ตอนที่ 7 ร้าว

 

 

เดือนแรกในการทำงานกะดึกของฉันกำลังจะผ่านไปด้วยดี แม้ในสัปดาห์แรกจะง่วงอยู่บ้าง แต่ก็ผ่านมันมาได้สบาย ๆ งานกะดึกไม่ต่างอะไรกับงานแม่บ้านเลยเพราะต้องเก็บล้างทำความสะอาดอุปกรณ์ทุกอย่าง ต้องปัดกวาดถูร้าน เช็ดกระจก ล้างพื้นขัดกระเบื้อง ล้างตู้แช่ทุกตู้ แม้กระทั่งตักบ่อดักไขมันก็ต้องทำ

ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมไม่ค่อยมีใครอยากอยู่กะกลางคืน เพราะนอกจากจะไม่ได้นอนแบบคนปกติแล้วยังเจองานหนักและสกปรกสุด ๆ แต่ฉันกลับชอบมันมากเพราะไม่ต้องเจอคนเยอะ ไม่ต้องรองรับอารมณ์ลูกค้าบางคนที่คอยคิดแต่ข่มเหงด้อยค่าพนักงานบริการราวคนรับใช้ หลายครั้งที่ฉันเกือบร้องไห้เพราะถูกต่อว่าจากลูกค้าเพราะการบริการที่ไม่ถูกใจต้องก้มหัวยกมือไหว้พูดได้แค่คำว่าขอโทษ แต่พอขึ้นกะดึกก็ไม่เจอเรื่องวุ่นวายนั้นเลย 

เวลากลางคืนมันช่างผ่านไปรวดเร็ว เข้างานสี่ทุ่ม ขัดล้างถูพื้น ยกของแป๊บ ๆ ก็เช้าแล้ว

ในที่สุดวันสิ้นเดือนที่ฉันรอคอยก็มาถึงซึ่งทำให้ฉันแฮปปี้มาก

นาฬิกาข้อมือบอกเวลาเจ็ดโมงเช้า ฉันกับเพื่อนร่วมงานกะเดียวกันเตรียมตัวกลับบ้าน เราเดินเข้ามาหลังร้านถอดเสื้อฟอร์มออกเหลือแค่เสื้อยืดตัวที่สวมอยู่ด้านใน 

"วันนี้เงินเดือนออกแล้ว นัทจะไปไหนมั้ย" เพื่อนร่วมงานกะเดียวกันถามขณะที่กำลังยัดของลงกระเป๋าเป้

"ไปเช็กเงินก่อนสิพี่ แล้วก็ว่าจะไปซื้อมือถือด้วย" ฉันบอกเพื่อนร่วมงานไปด้วยใบหน้ายิ้มเต็มสุข 

"เฮ้... จะมีมือถือใช้แล้วดีใจด้วย พี่ก็ตั้งใจจะไปเช็กยอดเงินเหมือนกัน แต่ว่าจะเคาะเวลาออกเลยเหรอ ไม่อยู่รอผจก.ก่อนเหรอ" เพื่อนร่วมงานเอ่ยถาม แม้จะหน้าระรื่นที่วันนี้เงินเดือนออก แต่ก็มีท่าทีลังเลไม่กล้ากลับบ้านก่อนผู้จัดการจะเข้าร้าน

"จะรอทำไมอะพี่ เราเลิกงานเจ็ดโมงนะ ผจก.เข้างานตั้งแปดโมง นัทไม่รอหรอก" ฉันบอกไปตามตรง ปกติฉันก็ไม่รอเจอพี่วิทย์อยู่แล้ว ตั้งแต่ขึ้นมาอยู่กะดึกก็เจอหน้ากันแทบจะนับครั้งได้ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบหน้าพี่วิทย์จนไม่อยากเจอแต่มันถือสิทธิของฉัน ทำงานสี่ทุ่มเลิกเจ็ดโมงเช้าก็ถือว่างานหนักแล้ว ถ้าต้องอยู่รออีกชั่วโมงเพื่อพบหน้าผู้จัดการมันได้เหรอ เพื่ออะไรล่ะ ฉันจึงคว้ากระเป๋าเดินออกไปลงเวลาเลิกงาน ให้ผู้ช่วยผู้จัดการร้านตรวจค้นสัมภาระก่อนออกจากร้าน

"กลับพร้อมกันไหมพี่ นัทจะไปบิ๊กซีไปกดเงินที่ตู้แถวนั้น" ฉันหันไปถามเพื่อนร่วมกะดึกที่เดินออกมาตาม ๆ กัน

"ไป ๆ ๆ จะไปกดเงินที่ตู้นั้นเหมือนกัน" เพื่อนร่วมงานที่ทำงานร้านนี้มาก่อนฉันหลายเดือน รีบกุลีกุจอเดินตามหลังออกมา 

หลังจากที่ทำงานร่วมกันมาสักพักทำให้ได้คุ้นเคยกันมากขึ้น ฉันก็มีเพื่อนคู่หูคนใหม่ที่คุยถูกคอ เป็นรุ่นพี่ผู้ชายที่อายุมากกว่าฉัน รูปร่างแบบบางและท่าทางออกสาวของรุ่นพี่คนนี้แสดงออกชัดเจนว่าเป็นเพศไหนแต่ฉันก็ไม่ได้ถือวิสาสะระบุเพศของเขาตราบใดที่เจ้าตัวยังไม่ได้พูดออกมาเอง และท่าทีเรียบร้อยขี้อายขี้เกรงใจนั้น ฉันก็มองว่าเขาน่ารักดี

 

ยังเช้าอยู่มาก ห้างบิ๊กซีที่อยู่ใกล้ที่ทำงานฉันยังไม่เปิดบริการ ตู้เอทีเอ็มด้านข้างก็ยังโล่งไม่มีใครมารอกดเงิน ฉันรีบตรงไปที่ตู้กดเงินทันที เห็นยอดเงินที่เข้ามาใหม่หนึ่งหมื่นหนึ่งพันกว่าบาทรอยยิ้มก็ผุดเต็มหน้า เดือนก่อน ๆ หักประกันสังคม หักค่าเสื้อฟอร์มก็เหลือไม่เคยถึงหมื่น แต่เดือนนี้ได้เกินหมื่นกว่าบาท 

...นี่คือเงินมากที่สุดที่เคยมีในชีวิต ฉันหัวใจเต้นตึกตักสูดลมหายใจลึก ๆ คำนวณว่าจะจัดสรรเงินหมื่นนี้ยังไงให้อยู่รอดครบเดือนโดยไม่เกลี้ยงบัญชีเหมือนที่ผ่านมา

จ่ายค่าเช่าห้องประมาณ1500 ถ้ากินข้าววันละมื้อสองมื้อ กินมาม่าบ้าง ข้าวไข่เจียวบ้าง คำนวณคร่าว ๆ ยังไงก็ต้องอยู่แบบอดอยากอยู่ดี ตัดสินใจกดออกมา8500บาทก่อน เหลือติดบัญชีไว้ สามพันนิด ๆ เอาไว้ค่อยคิดทีหลังว่าจะใช้ยังไงให้มีชีวิตรอดกับเงินแค่นี้

ใช่ฉันรู้ดี เงินแค่นี้ มันไม่พอใช้ทั้งเดือนหรอก ความห่วยแตกของประเทศเส็งเคร็งที่ชนชั้นล่างอย่างฉันต้องเผชิญ แต่ฉันต้องอยู่กับมันให้ได้ ตอนนี้ฉันต้องได้โทรศัพท์มือถือมาใช้ก่อน แต่ก็เชื่อนะว่าในประเทศกรุงเทพฯ นี้คงไม่ได้มีฉันคนเดียวหรอกที่ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้ 

 

ฉันบอกลาเพื่อนรุ่นพี่ที่ทำงานแล้วรีบเดินกลับหอพักทันที เงิน8500 บาทในกระเป๋ากางเกงมันหอมเหลือเกิน สองขารีบจ้ำอย่างรวดเร็วเพื่อกลับไปหอพัก อยากนอนก่อนแล้วค่อยตื่นตอนบ่าย ๆ เพื่อจะออกไปซื้อมือถือกับหาของกินอร่อยฉลองวันเงินเดือนออก เย็นนี้ฉันมีนัดกับพี่บีจะไปซื้อโทรศัพท์ด้วยกัน พี่บีรับปากว่าจะพากันกินข้าวร้านอาหารและไปดูมือถือที่ร้านโทรศัพท์ย่านบางกะปิร้านเดียวกับที่พี่บีเคยซื้อเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนั่นแหละ

พอคิดว่าจะมีมือถือใช้ก็ดีใจเหลือเกิน

"โถ...อิเหี้ย เงินเท่าจิ๋มมด ดีใจยังกะมีเงินล้าน กระจอกฉิบหาย มีมือถือใช้ก็จริงแต่จะเอาอะไรกินจนถึงสิ้นเดือนวะ กูว่ามึงต้องได้ยืมเงินใครสักคนก่อนสิ้นเดือนแน่" เสียงในหัวฉันมันร้องเตือนขัดขวางอีกแล้ว ทำให้ฉันดีใจแบบไม่สุด

จริงทุกอย่าง จอมมารในหัวมันพูดถูกแต่ฉันไม่ยอมหรอก เพราะโทรศัพท์ก็จำเป็นต้องใช้

"เงินเท่าจิ๋มมดก็ดีกว่าไม่มีสักบาท แล้วก็ใช่ว่าจะไม่เคยอดข้าวจนต้องเอาน้ำลูบท้อง ขอแค่มือถือถูก ๆ สักเครื่อง อาหารดี ๆ สักมื้อแกให้ฉันไม่ได้เหรอ ขอแค่วันนี้ให้มีความสุขสักวันจะขัดขวางกันทำไม" ฉันตอบโต้ปีศาจในหัวจนมันยอมเงียบไปไม่เถียงอะไรอีก

ตอนนี้ฉันเห็นแต่ภาพโทรศัพท์มือถือและเตาหมูกระทะเนื้อย่างหอม ๆ เพียงเท่านั้น

 

 

 

เมื่อเดินมาถึงหอพักสายตาฉันมองเลยไปยังออฟฟิศป้าอ้อยขณะที่สองขาที่กำลังจะก้าวเข้าหอ ประตูออฟฟิศเปิดอยู่ เพิ่งจะเจ็ดโมงครึ่งเองตื่นกันไวจัง ไม่ได้ตั้งใจมองไปหรอกนะ แต่ทำไมไม่รู้ตาเรียว ๆ ไม่รักดีของฉันมันจงใจมองเข้าไปข้างในนั้น

"ตื่นแล้วแหละ เขาคงไม่ตื่นสายหรอก"

"อะไร??"

"อย่าตอแหลอินัท มึงมองหาใครล่ะ" 

"ไม่ได้มองใคร แค่ตามันหันไปมองเอง"

"อิร่าน ตามึงมันมองหานางในฝันคนสวยของมึงไง ไม่ยอมรับอิควาย"

ฉันส่ายหน้า รำคาญปีศาจในหัวมาก จิ๊!ปากหงุดหงิด แล้วเดินเข้าหอ

 

"อ้าวหนูนัท เลิกงานแล้วเหรอ" แต่ยังไม่ทันได้เข้าก็มีเสียงร้องทักมา ฉันจึงหันไปตามเสียง

"ป้าอ้อย?? อ่า..ค่ะ เลิกงานแล้วค่ะ"

"เป็นไงลูก ตั้งแต่ไปทำกะกลางคืนไม่ค่อยได้เจอเลย สบายดีนะหนู" ป้าอ้อยยิ้มให้จนใบหน้าเหี่ยวย่นของแกเป็นรอยยู่ไปทั้งหน้า แต่มันช่างอบอุ่นและสบายใจเหลือเกิน หญิงสูงวัยคนนี้เคยใจร้ายกับใครบ้างไหมหนอ

"หนูสบายดีค่ะป้า สบายมากเลย ไว้เดี๋ยววันนี้หนูจะมาจ่ายค่าห้องนะคะ"

"ไม่ต้องรีบหรอก วันนี้ป้าจะไปวัด ไว้ค่อยมาจ่ายทีหลังก็ได้" ป้าอ้อยยิ้มจนตาหยี ดวงหน้าใต้กรอบแว่นตาหนาเตอะนั้นแสนใจดี ฉันยิ้มตอบแกไปก่อนที่จะเห็นรถยนต์คันเล็กสีขาวคุ้นตาแล่นมาจอดหน้าออฟฟิศ รถคันที่ทำให้ฉันใจเต้นรัวแรงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเพราะความหลังในรถคันนั้นเมื่อเกือบหนึ่งเดือนก่อนมันยังจำฝังอยู่ในหัว

คุณไข่ลงมาจากรถมาช่วยป้าอ้อยถือของ ฉันจึงก้าวขาอัตโนมัติไปช่วยยกของขึ้นรถเช่นกันเมื่อเห็นว่าข้าวของมากมายวางอยู่ทั้งตะกร้าผลไม้ อาหารแห้ง กระเช้าของใช้ต่าง ๆ ถังสังฆทานและดอกไม้ธูปเทียน เมื่อมีคนช่วยป้าอ้อยจึงขึ้นไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับก่อนจึงไม่ทันได้สังเกตปฏิกิริยาของเด็กสาวสองคนที่ช่วยกันยกของ

ฉันและคุณไข่ยกของขึ้นวางที่เบาะหลัง ตัวของเราสองคนเฉียดผ่านกันไปมา กลิ่นน้ำหอมกรุ่นละมุนที่ลอยแตะจมูกฉันจนชะงักเงยหน้าขึ้นมองเธอ คุณไข่ตัวขาวอยู่ในชุดกางเกงขายาวสีขาว เสื้อยืดสีขาว ผมยาวรวมมัดหางม้าดูน่ารักมาก หน้าขาว ผิวขาว จะมีใครขาวได้เท่านี้อีกหนอ มีแค่ตาดำกลมโตกับปากเล็ก ๆ สีชมพูสดใสเท่านั้นที่ไม่ได้ขาว เธอแต่งหน้าบาง ๆ จนเหมือนแทบไม่ได้แต่งอะไรเลย แต่เธอสวย สวยจนต้องแอบมอง

แต่ได้มองแค่แวบเดียวเท่านั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมา ตาสบตากันพอดี 

ฉิบหายแล้ว ฉันสะดุ้งโหยงถอยหนีทันที เรื่องในรถคันนี้เมื่อคืนนั้นมันลอยเข้ามาในหัวเป็นฉาก ๆ

ภาพที่ฉันตื่นขึ้นมาในรถของคุณไข่ตอนตีสี่ แต่ฉันดันคิดไปเองว่ากำลังฝันซ้อนฝันอยู่ เพราะก่อนหน้านั้นฉันฝันถึงคุณคนนั้นของฉันคนที่หน้าเหมือนคุณไข่ ฝันว่านอนกอดกันอยู่บนเตียงในห้องของฉันเอง และเพราะเข้าใจไปว่ากำลังฝันอยู่ จึงหอมแก้มคนที่นอนเอนกายตรงที่นั่งคนขับ แล้วก็ต้องแทบช็อกเมื่อเธอลืมตาขึ้นมาแล้วผลักฉันเต็มแรงจนหัวกระแทกกับกระจกหน้าต่างรถ

บ้าบอและน่าอายที่สุด คืนนั้นฉันยกมือไหว้ขอโทษเธอไปกี่ครั้งกัน แล้วต้องบอกเธอว่าฉันละเมอฝันว่าหอมแก้มแฟนซึ่งก็คือโกหกคำโตเพราะฉันไม่มีแฟน

ซีนเหี้ยมาก และมันทำให้ฉันไม่กล้าเจอหน้าเธออีกเลย จนกระทั่งวันนี้

 

"ขอบใจนะ" ขณะที่หัวฉันวนเวียนนึกถึงแต่เรื่องคืนนั้น คุณไข่ก็เอ่ยขอบใจเบา ๆ สีหน้าเธอปกติเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา ในขณะที่ฉันรู้ตัวดีว่าอายจนหน้าแดงหน้าดำอยู่แน่ ๆ 

"ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ" ตอบได้แค่นั้นก็เดินถอยห่างออกมาอีกหน่อย กลิ่นน้ำหอมกลิ่นโลชั่น กลิ่นเดียวกับกลิ่นแก้มของคุณไข่เมื่อคืนนั้นมันลอยอบอวล ใจฉันเต้นรัว ๆ ไม่ยอมหยุดสั่น

เอาล่ะยอมแพ้ ฉันรู้สึกแปลก ๆ กับคุณไข่จริง ๆ ยอมรับก็ได้ว่าอาจจะคิดไม่ซื่อกับเธอ ใช่ ฉันต้องเป็นโรคจิตแน่ ๆ

 

"ขอบใจมากนะหนูนัท" ป้าอ้อยที่นั่งอยู่ในรถเอ่ยบอกมา แล้วหันไปหาหลานสาวคนสวย

 "น้องไข่ ไปเอาส้มในออฟฟิศแบ่งให้หนูนัทหน่อยสิลูก ส้มสายน้ำผึ้งจากฝางแน่ะ หวานอร่อยน่ากินมาก" ประโยคหลังหันมาบอกกับฉันขณะที่คุณไข่เดินกลับเข้าออฟฟิศไปอย่างว่าง่าย ส่วนฉันได้แต่ยืนยิ้มนิ่ง ๆ อยู่ข้างรถ ตามองตามคุณไข่ที่เดินเข้าไปด้านในตึก เพียงครู่เดียวก็กลับมาพร้อมกับส้มถุงเบ้อเริ่มยื่นส่งมาให้ฉัน

"เอาไปกินสิหนูนัท ส้มอย่างดีเลยนะ ป้ากับน้องไข่ก็ชอบกินส้มเหมือนกัน" ป้าอ้อยตะโกนบอกมาจากในรถ ฉันรับส้มจากมือคุณไข่มาถือไว้ ได้แค่เอ่ยขอบคุณมองสบตาเธอแต่คนตรงหน้าแค่พยักหน้านิ่ง ๆ แล้วเดินไปเปิดประตูด้านคนขับแล้วออกรถไปเลย ไม่ได้สนใจอะไรฉันสักนิด

โอเค ฉันรู้แล้ว เธอยังไม่พอใจเรื่องที่โดนฉันหอมแก้มไปแบบโง่ ๆ แน่ ๆ แต่ฉันฝันซ้อนฝันจริง ๆ นะไม่ได้ตั้งใจทำรุ่มร่ามกับเธอ แต่เธอคงไม่เชื่อ

 

 

 

 

 

นอนหลับไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ รู้สึกตัวตื่นอีกทีเมื่อได้ยินเสียงกุกกักมาจากข้างห้องจึงลืมตาตื่นขึ้นมาดู เห็นแสงไฟลอดผ่านช่องมุ้งลวดที่กั้นผนัง ห้อง202ของแบงค์มีความเคลื่อนไหว มีคนอยู่ในห้องแต่ไม่ใช่แบงค์แน่ ๆ คงจะเป็นเอมที่มาที่นี่

และยิ่งตอกย้ำว่าใช่เอมเองจริง ๆ เมื่อได้ยินเสียงสะอื้นไห้เบา ๆ ดังข้ามมา 

เฮ้อ...สงสาร ตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้นแบงค์ก็กลับต่างจังหวัดไปแล้ว พี่บีบอกว่าน่าจะกลับไปกับญาติที่มาดูแลตอนบาดเจ็บ ผ่านไปเกือบเดือนฉันก็ไม่เห็นแบงค์ที่ห้องอีกเลย เหมือนว่าจะไม่ได้กลับมาที่หอเลยด้วยซ้ำ มีแต่เอมที่แวะมาอยู่เป็นประจำ บางครั้งก็มานอนค้างอยู่หลายวัน เพราะมีเสียงความเคลื่อนไหวในห้อง มิเตอร์ไฟหมุนต่อเนื่อง ไฟกับพัดลมที่คอยปิดเปิดบ่อย ๆ บ่งบอกว่ามีคนอยู่ในห้องนั้น

 ฉันไม่รู้ว่าทั้งสองคนทะเลาะกันเรื่องอะไร แต่ความรุนแรงในวันนั้นคงเป็นสาเหตุของการตัดความสัมพันธ์ ซึ่งฉันไม่รู้จะอยู่ข้างใครดี ฉันรู้ว่าแบงค์เป็นคนเหี้ยเจ้าชู้มักมาก ทำร้ายจิตใจเอมอย่างหนัก แต่การกระทำที่ขาดสติเกินกว่าเหตุของเอมมันอาจทำให้เกิดเรื่องร้ายแรงกว่านี้ได้ ฉันที่เคยเจอความรุนแรงเลวร้ายทำนองนี้มาก่อนตั้งแต่วัยเด็กก็เข้าใจความรู้สึกของแบงค์ดี เราจะใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ทำร้ายร่างกายเราได้ยังไง แต่สภาพของเอมตอนนี้ควรต้องได้รับการดูแลเยียวยาอย่างมาก

 

 

หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จตอนนี้จะสี่โมงครึ่งแล้ว ฉันขึ้นไปหาพี่บีที่ชั้นสามพูดคุยตกลงกันนิดหน่อยก็ตัดสินใจไปเคาะห้อง202 ที่ไฟเปิดอยู่แต่ข้างในเงียบสนิท

ก๊อก ๆ ๆ

"เอม เอม นี่นัทเองนะ" เงียบไม่มีเสียงตอบรับ

"เอม...อยู่ใช่มั้ย เราจะมาชวนไปเดินซื้อของกัน ไปมั้ย จะไปห้างแถวบางกะปิกับพี่บี" ฉันเคาะห้องพลางบอกความตั้งใจ

"เอมไปมั้ยอ่า จะไปกินหมูกระทะกันด้วยนะฉลองเงินเดือนออก" ส่งเสียงเรียกไปอีกครั้ง คราวนี้ฉันได้ยินเสียงขยับกุกกักอยู่ข้างใน

"ไม่อะนัท เราอยากนอน นัทไปเถอะ เราจะอยู่รอแบงค์" เสียงอู้อี้ของเอมที่ตอบกลับมาจากด้านในไม่บอกก็รู้ว่าร้องไห้หนักมากแค่ไหน เอมยังหวังให้แบงค์กลับมาอีกเหรอ ฉันได้แต่ถอนใจพูดอะไรไม่ออกเลย

"ไม่ไปจริงเหรอเสียดายอ่า งั้น...เราไปนะ ดูแลตัวเองนะเอม" 

"อือ ๆ ขอบใจ"

ใจจริงฉันอยากจะตื๊ออีกหน่อย อยากให้เอมออกไปเจออะไรสนุก ๆ ข้างนอกด้วยกัน แต่ฉันกลับบอกได้เพียงแค่นี้ กลัวว่าเซ้าซี้มากไปจะถูกรำคาญ 

 

สุดท้ายฉันกับพี่บีก็นั่งเรือโดยสารกันไปที่ห้างย่านบางกะปิแค่สองคน ในกระเป๋ากางเกงยังเปี่ยมไปด้วยความสุขของฉันที่มีเงิน8500บาทอยู่ในนั้น เราสองคนเดินตรงไปยังร้านขายโทรศัพท์ร้านเดิมที่พี่บีเคยใช้บริการ ฉันหัวใจพองโตกับสมบัติชิ้นแรกราคา6900 บาท สมาร์ตโฟนใหม่เอี่ยมรุ่นเดียวกันกับของพี่บีแต่คนละสีกัน เราสองคนที่อายุห่างกันเกือบ20ปีเป็นเพื่อนต่างวัยที่สนิทกันมาก พี่บีช่วยเลือกและสอนฉันให้ใช้มันคล่องมือ

"เมมชื่อ เมมเบอร์โทรของคนใกล้ตัวก่อนเลยอันดับแรก" พี่บีแนะนำขณะที่เดินออกมาจากร้านมือถือมานั่งตรงเก้าอี้ในศูนย์อาหาร หลังจากที่ร้านโทรศัพท์ใส่ซิมเติมเงินและลงแอปพลิเคชันต่าง ๆ ให้เรียบร้อยแล้ว

ฉันดึงสมุดบันทึกเล่มเล็กที่ใช้จดรายการต่าง ๆ ออกมาจากกระเป๋าผ้ามากางออกค่อย ๆ บันทึกรายชื่อใส่ลงไปในมือถือ โดยมีพี่บีนั่งใกล้คอยชี้นั่นบอกนี่อยู่ตลอดเวลา

"ใส่เบอร์คนที่บ้านก่อนเลย มีใครบ้างนะ พี่สาวกับน้องสาวใช่มะ"

"ค่ะ เบอร์ป้าด้วย ปกติไม่ค่อยได้โทรหาป้าหรอก นัทกับป้าไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่"

"ถ้าไม่ค่อยคุยก็ยิ่งต้องคุย โทรบอกเลยค่ะว่านัทมีมือถือใช้แล้ว" 

ฉันยิ้มกว้างทำตามคำแนะนำของพี่บี โทรหาป้าที่สมุทรสาครเป็นคนแรกตามด้วยไอ้น้ำพี่สาวครูดอยที่แสนใจดีของฉันและไอ้นิวน้องสาวตัวแสบที่เรียนอยู่มหาลัยทางภาคใต้ ความสุขของฉันส่งกระจายไปถึงทุกคน บอกให้รู้ฉันมีสมบัติชิ้นแรกเป็นของตัวเองแล้ว

 

"ไปลองถ่ายรูปเล่นกันไหม ก่อนออกไปกินหมูกระทะกันข้างนอก" พี่บีชวนหลังจากที่ฉันกดวางสายจากน้องสาวคนสุดท้อง

"ถ่ายเล่นที่ไหนอะพี่ ในห้างนี้คนตั้งเยอะเดี๋ยวถ่ายติดคนอื่น"

"หน้าโรงหนังดีไหม ตรงเก้าอี้สีแดงที่ข้างหน้านั่น เก้าอี้ก็สวย แสงก็สวย" พี่บีชวนและฉันก็พยักหน้าเห็นดีเห็นงาม 

"ถึงไม่มีตังค์ดูหนังก็มาถ่ายรูปหน้าโรงหนังได้นะ จะแอ๊ปทำเนียนว่ามาดูหนัง ให้พวกที่หออิจฉาเล่น ๆ" สาวใหญ่วัยใกล้40หัวเราะคิกคักขณะเดินนำหน้าฉันขึ้นบันไดเลื่อนไปยังโรงหนังในห้างใหญ่โต

"แต่เราไม่ได้ดูหนังจริง ๆ สักหน่อยนะพี่ ถ้าใครรู้ว่าเราโกหกนี่อายเลยนะ"

"ก็อย่าให้ใครรู้สิว่าไม่ได้ดู ใครถามว่าเรื่องเป็นไงก็พูดไปสิว่าไม่สปอยล์จ้า ฮ่า ๆ ๆ" เสียงหัวเราะของพี่บีมันช่างอาบด้วยความสุข ซึ่งฉันก็พลอยขำและสนุกสุขไปด้วย ขณะที่มือหยาบของฉันคอยประคองจับแตะทรัพย์สินมูลค่า6900 บาทที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงด้วยหัวใจที่ชุ่มฉ่ำตลอดเวลา

 

ที่หน้าชั้นโรงหนัง เราสองคนเดินตัวลีบไปหามุมถ่ายรูป ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าน่าจะคิดผิดพอดูที่เลือกขึ้นมาตรงนี้ เพราะบรรยากาศชั้นโรงหนังมันช่างต่างกับโซนซูเปอร์มาร์เก็ตกับร้านขายมือถือราคาถูกที่ใกล้ ๆ ศูนย์อาหารด้านล่างมาก ข้างบนนี้มีแต่คนที่แต่งตัวดูดีกว่าพวกเราสิ้นเชิง เสื้อผ้าตัวเก่าปอน ๆ ที่เราใส่มันดูไม่เข้ากันกับเด็กวัยรุ่นและคู่รักหนุ่มสาวที่แต่งตัวดี ๆ มาดูหนังกันเลย

"พี่ว่าเราเหมือนตัวประหลาด เหมือนเด็กรับใช้มาตามถือรองเท้าให้คุณหนูเลยอะ" พี่บีกระซิบข้างหู ฉันพยักหน้าหงึก ๆ เกาะแขนพี่บีแจ 

"ลงไปข้างล่างดีกว่า เรื่องจะถ่ายรูปด้วยมือถือราคาถูกท่ามกลางไอโฟนพวกนี้เลิกเลยเถอะ พี่อาย.." พี่บีจูงมือจะพาลงบันไดเลื่อนไปชั้นล่าง

"พี่บี นัทปวดฉี่ เข้าห้องน้ำก่อนได้มั้ย ชั้นโรงหนังมันหนาวกว่าข้างล่างมากเลย เข้าห้องน้ำเสร็จค่อยลง"

"งั้นไปห้องน้ำตรงนั้นละกัน ไม่ค่อยมีคน" พี่บีชี้ไปตรงห้องน้ำด้านข้างทางเข้าโรงหนังในมุมมืด ๆ เข้าใจเหตุผลว่าคงไม่อยากให้ใครมองเห็นเรามากนัก เพราะความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดว่าเราสองคนแต่งตัวเหมือนคนรับใช้คุณหนูจริง ๆ 

ฉันเดินก้มหน้าก้มตาจ้ำเข้าห้องน้ำ ไฟสลัวมืด ๆ ของห้องน้ำข้างโรงหนังมันดูหรูหราแต่ก็ดูเป็นส่วนตัวมาก ฉันก้าวเร็ว ๆ ตั้งใจจะเดินเข้าไปในห้องที่อยู่ด้านในสุดเหลือบตามองแวบหนึ่งประตูมันไม่ได้ปิด

"ว่าง" ในหัวผุดคำนี้ขึ้นมาแล้วผลักประตูเข้าไปทันที ก่อนที่มันจะกระแทกโดนหัวไหล่คนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างใน

"โอ๊ย!"

"อุ๊ย!! ขอโทษค่ะ คุณ....???"

ฉันตกใจและตะลึงยืนงงเป็นไก่ตาแตกเมื่อเห็นภาพข้างใน ประตูห้องน้ำไม่ได้ปิดก็จริง แต่มีคนอยู่ข้างในถึงสองคน ผู้หญิงตัวสูงผมสั้นหน้าตาดีมากใบหน้าหล่อสะอาด ๆ แต่งตัวดูดี หันมามองฉันที่ผลักประตูชนเธอด้วยความตกใจ

ใช่ เธอหล่อมากเพราะเธอเป็นผู้ทอม ตัวสูงหุ่นเท่มากยืนหันข้างให้ประตู แขนยาวข้างซ้ายของเธอกำลังโอบไหล่ของผู้หญิงตัวเล็กกว่าเอาไว้ผู้หญิงที่กำลังก้มหน้าหนีฉันโดยการหลบหน้าไปทางอื่น แต่ถึงหลบเท่าไหร่ ฉันก็เห็นชัด ๆ ว่าเธอคือคุณไข่!!!

คนตัวเล็กหน้าขาว ตัวขาวในชุดสีขาวที่ฉันเจอเมื่อเช้าวันนี้ หลานสาวที่น่ารักของป้าอ้อยที่พาป้าไปวัดตอนเช้า แต่ตอนนี้มายืนจูบกับผู้ทอมในห้องน้ำข้างโรงหนัง!!

ถึงจะไม่เห็นว่าจูบกันจริงไหม แต่ท่าทางที่เห็นก็คงจูบกันนั่นแหละ หรืออาจจะยังไม่ได้จูบ แต่ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก

ฉันหน้าถอดสีหัวใจชาวูบ รีบก้มหน้าก้มหัวขอโทษคนในห้องน้ำนั้นที่ฉันเปิดประตูกระแทกใส่ แล้วรีบจ้ำออกไปอย่างเร็วด้วยหัวใจที่ชาหนึบยากอธิบาย

ฉันใจสั่น ตัวสั่น หูอื้อไปหมด เดินมาคว้ามือพี่บี

"ไปเถอะพี่ กลับกันเถอะ นัทอยากกลับหอแล้ว"

"อ่าว ทำไมอ่า ไหนบอกจะไปกินหมูทะกันต่อ"

"ไม่แล้วพี่ นัทปวดหัวมาก รู้สึกเหมือนจะอ้วก ไม่อยากกินแล้ว ขอโทษนะพี่ นัทรู้สึกเหมือนจะเป็นลม เอาไว้ค่อยกินวันหลังนะ คืนนี้นัทต้องเข้ากะดึกต่อด้วย นะพี่บีนะ นัทขอร้อง" ฉันบอกเสียงสั่น รีบลากพี่บีลงบันไดเลื่อนอย่างเร็ว 

ไม่ไหว ฉันไม่รู้ว่าทำไมถึงใจสั่นขนาดนี้ มันจุกตื้อไปหมด ฉันต้องตกใจอะไรก่อน

ภาพคุณไข่กับผู้ทอมหน้าหล่อคนนั้นในห้องน้ำยังติดตา

คุณไข่มีแฟนแล้วคือผู้ทอมคนนั้น

คนที่เงียบ ๆ และถือดีอย่างคุณไข่กำลังจูบกับแฟนในห้องน้ำ

แล้วฉันที่กำลังรู้สึกเจ็บร้าวเหมือนคนอกหักนี่อีก

ฉันต้องรู้สึกกับอะไรก่อนดี แล้วฉันต้องทำยังไงต่อดี

 

 

 

 

พาตัวเองนั่งเรือโดยสารกลับเข้ามาหอพักด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ฉันบอกลาพี่บีแล้วรีบปิดประตูเข้าห้อง บ้าจริง ในหัวมีแต่ภาพคุณไข่กับผู้ทอมหน้าหล่อคนนั้น 

"เป็นไงล่ะ นางในฝันของมึง เขามีผัวแล้ว ดูสภาพมึงกับเขาสิ เทียบกันได้ที่ไหน" ปีศาจในหัวเริ่มออกมาสำแดงเดชหลังจากที่มันเงียบอยู่ได้ตลอดวัน

"ไหนละมือถือใหม่ที่มึงเห่ออะ ไม่เอาออกมาเล่นล่ะ" เมื่อนึกถึงมือถือก็รีบดึงออกมาจากกระเป๋า

"โธ่..ถ่ายรูปได้ชัดสุดแค่นี้เหรอ กระจอกฉิบหาย กูว่านะผู้ทอมคนนั้นของคุณไข่คงใช้ไอโฟนรุ่นล่าสุด"

โอเค จอมมารในหัวมันชนะอีกแล้วฉันกัดฟันกรอด โกรธอะไรก็ไม่รู้มากมายฮึดฮัดลุกขึ้นจะไปอาบน้ำเตรียมตัวจะไปเข้างานกะดึก แต่พอลุกขึ้นยืนก็หันไปเห็นถุงส้มสายน้ำผึ้งที่รับมาจากมือคุณไข่เมื่อเช้ามันยังวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง อารมณ์หงุดหงิดไม่ชอบใจทำให้ฉันเอื้อมมือไปคว้ามันแล้วโยนทิ้งถังขยะในห้อง ทิ้งลงไปทั้งถุงแล้วเปิดประตูเดินฮึดฮัดหงุดหงิดเข้าห้องน้ำไปเลย

 

 

 

 

 

นาฬิกาบอกเวลา 21.16น. ฉันที่อยู่ในฟอร์มของพนักงานร้านสะดวกซื้อ เดินออกจากหอพัก ขณะที่กำลังจะปิดประตูหน้าหอล็อกให้เรียบร้อย ก็มีรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดข้างหลังจึงหันไปมอง รถบีเอ็มดับเบิลยูคันโตสีดำสนิทจอดเทียบอยู่หน้าออฟฟิศป้าอ้อย เพราะอะไรไม่รู้ขาฉันมันไม่ยอมขยับก้าวเดินไปไหน และสายตาฉันมันก็เพ่งมองตรงไปที่รถคันนั้นจนกระทั่งเห็นคุณไข่ลงมาจากรถ และเธอก็มองมาที่ฉัน 

เรามองหน้าสบตากัน ก่อนที่ฉันจะเบนหน้าหันมองไปในรถ อยากรู้ว่าใช่คนที่คิดไหมแม้มองไม่ชัดแต่คิดว่าไม่ผิดแน่

รถคันหรูเคลื่อนไปข้างหน้านิดหน่อยเพื่อไปกลับรถออกจากซอย ทั้งฉันและคุณไข่ยังคงยืนที่เดิม คุณไข่หันกลับไปมองแล้วยกมือโบกให้ทอมหล่อรวยในรถคันนั้นแล้วยิ้มให้กัน ฉันกัดฟันกรอดเบือนหน้าหนีแล้วหันหลังก้าวเดินไปพร้อม ๆ กับรถหรูราคาแพงคันนั้นขับเลยผ่านฉันไป

"นัท จะไปทำงานแล้วเหรอ นัท..."

ฉันได้ยินเสียงเรียก ได้ยินชัด แต่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน สองขาจ้ำพรวด ๆ รีบเดินไปให้พ้น ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าคนตัวขาวจะเรียกฉันทำไม และฉันเดินหนีเธอทำไม โกรธอะไรอยู่ยังไม่เข้าใจตัวเองเลย

หัวใจที่ร้าวและเหน็บชามันพาฉันให้ก้าวเดินตรงไปที่สะพานข้ามคลองหลังวัดแทนที่จะเดินไปทางถนนใหญ่ ฉันลืมไปสนิทว่านี่คือเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว และฉันไม่เคยเดินผ่านทางนี้ในเวลากลางคืนมาก่อน ต้นประดู่สูงตระหง่านที่เห็นเพียงเงามืดดำทะมึน แต่มันยังไม่มืดมนหมองหม่นเท่าหัวใจของฉันตอนนี้ 

ร้าวราน...

 

 

 

 

 

0000000000000000000000

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

#กลางวันสีดำ

 

 

 

 

 

***

ยังไงอ่านัท ยังไงไหนบอกซิ หนูเองไม่เคยยอมรับนะคะ ว่าชอบคุณไข่ หนูพูดเองนะคะว่าคนนั้นในฝันของหนูแค่หน้าเหมือนคุณไข่เท่านั้น แล้วพอเห็นว่าคุณไข่อาจจะมีใครในใจอยู่แล้ว แล้วหนูร้าวทำไมคะลูก แล้วที่หนูเคยละเมอไปหอมแก้มคุณไข่เธอยังไม่ได้อะไรเลยนะคะ 

หนูต้องแยกเรื่องจริงกับฝันให้ออกก่อนค่ะ หนูนัทขา แล้วนี่ดึกดื่นสามทุ่มกว่า ทำไมหนูถึงกล้าเดินไปทางหลังวัดล่ะคะ หนูนัทของมัมหมี มีสตินะคะ สติ 

 

ทิ้งท้ายไว้แค่นี้ มาลุ้นกันตอนต่อไปนะคะ

อ่านให้สนุกน้า ทุกคน