6 ตอน ตอนที่ 6 ฝัน
โดย season in the sun
ตอนที่ 6 ฝัน
"อีเหี้ย!! เลว!!"
เพล้ง!!! โอ๊ย
เสียงทะเลาะด่าทอพร้อมกับเสียงขว้างปาสิ่งของดังมาจากทางหอพักของฉัน ทำเอาทุกคนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงนั้นพากันตื่นตกใจ ออกมายืนมองหาที่มาของเสียงนั้น
"ฉิบหายแล้ว แบงค์กับเอม ตีกันตายห่าแล้วมึง" ฉันอีกคนที่อยู่ในหัวตะโกนลั่น ขณะที่ตาลีตาเหลือกวิ่งออกจากออฟฟิศป้าอ้อย โดยมีคุณไข่วิ่งตามหลังหน้าตื่นมาติด ๆ
"เสียงคนทะเลาะกันมาจากในหอเรา เกิดอะไรขึ้น"
"ไม่รู้ดิ รีบไปห้ามก่อนเถอะ"
ฉันกับคุณไข่พากันวิ่งเข้าไปดูเหตุการณ์ หลังจากมีเสียงเหมือนของแตกดังสนั่นและเสียงร้องดังลั่น แล้วก็มีเสียงร้องไห้โฮเข้ามาแทนที่
เราสองคนกระโดดขึ้นบันไดไปชั้นสอง เห็นประตูห้อง202ของแบงค์เปิดอ้าอยู่ มีข้าวของเกลื่อนกระจัดกระจายออกมานอกห้อง ฉันรีบพุ่งเข้าไปที่หน้าประตูทันที โดยคุณไข่ตามมายืนซ้อนอยู่ข้างหลังฉัน
"อะไรแบงค์ มีอะไร.." ฉันยังถามไม่จบประโยคก็ชะงัก เพราะสายตามองเห็นภาพภายในทั้งหมด ถึงกับตกใจหน้าซีด
แบงค์นั่งอยู่กับพื้นห้องร้องโอดโอยจมกองเลือดที่ขามีเลือดไหลโชกนองพื้นแดงฉาน มือทั้งสองข้างเกาะกุมขาขวาของตัวเองเอาไว้ ส่วนเอมร้องไห้โฮตัวสั่นนั่งอยู่ข้างแบงค์ และที่พื้นนั่นยังมีเศษแก้วแตกกระจายเต็มห้องไปหมด ปลาทองสองตัวมันดิ้นกระแด่วบนพื้น พยายามเอาชีวิตรอด
"เชี่ย!!" ฉันอุทานออกมา มือสั่นตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก ยิ่งเห็นเลือดแดงกับกลิ่นคาวคลุ้งทำเอาตาลายวิ้ง ๆ เหมือนหน้ามืดจะเป็นลมขึ้นมา
"ไปช่วยห้ามเลือด หาผ้าสะอาดมาห่อพันแผลที่ขา เดินระวังด้วย เร็ว ๆ"
เป็นคุณไข่ที่ออกคำสั่ง เธอดันหลังฉันให้เข้าไปในห้องทั้งที่สวมรองเท้าเพราะป้องกันเศษแก้วบาด ถือวิสาสะเปิดตู้เสื้อผ้าของเจ้าของห้องคว้าเสื้อตัวหนึ่งมาส่งให้ฉัน
"เอาพันรอบขาไว้ก่อน แล้วประคองลงไปข้างล่าง"
ฉันที่ยังมึนงงเพราะกลัวเลือด ลนลานทำตามที่เธอพูดในขณะที่เอมร้องห่มร้องไห้ประคองแบงค์ที่เลือดโชกในอ้อมแขน พร่ำพูดแต่คำว่าขอโทษ ๆ ราวเสียสติ ทำให้ฉันต้องลงมือเอาผ้าพันห่อขาของแบงค์ไว้เบา ๆ ทั้งกลัวเลือด กลัวแบงค์เจ็บ ตาก็คอยมองว่ายังมีเศษแก้วฝังอยู่ที่แผลอีกไหม สรุปก็คือมือสั่นตาลายกลัวไปหมดทุกอย่าง แถมยังพะอืดพะอมจะอาเจียนเพราะเหม็นคาวเลือด ส่วนคนออกคำสั่งให้ห้ามเลือดกลับวิ่งออกไปข้างนอกห้องซะอย่างนั้น
"คุณไข่!! จะไปไหน"
ฉันตะโกนร้องถามคนตัวขาวที่วิ่งออกไปขณะที่ห่อผ้าพันขาให้แบงค์ และช่วยเอมพยุงขึ้นมานั่งบนเตียง แต่เพียงครู่เดียวคุณไข่ก็กลับมาพร้อมขันเปล่าจากห้องน้ำมาเปิดขวดน้ำดื่มเทใส่ขันแล้วจับปลาทองที่ดิ้นกระแด่วที่พื้นใส่ลงในขันน้ำทั้งสองตัว ทำเอาฉันเข้าใจสิ่งที่เธอทำได้ทันที
"เอ้า แล้วนั่งทำไร รีบลงไปข้างล่างสิ ต้องไปโรง'บาลกัน"
เสียงหวานสั่งห้วน ๆ ทำให้ฉันสะดุ้งรีบพยุงแบงค์เดินกะเผลกลงบันไดตามคุณไข่ที่วิ่งนำหน้าลงมาก่อนทันที ผู้หญิงตัวเล็กนิดเดียวกระโดดคล่องแคล่วลงชั้นล่าง ฉันกับเอมที่น้ำตานองช่วยกันพยุงแบงค์ออกจากห้อง ท่าทางแบงค์ไม่ดีเลย แทบไม่มีแรงเดินร้องโอดโอยตลอดเวลา
ฉันไม่รู้ว่าแผลที่ขาแบงค์มีกี่แผลและลึกมากแค่ไหน แต่เลือดที่ไหลไม่หยุดและกลิ่นคาวเลือดมันก็ชวนให้อยากเป็นลมเหลือเกิน
พวกเราลงมาชั้นล่างก็พบกับผู้คนทั้งคุ้นหน้าและแปลกหน้าหลายคนที่มายืนออกันอยู่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่ามีเรื่องอะไรกัน
"ไปรอข้างหน้า เราจะพาไปส่งโรง'บาลเอง"
คุณไข่บอกแล้ววิ่งแทรกกลุ่มคนที่ออกันอยู่ออกไปทันที หลายคนพักอยู่หอนี้และบางคนพักอยู่ใกล้เคียง ทุกคนต่างพากันแสดงความห่วงใยและอาสาเข้าช่วยประคองคนเจ็บ เมื่อเห็นสภาพเลือดโชกไปทั้งตัวของแบงค์และการร้องห่มร้องไห้ของเอมก็พอดูออกว่าเกิดอะไร แต่ก็มีบางคนซุบซิบและมองด้วยสายตาที่ฉันเห็นแล้วไม่ชอบใจนัก
"กูว่าแล้วผัวเมียทอมดี้ เป็นงี้ทุกราย"
หนึ่งในนั้นพูดกระซิบกระซาบขณะที่ฉันพยุงแบงค์เดินผ่าน จึงตวัดหางตามองอย่างไม่พอใจให้รู้ตัวว่าฉันได้ยินที่พูดจนทั้งสองคนรีบเมินไปทางอื่น
"มันต้องมีสักตัวสองตัวสินะ ที่เสือกเรื่องชาวบ้านแล้วเอาไปซุบซิบสนุกปาก" เสียงในหัวฉันสบถด่าคนใจแคบที่ซุบซิบนินทาคนอื่น
"สันดานฉิบหาย เสือกเรื่องเป็นตายของคนอื่น แต่ไม่ช่วยเหี้ยไรเลย" เสียงจอมมารในหัวยังสบถด่าแทนใจฉันทุกอย่างขณะที่ฉันช่วยแบงค์มายืนหน้าหอ
รออยู่เพียงครู่เดียวไม่เกินห้านาที รถยนต์คันเล็กสีขาวก็มาจอดเทียบอยู่ข้างหน้า คุณไข่นั่นเอง เธอลดกระจกและร้องเรียกให้ช่วยนำแบงค์ขึ้นรถโดยมีฉันกับเอมนั่งไปด้วย
หลังจากผ่านช่วงเวลาชุลมุนวุ่นวาย ตั้งแต่เกิดเรื่องที่หอจนมาถึงโรงพยาบาลส่งแบงค์เข้าห้องฉุกเฉิน โดยมีคุณไข่ติดต่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลให้ทุกอย่าง และอยู่รอจนติดต่อกับญาติของแบงค์ที่ต่างจังหวัดได้เรียบร้อย แต่ที่เป็นปัญหา คือพ่อแม่ของเอมที่ทราบเรื่องแล้วตามมาไกล่เกลี่ยจ่ายค่ารักษาทั้งหมดให้ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือพ่อกับแม่เอมต้องการเอาตัวเอมกลับบ้าน แต่เอมไม่ยอมจนเกิดการทะเลาะกัน และฉันก็เพิ่งรู้ว่าเอมยังอายุไม่ถึง 20 ปี
สามคนพ่อแม่ลูกค่อนข้างเสียงดังหน้าห้องฉุกเฉิน ฉันกับคุณไข่ที่นั่งอยู่ไม่ไกลมองหน้ากันโดยไม่รู้จะเอายังไงดี เรื่องภายในครอบครัวและเรื่องส่วนตัว เราสองคนที่เป็นคนนอกคงไม่เกี่ยวข้องด้วย จนคุณไข่ลุกขึ้นก่อนฉันจึงลุกขึ้นตามเธอไปทันที การเดินตามคุณไข่ออกมาอาจจะดีกว่าอยู่ท่ามกลางสงครามของครอบครัวเอม
เราสองคนถอยออกมาเงียบ ๆ จากหน้าห้องฉุกเฉิน ไม่ได้สวัสดีพ่อแม่เอม เพราะไม่ได้สนิทหรือรู้จักกันมาก่อน ส่วนเอมคงไม่มีอารมณ์จะมาบอกลาใครทั้งนั้น เพราะร้องไห้ตาบวมและขึ้นเสียงเถียงกับพ่อแม่ทุกคำ
"หิวไหม"
"คะ???"
"เราถามว่าหิวไหม จะกินอะไรรึเปล่า"
คุณไข่ถามย้ำอีกครั้งขณะที่ออกจากโรงพยาบาลมาได้ไม่ไกลและกำลังมุ่งหน้ากลับไปทางหอพัก
"ไม่ ไม่หิวค่ะ"
ฉันตอบไปแบบนั้น แน่นอนฉันโกหก ก้มดูนาฬิกาข้อมือตอนนี้ 20.34 น. แล้วฉันทั้งหิวทั้งเหนื่อยและเพลียมาก ๆ และเพิ่งรู้ตอนนี้ว่าเดินตามคุณไข่ออกมาจากสถานการณ์ชวนอึดอัดของครอบครัวเอมนั้น ถือว่าฉันคิดผิด ฉันยังงงตัวเองอยู่ว่าเดินตามเธอมาขึ้นรถของเธอทำไม คุณไข่จอมหยิ่งยังคงนิ่งเย็นชาใส่ฉัน น่าอึดอัดชะมัด
ทำไมถึงไม่เลือกเดินไปขึ้นรถเมล์ที่ป้ายหน้าโรงพยาบาลยังจะดีกว่า คงไม่อึดอัดเท่านี้ สุดท้ายจึงได้แต่นั่งเงียบ ๆ มองข้างทางไปเรื่อยเปื่อย ย่านรามคำแหงในวันธรรมดา เวลานี้รถยังติดยาวเป็นกิโลฯ
"เธอไม่หิว แต่เราหิว จะแวะร้านในซอยตรงแยกหน้า" เธอพูดพลางตบไฟเลี้ยวขอทางชิดซ้าย
เอาแล้วไง คุณไข่บอกว่าหิวและเธอก็กำลังจะแวะกินข้าวแล้วฉันจะเอายังไงดี จะลงไปกินข้าวกับเธอเหรอ คงไม่มีทาง ฉันคงไม่ได้รับเกียรติร่วมโต๊ะ และที่สำคัญเงินในกระเป๋าฉันมันคงไม่พอกินอาหารร้านเดียวกับเธอแน่ ไว้เดี๋ยวค่อยขอแยกกันที่ร้านข้าวก็ได้ เดี๋ยวฉันจะนั่งรถเมล์กลับ ฉันตั้งใจแบบนั้น
แต่พอถึงหน้าร้านข้าวต้มร้านหนึ่งในซอยเล็ก ๆ ฉันที่กำลังจะอ้าปากบอกขอแยกกันตรงนี้ แต่คุณไข่ถามออกมาก่อน
"กินข้าวต้มกันมั้ย ร้านนี้อร่อยนะ"
"คะ?? อะไรนะคะ" ฉันคิดว่าหูฝาดไม่แน่ใจสิ่งที่ได้ยินจึงเผลอย้อนถาม
"ปกติเธอหูไม่ค่อยดีเหรอ ต้องให้พูดซ้ำบ่อย ๆ เราบอกว่าไปกินข้าวต้มกัน ร้านนี้อร่อย" คุณไข่คนตัวขาวทำหน้าหงุดหงิด ตวัดเสียงห้วน ๆ
เอาแล้วแม่คุณ ตัวก็เล็กนิดเดียวทำไมโมโหง่ายจัง เอะอะก็หน้าบึ้ง นิดหน่อยก็ขึ้นเสียง อย่างนั้นฉันคงต้องบอกไปตรง ๆละกัน
"ฉันไม่มีตังค์กินข้าวกับคุณหรอก ฉันมีแต่ตังค์ค่ารถเมล์ติดตัว"
"รู้แล้วว่าไม่มีตังค์ ชวนมากินเพราะเราจะเลี้ยง"
"??"
"เลิกอ้าปากค้าง ทำหน้าเอ๋อสักที ลงได้แล้วเราหิว"
ฉันรีบหุบปากและลงจากรถทันที แม้จะงงและสับสน แต่ฉันอีกคนที่อยู่ในหัวมันกลับตะโกนเสียงดังอยู่ข้างใน
"ยัยคุณน้องไข่ตัวขาว แม่งทำไมใจดีกว่าที่คิดวะ ท่าทางหยิ่ง ๆ แต่แม่งโคตรมีน้ำใจ"
แม้จอมวายร้ายจะลิงโลดชื่นชมคุณไข่ แต่ฉันได้แต่เดินตามเธอต้อย ๆ ตรงไปที่ร้านข้าวต้มโต้รุ่งข้างกำแพงริมถนน ในหัวนึกถึงเรื่องที่เห็นคุณไข่ทำมาวันนี้
"เธอช่วยปลาทองสองตัวที่ดิ้นกระแด่วอยู่ที่พื้นจับใส่ขันช่วยชีวิตไม่ให้มันตาย ช่วยพาแบงค์ที่เลือดโชกมาส่งโรงพยาบาลโดยไม่สนใจว่าเลือดมันจะเลอะเปื้อนรถเลยสักนิด เป็นธุระติดต่อโน่นนี่ให้ในขณะที่ฉันกับเอมเหมือนเด็กน้อยที่ไม่รู้ประสาอะไรสักอย่าง แล้วยังจะพามากินข้าวอีก คุณไข่ใจดีจัง" ความดีของคุณไข่จอมหยิ่งผุดขึ้นมามากมายในหัว
"พรุ่งนี้ทำงานมั้ย"
ขณะที่กำลังกินข้าวและคิดอะไรเพลิน ๆ คุณไข่ก็ถามขึ้น ฉันทำท่าจะทวนคำถามอีกครั้งตามนิสัยแต่ก็ต้องหุบปากกลืนอาหารลงคอก่อน ต้องคิดก่อนตอบเดี๋ยวจะโดนเธอโมโหเอาอีก
"อ่า...พรุ่งนี้วันหยุดค่ะ แล้วหลังจากนี้จะเปลี่ยนไปอยู่กะดึก"
"อ่อ เหรอ.."
เธอพยักหน้ารับรู้แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวไม่สนใจฉันอีก และกลายเป็นฉันที่เผลอมองเธอไม่รู้ตัว
"สวยจังวะ ผู้หญิงคนนี้หน้าสวยมาก จมูกโด่ง ปากชมพู ตัวขาวจั๊วะ ขาวแบบขาวสว่างไปทั้งตัว ทำบุญด้วยอะไรหนอถึงได้เกิดมาสวยขนาดนี้ แล้วมาเทียบกับฉันที่หน้าเหลืองเป็นเต้าหู้ทอด ผิวก็คล้ำ มือก็หยาบ ไม่มีอะไรสวยเลย แถมจอมมารในหัวก็หยาบคายสุด ๆ"
"ว่ากูหยาบคาย แล้วที่มึงฝันว่าเอากับคุณไข่บ่อย ๆ เรียกว่าอะไร เรียกโรคจิตจัญไรไหมมึง"
นี่ไง เสียงในหัวสะท้อนก้อง ตำหนิฉันเรื่องฝันลามกนั่นอีกแล้ว คร้านจะเถียงกับมัน เบื่อจะแก้ตัว บอกไปเป็นร้อยครั้งว่าคนในฝันไม่ใช่คุณไข่ แต่จอมมารในหัวก็ยังยืนยันว่าคือเธอ
"เอ๊ะ หรือเราจะฝันถึงคุณไข่จริง ๆ เราอาจจะเคยเจอกันที่ไหนสักแห่งเมื่อนานมาแล้ว แล้วก็เพ้อเจ้อเอามาฝันโดยไม่รู้ตัวก็ได้"
"มีอะไร มองหน้าเราทำไม นัท!!"
ฉันที่กำลังคิดในหัวเรื่อยเปื่อยต้องสะดุ้งเพราะเสียงของคนตรงหน้า
"มะไม่ ไม่ ไม่ ไม่มีอะไรค่ะ" รีบปฏิเสธกลัวถูกจับได้เรื่องฝันวาบหวามลามกที่ฝันถึงคนหน้าคล้ายเธอ
"ก็เห็นว่ามองหน้าเราตั้งนาน จะไม่มีอะไรได้ไง มีอยากถามอะไรก็ถามมา"
"อ่า.." ถึงกับไปไม่เป็นเลยทีนี้ ทำไมคุณไข่อารมณ์ขึ้นลงง่ายจัง เธอหงุดหงิดอะไรฉันอีกแล้ว ไบโพล่าร์ปะเนี่ย
"ไม่มีอะไรจริง ๆ ค่ะ"
ฉันก้มหน้าหนี บ่ายเบี่ยงด้วยการไปสนใจกับข้าวในจานแทน ผัดกะเฉดหมูกรอบถูกฉันตักใส่จานจนเกือบล้น แล้วจ้วงกินคำโตเพื่อให้หมดจานเร็ว ๆ จะได้กลับหอเสียที
"กินข้าวเถอะ หิว!"
"ไหนเธอบอกไม่หิว"
"พรวด แค้ก ๆ ๆ"
ถึงกับสำลักต้องรีบคว้าแก้วน้ำมายกดื่มแก้โป๊ะแตก ฉันรู้ตัวว่าพลาดใหญ่หลวง แต่ก็ต้องชะงักกึกตัวแข็งทื่อเมื่อกระดาษทิชชูถูกส่งมาเช็ดแตะ ๆ ที่ปากฉันโดยไม่ทันคาดคิด
"เลอะเทอะไปหมด เธออายุเท่าไหร่กันแน่นี่" มือขาวบอบบางซับปากให้ฉันเบามือ แต่ปากสวยกลับบ่นมุบมิบ
"20 แล้วค่ะ"
"เราไม่ได้ถาม เราแค่บ่นเธอเฉย ๆ"
"อ่า..ค่ะ ขอโทษ..."
ฉันปรับอารมณ์ตามเธอไม่ถูกแล้ว เอาเลยค่ะแม่คุณ ไอ้นัท ศิรินทร์คนนี้จะเป็นสนามอารมณ์ให้คุณไข่เอง
"จะขึ้นทำงานกะดึก แล้วตอนสอบเธอจะทำยังไง" พอละมือออกจากปากฉัน ทิ้งทิชชูนั้นลงถังขยะ เธอก็ถามคำถามนี้ ฉันเงยหน้ามองเธอแวบหนึ่ง พอเห็นท่าทางจริงจังก็ตอบไปตามที่คิด
"ก็อ่านหนังสือไปด้วยทำงานไปด้วย วันไหนมีสอบก็ไป ทำงานกลางคืนสอบกลางวัน สอบเสร็จค่อยนอนก็ได้"
"คิดว่าไหวหรอ ทำงานกลางคืน แล้วมานอนกลางวัน"
"ไหวสิ ปกติกลางคืนไม่ค่อยนอนอยู่แล้ว โต้รุ่งนอนเช้าตลอด"
ฉันตอบอย่างมั่นใจ คุณไข่เธอก็มองหน้าฉันนิ่ง ๆ หน้าเรียบเฉย เออแล้วถามเรื่องเราทำไม หรือแค่ชวนคุยระหว่างกินข้าวเฉย ๆ วะ
"นอนกลางวัน แล้วกลางคืนทำงานมันทำให้ระบบร่างกายรวนหลายอย่างนะ แล้วเธอยิ่งไม่ค่อยได้กินข้าว มันอาจทำให้เป็นโรคกระเพาะหรืออาจจะเป็นมากกว่านั้น"
"คะ??"
ฉันอ้าปากค้างหน้าเหวอ อายจนอยากแทรกโต๊ะหนี เธอรู้ว่าฉันไม่ค่อยได้กินข้าว ฉิบหาย นี่สภาพฉันมันดูออกว่าอดอยากขนาดนี้เลยเหรอ
"จะพยายามกินแล้วก็จะพยายามนอนให้พอค่ะ" ฉันคิดคำตอบให้เธอได้แค่นั้นจริง ๆ หน้านิ่ง ๆ ของคุณไข่เพียงพยักหน้ารับ
ไม่อยากเข้าข้างตัวเองว่าเธอพูดเพราะเป็นห่วง แต่เธอจะมาเป็นห่วงอะไรฉัน คงแค่พูดตามประสาคนมีน้ำใจหรอกมั้ง
"ฉันโทรถามป้าอ้อยแล้วเรื่องห้อง202 ป้าอ้อยให้คนไปทำความสะอาดแล้ว" อยู่ ๆ คุณไข่เธอก็เปลี่ยนเรื่องคุย ฉันก็ทำได้แค่พยักหน้าเออออ ตักอาหารเข้าปากไม่ได้ตอบอะไร
"ส่วนปลาทอง ป้าอ้อยเอาไปใส่ในตู้ปลาที่บ้านให้ก่อน ปล่อยไว้ให้อยู่ในขันกลัวมันจะตายเสียก่อน สภาพจิตใจตอนที่ขาดน้ำอาจทำให้มันตกใจจนช็อก"
"เหยด.. คุณน้องไข่ตัวขาว จิตใจช่างอ่อนโยน อินัทมึงได้นึกถึงปลาทองสองตัวนั้นสักนิดมั้ย ตอนมันดิ้นพะงาบ ๆ มึงยังยืนมึนกลัวเลือดอยู่เลย อิห่า แต่คุณไข่แม่งนึกไปถึงจิตใจปลาทองกลัวมันจะช็อกตายอะ กูว้าวกับคุณไข่ของมึงได้ทั้งวันเลยว่ะ ผัวมึงคนนี้สุดยอด"
"คุณไข่ไม่ใช่ผัวกู อิผีบ้า"
"ถ้าไม่ใช่ผัวมึง งั้นก็เป็นเมียมึง มึงฝันว่าเย.."
"อีเหี้ยหุบปาก"
ฉันวางช้อนดังเคร้ง!! เพราะทะเลาะกับตัวเองในหัวด้วยถ้อยคำหยาบคาย จิตใต้สำนึกของฉันมันจะทำให้ฉันสับสนหงุดหงิด
"มีอะไรนัท อิ่มแล้วเหรอ" คนตัวขาวตรงหน้าขมวดคิ้วถาม เธอไม่รู้สาเหตุว่าอะไรที่ทำให้ฉันแสดงท่าประหลาด ๆ คงไม่มีใครทะเลาะกับตัวเองเหมือนอย่างที่ฉันทำแน่
"เอ่อ...เราเพิ่งนึกได้ว่ารถคุณมันเปื้อนเลือด เราอิ่มแล้ว ว่าจะไปเช็ดเลือดที่เบาะออกให้คุณก่อน" ฉันพยายามเฉไฉไปคุยเรื่องอื่น แล้วเรื่องที่นึกออกก็คือเรื่องนี้ นึกขอบคุณความหัวไวของตัวเองอยู่เหมือนกัน
คุณไข่หันไปมองรถตัวเองที่จอดอยู่ไม่ไกล นิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นฉวยกุญแจรถและกระเป๋าเงิน
"เราจะไปจ่ายเงิน เธอไปเปิดท้ายรถเอาผ้าขนหนู ผ้าเช็ดรถกับสเปรย์ฉีดเบาะ เอาไปเช็ดตรงที่เปื้อนก่อน เดี๋ยวเราตามไปช่วย" คุณไข่บอกและยื่นกุญแจรถมาให้ฉัน
"เราเปิดไม่เป็น ไม่เคยมีรถ ไม่รู้ต้องทำยังไง" ฉันบอกเบา ๆ นึกอับอายที่โตจนป่านนี้ยังไม่เคยเปิดท้ายรถยนต์เลยสักครั้ง
"ห๊ะ!" คนตัวขาวอุทานอย่างไม่อยากเชื่อ แล้วรีบปรับสีหน้ารวดเร็ว คงไม่อยากให้ฉันอายมากไปกว่านี้
คนจนที่ไม่มีแม้บ้านตัวเอง อาศัยบ้านญาติ มาตลอดอย่างฉันและป้าฉันก็มีแค่รถมอเตอร์ไซค์ไว้ใช้หนึ่งคันเท่านั้น เอาอะไรมารู้ว่าท้ายรถยนต์เขาเปิดกันยังไง แค่ฉันนั่งรถยนต์เป็นก็เก่งแล้ว
"นี่ดูนะ ปุ่มนี้ตรงที่มีรูปแม่กุญแจ อันนี้เอาไว้ล็อก ส่วนอันนี้เอาไว้ปลดล็อก กดปุ่มนี้ปลดล็อกครั้งเดียวพอ แล้วที่ท้ายรถมันมีสลักอยู่ ใช้มือลูบ ๆ แตะ ๆ ก็จะเจอ ดึงสลักแล้วก็ยกเปิดขึ้น" คนสวยตัวขาวยื่นกุญแจรถมาตรงหน้าฉันแล้วอธิบายว่าต้องทำอย่างไรด้วยน้ำเสียงที่แสนน่ารักและดูจริงใจ
เธอไม่ได้มีท่าทีสมเพช ไม่ได้แสดงท่าทางสงสารเวทนาฉันด้วยซ้ำ ทำเหมือนแค่บอกคนไม่รู้ให้รู้เพียงเท่านั้น จากที่ฉันอับอายในความยากจนของตัวเองแต่เธอทำให้ความรู้สึกอายมันหายไป และสนใจฟังที่เธอบอก
ฉันพยักหน้าพลางรับกุญแจจากมือเธอ เดินตรงไปที่รถแล้วทำตามที่เธอบอกทุกอย่าง
"อ่าว ก็ไม่ได้ยากนี่หว่า ไม่ต้องกลัวรถเขาพังด้วย ก็แค่เปิดท้ายรถ" คิดในใจพลางมองหาสิ่งที่ต้องการ
ท้ายรถคุณไข่ดูเป็นระเบียบมาก แต่ก็เก็บของไว้พอสมควร ทั้งรองเท้ากีฬาสองคู่และไม้ตีแบดสองอันที่มีซองใส่อย่างดี คงเป็นของยี่ห้อดังแน่ เพราะมันดูแพงไม่เหมือนไม้แบดมินตันราคาถูกที่ฉันใช้เรียนตอนมัธยมเลย
มองหาอยู่ครู่เดียวก็เจอของที่ต้องการ เงยหน้าขึ้นอีกทีก็เจอเธออยู่ข้างหลัง
"มา..เราช่วย" เธอยื่นมือเรียวรับเอาสเปรย์ฉีดเบาะและผ้าเช็ดรถผืนเล็กไป ขณะที่ฉันถือผ้าขนหนูเดินตามเธอที่เปิดประตูหลังด้านที่แบงค์เคยนั่ง
เธอเปิดไฟในรถจนมันสว่างมองเห็นรอยเลือดแห้งกรังเปรอะเปื้อนบนเบาะหลายจุด ที่พื้นด้านล่างก็มีกองเลือดหยดอยู่ด้วย เราสองคนลงมือเช็ดทำความสะอาดด้วยกันไปเงียบ ๆ จนที่สุดฉันก็เป็นฝ่ายเริ่มพูด
"แบงค์จะเป็นไรมั้ยนะ เลือดออกเยอะขนาดนี้"
"คงเย็บหลายเข็มแหละ ก็โหลปลาทองแตกกระจายขนาดนั้น คงเจ็บน่าดู"
"เราจะเป็นลมตอนที่เห็นเลือด แต่คุณสติดีมากเลย แล้วคุณก็ใจดีมาก ใจดีทั้งกับแบงค์และก็ปลาทองสองตัวนั้น"
ฉันคิดตามที่พูดจริง ๆ พูดชมคนที่ก้มหน้าก้มตาเช็ดเลือดข้าง ๆ ฉัน หน้าของเราใกล้กันมากห่างกันแค่คืบจนรู้สึกได้ถึงกลิ่นโลชั่นทาผิวบนตัวเธอ จนต้องหันหน้าออกห่างรู้สึกแปลก ๆ พิกลเหมือนจะหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเฉย ๆ
และเหมือนคุณไข่จะรู้ตัวเหมือนกันว่าอยู่ใกล้กันเกินไปเพราะเธอก็ดึงหน้าออกห่างจากฉันเช่นกัน
เอาแล้วอยู่ ๆ ทำไมใจสั่น ฉันเก็บอาการด้วยการก้มหน้าเช็ดคราบเลือดที่พื้น
"แล้วคุณก็ใจดีกับเราด้วย ขอบคุณมากนะคะ" อยู่ ๆ ก็พูดออกมา พูดจบก็กัดปากตัวเองจนเจ็บ พูดเองใจสั่นเอง พูดทำไมวะ
แล้วความเงียบก็เข้ามาคั่นกลางระหว่างเราทันที ฉันรู้เลยว่าเพราะประโยคนั้นแหละ ที่นำความเงียบเข้ามา คุณไข่ก้มหน้าก้มตาเช็ดตรงที่เธอรับผิดชอบไม่เงยหน้ามองฉันอีกเลย
พลาดจริง ๆ ไม่น่าพูดเลย ไม่น่าเลย เฮ้อ...
22.28 น. ฉันนั่งหาวหวอด ๆ ตัวซุกติดกับเบาะ ทั้งง่วงทั้งเพลีย อยากนอนมาก อยากนอนเหลือเกิน ตั้งแต่เช้าจนถึงดึกฉันเสียพลังงานไปมากมาย ทำงานทั้งวันเหนื่อยแทบขาดใจ ยังมาเจอเหตุระทึกขวัญภาพแบงค์จมกองเลือดยังติดตา ยิ่งมานั่งรถแอร์เย็น ๆ ตอนสี่ทุ่มครึ่ง มันชวนให้อยากหลับเสียเหลือเกิน
ฉันเหลือบตามองคุณไข่ที่ขับรถอยู่ สายตาเธอมองตรงไปข้างหน้า ไม่ได้สนใจฉันที่นั่งตัวลีบตัวอ่อนอยู่ข้างเธอสักนิด เราไม่พูดอะไรกันเลยตลอดทางตั้งแต่ขับรถกลับจากร้านข้าวต้ม
จนกระทั่งรถมาจอดสนิทที่หน้าหอพัก ฉันหันไปมองหน้าเธอ ขณะปลดเข็มขัดนิรภัยออก ถึงจะเปิดท้ายรถไม่เป็น แต่ฉันรู้ว่าเข็มขัดนิรภัยใช้ยังไงเพราะเคยนั่งรถยนต์มาแล้วหลายครั้ง
"ขอบคุณนะคะ คุณไข่" ฉันเอ่ยปากบอกเจ้าของรถแต่เธอแค่หันมามองและพยักหน้า
โอเค ถึงเธอจะใจดีมีน้ำใจ แต่ฉันก็ไม่มีวันเข้าใกล้คุณไข่ได้มากกว่านี้ กำแพงของเธอสูงมาก และฉันคงไม่มีวันปืนขึ้นไปสนิทสนมกับเธอได้ ขอยอมแพ้โดยดุษณี ฉันลงจากรถของเธอและเดินเข้าหอไปทันที ถ้าคุณไข่ไม่สนใจเรา แล้วเราจะอยากให้เธอสนใจทำไม แค่นี้ก็ดีหนักหนาแล้ว
"นัท นัท นัท ตื่นสิ"
เสียงหวานเย็นใจกระซิบข้างหูปลุกฉันให้ตื่นจากนิทรา
"อือออ คะ ใคร ใครอะ" ฉันสะลึมสะลือลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืด ความง่วงงุนอ่อนเพลียทำให้ฉันไม่อยากสนใจสิ่งที่รบกวนการนอนเลยแม้แต่น้อย ฉันหลับตาลงและพลิกตัวหลีกหนีเสียงกระซิบข้างหูนั้นไม่อยากรับรู้
"นัท นัทจ๋า เราคิดถึงนัทจัง นัทตื่นมาหาเราหน่อยสิ" เสียงกระซิบหวานซ่านนั้นยังไม่ยอมแพ้ คราวนี้ไม่เรียกเฉย ๆ แต่ยังส่งริมฝีปากมาคลอเคลียที่ใบหู ขบเม้มและเล็มเลียแผ่วเบาสร้างความสยิวสั่นสะท้าน ส่งผลให้ฉันก็ต้องลืมตาโพลง หันมาสนใจเจ้าของริมฝีปากที่เบียดชิดจูบใบหูของฉันอยู่
"อื้อออ คุณ" เมื่อเห็นชัดว่าใคร ฉันผงกศีรษะขึ้น ขยี้ตามองคนสวยในเงามืด ๆ คนในฝันที่คุ้นเคยของฉัน คนรักที่เป็นของฉัน แต่ฉันไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร
"คุณ..วันนี้นัทเหนื่อยมาก เพลียมาก คงทำอะไรไม่ไหว" ฉันล้มตัวลงนอนหลับตาสารภาพความจริงกับนางในฝัน
ทั้งที่เหนื่อยสายตัวแทบขาด ทำไมยังฝันถึงคนที่มีเซ็กส์กันในฝันได้อีก สาบานได้เลยว่า ถ้าต้องร่วมรักกันฉันต้องตายในฝันแน่ ๆ
"ที่รักของฉัน เหนื่อยมากเลยหรือ"
"ค่ะ เหนื่อย" ฉันตอบทั้งที่ยังนอนหลับตา รู้สึกได้ถึงเตียงแคบ ๆ ของฉันมันยวบลงเพราะคุณคนนั้นนอนลงเคียงข้าง เธอนอนตะแคงข้างกอดฉันไว้ ยกผ้าห่มผืนบางของฉันห่มคลุมร่างของเราทั้งคู่
"งั้นก็นอนพักนะคะ เด็กดี"
เสียงหวานอ่อนโยนกระซิบที่ข้างหู แล้วเธอก็นอนกอดซุกซบฉัน ใบหน้าของเธอซบลงที่ต้นคอและหัวไหล่ ลมหายใจอุ่น ๆ เป่ารินรด ขณะที่ฉันหลับตาผ่อนลมหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ รู้สึกดีจัง การเป็นคนสำคัญของใครสักคนมันดีอย่างนี้นี่เอง แล้วฉันก็หลับไปพร้อมกับคำหวานที่กระซิบแผ่วเบานั้น
"นอนหลับฝันดีนะคะ ที่รัก"
ตีสองกว่าแล้ว ขอไข่ดูนาฬิกาในรถที่หน้าจอสว่างวาบแล้วถอนหายใจ หลังจากจอดรถที่หน้าหอพักมาเกือบสองชั่วโมงแล้วแต่ยังเอารถไปจอดที่โรงเก็บรถไม่ได้ สุดท้ายเลยต้องเลื่อนรถเข้าจอดชิดซ้ายที่หน้าออฟฟิศตัวเองและติดเครื่องยนต์เปิดแอร์เอาไว้อย่างนี้
ดวงตาคู่สวยใบหน้าขาวเนียนหันไปมองคนที่นอนขดตัวอยู่ที่นั่งข้างคนขับ ผู้เช่าหอพักห้อง201 ยังคงหลับลึกไม่รู้เรื่องรู้ราว แม้พยายามเรียกปลุกให้ตื่นอยู่หลายครั้งแต่ไม่เป็นผล แม้ตอนที่เอี้ยวตัวไปปรับเบาะให้นอนยืดตัวสบาย ๆ เธอก็ยังไม่รู้สึกตัวสักนิด
ขอไข่ถอนใจยาวปลง ๆ คงต้องปล่อยให้นอนอยู่อย่างนี้ไปก่อน คนสวยตัวเล็กเอื้อมมือหยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่พาดบนเบาะที่นั่งคนขับมาห่มคลุมร่างเพรียวผิวคล้ำแดดที่นอนขดตัวนิ่ง ๆ บนเบาะไว้ แค่นึกถึงใบหน้าซีดเซียวอิดโรยและดวงตารีเรียวที่ฉายแววความทุกข์ระทมตลอดเวลาคู่นั้น ก็ทำให้ขอไข่สะท้อนใจยิ่งนัก หลายครั้งที่ทำเมินไม่มองเพราะไม่อยากเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในดวงตาคู่นั้น แต่ก็ต้องใจอ่อนให้ทุกครั้งไป
ยิ่งความสัมพันธ์แสนประหลาดที่เกิดขึ้นระหว่างเรา ยิ่งทำให้เธอใจร้ายกับคนคนนี้ไม่ได้
น้ำตามันซึมรื้นที่ขอบตาขึ้นมาอีกแล้ว ขอไข่กลั้นก้อนสะอื้นลงคอ หันมองคนที่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวในรถของเธอ ด้วยแววตาที่ยากจะเข้าใจ
0000000000000000000
โปรดติดตามตอนต่อไป
#กลางวันสีดำ
***
สวัสดีค่ะทุกคน สีสันเองค่ะ
ขอโทษที่หายไปพักหนึ่งนะคะ
เพราะเราติดโควิด และมีเรื่องรบกวนจิตใจนิดหน่อยค่ะ ?
แต่ตอนนี้เราพักรักษาตัว จนหายดีและแข็งแรงดีทั้งกายและใจ
ขอบคุณคุณรี้ดทุกคนที่เป็นห่วง ทักทายสอบถามอาการกันตลอดทางทวิตเตอร์
ขอบคุณกำลังใจมากมายที่ส่งเข้ามานะคะ
ขอบคุณทุกคนที่ยังคงติดตามและรออ่านผลงานของเรา
ขอบคุณทุกคนที่ชอบนิยายเรื่องนี้ เอ็นดูนัท เอ็นดูคุณไข่
ตอนนี้ก็เปิดเรื่องราวของคุณไข่บ้างแล้วนะคะ หลังจากที่อยู่ในฝั่งของนัทมาหลายตอน
ชื่อของคุณไข่ก็คือ ขอไข่ ผิวขาวมาก สวยมาก ตัวเล็กนิดเดียว ขับรถคันเล็กสีขาว อายุ23 ปี มีพี่สาวที่เสียชีวิตไปแล้ว และคุณไข่ใจดีอ่อนโยนมาก ช่วยน้องปลาทองไม่ให้ดิ้นกระแด่ว ๆ ตาย ไม่ได้หยิ่งเข้าถึงยากอย่างที่นัทเข้าใจ และคุณไข่กับนัทมีความสัมพันธ์ประหลาดยังไง อยากให้ทุกคนติดตามกันต่อนะคะ
สุดท้ายนี้ อยากขอในสิ่งที่ไม่ค่อยได้ขอ
อยากได้ความรัก เมตตาจากคุณรี้ด อยากได้กำลังใจ อยากอ่านเม้นของคุณว่ารู้สึกยังไงกับนิยายเรื่องนี้
บอกเราหน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ
อ่านให้สนุกนะคะ ทุกคน