไนน์เป็นเด็กที่ขยัน มีความฉลาดอย่างมาก รู้จักจัดการอารมณ์ และที่สำคัญคือความรับผิดชอบที่สูงมาก มาวันนี้เด็กคนนี้ยอมเป็นคนที่ไร้เหตุผล ไม่เห็นหัวเขายืนยันที่ออกและทิ้งงานไปกลางคันแบบนี้
“นี่นายขึ้นมาบนนี้ทำไม?” เสียงหญิงสาวที่ดังขึ้นมาระหว่างที่เขากำลังจะเดินไปยังฝ่ายบุคคล
“ครับ?”
“ฉันถามว่าขึ้นมาบนนี้ทำไม”
วีว่าเดินทางหาชายหนุ่มที่เป็นว่าที่คู่หมั้นในห้องทำงาน เลขาหน้าห้องได้แจ้งว่าชายหนุ่มลงมายังห้องฝ่ายบุคคลตั้งแต่เช้าแล้ว ดังนั้นหล่อนจึงเดินมาลงมายังชั้นที่อยู่ถัดลงมา แต่ยังไม่ได้เจอคนที่จะมาหา กลับกลายว่าเจอศัตรูคู่แค้นที่จะมาแย่งคนรักของเธอ
“คือผมมายื่นใบลาออกครับ” ชายหนุ่มตอบไปตามความจริง
“ดี ลาออกไปได้ก็ดี” หญิงสาวเหลือบตามองยังชุดของศัตรูหัวใจตั้งหัวจรดเท้า “ถึงจะแต่งตัวดีแพงอย่างไงมันก็ไม่สามารถกลบกลิ่นที่มันเน่าข้างในได้หรอก แกมีคนรวยๆ เลี้ยงดูตั้งเยอะแยะแล้ว ยังจะมาเกาะพี่ซันของฉันอีก หรือว่าพวกนั้นรับรู้ถึงธาตุแท้แกแล้ว เลยจะเขี่ยทิ้ง พบมาเจอพี่ซันแกเลยคิดจะจับเขาอีกคน”
“เฮ้ย...” เสียงถอนหายใจของไนน์ ตอนนี้เรารู้สึกรำคาญใจอย่างมาก เขาอยากทำเรื่องให้มันจบๆ ไป แต่ต้องมายืนเสียเวลาฟังคนพ่นคำที่ไร้สาระให้ฟัง
“คุณแม่คะ นี่ไงคนที่วีว่าบอกว่าจะมาจับพี่ซันค่ะ” วีว่าเรียกผู้หญิงอีกคนที่มีอายุมากกว่าแต่ยังสวยสง่ามาก
“นี่เหรอ? ใช่คนนี้เหรอคะวีว่า แม่ดูแล้วไม่น่าจะใช่นะ พนักงานของบริษัทแม่เหรอ?”
“คนนี้แหละค่ะคุณแม่ ที่หนูเล่าให้ฟังว่าเขามีคนเลี้ยงดู” วีว่าหันไปกระซิบที่หู “พี่น้องตระกูลศิริกิจวัชรโชติเลี้ยงดูไงคะ”
ไนน์หลับตาพ่นลมออกจากปากเบาไล่ความหงุดหงิด “สรุปว่ามีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า? ถ้าไม่มีผมขอตัวนะครับ ผมต้องไปที่อื่นต่อ” เขาโค้งตัวลง พยายามเบี่ยงตัวหลบที่จะเดินออกมา
“นี่นาย”
“ครับ?” เขาขบกรามแน่น ด้วยความหงุดหงิดใจ
“ไนน์ครับ” เสียงเรียกที่ดังมาจากข้างใน พร้อมกับขายาวที่ก้าวเข้ามา “คุณแม่อยู่ด้วยเหรอครับ วีว่ามาทำอะไรที่ชั้นนี้ครับ” เสียงรัวคำถามมาเป็นชุดให้กับคนที่ไม่ได้อยู่ในความสนใจของรองประธาน
“วีว่ากำลังจัดการต่อว่าคนหน้าด้านที่พยายามเข้าหาพี่ซันอยู่ไงคะ” หล่อนใช้หางตามองมายังคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
เสียงที่ดังขึ้นและกลุ่มคนที่มีอำนาจของบริษัทที่ยืนตรงทางเดินตรงหน้าลิฟต์เรียกความสนใจของพนักงานที่อยู่ในชั้นนี้ได้อย่างดี เสียงซุบซิบอย่างเบาลอยมาไม่สามารถจับใจความได้ว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไร แต่พออ่านจากสายตาคงไม่พ้นเรื่องของกลุ่มพวกเขาอย่างแน่นอน
“ผมว่าเราไม่คุยกันที่ห้องผมดีกว่าครับ” ท่านรองประธานพูดจบอย่างรวบรัด จูงมือชายหนุ่มตรงหน้าเดินไปยังลิฟต์ทันที ร้อนให้หญิงสาวรีบจูงมือภรรยาท่านประธานเดินตามไปติด
“ทำไมต้องจูงมือมันด้วยค่ะ พี่ซันจะหลงมันเกินไปแล้วนะคะ แค่ของเล่นฆ่าเวลาจะให้ค่าอะไรนักหนา” เสียงโวยวายดังก้องในลิฟต์โดยสาร
“ซันแม่ว่าเราจะทำอะไร นึกถึงด้วยว่าเราอยู่ในตำแหน่งอะไร แม่ว่าเราจะมาคั่วเด็กในที่ทำงานมันไม่เหมาะสมนะครับ” ผู้เป็นแม่ออกมาเตือนถึงการกระทำของบุตรชาย
บุคคลที่ไม่อยากโดยสารมาด้วยอย่างไนน์แกะมือออกจากการกอบกุม “ปล่อยครับ ขอโทษครับ”
“ซันขอโทษครับแม่”
ทั้งสี่เดินเข้ามายังห้องรองประธานบริษัท คุณหญิงแม่และวีว่าเดินลงไปนั่งที่โซฟารับรองแขก ส่วนไนน์ได้แต่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ เขาต้องการมาจัดการปัญหาทั้งหมดให้เร็วที่สุดและต้องการไปนั่งเฝ้าปู่ที่นอนอยู่โรงพยาบาล แต่ต้องมาติดอยู่กับเรื่องปัญหาอ่อนหึงหวงไร้สาระอะไรก็ไม่รู้ แต่ด้วยความที่มีผู้หลักผู้ใหญ่นั่งหัวโด่งอยู่ทั้งคน เขาจะเดินหนีออกไปเลยก็ไม่สมควรเท่าไหร่ เขาจึงคิดว่าพอพูดให้มันจบๆ แล้วจะได้ออกไปสักที
“เอ่อ ขอโทษครับ ไม่ทราบว่าที่ให้ผมมาด้วยมีเรื่องอะไร พอดีผมมายื่นเอกสารที่ฝ่ายบุคคลและต้องไปที่อื่นต่ออีกครับ ช่วยรีบพูดด้วยนะครับ ผมรีบ” เขากล่าวขึ้นทันที่มีโอกาส
“เรื่องลาออกเดี๋ยวพี่คุยให้ แล้วเงินเดือนจะให้จ่ายย้อนหลังให้นะครับ”
“ไม่ต้องครับ พี่..คุณซันทำไปตามกฎระเบียบของทางบริษัทเลยครับ ผมทำผิดย่อมไม่ได้รับเงินเดือนถึงจะถูกต้อง และถ้ามีค่าเสียหายเกิดขึ้นผมจะรับผิดชอบด้วยครับ”
“รวยสินะ คงจะมีคนให้เกาะเยอะสิถึงหยิ่งไม่ยอมรับเงิน และแถมยังยอมจ่ายค่าเสียหายอีกด้วย” หญิงสาวกล่าวคำประชดประชัน แถมเบะปากใส่อีกด้วย
“...” ชายหนุ่มเลือกที่จะไม่โต้ตอบ เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ช่างไร้มารยาทมากๆ ซอดแทรกตามตลอด
“แล้วจะไปไหนต่อครับ ใครพาไป” ซันถามน้อง คำพูดของวีว่าถูกเมินจากคนทั้งสอง จะให้พูดคือ ตอนนี้ซันไม่สนใจคนอื่นที่อยู่ร่วมห้องเลยด้วยซ้ำ
“ต้องเข้าไปบริษัทครับ เรียกประชุมด่วนตอนบ่ายโมงตรง” ไนน์บอกเหตุผลเร่งด่วนให้แกคนพี่ฟัง
“งั้นใบลาออกที่จะส่งเดี๋ยวพี่จัดการให้” ยื่นมือมาดึงซองสีขาวที่อยู่ในมือไปถือแทน “ให้พี่ไปส่งไหม จะได้กินข้าวเที่ยงด้วยกันเลย ไปกินพร้อมกับแม่พี่จะได้แนะนำตัวด้วยเลย” คนพี่คิดว่าไหนๆ แม่ก็อยู่ด้วยแล้ว จะแนะนำน้องให้แม่รู้จักเลย
“เอ่อ..” คนฟังถึงกับไปไม่เป็นเลย เขาแค่จะมาส่งเอกสารลาออก กลับกลายจะมาแนะนำตัวอะไร ...ไอ้พี่บ้า มันใช่เวลาไหม ไม่ดูสถานการณ์อะไรเลย...
“แม่ครับ นี่ไนน์แฟนซันครับ” คนใจร้อนยกมือผายมายังคนที่ยืนข้างๆ
“คะ ค่ะ อะไรนะลูก”
คุณแฟนที่โดยแนะนำตัวอย่างไม่คาดฝัน ค่อยๆ หันหน้าไปประกบมือพนมอย่างงงและกล่าวคำทักทาย “สวัสดีครับ” หันไปยิ้มอย่างเยือกเย็นให้กับคนพี่อย่างช้าๆ
กรี๊ด!!!!! เสียงหวีดแหลมดังขึ้น ทั้งสามยกมือขึ้นปิดหู
หลังจากเสียงกรี๊ดจบลง คนที่มีธุระด่วนต้องไปจัดการรีบแทรกขึ้นมาทันที
“คุณน้าครับ ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ พอดีผมมีธุระด่วนจริง ไว้วันหลังผมจะเข้าไปกราบขอโทษนะครับ” เขารีบยกมือไหว้ลารีบเดินไปยังประตูห้อง ส่งสายตาดุมายังเจ้าของห้อง จัดการปัญหาด้วยและไม่ต้องตามมา
ลงมาจากชั้นบนเขาต้องไปยังโต๊ะทำงานกวาดทุกอย่างของเขาลงกล่อง ก้าวฉับๆ ออกมา เพราะตอนนี้แทบจะไม่มีใครอยู่ที่ห้อง เหลือแต่เพียงคนที่เขาไม่สนิทสนมด้วยจำไม่จำเป็นต้องบอกลาใคร
เขาเดินมายังที่ตั้งตึกสำนักงาน ศิริกิจวัชรโชติกรุ๊ป ตึกที่ตั้งสูงตระหง่า 20 ชั้น การประดับตกแต่งอย่างทันสมัย ชั้นที่เขาต้องไปประชุดอยู่ที่ชั้นที่สิบหก เขามาถึงก่อนเวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง และระหว่างรอการประชุมเลขาก็ยกอาหารมาเสิร์ฟ
“คุณไนน์ครับ ตอนนี้ทุกคนมาพร้อมกันหมดแล้วครับ” คุณธานินเป็นคนมาเชิญเขาไปยังห้องประชุม
ประตูที่เปิดต้อนรับรองประธานคนใหม่ที่ก้าวมายังในห้อง ภายในโต๊ะรูปวงรีที่มีหัวหน้าแผนกต่างนั่งรออยู่จนเต็มจำนวนเก้าอี้ เหลือว่างเพียงแค่สามตัวข้างหน้า ตรงกลาง และทางด้านซ้ายและขวามือ ไนน์ก้าวลงไปนั่งยังเก้าอี้ตรงกลาง ตามด้วยตามด้วย เลขาส่วนตัวของเขาที่นั่งลงทางซ้ายมือ และทางขวามือคือธานิน เลขาของปู่เขา
เขากวางสายตามองบุคคลที่อยู่ภายในห้อง และลุกขึ้นยืนแนะนำตัว
“สวัสดีครับ ผมทวิชากานต์ ศิริกิจวัชรโชติ จะเข้ามาดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ตามที่ทุกคนได้รับหนังสือชี้แจงการแต่งตั้งไปตั้งแต่เมื่อวานช่วงบ่าย อย่างที่รู้กันว่าตอนนี้ท่านประธานหรือที่ผมเรียกว่าคุณปู่ได้เข้ารับการรักษาตัวจากอาการป่วยอย่างเร่งด่วน เรื่องเอกสารและงานที่เร่งด่วนที่ต้องพิจารณาผมต้องเป็นคนตรวจสอบให้โดยผ่านทางคุณธานินและคุณธีรการซึ่งต่อไปจะขึ้นมาเป็นเลขาส่วนตัวของผม ส่วนเรื่องที่ยังไม่เร่งด่วนให้พักไว้ก่อน มีใครสงสัยอะไรไหมครับ”
เมื่อความเงียบคือคำตอบว่าไม่มีใครสงสัยอะไร เขาจึงหันสั่งงานต่อ “ฝ่ายบุคคล ช่วยจัดห้องทำงานให้ผมด้วย เอาใกล้ห้องท่านประธานได้ด้วยยิ่งดี”
“ได้ค่ะ”
“ใช้เวลากี่วันครับ” เขาเข้าใจว่าต้องซื้อเฟอร์นิเจอร์มาตกแต่งห้องใหม่ เพราะด้วยความที่บริษัทไม่เคยมีตำแหน่งรองประธานมาก่อน จึงต้องหาห้องว่างมาให้เขาและตกแต่งเพิ่มอีก
“น่าจะหนึ่งอาทิตย์ค่ะ” ผู้จัดการแผนกตอบ
“งั้นระหว่างรอห้อง ผมขอให้ห้องประชุมเล็กที่ชั้นบนเป็นห้องทำงานไปก่อน ถ้าไม่มีอะไรแล้ว แยกย้ายไปทำงานได้ครับ จบการประชุม”
ก่อนที่พวกเขาจะออกมาห้องประชุม คีนวิ่งมาบอกว่ากับข่าวดีกับเขาว่า “คุณไนน์ครับ เจ้าสัวชัชฟื้นขึ้นมาแล้วครับ”
“คุณธานิน คุณธีเอกสารทั้งหมดตามไปที่โรงพยาบาลนะครับ คีนไปเร็วไปหาปู่กัน” นับเป็นข่าวดีที่สุดในตอนนี้ที่เขาได้รับ การที่ปู่หายป่วยมันช่วยเยียวยาจิตใจของเขาได้มาก แต่เขาต้องสืบรู้ให้ได้ว่าทำไมปู่ถึงเลือกที่จะปิดอาการป่วยจากเขา และปล่อยให้เขาทำให้สิ่งที่รักโดยแทบจะตัดเขาหน้าที่และทำไมเพิ่งให้เข้ามาตอนนี้ และเหมือนจะเตรียมการทุกอย่างไว้รอเขาด้วย
Tbc…